ป้าสุจิตรา
เรื่องป้าสุจิตรา เรื่องราวสุดเร้นลับที่จะต้องหาคำตอบร่วมสยองและสนุกไปกับการสืบสวนสอบสวนและบทสรุปของเรื่อง ขอขอบคุณเรื่องสยองนี้จากสมาชิกพันทิป หมายเลข 2227735 ที่นำเรื่องดีๆมาให้สมาชิกทุกคนได้ติดตามไว้ ณ ที่นี้ด้วย
ผมพึ่งเรียนจบจากมหาลัย และได้เข้ามาทำงานในบริษัทแห่งหนึ่ง
หัวหน้าผมเขาเป็นรุ่นพี่ที่จบมาจากสถาบันเดียวกันกับผม
หลังจากช่วยงานหัวหน้าเสร็จแล้ว
ในบางวัน เขาก็ลองให้ผมไปทำหน้าที่เป็น ทนายอาสา
รับให้คำปรึกษาเกี่ยวกับคดีความฟรี ที่ศาลแห่งหนึ่ง
ที่สำนักงานศาล ที่นั่น จะมีที่ สำหรับให้ ทนายที่อยากอาสา ให้คำปรึกษาแก่ประชาชนทั่วไป
เข้าไปนั่งรอพบปะประชาชนได้
ผมเข้าไปทำงานอยู่ที่นั่น ประมาณอาทิตย์หนึ่ง มีคนมาขอคำปรึกษา ไม่กี่ราย แต่ก็เป็นคดีที่ไม่ซับซ้อนอะไรมากนัก
วันนี้ เจอพี่ที่เป็นหัวหน้าผม เขาก็ถามว่า "เป็นยังไงบ้าง มีคนมาปรึกษาอะไรมากไหม"
ผมก็บอกว่า " ไม่มีเลยพี่ ส่วนใหญ่ก็มีคดีเล็กๆน้อยๆ "
แต่เมื่อวาน ผมเจออะไรแปลกๆ ก็เลยเล่าให้หัวหน้าฟัง
" อ้อ มี เมื่อวาน รายสุดท้าย แปลกๆ นะ
มีป้าคนหนึ่งแต่งตัวมอซอ ผมเผ้ารุงรัง
มาขอร้องให้ช่วยเรื่อง ที่ดิน แกบอกว่า แกโดนโกงที่ดิน "
หัวหน้าผมหันมามองหน้าผม แต่ไม่ได้พูดอะไร
แล้วผมก็เล่าต่อ
"แต่ยังไม่ทันฟังรายละเอียดเลย
พอพี่ทนายที่อยู่อีกห้องหนึ่งเห็นป้า
ก็ชี้มือมาทางป้า ป้าแกก็ดูลนลานตกใจ วิ่งหนีไปเลย"
หัวหน้าผม หัวเราะ เดินเข้ามาตบไหล่ผมเบาๆ
"เอง ซวยแล้ว เจอคนบ้ามาขอคำปรึกษา ให้เองไปหาอาบน้ำมนต์ 9 วัดได้เลย"
พูดจบแกก็หัวเราะอีก
ผมก็เลยสงสัยถามแกไปว่า " ยังไงพี่ อธิบายหน่อย "
หัวหน้าผมแกก็เล่าว่า
"ป้าคนนี้ คนแถวนั้นเขารู้จักกันทั้งนั้นแหละ แกเป็นคนสติไม่ดี
ก่อนหน้านี้เมื่อยี่สิบปีก่อน แกมาร้องเรียนกับทนายอาสาคนหนึ่ง
ป้าแกโดนโกงที่ดินหมดเนื้อหมดตัวไม่มีเงินสักบาท
ทนายอาสาคนนั้นก็ช่วยแกฟ้องร้อง ดำเนินการทุกสิ่งทุกอย่างให้
แต่สุดท้ายก็จนด้วยหลักฐาน
เพราะว่า ที่ดินทั้งหมดที่แก กล่าวอ้างว่าเป็นของแก สรุปแล้วทั้งหมดไม่ใช่ของป้า
ตั้งแต่นั้นแกก็เสียสติ เหม่อลอย ชอบพูดคนเดียวบ้าง ชอบด่าคนไปทั่วบ้าง
และที่เห็นบ่อยๆ แกก็จะชอบมานั่งรอทนายอาสา เพื่อให้เขาฟ้องร้องเรื่องที่ดินให้แก เกือบทุกวัน
หลังๆมานี่ นานๆ ถึงจะเห็นแกมาที "
ผมก็เลย เก๊ท " อ๋อมันเป็นแบบนี้นี่เอง
มิน่าป้าเจอพี่ทนายคนนั้น แกถึงกลัว สงสัยป้าแกเคยโดนตะเพิดไล่มาก่อน "
ผมแวะเวียนกลับไปรับเรื่องร้องทุกข์ ให้คำปรึกษา บ้าง ตามเคย แต่ไม่ได้ไปทุกวัน เหมือนตอนแรกๆ
แม้เวลาจะผ่านไปหลายอาทิตย์แล้ว แต่ผมก็ยังไม่ลืมเรื่องป้าแก่ๆคนนั้น
มันคอยมีความคิดบางอย่างเกี่ยวกับป้าแก ผุดขึ้นมาเป็นระยะ ระยะ
เหมือนเป็นความสงสัยใคร่รู้บ้างอย่าง ที่ตัวผมเองอาจจะเป็นพวกชอบ เผือกเรื่องชาวบ้านชาวช่องมั้ง
จนกระทั้งวันหนึ่ง
เย็นมากแล้ว ผมกำลังเตรียมตัวจะกลับบ้าน แต่ฝนก็ดันตกลงมาเสียก่อน
ช่วงที่หันไปก้มๆเงยๆเก็บของใส่กระเป๋า
ผมหันกลับมาที่โต๊ะอีกที ก็ตกใจแทบหงายท้อง
อยู่ๆ มีป้าคนนั้น มานั่งอยู่ตรงเก้าอี้ข้างหน้าโต๊ะผม
ผมตกใจ แต่ก็เก็บอาการไว้
" อ้าวป้า มานั่งไม่ให้ซุ่มไม่ให้เสียงเลย "
ป้าแกก็มองมาที่ผม
" ป้ามาขอคำปรึกษาหน่อย เรื่องคดีความ "
ผมก็ถามไปว่า
"แล้วเหตุการณ์มันเกิดนานยังป้า "
ป้าก็บอกว่า " ยี่สิบกว่าปีแล้ว
ผมฟังแล้วก็นะ " โหป้า ป่านนี่แล้ว คงยากแล้วป้า "
ป้าแกก็ ทำหน้าเศร้า "ก็ป้าไปขอร้องใครๆ ก็ไม่มีใครช่วยป้าเลย ยังไงคุณก็อย่าพึ่งไล่ป้าเลยนะ ฟังป้าก่อน"
ผมเห็นแล้วก็นึกสงสารป้า
ยิ่งรู้ว่าแกเป็นคนสติไม่ดี เราก็ไม่อยากขัดใจเท่าไหร่
เดี๋ยวอารมณ์ขึ้น จะพาลมาด่าเราอีก งั้นให้แกได้พูดๆไปแล้วกัน เอาที่ป้าแกสบายใจ
: ป้าแล้วป้าชื่ออะไร
ป้า: สุจิตรา จ๊ะ
: เรื่องราวมันเป็นยังไงมายังไงป้า
แล้วป้าก็เริ่มเล่า
"สามีป้า มีเมียสองคน ป้ามีลูกกับสามีหนึ่งคน แล้วต่อมา สามีก็ไปเอาเมียน้อยมาอยู่ด้วยที่บ้าน
สามีของป้าไม่ได้ทำงานอะไร พอพ่อของสามีป้าตาย ก็ได้แบ่งมรดกไว้ให้ตามพินัยกรรม
โดยที่ สามีป้ามีพี่น้องแค่สองคน ก็คือแบ่งมรดกกับพี่ชาย กันคนละครึ่ง"
ป้าเล่าว่า "หลังจากแบ่งมรดก เมียน้อยมันจ้างคนมาฆ่าพี่ชายของสามีป้า ทุกวันนี้หายสาบสูญไม่รู้ชะตากรรมเป็นตายร้ายดีประการใด"
ผมก็ถามว่า "แล้วป้ารู้ได้ไงว่าเป็นเมียน้อยมาอุ้มพี่ชายของสามีป้า"
ป้าบอกว่า "ป้าแอบได้ยินนางเมียน้อย มันสั่งการกับผู้ชายคนหนึ่งว่า จัดการคืนนี้เลย แล้วต่อมาพี่ชายสามีป้าก็หายไปเลยหลังจากคืนนั้น"
ป้าเล่าว่า " ต่อมาไม่นาน เมียน้อยมันวางแผนจะ ฆ่าป้า โดยเอายาพิษ ใส่ไว้ในอาหาร แต่สุดท้าย สามีของป้าดันไปกินอาหารที่มียาพิษนั้น
แล้วต่อมาสามีก็ล้มป่วยจนตาย "
ผมก็ถามว่า "แล้วป้ารู้ได้ไงว่า เมียน้อยวางยาพิษป้า"
ป้าก็บอกว่า "ป้ามารู้ภายหลัง เพราะมีคนรับใช้เก่าแก่ของสามีมาบอก แต่สุดท้าย ก็โดนฆ่าปิดปาก"
ป้าเล่าต่อ
"พอสามีป้าเสีย เมียน้อยมันก็วางแผนหุบมรดก
โดยไปปลอมแปลงทะเบียนสมรส ว่ามันเป็นเมียหลวงถูกต้องตามกฏหมาย
ทั้งๆที่ป้าเองได้จดทะเบียนสมรสก่อนหน้านั่งเมียน้อยมัน แต่ป้าก็ไม่เข้าใจว่ามันไปแก้ไขปลอมแปลงอะไรกันยังไง
จนทำให้ ทะเบียนสมรสของป้าออกมาเป็นทะเบียนสมรสซ้อน
ป้าว่ามันต้องทำเป็นขบวนการใหญ่"
พอผมนั่งฟัง ก็ได้แต่นั่งอึ้ง
แล้วก็ถามป้าไปว่า " แล้วป้าเอา ทะเบียนสมรสของป้ามาด้วยไหม "
ป้าพยักหน้า "นี่จ๊ะ.. "
แกยื่นกระดาษเก่าๆ ยับยู่ยี่ มาให้
ผมดูแล้ว มันเป็นสำเนา เหมือนถ่ายเอกสารมาไม่ชัด
"มันไม่ค่อยชัดเลยอะป้า มีอันที่ชัดๆไหม "
ป้าบอกว่า "ป้ามีเท่านี่แหละ ลองไปดูก่อน"
ป้าเล่าต่อ
"หลังจากสามีป้าเสียชีวิต เมียน้อยมันหุบมรดกไว้คนเดียว
แล้วก็ไล่เราแม่ลูกไปอยู่เรือนหลังเล็ก แล้วมันก็วางแผนฆ่าลูกของป้า ลูกป้าถูกพวกมันจับกดน้ำตาย
แล้วผมก็ถามป้า "ป้ารู้ได้ยังไงว่าเป็นฝีมือของฝ่ายเมียน้อย จะพูดอะไรมันต้องมีหลักฐานนะป้า"
ป้าบอกว่า "ไม่มีหลักฐาน แต่วันที่เกิดเหตุ พวกมันใช้ป้าไปทำธุระข้างนอก พอกลับมาบ้าน ลูกสาวป้าก็ตาย ฮือๆ.."
ป้าร้องไห้ออกมา
ผมก็ถามไปว่า "แล้วทำไมป้าไม่ไปแจ้งความ ที่ลูกป้าถูกฆ่าตาย"
ป้าก็ตอบว่า " เพราะนั่งเมียน้อยมันมีอิทธิพลมาก พอไปแจ้งความ ทางตำรวจ เขาก็มาบอกว่า ลูกสาวตายเพราะจมน้ำ ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ "
"แล้วคดีก็เงี่ยบไป"
แล้วป้าก็นั่งร้องไห้ต่อ
ผมก็ถามป้าไปว่า "แล้วป้าจะมาให้ผมช่วยอะไร ในเมื่อมันก็ผ่านมานานแล้ว "
ป้าสะอื้อไห้ " ป้าไม่หวังอะไรแล้ว แค่คุณช่วยป้าทำความจริงให้ปรากฏก็พอ "
"โหป้า หลักฐานก็ไม่มี เท่าที่มีก็มีแค่ ทะเบียนสมรสของป้านี่ มันจะทำไรได้ป้า"
ผมฟังแล้ว มึนหัวตึ๊บเลย
ก็เลยบอกแกไปว่า " เอาหละป้า เดี่ยวผมจะลองหาทางดูแล้วกันนะ "
ผ่านไปสามเดือน ผมลืมเรื่องป้าไปเสียสนิท เพราะไม่ได้เจอป้าอีกเลยนับตั้งแต่วันนั้น
อยู่ๆวันหนึ่งหัวหน้าก็ใช้ผมไปทำเรื่องเกี่ยวกับการตรวจสอบเอกสารสิทธิ์อะไรบางอย่าง
ก็เลยทำให้ผมนึกถึงป้าขึ้นมาได้ ผมเลยถามหัวหน้าผมไปว่า
“เออ.. พี่คัรบ พี่จำป้าคนที่พี่บอกว่าแกสติไม่ดี ได้ไหม“
หัวหน้าผมหันมาแล้วก็พูดว่า “จำได้ ทำไมหรือ“
ผมถามต่อ
“พี่เคยเจอแกมาเล่าเรื่องราวของแกให้ฟังกับตัวเลยหรือครับ”
หัวหน้าผมก็ตอบว่า “เปล่า ก็ฟังมาอีกทีหนึ่ง แต่ก็เคยเห็นแกสองสามหนแล้ว “
ผมก็เลยเล่าเรื่องที่ป้าแกมาขอปรึกษาคดี ให้หัวหน้าผมฟัง
“ป้าแก มาหาผม แล้วก็มาเล่าเรื่องแกให้ฟัง ประมาณว่า แกถูกเมียน้อยโกง
โดยการปลอมทะเบียนสมรส เอ.. มันจะปลอมกันได้ด้วยหรือพี่”
หัวหน้าหันมายิ้ม “มันก็ไม่แน่นะ สมัยก่อนพี่เคยทำคดีสวมสิทธิ์บัตรประชาชน
มีคนต่างด้าว ไม่น้อยที่เอา ชื่อคนตายมาสวมสิทธิ์ทำบัตรประชาชน “
ผมก็ถามต่อว่า “แล้วมันจะแก้ไขไปถึงในระบบทั้งหมดได้เลยหรือพี่”
หัวหน้าผมก็ตอบว่า “ ได้ซิ เพราะมันทำเป็นขบวนการ ของพวกนี้ มันจะรู้กันอยู่ไม่กี่คนหรอก
แต่ถ้าตรวจสอบจริงๆ ก็ไม่ยากนะ ต้องไปตรวจสอบที่ต้นขั้วเลย
ถ้าไปดูแค่ในฐานข้อมูล มันจะถูกแก้หมด ก็จะจับผิดไม่ได้ “
ผมก็ถามไปอีกว่า
“แล้วถ้าเคสของป้านี่ มันต้องเป็นขบวนการใหญ่ระดับไหนอะครับ “
หัวหน้าผมก็หันมาขึ้นเสียงนิดๆ
“ เฮ้ย.. พี่ว่าอย่าไปยุ่งกับแกเลย เรื่องจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ เดี๋ยวจะพลอยบ้าไปกะแกหรอก “
ผมก็เลยหัวเราะ “ เปล่าพี่ ถามเฉยๆ ประดับความรู้น่ะ”
หัวหน้าผมก็ตอบว่า “ คงระดับนายอำเภอะ หรือไม่ก็ผู้ว่าอะไรแบบนี้อะมั่ง ที่น่าจะทำได้นะ“
หลังจากวันนั้น ผมก็เลยลองเอาทะเบียนสมรสป้าไปตรวจสอบดู
ปรากฏว่าของป้าเป็นทะเบียนสมรสซ้อนจริงๆ
แต่พอไปค้นหาต้นขั้วฉบับที่เป็นทะเบียนสมรสของจริง
ปรากฏว่า ต้นขั้วหายไป แล้วก็หายแบบเจาะจงหายเฉพาะของตัวจริงด้วยนะ
เอ.. แบบนี้มันชักจะ มีเงื่อนงำแล้วซิ
ผมรีบไปตรวจสอบว่าใครเป็นนายอำเภอในปีที่ป้าจดทะเบียน และนายทะเบียนสมัยนั้นเป็นใคร
จนกระทั้ง ต่อมาก็ทราบว่า นายทะเบียนคนนั้นย้ายไปทำงานอยู่อีกจังหวัดหนึ่ง และ
นายอำเภอก็ย้ายไปใช้ชีวิตเกษียณตอนบั่นปลาย ที่จังหวัดแห่งหนึ่ง
จริงๆเรื่องนี้ มันน่าจะจบเพียงแค่นี้ เพราะผมคงไม่ลงทุนลงแรง ตามไปถึงขนาดนั้น
แต่พอนึกถึงหน้าป้าคนนั้น มันก็ทำให้ผม ชั่งใจแล้วชั่งใจอีก ใจหนึ่งก็สงสารป้า
ใจหนึ่งก็ธุระไม่ใช่ เดี่ยวจะเสียงานเสียการเอา
สองสามอาทิตย์ผ่านไป แม้จะยุ่งวุนวายอยู่กับงานต่างๆหลายอย่าง
แต่ผมเองก็ยังคง ครุ่นคิด กังวลอยู่กับเรื่องของป้าไม่หาย
เอ.. หรือนี่เราจะพลอยบ้าไปกะป้าแล้วนะ แกก็ไม่ใช่ญาติเราสักหน่อย เราจะไปอะไรกะป้าแกนักหนา
แต่ที่สุด ผมก็ตัดสินใจเดินทางไปหาคนที่ผมสงสัย
พอไปถึงหน้าบ้าน ผมก็สอบถามคนที่ออกมาตอนรับ ว่า
"นี่ใช่บ้านอดีตนายอำเภอใช่ไหมครับ"
คนที่ออกมาตอนรับ เป็นผู้หญิงดูมีอายุมากแล้ว ยืนตอบอยู่ในรั้ว ว่า "ใช่ค่ะ"
เมื่อสอบถาม ก็ทราบว่า เขาคือภรรยาของนายอำเภอ และ นายอำเภอเองก็ได้เสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อนแล้ว
พอทราบข่าวร้าย มันก็แทบจะทำให้ผมไม่อยากจะถามอะไรต่ออีก
เสียงภรรยาอดีตนายอำเภอถามว่า "มีอะไรต้องให้ท่านช่วยหรือเปล่า ถึงได้มาหาท่าน"
ตอนนั้นเหมือนอยู่ในภวังค์ อยู่ๆก็ตอบไปว่า
" ผมมาทำคดีให้กับป้าคนหนึ่งอะครับ ก็เลยอยากจะมาสอบถามข้อมูลกับท่านนิดหน่อย
ถ้าท่านเสียแล้ว ก็ไม่เป็นไรครับ งั้นผมก็ขอตัวกลับก่อนแล้วกันครับ "
ภรรยานายอำเภอ ยิ้มให้แล้วก็เดินเข้าบ้านไป
ส่วนผมก็เดินจะไปขึ้นรถที่จอดอยู่
อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียง เสียงหนึ่ง เรียก "คุณ คุณ"
ผมหันกลับไปตามเสียงเรียก
เห็น ภรรยานายอำเภอ ยืนอยู่ตรงรั้วบ้าน กวักมือเรียก
ผมเดินเข้าไปหา ถามว่า "มีอะไรหรือครับ"
เสียงภรรยานายอำเภอตอบกลับมาว่า
" รู้สึกท่านจะสั่งเสียไว้ก่อนจะสิ้นอะค่ะ ว่าถ้ามีคนมาถามหาเอกสารบางอย่าง ก็ให้เอาให้เขา "
ผมรู้สึกมีความหวังขึ้นมาทันที "จริงหรือครับ"
"เดี๋ยวรออยู่ตรงนี้ก่อนนะค่ะ"
เธอหายไปสักพักใหญ่ แล้วก็เดินออกมา กับ ซองกระดาษสีน้ำตาล
เธอเอามายื่นให้ผมดู
ผมรับซองมาดู
ดูสภาพซองแล้ว ค่อนข้างเก่ามาก มีคราบน้ำ และฝุนจับ
ผมเปิดซอง เอาเอกสารออกมาดู
พอเห็นเอกสารมันก็ทำให้ผม แทบจะกระโดดโลดเต้นออกมา โดยไม่รู้ตัว
มันเป็นต้นขั้วที่หายไป
"ป้าผมเจอตัวจริงแล้วป้า"
ผมเผลออุทานออกมา เพราะสะกดความดีใจไว้ไม่อยู่
ผมรีบขอบคุณ ภรรยาท่านนายอำเภอ แล้วก็บอกว่า "ใช่แล้ว ใช่เอกสารชุดนี่แหละที่ผมตามหา"
พอได้เอกสารผมก็รีบขอตัวกลับ
ขึ้นรถได้ ก็รีบขับรถกลับบ้านทันที
ระหว่างทางผมยิ้มไม่หยุด เหมือนคนบ้า
นึกถึงแต่หน้าป้าคนนั้นตลอดทาง
ถ้าแกรู้ แกจะดึใจขนาดไหน
ผมอยากจะโทรหาแกเสียแต่ตอนนี้ด้วยซ้ำ
แต่เบอร์โทรศัพท์ ที่ป้าให้ไว้ มันดันอยู่ในเอกสารบันทึกคดี
ผมกลับมาถึงห้อง ก็รีบไปหาเบอร์โทรศัพท์ป้าทันที
พอโทรไปหาป้า
มีคนรับสาย
ผมถามว่า "ป้าหรือเปล่า นี่ผมเองนะ"
เสียงปลายสายเป็นเสียงชายแก่ ตอบกลับมาว่า
"หา.. อะไรนะ "
ผมดูเบอร์ที่โทรออก อีกที "เอ๊ะ ! โทรผิดหรือ "
"ป้า..อะครับ ใช่เบอร์ของป้า ไหม "
แล้วเสียงปลายสายก็ตอบมาว่า
"ป้าไหน นี่อาตมาเอง..."
ผมตกใจ นึกในใจ "เอ้ย หรือว่าโทรผิด "
เสียงปลายสายก็ถามมาอีกว่า " จะพูดกับใคร "
ผมก็ถามไปว่า "นี่ไม่ใช่เบอร์ ป้าสุจิตรา หรือครับ"
ปลายสายตอบมาว่า "จะคุยกับสุจิตราหรือ"
ผมก็ตอบไปว่าใช่
สักพัก ปลายสายก็ตอบมาว่า " คุณเป็นใคร มีธุระอะไร สุจิตราเขาเสียแล้วนะ "
พอทราบข่าวป้า ผมเองก็เหมือนซึมๆ ไปเหมือนกัน
อยู่ๆก็รู้สึกว่าป้าแกก็เหมือนญาติผู้ใหญ่เราคนหนึ่งขึ้นมา
วันต่อมาช่วงเย็นๆ ผมก็เลยไปหาหลวงพ่อ องค์ที่รับสายผมเมื่อวาน ที่วัด
ผมเจอหลวงพ่อ ผมก็บอกหลวงพ่อไปว่า
ผมเป็นทนายอาสา พอดีป้าแกมาให้ช่วยดูคดีของแกให้หน่อย
ผมก็หาทางดูคดีให้ป้าอยู่ครับ แต่น่าเสียดายป้าแกก็มาเสียซะก่อน
หลวงพ่อก็พูดว่า " เออ ดี อีนางคนนี้มันก็เที่ยวถามเขาไปทั่ว
คนนั้นคนนี่ เป็นทนายไหม อาตมาเองก็ได้ยินข่าวว่ามันไปนั่งเฝ้า
เขาอยู่โน้น ในศาลโน้น ก็ดี อนุโมทนาบุญกับโยมด้วย ที่ยังรับฟังคน
ไม่มีหัวนอนปลายตีน อย่างมัน "
ผมก็ถามหลวงพ่อว่า " แล้วป้าแกมาอยู่ที่นี่นานแล้วหรือครับ "
หลวงพ่อเล่าว่า
ป้าแก มาขออาศัยวัดอยู่นานแล้ว สร้างกระท่อมเล็กๆพอซุกหัวนอนอยู่แถวที่ท้ายวัดโน้น
ก็อาศัยข้าวก้นบาตรที่วัดนี่แหละ เลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ประทังชีวิตไปวันๆ
ป้าแก สติสตางค์ไม่ค่อยดี เหม่อๆ ซึมๆ แต่ก็พูดรู้เรื่องนะ ไม่รู้เรื่องบ้างแล้วแต่บางวัน
อืมแต่แกก็ดี ไม่เคยทำร้ายใคร ใจบุญสุนทาน
คุยกับหลวงพ่อสักพักผมก็ขออนุญาติไปดู ตรงที่ป้าอาศัยอยู่ ที่ท้ายวัด
พอไปถึง สภาพที่ผมเห็น เป็นกระต๋อบเล็กๆ มีสังกะสีเก่าๆมุงเป็นหลังคา
มีชานพักยื่นออกมาแล้วข้างในก็มีห้องเล็กๆ ห้องหนึ่ง
ผมเดินเข้าไปดูในห้อง สภาพ มีกองเศษผ้า ถุงพลาสติก รกรุงรังเต็มห้องไปหมด
มีที่นอนเก่าๆขาดๆ และหมอนก็เก่าดำๆ
เห็นสภาพแล้วผมนี่น้ำตาซึมเลย (นี่ป้าแกลำบากขนาดนี้เลยหรือนี่)
ผมหันไปถามหลวงพ่อว่า แล้วข้าวของพวกนี้ หลวงพ่อจะทำยังไงครับ
หลวงพ่อก็บอกว่า
"ถ้าไม่มีใครเอาไปใช้อะไร ก็คงต้องเอาไปเผาทิ้ง
ดูๆแล้ว ก็มีแต่ขยะทั้งนั้นแหละ "
ผมมองสำรวจห้องป้าไปมา สักพักก็ไปสะดุดตาเข้ากับ กระเป๋าหนังเก่าๆใบหนึ่ง
ผมเลยหันไปหาหลวงพ่อ
" ถ้างั้น ผมขออนุญาติหลวงพ่อเก็บข้าวของของป้าบางอย่างไว้นะครับ "
หลวงพ่อก็บอกว่า "ตามสบายเลยโยม "
ผมกลับมาบ้าน พร้อมข้าวของของป้าจำนวนหนึ่ง
พอถึงบ้าน ก็เอากระเป๋าหนังเก่าๆ ใบนั้นมาดู
เปิดดูข้างใน มีผ้าพันขอ ผ้าโผกหัว และก็มี เศษกระดาษเต็มไปหมด
มีถุงยา
ผมค่อยๆหยิบมาดูทีละชิ้น
มีสูตรทำอาหารที่ป้าแกตัดเก็บไว้ด้วย
มีสมุดเล่มเล็กๆอยู่สองสามเล่ม
ผมเปิดดู ข้างในส่วนใหญ่ จะเขียน ตัวเลข เยอะแยะไปหมด
บางทีก็เขียน คำด่า สาปแช่ง อะไรลงไป เยอะแยะเลย
ไม่ค่อยมีอะไรที่อ่านเป็นเรือ่งเป็นราวได้
แต่สักพัก ผมก็ไปสะดุดอยู่ที่กล่อง กล่องหนึ่ง
มันเป็นกล่องใส่ขนมแบบเป็นกล่องเหล็กสมัยก่อน
พอผมเปิดออกมาดู ปรากฏว่าข้างในมีรูปป้า สมัยเด็กๆ สมัยสาวๆ
เป็นรูปขาวดำ
เห็นรูปป้าสมัยยังสาว แล้วพลอยให้นึกถึง อั้ม พัชราภา
โครงหน้าคล้ายๆกันเลย สมัยนั้นป้าคงสวยน่าดู
นี่ป้า อายุขนาดนี้ ก็ยังมีเค้าโครงความสวยทิ้งไว้ให้เห็นอยู่เลย
ผมดูรูปป้าผ่านๆ สองสามรูป แล้วก็ไปสะดุดเข้ากับ กุญแจโบราณอันใหญ่
มันดูหน้าตาแบบกุญแจสมัยเก่า
เอ.. นี่มันอะไรหว่า
พอค้นดูในกล่องนั้นต่ออีก ก็เจอ สำเนาโฉนดที่ดินแปลงหนึ่ง
ถูกพับเก็บใส่ถุงพลาสติกใสอย่างดี
เฮ้ย กุญแจ นี่กับ สำเนาโฉนดที่ดินนี่ ทำไมมันเก็บไว้ด้วยกัน
แสดงว่า มันต้องมีอะไรเกี่ยวพันกันแน่ๆ
ผมคิดในใจ
วันต่อมาผมเลยเอาสำเนาโฉนดที่ดินนั้น ไปให้เพื่อนผม
ช่วยดูให้ว่ามันตั้งอยู่ที่ไหน
หลายวันต่อมาเพื่อนก็โทรมาบอกว่าที่ดินแปลงนั้น อยู่ที่ไหน
ผมตัดสินใจเดินทางไป ดูที่ดินดังกล่าวตามที่เพื่อนบอก
พอไปถึง มันก็เป็นพื้นที่ป่าซะส่วนใหญ่ จนหาทางเข้าไม่เจอ
ผมเลยไปถามคนแถวนั้นว่ารู้จักผู้ใหญ่บ้านไหม
ผมไปเจอผู้ใหญ่บ้าน ผมก็แนะนำตัวเองว่า ผมเป็นคนจะมาหาซื้อที่
ผู้ใหญ่บ้านมองหน้าผม แล้วก็ถามว่า "สนใจระแวกไหนหละ"
ผมก็เอาสำเนาโฉนดนั้นมากางให้ผู้ใหญ่บ้านดู
แถวๆนี่อะครับ
ผู้ใหญ่บ้านเอาไปดูสักพัก แกก็โทรถามใครไม่รู้ อยู่ครู่หนึ่ง
เสร็จแล้วก็หันมาบอกผมว่า
"แปลงนี้เป็นของคุณนายคนหนึ่ง ถ้าสนใจก็ติดต่อผ่านผมก็ได้"
ผู้ใหญ่บ้านพาไปดูที่ดิน โดยแกขี่มอไซด์นำทาง พาผมขับรถเข้าไปในป่า
แกให้เหตุผลว่า เวลาดูเสร็จแล้วก็จะได้แยกย้ายกันกลับได้เลย ไม่ต้อง
เสียเวลามาส่งแกอีก
ขับรถเข้าไปลึกพอสมควร เป็นทางที่มีหญ้าขึ้นรก แต่ก็พอวิ่งไปได้
จนสักพักใหญ่ ก็มาเจอบ้านหลังหนึ่งในสวน
สภาพบริเวณที่ตรงนั้นคล้ายๆ บ้านพักตากอากาศ มีหนองน้ำเล็ก
มีสนามหญ้า เป็นลานใหญ่ แต่หญ้าขึ้นสูงพอสมควร เพราะคงไม่มีใครมาตัดมันนานแล้ว
มีต้นไม้ใหญ่ดูร่มรื่น ผมจอดรถตรงรั้วด้านหน้าแล้วก็ เดินเข้าไปกับผู้ใหญ่บ้าน
ตรงกลางลานใหญ่เป็นบ้านไม้สองชั้น ด้านหลังมองเห็นภูเขา บรรยากาศ ดูดีมาก
พอเดินเข้าไปใกล้ๆ ก็เจอ หน้าบ้านถูกล๊อคแน่นหนาด้วยโซ่
แต่กระจกเหนือหน้าต่างหลายๆบาน แตกเป็นรู
หน้าต่างบางจุด ก็มีไม้หักเป็นรูเล็กรูน้อยบ้าง
ช่วงที่ผมกำลัง เพลินกับบรรยากาศอยู่นั้น
ผู้ใหญ่บ้านก็พูดขึ้นว่า
อาจจะดูรกหน่อยนะครับ เจ้าของเขาทิ้งไว้ ไม่ได้มาดูนานแล้ว
ผมยืนมองไปรอบๆ ช่วงที่กำลังยืนหันหลังให้บ้าน คุยกับผู้ใหญ่บ้านอยู่
ผมก็ถามว่า "แล้วเราเข้าไปดูในบ้านได้ไหมครับ"
อยู่ๆ ผู้ใหญ่บ้านก็ มองขึ้นไปที่ชั้นบนของบ้าน ที่อยู่ด้านหลังของผม
แล้วก็ทำท่าตกใจ ตาลุกโพลง สะดุ้งทั้งตัว
ผู้ใหญ่บ้านก็พูดว่า "ผะ ผะ ผมขอตัวก่อนนะครับ ฝะ ฝะ ฝนจะตกแล้ว "
พูดไม่ทันขาดคำ ลมเย็นและไอฝนก็พัดมาปะทะเข้ากับตัวผมแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
เศษไม้ใบหญ้าปลิวว่อนไปทั่วบริเวณนั้น
ผมหันหลังกลับไปดูที่บ้าน เห็นหน้าต่างชั้นสอง เปิด ปิด
ส่งเสียงดังปึงปัง ไปมาเพราะแรงลม
หันกลับมาอีกที ก็เห็นผู้ใหญ่บ้าน
วิ่งไปตรงรถมอเตอร์ไซด์ของแกที่จอดอยู่บริเวณทางเข้า
แล้วก็รีบสตาร์ทรถ ขี่ออกไป
ไม่นานฝนก็ตกลงมาห่าใหญ่
ผมรีบวิ่งไปหลบอยู่ใต้ชายคาตรงหลังบ้าน ติดกับต้นไม้ใหญ่
ฝนเริ่มตกหนักจนสาดเข้ามาในชายคา จนตัวผมก็เริ่มเปียก
ผมมองไปเห็นประตูหลังบ้าน มันเป็นไม้เก่าแล้ว
มีช่องแตกหักเป็นรูยาวประมาณสักศอกน่าจะได้
เหมือนมีใครมางัดให้แตก
ผมเลยตัดสินใจลองดึงประตูบานนั้นดู มันก็เผยอ เหมือนจะเปิดได้
แต่ก็เหมือนติดกลอนประตูจากข้างในตรงกลางประตู
ผมก็เลยเอาเท้าถีบตรงบริเวณใกล้ๆช่องประตูที่หัก
จนไม้ประตูหักแตกออก เปิดเป็นช่อง ขนาดพอตัวลอดไปได้
ผมก็เลยลอดเข้าไปข้างใน
พอเข้าไปข้างในได้ มันดูมืดๆ สลัวๆ ผมมองไปรอบๆ
จุดที่ผมเข้าไปน่าจะเป็นพื้นที่ครัวหลังบ้าน
ผมตรงเข้าไปในบ้าน เดินไปไม่กี่ก้าวก็เจอห้องโถงใหญ่ มีข้าวของตกเกลื่อนห้อง
มีถุงขยะ เศษกระดาษ เศษไม้ ตกอยู่เต็มพื้น
หน้าต่างมีเหล็กดัด ด้านบนหน้าต่างเป็นช่องกระจก ทำให้พอมีแสงลอดเข้ามาได้
แต่ข้างในตอนนั้น มืดครึ้ม เพราะข้างนอกฝนตกหนัก
ผมพยายามมองไปสำรวจรอบๆ มันก็ทำให้ผมขนลุกซู่ขึ้นมาทันที
เพราะตามกำแพงมีคนมาขีดๆเขียนๆข้อความเต็มไปหมด
แล้วมีข้อความหนึ่งเขียนว่า ที่นี่ผีดุ
ผมค่อยๆเดินไปหยุดอยู่กลางโถงใหญ่ของบ้าน
มีตู้โชว์โบราณ แต่กระจกแตกเสียหาย ข้าวของข้างใน
มีจานชามโบราณแตกอยู่สองสามใบ
นอนนั้นก็ ว่างเปล่า สงสัยจะโดนขโมยไปหมด
ตรงโต๊ะเก้าอี้รับแขก ก็เป็นเบาะผ้าที่ฉีกขาด มีคาบน้ำ กับฝุ่นเกาะเต็ม
ดูแล้วไม่น่าจะมีใครมาที่นี่นานพอสมควร
สักพัก ลมข้างนอกเริ่มสงบ เสียงฝนเริ่มซาลง
ผมยืนมองไปรอบๆ บ้าน มันเริ่มวังเวงมาก
เพราะทุกอย่างเริ่มเงียบ ผมก็เริ่มเสียวสันหลัง ขนลุกจนแทบไม่กล้าขยับไปไหน
ผมมองไปที่บันไดทางขึ้นชั้นสอง
ตรงชานพักบันไดมีผนังเป็นกระจกใส
แสงลอดเข้ามาได้ มีเหล็กดัดยาวสูงขึ้นไปตามช่องกระจก จนถึงชั้น 2
ผมตัดสินใจเดินขึ้นไปที่ชั้นสอง
ข้างบนมีโถงโล่งๆ ข้าวของตกเกลือนที่พื้น
มีตู้โชว์เก่าๆพุๆ มีเก้าอี้หัก ล้มอยู่สองตัว
หน้าต่าง ก็เปิดอยู่ มี รอยฝนสาดเข้ามาจนน้ำนองพื้น หยดลงไปที่ข้างล่าง
ส่วนตามผนัง มีหยากไย่เต็มไปหมด มีมุ้งฝุนจับจนดำกองอยู่ที่พื้น
ตรงข้ามโถงนั้น มีห้องห้องหนึ่ง ซึ่งประตูเปิดอ้าอยู่
ถัดตรงโถงนี่ไปก็เป็นประตูระเบียงหน้าบ้าน
ส่วนอีกด้าน ถ้าขึ้นมาจากบันใดแล้วหยุดอยู่ตรงบันใดขั้นสุดท้าย
ด้านขวามือ จะเป็นทางเดิน ยาวตรงไป อีกฝั่งของบ้าน แล้วมีห้อง ห้องหนึ่งตรงปลายทางเดิน
ผมตัดสินใจเดินไปที่ห้องที่ประตูเปิดอยู่
พอเหยียบเท้าไปที่พื้นกระดานไม้ ก้าวแรก มันก็ดัง เอี๊ยด...... จนฟังดูน่ากลัว
ทำให้ผมแทบจะย่องเดินให้เบาที่สุดเท่าที่ทจะทำได้ เพื่อไม่ให้มีเสียงดัง
จนเข้าไปถึงห้องนั่น
ข้างใน มีเตียงไม้เก่าๆ ไม่มีฟูกปู เห็นแต่ไม้รองฟูกมีฝุ่นจับเต็มไปหมด
รอบๆข้างมีโต๊ะเครื่องแป้งผุๆพังๆ ล้มกองอยู่กับพื้น
กระจกแตกเกลือนกระจายอยู่แถวๆตรงนั้น
หมอนกับผ้าม่าน กองเกลื่อนอยู่กับพื้นห้อง
พื้นห้องเป็นพื้นไม้ฝุ่นจับหน้าเตอะ
มีตู้หนังสือเก่าๆ วางอยู่อีกมุมหนึ่ง ข้างในมีหนังสือเก่าๆฝุ่นจับเขอะ อยู่สองสามเล่ม
พอผมเดินเข้าไปใกล้ๆตู้นั้น จะเปิดลิ้นชักตู้ดู อยู่ๆ ก็มีเสียงดังกุกกักๆ ขึ้น
ผม ชะงัก รีบถอยหลังออกมาอย่างเร็ว
แล้วใจผมก็หล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม ใจหายวาบ มือไม้สั้น เข่าอ่อน ระทวย
เมื่อมองไปที่ข้างๆตู้ เจอตุ๊กแกสีดำ ตัวใหญ่วิ่งออกมาจากตรงผนังหลังตู้ สามสี่ตัว
ตัวอื่นๆวิ่งขึ้นไปบนเพดาน มีตัวหนึ่ง วิ่งออกมาแล้วก็หยุดอยู่ข้างๆตู้
มองมาที่ผม ดวงตามันโตใหญ่ สีเหลืองเข้ม ตัวมันดำทะมึน อ้างปากขู่ผมฟ่อๆ
เล่นเอาผมขนลุกขนพอง ทำอะไรไม่ถูก
ต้องค่อยๆเดินถอยหลังออกมาจากห้องนั้น
ผมเดินออกมาจากห้องนอนนั้น
แล้วเดินไปดูตรง ด้านหลัง เจอห้องห้องหนึ่ง ที่ประตู มีโซ่คล้องกุญแจอยู่
พอผมมองดูตัวกุญแจแล้ว ก็ทำให้นึกถึง กุญแจที่ผมเจอในกล่องของป้าขึ้นมาทันที
หรือว่ากุญแจดอกนั้น จะใช้ไขเข้าไปในห้องนี้ เสียดายดันลืมเอามาด้วย
ดูเหมือนห้องนี้ จะไม่มีใครมายุ่งเลย
ส่งสัยจะเป็นห้องเก็บของ หรือใช้เก็บของมีค่าอะไรสักอย่าง
ผมเลยลองจับโซ่เขย่าแล้วดึงกุญแจดู ว่ามันจะหลุดไหม
ปรากกว่ามันก็ยังแข็งแรงไม่ผุกกร่อน
ผมลองใช้เท้าถีบประตูไปอย่างแรง ดังปั้ง !
จนตัวผมก็กระเด็นมาติดกับผนังฝั่งตรงข้ามประตู
แล้วสักพักเสียงประตูก็ดัง ตึง! ขึ้น เหมือนคนถีบประตูออกมาจากข้างใน
ผมตกใจร้องขึ้น “ เฮ้ย ใครวะ”
ผมนี่ ขนลุกซู่เลย ใจเต้นแรง
มองซ้ายมองขวา มอง ไปรอบๆ แล้วก็ร้องถาม
“นั่นใคร ใครอยู่ข้างใน”
ทุกอย่างเงียบ ไม่มีอะไรตอบกลับมา
ผมค่อยๆเดินไปตรงประตูนั้นอีกครั้ง แล้วจับโซ่เขย่าๆ อย่างแรง
พอผมหยุดเขย่าเท่านั้นแหละ ประตูมันก็เขย่าเอง กึง กึง กึงกึง
เหมือนมีคนเขย่าจากข้างใน ออกมา
“เฮ้ย ...!” ผมอุทานออกมาโดยไม่รู้ตัว
ขนหัวลุกชูชัน ผวาสุดขีด ไม่ฟังอะไรทั้งนั้น พอหันข้าง ก้าวเท้าได้
ก็รีบวิ่งลงไปชั้นล่าง อย่างเร็ว
พอก้าวเท้าลงไปเหยีบบันใดขั้นที่ 3 เท่านั้นแหละ
ผมก็ได้ยินเสียงดัง แกร๊ก !
แล้วตัวผมก็ล่วงตกลงมาจากชั้นสอง หลังกระแทรกพื้น ดัง อัก !
ผม งง ว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งจุก ทั้งเจ็บไปตามแผ่นหลัง และต้นคอ
นึกอะไรไม่ออกได้แต่ บิดตัวไปมาด้วยความเจ็บปวด
สักพักพอความจุกความเจ็บเริ่มคลายลง ผมค่อยๆมองไปรอบๆ
เพื่อจะพยุงร่างให้ลุกขึ้น
ผมมองไปตรงปลายเท้าของผม
ผมก็ดันเห็นโพรงที่เกิดจากไม้ที่ผุจนหักเป็นช่องโหว่ อยู่บริเวณใต้ชานพักบันได
ตอนนั้น ทั้งกลัว ทั้งเจ็บ ทั้งขนหัวลุก
เอาไงดี แต่ก็รู้สึกอยากรู้อยากเห็น ว่ามันคือช่องอะไร
ผมลังเล ใจหนึ่งก็อยากรีบวิ่งออกไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด
ใจหนึ่งก็อยากเข้าไปดูว่ามันมีอะไรอยู่ข้างใน
ผมค่อยๆลุกขึ้นคุกเข่า แล้วคลานไปดูที่โพรงนั้นช้าๆ
ช่องโหว่นั้นขนาดน่าจะใหญ่พอที่ผมจะลอดเข้าไปได้
ดูผ่านช่องนั้นไปเหมือนมันไปทะลุกับอีกห้องห้องหนึ่ง
ผมค่อยๆ ชะโงกหน้าเข้าไปดูในช่องนั้น
ผนังไม้ที่แตกทำให้ยังพอมีแสงยามเย็น
เล็ดรอดเข้ามาในห้องนั้นได้บ้างจนดูไม่มืดจนเกินไป
สภาพที่ผมเห็น เป็นห้องเล็กๆ มีแผ่นไม้ เหมือนกับที่ใช้ทำพื้นบ้าน
วางตั้งเรียงกันเต็มไปหมด จนแทบจะไม่มีที่ยืน
มีฝุ่นมีหยักไย่เกาะเต็ม
มีรถจักรยานเก่าๆอยู่ชิดผนังแล้วก็มีไม้วางซ้อนอยู่ด้านหน้าหลายแผ่น
ผมมองสำรวจต่อไปอีก นี่น่าจะเป็นห้องเก็บของ
เพราะมีอุปกรณ์อะไรเยอะแยะไปหมด
ผมค่อยๆคลานลอดช่องไม้ เข้าไปในห้องนั้น
ลุกขึ้นยืน ค่อยๆผลักแผ่นไม้ขยับให้พ้นทาง
จนผมมองเห็นประตูห้อง ผมเดินไปที่ประตูห้อง
แล้วก็พยายามผลักออก แต่รู้สึกว่าข้างนอกจะใส่กุญแจล๊อคไว้
ผมหันหลังกลับไปมองสำรวจห้องอีกครั้ง
ผมเห็นหีบขนาดใหญ่ วางอยู่กับพื้น แต่มันอยู่ด้านในมากๆ
ต้องยกแผ่นไม้และข้าวของในห้องนี้ออกไปพอสมควร ถึงจะสามารถเดินเข้าไปถึงหีบนั้น
ผมหันมองดูรอบๆ ก็ไปสะดุดเข้ากับชะแลงอันหนึ่ง วางอยู่ข้างๆผนัง
มีแผ่นไม้ที่วางชันอยู่กับผนังสี่ห้าแผ่น บังมันอยู่
ผมก็เลยค่อยๆนั่งลง แล้วสอดมือลงไปในช่องว่าง
ที่พอจะเอื่อมมือถึงชะแลง ได้
แต่มันก็เอื่อมไม่ถึงเพราะ ไม้มันบังอยู่หลายแผ่น
ผมลุกขึ้น มาขยับไม้ออกทีละแผ่น จะกระทั้งเอื่อมไปหยิบชะแลงได้
ผมถือชะแลงคลานกลับออกมาจากช่องเดิมที่ผมเข้าไป
ในใจก็นึกถึงแต่ห้องที่ชั้นสองว่ามันมีอะไรอยู่ข้างในกันแน่
พอมาถึงชั้นสอง ผมก็มุ่งตรงไปที่ประตูห้องที่ล๊อคโซ่
ผมใช้ชะแลงงัดสายยูที่ใช้คล้องโซ่ออก กระแทกไปหลายที่
จนชะแลงทะลุเข้าไปในเนื้อไม้ แล้วผมก็งัดสายยูนั้นออกจนได้
ผมดึงโซ่กับกุญแจออก รีบผลักประตูเข้าไป
สิ่งที่ผมเห็น ในห้องนั้น
เป็นห้องที่อยู่ในสภาพดีมาก มีเตียง มีตู้ ข้าวของเครื่องใช้ ที่อยู่ในสภาพปกติ
แต่มีฝุ่นจับหนา ดูเหมือนห้องนี้ จะไม่มีพวกมือบอนหรือใครเข้ามาทำลายข้าวของเลย
หน้าต่างเป็นหน้าต่างไม้ทึบ ไม่มีเหล็กดัด
ผมเดินไปเปิดหน้าต่าง เพื่อให้แสงเข้ามา
มองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นภูเขากับแสงยามเย็นที่ดูสวยงามมาก
ผมเดินสำรวจดูในห้องช้าๆ มีโต๊ะที่ใช้เขียนหนังสือ
มีตู้เก็บของและตู้เสื้อผ้าแบบทรงโบราณ
ผมเดินไปแถวเตียงนอน มีโต๊ะหัวเตียงเล็กๆ วางอยู่ข้างๆ
มีตระเกียงวางอยู่บนโต๊ะนั้น
พอผมเดินไปใกล้ๆเท้าผมก็ไปสะดุดเข้ากับอะไรบางสิ่ง
พอก้มมองดู ก็เป็นกรอบรูปตกอยู่
ผมกำลังจะก้มลงไปหยิบขึ้นมา
ตอนนั้นเองก็หันไปเห็นสมุดเล่มหนึ่งเข้าพอดี
อยู่ใต้เตียง ใกล้ๆบริเวณที่กรอบรูปตกอยู่
เลยหยิบมันขึ้นมาด้วย พร้อมกับกรอบรูป
พอพลิกกรอบรูปดู ก็เห็นเป็นรูปเด็กผู้ชายสองคนกอดคอกันอยู่
ผมวางมันไว้ที่โต๊ะหัวเตียง นั่งลงที่เตียง แล้วก็หันมาดูสมุดเล่มที่หยิบมา
เปิดดูข้างใน เป็นเหมือนบันทึกของใครสักคน
อ่านไปช่วงแรกๆ ผมก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่
เพราะมันเป็นการเขียนถึงว่าวันนี้ทำอะไรบ้าง
ก็เหมือนคนทั่วไปที่ใช่ชีวิตตามปกติ
ผมเปิดดูเลยไปกว่าครึ่งเล่ม มันก็เห็นเป็นหน้าที่ว่างเปล่า
ผมเลยเปิดย้อนกลับไปดูหน้าล่าสุดที่มีการเขียนบันทึก
ก็เห็นประโยค ประโยคหนึ่ง
เขียนด้วยตัวหนังสือที่ตัวใหญ่ หนา ว่า
"หลับเถอะนะพี่ชาย ผมจะหมั่นมาเยี่ยมบ่อยๆ"
พอผมเห็นหน้านั้น
ผมก็รีบพยายามอ่านข้อความย้อนเหลังเพื่อจับใจความให้ได้มากกว่านี้
ผมเปิดย้อนกลับไปอ่านสองสามแผ่นก่อนหน้าแผ่นนี้
ก็พอเริ่มจะเดาได้ว่า บันทึกเล่มนี้เป็นของใคร
เพราะเป็นการพรรณนา ถึงพี่ชายของเขาเอง
เช่น บางช่วงที่บอกว่า พี่ได้อะไรมากกว่าผมตลอด
ตอนเด็กๆเวลาพ่อซื้อของมาให้พวกเรา
พี่ก็มักจะได้แต่ของดีๆ
แต่ผมก็ไม่เคยคิดจะเคืองโกรธพี่เลย ผมรักพี่เสมอ
แต่ทำไม ทั้งๆที่พี่ก็ได้อะไรมากกว่าผมอยู่แล้ว
ทำไมพี่ต้องมาแย่งของของผมอีก
ผมเปิดนย้อนหลังอ่านไปเรื่อยๆจนถึงตอน หนึ่ง
" เราทำอะไรลงไป วันนี้ผมทำบาปอย่างใหญ่หลวงที่สุด
จนผมแทบไม่อยากจะให้อภัยตัวเอง
ผมอยากหายไปจากที่ตรงนี้ ผมไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว
พี่อภัยให้ผมด้วย ผมไม่ได้ตั้งใจ "
ผมรีบพลิกไปดูหน้าต่อไป ปรากฏว่า หน้านั้นถูกฉีกหายไป
เฮ้ย..!
"ที่พี่ชายสามีป้าหายไป ไม่ใช่เพราะเมียน้อยสั่งอุ้มฆ่า
แต่เป็นสามีป้าเองต่างหากที่ฆ่าพี่ชาย ….! "
แล้วเสียงดัง ปัง ! ก็ดังสนั่นหวั่นไหวขึ้น
ผมสะดุ้งตัวลอย รีบหันไปดูที่มาของเสียง
หน้าต่างอยู่ๆมันก็ปิดเอง
อาจจะเพราะลมพัดกระมั้ง
พอหน้าต่างปิดก็ทำให้ในห้องมืดสลัวสลัว
จนทำให้บรรยากาศในห้องมันดูวังเวง อย่างบอกไม่ถูก
ผมรีบเดินไป เปิดหน้าต่างให้พอมีแสงจากภายนอกเข้ามาบ้าง
พอเปิดหน้าต่างได้ อยู่ๆผมก็ได้ยินเสียงคนไอ
อุ๊…. อุ๊.. อุ๊ ..
ผมตกใจอีก รีบหันหลังกลับมาดูในห้อง มองไปรอบห้อง
“ใครไอวะ”
เสียวสันหลังวาบขึ้นมาทันที
ตอนนั้น เริ่มจะพลบค่ำมากแล้ว แสงภายนอกก็เริ่มจะริบหรี่ลงทุกที
จนทำให้ผมไม่กล้าที่จะกลับลงไป ตามทางเดิมอีก
ผมมองออกไปนอกหน้าต่าง มองลงไปที่พื้นข้างล่าง มันเป็น หญ้าขึ้นสูงพอสมควร
ผมเลยตัดสินใจ ปีนขึ้นไปนั่งยองยองบนขอบหน้าต่าง
มือหนึ่งก็คว้าขอบหน้าต่าง มือหนึ่งก็ถือสมุดบันทึกเล่มนั้นไว้
ชั่งใจอยู่สักพัก
“เอาวะ เป็นไงเป็นกัน “
แล้วก็กระโดดลงมาจากชั้นสอง
เท้าผมกระแทรกพื้น ตัวผมก็ล้มทับไปบนต้นหญ้า
นอนร้องโอ๊ยๆ อยู่ด้วยความเจ็บปวด
สักพักผมค่อยๆ พยุงตัวเองลุกขึ้น
รู้สึกส้นเท้าผมจะมีปัญหา เพราะเวลาเดินจะเจ็บส้นเท้าซ้ายมาก
ผมค่อยๆเดินเขย่งเท้า ออกมาจากตรงป่าหญ้าหนานั้นช้าๆ
ผมยืนมองขึ้นไปที่หน้าต่างที่ผมโดดลงมา
อยู่ๆหน้าต่างมันก็ค่อยๆ สวิงปิดเข้าไปช้าๆ
แล้วหยุดอยู่แบบหน้าต่างที่ปิดไม่สนิท
ผมยืนดูอยู่สักพัก
หน้าต่างมันก็ปิดผรึบเข้าไปอย่างแรง เหมือนมีคนดึงจากข้างใน
เฮ้ย..
ทั้งขนแขน ขนขาผมลุกไปทั้งตัว
ผมรีบเดินกึ่งกระโดด ไปที่ผนังบ้าน
เอามือเท้าไปตามผนังตัวบ้าน ประครองตัวเองรีบเดินไปตามตัวบ้านเรื่อยๆ
ในใจก็คิด ว่า
" นี่มันวันเชี... อะไรวะ หลอนอิบหาย อยู่ดีไม่ว่าดี หาเรื่องใส่ตัวแท้ๆ"
จนไปหยุดอยู่ตรงหน้าบ้าน มองรถตัวเองจอดอยู่ไกลๆ
ผมรีบเดินกระโผลกกระเผลกไปที่รถอย่างเร็วที่สุด
จนมาถึงครึ่งทางระหว่างบ้านหลังนั้น กับจุดที่รถผมจอดอยู่
ผมหันกลับไปมองที่บ้าน หลังนั้นอีกครั้ง
ก็ต้องผวาขึ้นมาอีก เพราะประตูระเบียงชั้นสองมันเปิดอ้าอยู่
แต่ผมจำได้ว่า ตอนที่ขึ้นไปที่ชั้นสอง ประตูระเบียงชั้นสองมันปิดอยู่
“แล้วใครไปเปิดวะ“
ไม่ต้องสงสัยมาก ผมไม่คิดอะไรอีกแล้ว
รีบจ้ำอ้าว จ้ำอ้าว ไปที่รถ ไม่หันกลับไปมองบ้านหลังนั้นอีก
พอถึงรถ ก็รีบสตาร์ทรถ แล้วขับออกไปจากบริเวณนั้นทันที
ผมกลับมาถึงบ้าน ก็ดึกมากแล้ว
ผมมองไปที่ข้าวของของป้า วางระเกะระกะอยู่บนโต๊ะ
ผมทิ้งสมุดบันทึกของสามีป้า ไว้ด้วยกันกับข้าวของของป้า
ผมหยิบซองเอกสารที่ได้จากภรรยาอดีตนายอำเภอมาดู
เอาเอกสารออกมาจากซอง เห็น ทะเบียนสมรสเป็นชื่อของป้ากับสามีป้า ก็ถอนหายใจ
"เฮ้อ… ป้า พอผมเจอความจริง แล้ว ป้าก็ดันไม่ได้อยู่รับรู้ น่าเสียดายจริงๆ"
งั้นป้าก็เข้าใจผิดมาตลอด ว่าเมียน้อยเป็นฝ่ายอุ้มพี่ชายของสามีป้าไป
แต่ปัญหาคือว่า แล้วสามีป้าเอาศพพี่ชายไปไว้ไหน แล้วทำไมน้องชายถึงต้องฆ่าพี่ด้วย มันเรื่องอะไรกัน
ผมเอาสมุดบันทึกของสามีป้ามาอ่านดูละเอียดอีกครั้ง เผื่อจะเจอเบาะแสอะไรบ้าง
แต่นั่งอ่านอยู่ตั้งนานก็ยังหาประเด็นอะไรไม่เจอ
จนกระทั้งผมเปิดไปเกือบๆหน้าสุดท้าย ก็เจอแผ่นกระดาษเล็กๆพับครึ่ง อยู่
ผมเลยเอามากางดู เป็นรายมือผู้หญิง
เนื้อหาประมาณ ผู้หญิงเขียนจีบฝ่ายชาย
ซึ่งผมคาดว่าน่าจะเป็นจดหมายของภรรยาน้อยเขียนมาถึงสามีป้า
เพราะมีบางข้อความบอกว่า ภรรยาแก่ๆของพี่ไม่ปล่อยให้พี่มาหาน้องหรือคะ
แต่พออ่านไปจนจบแล้ว ผมก็มาสะดุดอยู่กับ ชื่อที่ลงท้ายจดหมายว่า สุจิตรา
หา..! ที่แท้ป้า ก็คือเมียน้อย หรือนี่
ผม อึ้งกับสิ่งที่อ่าน อยู่ครู่หนึ่ง อ้าวแล้วตกลง ทะเบียนสมรสที่เราเจอ มันไม่ใช่ของจริงหรือ
ผมรีบหยิบมันมาดูอีกครั้ง ได้แต่สงสัยว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ป้าเล่นตลกอะไรของป้านี่
ตื่นเช้ามา ผมรู้สึกปวดหัวมาก ที่เท้าซ้ายบวมเป่ง แล้วก็เจ็บที่ต้นคอ
พอไปหาหมอที่โรงพยาบาล หมอก็ให้นอนพักฝื้นที่โรงพยาบาล
พอหัวหน้าผมทราบเรื่อง ก็เลยมาเยี่ยมผม
หัวหน้าผมถามว่า "ไปทำอะไรมาถึงได้เข้าเฝือกที่ข้อเท้า"
ผมก็บอกว่า ผมตกบันไดที่บ้าน
แต่หมอบอกว่าแค่ข้อเท้าพลิกแล้วอักเสบเท่านั้นไม่นานก็หาย
ผมพูดไปพลางไอไปพลาง
พอหัวหน้าเห็นว่าผมไม่เป็นอะไรมาก แกก็กลับไป
กลางดึกคืนนั้น ผมสะดุงตื่น เพราะมันหายใจไม่ออก
พอลืมตาขึ้นมา ในห้องมืดมีแสงสลัวสลัว
รู้สึกปลายเท้าเย็นยะเยือก เหมือนเราเจอไอเย็นตอนที่เปิดตู้เย็น
ผมมองไปที่ปลายเตียง เห็นเงาดำเป็นร่างคน ปรากฏอยู่
มองไม่ออกว่าชายหรือหญิง
ผมพยายามจะเอื้อมมือไปกดสวิทช์ เรียกพยาบาล
แต่ผมก็ขยับตัวไม่ได้
มองไปที่ปลายเตียงก็ยังเจอเงาดำนั้นยืนอยู่
ผมก็เลยถามว่า “ ใคร ”
แต่เหมือนปากผมมันจะไม่ขยับ มีแต่เสียงออกมา แบบเป็นเสียง อ้อแอ้ อ้อแอ้
ผมก็เลยตั้งสติ ลองขยับตัวอีกที แต่ก็ขยับตัวไม่ได้
แล้วผมก็คิดขึ้นมาได้ เลยลองสวดแผ่เมตตาไปให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย
สุดท้าย ร่างกายผมก็คลายลง เริ่มขยับตัวได้
แล้วเงาดำนั้นก็หายไป
เช้ามาอาการของผมเริ่มไม่ค่อยดี เพราะเริ่มไอหนักมากขึ้น
ผมโทรไปหา หัวหน้า
“หัวหน้า หัวหน้า ช่วยผมด้วย“
หัวหน้าผมก็ถามว่า “ เป็นอะไร ให้ช่วยอะไร “
ผมก็บอกไปว่า “เมื่อคืนผมเจอผี ”
แล้วหัวหน้าผม แกก็หัวเราะออกมา
ผมก็รีบบอกแกต่อ “โถ่ พี่ ผมไม่ได้ตลกนะ ผมพูดจริงๆ ผีที่บ้านหลังนั้น คงตามผมมา”
หัวหน้าได้ฟังที่ผมพูด แกก็ อึ้งไปครู่หนึ่ง ถามผมมาว่า
“ เดี๋ยวๆ ใจเย็นๆ ผีที่ไหน บ้านไหน “
แล้วผมก็เล่าทุกอย่างที่ผมไปเจอมาให้หัวหน้าฟัง
พอแกได้ฟัง แกก็ด่าผมใหญ่เลยว่า
“บอกแล้วว่าอย่าไปยุ่ง อย่าไปยุ่ง เป็นไงหละได้เรื่องเลยไหม “
ผมก็ไม่รู้จะพูดยังไง ก็ได้แต่พูดว่า “ พี่ช่วยผมด้วยนะ ช่วยผมด้วย”
แล้วหัวหน้าก็รับปากว่าจะช่วย "แต่ไม่รู้ว่าจะช่วยได้แค่ไหนนะ"
เย็นวันนั้น หัวหน้าก็มาหาผม พร้อมกับ อาจารย์ท่านหนึ่ง
ท่านอาจารย์มาถามวันเดือนปีเกิดผม แล้วก็เอาไปผูกดวงอยู่ครู่หนึ่ง
ท่านก็บอกว่า “ดวงผมตอนนี้ พระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก
จิตตกอย่างแรง อาจพบเห็นดวงวิญญาณได้ง่าย “
แล้วท่านอาจารย์นั่งทางในอยู่พักหนึ่งก็พูดขึ้นว่า
“เขาตามเรามานะ”
ผมตกใจ (เฮ้ย อาจารย์รู้ได้ยังไง) นึกใจ
ท่านอาจารย์บอกว่า
“เขามาขอให้เราช่วย เป็นวิญญาณผู้ชาย “
ผมรีบถามอาจารย์ว่า “แล้วเขาอยากให้ช่วยอะไร ถามเขาได้ไหมครับ อาจารย์”
อาจารย์ก็หันมาบอกว่า “เขาพยายามสื่อสาร แต่พลังอ่อนมาก คงบอกอะไรได้ไม่มากนัก
ว่าแต่ว่าไปเจอวิญญาณนั่นที่ไหนมาหละ”
ผมก็เลยหันไปมองที่หัวหน้า
หัวหน้าผมก็พูดขึ้นว่า “เล่าไปเถอะ ปิดบังอาจารย์แกไม่ได้หรอก”
ผมก็เลยเล่าทุกอย่างให้อาจารย์ฟัง
ท่านก็เลยแนะนำว่า “ยังไงก็ต้องกลับไป หาศพเขาให้เจอ
เพื่อมาทำพิธีกรรมให้เขา ให้เขาได้ไปผุดไปเกิด
ไม่อย่างนั้น วิญญาณนี้ก็จะตามติดตัวคุณอยู่อย่างนี้
แล้วคุณก็จะเจ็บป่วยแบบนี้ ไม่หาย ไม่ทราบสาเหตุ”
งานเข้าแล้วไม่หละ
นึกถึงบ้านหลังนั้นแล้วผมก็ยังหลอนไม่หายเลย
แล้วนี่จะให้กลับไปอีก ขอทำใจแป๊บได้ไหม
หลังจากหัวหน้าผมกับท่านอาจารย์กลับไปแล้ว
ผมก็มานั่งคิดว่า ศพพี่ชายของสามีป้าจะถูกเก็บไว้ที่ไหน
หรือจะถูกฝังไว้ที่หลังบ้าน หรือจะถูกโบกปูนเก็บไว้ในบ้าน
หรือจะอยู่ในห้องน้ำ เพราะในห้องน้ำเรายังไม่ได้เข้าไปดู
หรือว่าจะถูกฝังไว้ที่ไหนสักที่ในที่ดินแปลงนั้น
โหแล้วกว้างแบบนั้นจะไปหายังไงหละนี่
ผมนั่งคิดแนวทางที่มันน่าจะเป็นไปได้ มันมีหลายแนวทางเหลือเกิน
จนรู้สึกปวดหัว แล้วก็เริ่มรู้สึกไม่สบายเนื้อไม่สบายตัวขึ้นมา
ต้องรีบกินยา แล้วสักพักผมก็หลับไป
ตื่นมากลางดึก ผมรู้สึกตัวตื่น เพราะว่าฝันเห็นป้าสุจิตรา
แกมายืนยิ้มให้ผม ที่ข้างๆเตียง
หลังจากนั้นผมก็นอนไม่หลับ
นั่งคิดเรื่องบ้านหลังนั้นต่อ
ผมนึกถึงห้องที่คล้องโซ่ใส่กุญแจห้องนั้น
รู้สึกมันจะมีอาถรรพ์แรงกว่าทุกจุดในบ้าน
แสดงว่าต้องมีศพอยู่ใกล้ๆแถวนั้นหรือในห้องนั้น
แต่ในห้องนั้นเราก็ดูทั่วแล้ว ไม่น่าจะเก็บศพเอาไว้ได้
พอผมนึกถึงลูกกุญแจที่ป้าเก็บไว้
อยู่ๆก็ทำให้ผมคิดขึ้นมาได้
" อ้า. รู้แล้ว. ! ศพนั่นอยู่ที่ไหน "
ตื่นเช้ามา ผมโทรไปหาหัวหน้า ขอร้องให้หัวหน้าไปบ้านนั้นด้วยกับผม
หัวหน้าถามผมว่า "จะไปวันไหน"
ผมก็บอกว่า "ไปวันนี้เลย ผมรู้แล้วว่าศพอยู่ที่ไหน"
ผมรีบจัดแจงทำเรื่องขอออกจากโรงพยาบาล ตั้งแต่เช้า
แม้ยังรู้สึกปวดหัวและไออยู่บ้าง
พอออกจากโรงบาลได้ผมก็รีบกลับบ้าน ไปเอากุญแจของป้าไปด้วย
แล้วก็แวะไปรับหัวหน้าในที่ทำงาน
เราไปถึงบ้านหลังนั้น ก็บ่ายแก่แล้ว
ผมกับหัวหน้าพากันเดินตรงไปบริเวณหลังบ้าน
เจอประตูหลังบ้านที่ผมถีบหักจนเป็นรู ยังอยู่ในสภาพเดิม
ผมมุดเข้าไปที่ช่องไม้ที่แตกนั้น
หลังจากเข้าไปข้างในได้ก็รีบปลดกลอนประตู
เปิดประตูให้หัวหน้าผมเข้ามาข้างในได้
ถ้าเดินไปทางหน้าบ้านจะเจอโถงด้านหน้า ถ้าเดินไปทางด้านข้าง จะเจอห้องน้ำ
ตรงข้ามกับห้องน้ำเป็นห้องเก็บของที่ผมเคยมุดเข้าไปดูจากช่องที่เป็นไม้หักตรงใต้ชานพักบันได
และข้างบนห้องเก็บของจะเยื้องๆกับห้องที่ล๊อคโซ่ไว้
พอผมกับหัวหน้ามาถึงหน้าประตูห้องเก็บของ ผมก็บอก ว่า
"ห้องนี้แหละ ครับหัวหน้า "
หัวหน้าผมก็ช่วยทุบกุญแจออก แล้วก็เปิดประตูออกมา
ผมกับหัวหน้าพากันขนแผ่นไม้ ที่วางชันอยู่รายล้อมหีบใบใหญ่นั้น
เอาออกไปวางอีกด้านของห้องเพื่อให้สามารถเดินเข้าไปถึงตัวหีบได้
ขนกันอยู่สักพักใหญ่ จนสามารถเคลียร์ทางได้
ผมก็ค่อยๆ ขยับเข้าไปนั่งมองหีบใหญ่นั้นใกล้ๆ
ผมมองไปหาที่เสียบรูกุญแจ
พอเจอแล้วผมก็รีบเอากุญแจของป้าออกมาจากกระเป๋า แล้วก็ลองเสียบไขดู
ปรากฏว่า มันไขได้จริงๆ เสียงกุญแจปลอดล๊อคดัง แกร๊ก
ผมค่อยๆเอามือดันฝาหีบให้เปิดช้าๆ แต่ฝาหีบไม่ขยับเลย
หัวหน้าผมเห็นผมออกแรงเปิดอยู่สักพักแต่ก็เปิดไม่ได้
เลยเข้ามาช่วยผมเปิดฝาหีบ
พอฝาหีบเปิดได้เท่านั้นแหละ
กลิ่นซากศพ ก็ตลบอบอวน คลุ้งไปทั่วห้องทันที
จนหัวหน้าผมต้องถอยหลัง ไปเบือนหน้าหนี แล้วก็ไอ เป็นการใหญ่
ผมเอามือปิดจมูกข้างหนึ่ง มองไปในหีบ
เห็นผ้าห่อศพ ที่มีน้ำเหลือง น้ำหนอง แห้งเกลอะกัง
ติดอยู่กับผ้า เป็นหย่อม หย่อม
สภาพศพนอนขดตะแคง ศพแห้งเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก
ดูจากผ้าห่อศพ บริเวณหัวจะมีเลือดซึมออกมาติดผ้าเยอะกว่าทุกจุด
เข้าใจว่าน่าจะเป็นจุดที่ถูกทำร้ายจนเสียชีวิต ไม่โดนยิงก็น่าจะโดนทุบที่ศรีษะ
ข้อสันนิฐานผมเป็นจริงอย่างที่คิดไว้ ว่าเขาต้องเก็บศพไว้ในบ้านนี้แหละ
แล้วก็มาเจอจนได้
หัวหน้าผมชะโงกหน้าเข้ามาดู พูดว่า
"ถ้าใช่ก็ปิดได้แล้ว เดี๋ยวต้องแจ้งให้ญาติเขามาเอาศพไปทำพิธี"
ผมมองไปที่หีบนั้นอีกครั้งหนึ่ง แล้วเอื่อมมือไปค่อยๆปิดฝาหีบลง
แล้วตาผมก็ดันไปมองเห็น คล้ายๆก้อนกระดาษที่ขยำขยำ
ตกอยู่แถวๆปลายเท้าศพ
ผมจึงเอื้อมมือไปหยิบขึ้นมา พอคลี่กระดาษออกดู
ปรากฏว่า มันคือบันทึกในหน้าที่หายไปนั้นเอง
ผมยังไม่ทันอ่านอะไร รีบปิดหีบ
แล้วก็พากัน รีบออกมา พอออกมาจากบ้านได้
ผมเอากระดาษที่ได้ มายืนอ่าน จึงได้รู้ความจริงว่า
ติดตามตอนจบของ ป้าสุจิตรา ในเรื่องต่อไป ปริศนาหลังความตาย (ป้าสุจิตราตอนจบ)
เรื่องจากพันทิป ป้าสุจิตรา
เรื่องโดย สมาชิกหมายเลข 2227735
Post a Comment