เรื่อง หัวแก้วหัวแหวน
"เรื่อง หัวแก้วหัวแหวน" จากสมาชิกพันทิปหมายเลข 2227735 ที่เล่าเรื่องได้อย่างน่าติดตามมาก เรื่องราวที่ท่านจะไม่สามารถหยุดอ่านได้ เรื่องราวมันช่างซับซ้อนซ่อนเงื่อนมากมาย อยากให้ติดตามอาสนกันรับรองว่าสุดหลากอารมณ์หลายรสชาติ ขอขอบคุณเรื่องดีๆไว้ ณ ที่นี้ด้วย
ตั้งแต่จำความได้ ฉันก็อยู่กับ พ่อเพียงสองคนมาตั้งแต่แบเบาะ
อยู่ที่นี่เราไม่มีญาติ ไปมาหาสู่ เพราะญาติส่วนใหญ่ของพ่อ อยู่ต่างจังหวัดกัน
ส่วนแม่....
พ่อบอกว่าแม่เสียไปตั้งแต่ฉันอายุได้เพียง แปดเดือน
ฉันไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าแม่ของฉันเลย
นอกจากรูปถ่ายแผ่นเล็กๆที่พ่อเก็บไว้
แต่ฉันก็รู้สึกว่า ฉันไม่ได้ขาดอะไรไปเท่าไหร่
ในสมัยเด็กๆ ฉันเล่นกับพ่อ จนรู้สึกว่า ชีวิตนี้ไม่ต้องมีแม่ก็ได้
โดยส่วนตัวพ่อเป็นคนเงียบขรึม ไม่ค่อยสุงสิงกะใคร
แม้ว่าท่านจะย้ายมาอยู่ที่นี่นานแล้ว แต่พ่อก็ไม่คบค้าสมาคมกะใครเป็นพิเศษ
เวลาพ่อไปทำงานก็จะเอาฉันไปฝากไว้กับบ้านป้าคนหนึ่ง
ที่แกเปิดรับเลี้ยงเด็กเล็กๆเป็นอาชีพ
ฉันก็เลยมีเพื่อนที่รู้จักบ้างในคอนโดแห่งนั้น
จนกระทั่งพอถึงช่วงที่จะต้องเข้าโรงเรียน
พ่อก็ต้องเหนื่อยมากขึ้น เพราะต้องตื่นแต่เช้า
พาฉันไปส่งโรงเรียนก่อน แล้วถึงจะไปทำงาน
พอฉันขึ้น ป 5 พ่อก็ส่งฉันไปอยู่โรงเรียนประจำ
ตอนนั้น ไม่รู้ว่าทำไมชีวิตต้องมาลำบากแบบนี้
ต้องปรับตัว ต้องทำอะไรด้วยตัวเองต่างๆนาๆ
ในใจก็นึกโกรธพ่อตลอด แต่พอได้พบเพื่อนๆ
ได้คุย ได้ทำความเข้าใจกับสิ่งที่เราต้องมาอยู่ที่นี่
มันก็ทำให้ฉันคิดได้ว่า
พ่อคงมีความจำเป็นบางอย่าง ที่ต้องทำแบบนี้
เพราะ ห้องที่คับแคบ แล้วก็ต้องอยู่กับลูกสาวที่นับวันก็ใกล้จะโตเป็นสาว
พ่อคงจะกลัวว่า ฉันจะอึดอัด
แต่ช่วงแรกๆ พ่อก็หมั่นมาหา และมารับกลับบ้านบ่อยๆ
จนทำให้ฉันรู้สึกว่าเริ่มคุ้นเคยกับการต้องจากบ้านไปเรียน
จนผ่านไปหลายปี
จากที่เคยกลับบ้านเดือนละครั้ง ก็เริ่มกลายเป็นหลายเดือนครั้ง
จนฉันเริ่มรู้สึกว่า ที่โรงเรียน คือบ้าน ของฉันจริงๆมากกว่า
มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ฉันต้องกลับไปอยู่บ้าน
เพราะต้องรอเตรียมตัวเข้ามหาลัย
สังเกตว่า พ่อจะกลับมาบ้านดึกๆ ตื่นเช้ามา ฉันก็แทบไม่เห็นพ่อแล้ว
บางที่วันหยุด พอฉันออกไปข้างนอกกลับมา
พ่อก็จะออกจากห้องไปแบบว่า รีบไปทำธุระทุกที
พอฉันจะออกไปทำธุระก็เจอพ่อกลับเข้ามา เป็นแบบนี้เสมอ
และเมื่อฉันโตจนเข้ามหาลัยได้
ฉันก็เริ่มผูกพันกับเพื่อนๆ จนบางทีก็ลืมนึกถึงพ่อไปเลย
ฉันเริ่มห่างจากพ่อ คุยกันน้อยลง
ไม่กล้าแม้แต่จะเข้าใกล้ หรือกอด เหมือนเด็กๆ
บางทีเจอหน้าพ่อก็กลับรู้สึกว่า พ่อเหมือนคนแปลกหน้า สำหรับฉัน
เป็นแบบนี้จนกระทั่งฉันอยู่ปี 2
มีอยู่ช่วงหนึ่ง อยู่ๆความรู้สึกบางอย่างก็เกิดขึ้นกับฉัน
มันเป็นความรู้สึกโหยหายใครสักคน
มันรู้สึกเหงา และเศร้า เหมือนอยู่ตัวคนเดียวในโลก
ฉันเอารูปแม่มาดู แล้วก็รู้สึกคิดถึงท่านขึ้นมา เป็นครั้งแรกในชีวิต
ที่รู้สึกว่า แม่มีตัวตนในสายตาฉัน
ทำให้ฉันนึกถึง วันที่เคยถามพ่อว่า
แม่เป็นคนที่ไหน บ้านแม่อยู่ไหน ทำไมพ่อไม่เคย
พาฉันไปเยี่ยมญาติๆของแม่เลย
พ่อได้แต่บอกว่า พ่อเคยไปบ้านแม่เพียงไม่กี่ครั้งเอง เลยจำทางไม่ได้
และก็ไม่ได้ติดต่อกับทางญาติของแม่เลย
พอฉันพยายามจะถามถึงแม่ พ่อก็จะชอบ บ่ายเบี่ยง ไปเรื่องอื่นเสมอ
พอพ่อกลับมา ฉันก็เลยถามเรื่องของแม่กับพ่ออีกครั้ง
แต่ก็ได้คำตอบเพียงว่า มันนานแล้ว พ่อจำไม่ได้แล้ว
วันหนึ่ง ช่วงปิดเทอม ฉันกลับมาอยู่บ้าน
พ่อไปทำงานต่างจังหวัดหลายวัน ฉันต้องอยู่ห้องเพียงคนเดียว
ช่วงที่กำลังนอนหลับกลางวัน
อยู่ๆฉันก็รู้สึกสะดุ้งตื่น เพราะได้ยินเสียงเหมือนคนเปิดประตูห้องเข้ามา
แต่ฉันก็ยังไม่ได้หันไปดู นอนหันหลังให้ประตู
ตอนนั้นใจหนึ่งก็นึกว่า พ่อกลับมาแล้ว ก็เลยไม่ได้คิดอะไร
แล้วก็จะขอนอนต่อแล้วกัน
ไม่นานก็รู้สึกว่า ตรงเตียงที่ฉันนอน ด้านหลังฉันมันยุบลงไป
เหมือนมีคนมานั่งอยุ่ข้างๆ
แล้วฉันก็รู้สึกง่วง จวนจะหลับแหล่ไม่หลับแหล่
ทันใดนั้นก็รู้สึกว่ามีมือ มือหนึ่งมาลูปที่หัวฉันเบาๆ
แล้วฉันก็รู้สึกอะไรบางอย่าง
รู้สึกเหมือนกับว่า คนที่เรารอคอยกลับมาแล้ว
รู้สึกอบอุ่นแบบบอกไม่ถูก
มันรู้สึกดีใจ เหมือนจะได้เจอใครบ้างคนที่เราโหยหา
มันเป็นความรู้สึกที่ฉันไม่เคยรู้สึกมากก่อน
แล้วในใจฉันก็คิดขึ้นมาเอง แม่กลับมาแล้ว
ฉันรีบพลิกตัวไปมองด้านหลังอย่างเร็ว
แต่ก็ต้องแปลกใจ เมื่อไม่เห็นใครเลย
จนทำให้ฉันต้องรีบ กระเด้งตัวลุกขึ้นมา
เฮ้ย.. ใคร อะ
ฉันได้แต่ พึมพำ กับตัวเอง
โดยที่ความรู้สึกที่ถูกลูปตรงศีรษะเมื่อกี้มันยังรู้สึกอุ่นๆอยู่เลย
ผ่านไปหลายวัน พอพ่อกลับมาจากต่างจังหวัด
ฉันก็ถามเรื่องแม่ กับพ่ออีก
จนพ่อถามว่า ช่วงนี้หนูเป็นอะไร ทำไมถามถึงแม่บ่อยจัง
ฉันก็มองหน้าพ่อ บอกให้พ่อเล่าทุกอย่างที่พ่อจำได้ เกี่ยวกับแม่ให้ฟังหน่อย
พ่อมองมาที่ฉัน จับที่ข้างแก้มของฉัน
แล้วก็พูดว่า ลูกหน้าเหมือนแม่มาก จนทำให้พ่อรู้สึกว่า ไม่อยากมอง
เพราะมันทำให้พ่อคิดถึงแม่ อย่าทำให้พ่อคิดถึงแม่อีกเลยได้ไหม
แล้วพ่อก็เหมือนน้ำตาซึมๆออกมา ก่อนจะลุกหายเข้าไปในห้องน้ำพักใหญ่
ตั้งแต่วันนั้น มันก็ทำให้ฉันรู้สึกว่า ไม่อยากทำให้พ่อเสียใจอีก
ถ้าใครสักคนที่เรารัก แล้วเขาจากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ
เขาคงจะเสียใจมาก ถ้ายังลืมไม่ได้
ฉันก็เลยเข้าใจความรู้สึกของพ่อ ที่คงไม่อยากจะฟื้นความทรงจำเก่าๆกลับมาอีก
ช่วงปิดเทอม เพื่อนชวนฉันไปเที่ยวต่างจังหวัด แห่งหนึ่ง ติดทะเล
และก็เลยถือโอกาสนี้ ไปสงบสติอารมณ์บ้าง
ฉันกับเพื่อน ร่วมเป็น 4 คน อาศัยเดินทางแบบขึ้นรถตู้ไปกัน
เลยต้องออกเดินทางแต่เช้ามืด
จนกว่าจะไปถึง ก็บ่ายคล้อยแล้ว และก็ต้องนั่งเรือข้ามไปที่เกาะอีก
เพื่อนคนที่จองห้องพัก บอกว่า โชคดีที่ได้ที่พัก เพราะช่วงนี้คนมาเที่ยวเยอะ
ฉันรู้สึกตื่นเต้นที่ได้นั่งเรือ เพราะนี่เป็นการเที่ยวต่างจังหวัดครั้งแรกของฉันเลย
พอไปถึงที่พัก มันก็ทำให้ฉันผิดหวังเล็กน้อย เพราะที่พักเป็นบ้านธรรมดา
ไม่ได้อยู่ติดทะเล คล้ายๆบ้านที่เขาแบ่งให้คนเช่า เป็นบ้านไม้ทั้งหลัง
ใต้ถุนยกสูงจากพื้นเล็กน้อย พอเข้าไปข้างใน ก็มีสภาพพอใช้ได้
มีห้องโถงใหญ่ๆ ห้องหนึ่ง เฟอร์นิเจอครบ มีห้องน้ำและก็ระเบียงด้านหลัง
หลังจากเก็บข้าวของกันเสร็จ เราก็พากันออกไปเดินเล่นกัน
มีตลาด ตอนเย็นให้เดินด้วย คนเยอะแยะไปหมด ของกินก็เยอะด้วย
หลังจากซื้ออะไรมากินรองท้องกัน พวกเราก็พากันไปที่ทะเลหลังเกาะ
บรรยกาศตอนนั้น สวยงามมาก เห็นพระอาทิตย์กำลังตกดินดวงโต
ท้องฟ้าและสีน้ำทะเลระยิบระยับ ชวนให้อยากนั่งมองมันนานๆ
ตื่นเช้ามา ช่วงบ่ายๆ วันนี้อากาศดีไม่มีแดด
เพื่อนก็ชวนไปขี่มอเตอร์ไซค์เล่น
เราไปเช่ามอเตอร์ไซค์กันแถวนั้น สองคัน
แล้วก็ขับเที่ยวไปตามทาง มันจะมีจุดชมวิวอยู่บนยอดภูเขา
เราก็พากันไปตามที่มีคนแนะนำ
หลังจากนั้นเราก็พากันไปไหว้พระ ที่วัดละแวกนั้น ที่เราขี่มอไซค์ผ่าน
พอเข้าไปในวัด อยู่ๆฉันก็รู้สึกว่า เราเคยมาวัดนี้
เป็นความรู้สึกที่ ไม่ว่าจะมองอะไรตรงไหน มันก็คุ้นตาไปหมด
เหมือนเราเคยมาแล้ว
ทั้งๆที่ฉันไม่เคยรู้จักวัดที่นี่เลย
หลังจากไหว้พระเสร็จ ฉันก็เดินดูรอบๆ แล้วก็จ้องมองไปทั่วทุกจุด
จนเพื่อนๆถามว่า เป็นอะไร มองอย่างกะไม่เคยเห็น
ฉันก็ตอบว่า เปล่า แต่ทำไมเราคุ้นที่นี่มากเลย มันเหมือนเคยมาแล้ว
เพื่อนได้ฟัง เขาก็ทำหน้า งง กัน
เพื่อนคนหนึ่งก็เลยพูดขึ้นว่า วัดที่ไหนมันก็คล้ายๆกันนั้นแหละ ก็เลยคุ้นไง
ฉันก็เลย คิดแบบนั้น
สงสัยสร้างด้วยแบบแปลนเหมือนกันมั้ง เลยทำให้อะไรก็คุ้นตา
เราขี่รถมอไซด์เที่ยวไปตามทางเรื่อยๆ ยิ่งขับลึกเข้าไป
พอมองสองข้างทาง ก็ยิ่งคุ้น เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
แต่ก็นึกไม่ออก
รู้แต่ว่า เราเคยมาแล้ว เราเคยเห็นแล้ว
แล้วก็รู้สึก ดีใจที่ได้กลับมาอีกครั้ง
จนไปถึงจุดจุดหนึ่ง มีบ้านคนหนาตา เพื่อนก็เลยชวนแวะแถวนั้น
พอจอดรถได้ เราก็พากันเดินดูของขาย แถวนั้น
ผู้คนเดินไปมาขวักไขว่
ช่วงที่กำลังเดินดูของเพลินๆกันอยู่
ฉันก็มองไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ยืนอยู่ข้างหน้าไม่ไกล
แม่..
ฉันเผลอเรียกแม่ขึ้นมาเบาๆ
เพราะผู้หญิงคนนั้น หน้าตาเหมือนแม่มาก
เพื่อนหันมามองที่ฉัน
ฉันรีบเดินไปหาผู้หญิงคนนั้น
จนชนกับผู้คนที่เบียดเสียดกัน
แล้วฉันก็ชนเข้ากับเด็กคนหนึ่งจนตัวเองเกือบจะล้ม
พอทรงตัวได้มองไปหาผู้หญิงคนนั้นอีกที
ก็ไม่เห็นเสียแล้ว
ฉันรีบวิ่งตามไปดูตรงที่ผู้หญิงคนนั้นยืนอยู่
เพื่อนก็รีบวิ่งมา ถามฉันว่า หาอะไร
ฉันก็ไม่ได้ตอบ มองไปรอบตัว เพื่อหาผู้หญิงคนนั้น
เพื่อนก็ทำหน้า งงๆ กัน
พอมองหาไม่เจอแล้ว
ฉันก็เลยตอบไปว่า เปล่าไม่มีอะไร พอดีเห็นคนหน้าเหมือนคนรู้จักน่ะ
ฉันซ้อนรถมอไซค์เพื่อนกลับมาที่พัก ด้วยใจเหม่อลอยตลอดทาง
เฝ้าคิดถึงแต่ หน้าผู้หญิงคนนั้น ใจหนึ่งก็อยากจะกลับไปเดินหาเขาอีกที
ให้แน่นใจว่าตาเราไม่ได้ฝาด
จนเพื่อนคนหนึ่งถาม ว่า เป็นอะไร ดูซึมๆไปนะ ไม่สบายหรือเปล่า
ฉันก็เลยตอบไปว่า เปล่าๆ ไม่มีอะไร
จนกลับไปถึงที่พัก ก็เย็นมากแล้ว เพื่อนๆ ก็ชวนไปเล่นน้ำทะเลกัน
แต่ฉันบอกเพื่อนๆว่า ขอตัวพักผ่อนรอที่ห้องนะ เพราะรู้สึกปวดหัวยังไงไม่รู้
เพื่อนๆก็เลยไปเล่นน้ำทะเลกัน ทิ้งฉันไว้ที่ห้องเพียงคนเดียว
ฉันนอนเล่น รอเพื่อนๆกลับมา จนกระทั่งหลับไป
มาตื่นอีกทีก็ตอนที่เพื่อนกลับมากันแล้ว
เพื่อนคนหนึ่งบ่นว่าหิวๆ อยากไปหาอะไรกินแล้ว
แล้วเพื่อนอีกคนก็ชวนว่า เราไปหาของกินกันที่งานอีกฟากเกาะทางโน้นไหม
ฉันก็เลยถามว่า งานอะไรหรือ
เพื่อนก็บอกว่า ไม่รู้เหมือนกัน แต่ตอนที่ ขี่มอไซค์ไปเล่นน้ำทะเลกัน
ขากลับ เพื่อนเห็น เหมือนมีจัดงานอะไรกันที่ฝั่งโน้น
มองไปเห็นไกลๆ เหมือนมี ชิงชาสวรรค์
ตอนนั้นฉันก็คิดแว๊บขึ้นมาในใจ อืม บางทีเราอาจจะไปเจอผู้หญิงคนนั้นอีกก็ได้
ก็เลยรีบ บอกเพื่อนไปว่า ไปไปเราอยากไป ไปกันนะ
หลังจากอาบน้ำแต่งตัวกันเสร็จ
เราก็พากันขี่มอไซค์ไป งานที่อยู่อีกฝั่งของเกาะ
ระหว่างเดินทางไป ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว
ถนนบางช่วงก็เปลี่ยวจนดูน่ากลัว และไม่มีแสงไฟส่องทางเลย
จนฉันเองก็อดคิดไม่ได้ว่า ขากลับมามันจะมืดขนาดไหน
เราพากันขี่มอไซค์ไปจนถึง บริเวณจัดงาน พอไปถึง
บรรยากาศจะคล้ายๆงานวัด มีผู้คนไม่ค่อยหนาตาเท่าไหร่
เพราะอาจจะยังหัวค่ำอยู่มั้ง
พอหาที่จอดรถได้เพื่อนๆก็พากันเดินเข้าไป
เพื่อดูว่ามีอะไรน่ากินไหม
เพราะเห็นเพื่อนเริ่มบ่นๆกันว่าหิว
ฉันเดินตามเพื่อนเข้าไปในงานช้าๆ
มองโน้นมองนี้ เจอใคร ฉันก็พยายามเพ่งมองหน้าเขาไปหมด
ฉันพยายามมองหาผู้หญิงคนนั้น เผื่อเธอจะมางานนี้
เดินไปได้สักพักใหญ่ เพื่อนก็พามากินส้มตำ ตรงร้านเล็กๆในงาน
ช่วงที่กำลังนั่งทานข้าวกันอยู่ ฉันก็มองออกไปนอกร้านตลอด
มองว่าคนเดินไปเดินมา จะใช่คนที่ฉันมองหาหรือเปล่า
จนเพื่อน พูดว่า
วันนี้เธอเป็นอะไร ดูลุกลี้ลุกลนแปลกๆ ทำอย่างกะตามหาใคร
ฉันก็หันไปมองเพื่อน แล้วก็บอกว่า ก็ไม่มีอะไรแค่อยากมองบรรยากาศน่ะ
หลังจากทานอะไรกันเสร็จ เราก็เดินออกมาจากร้านแล้วก็แวะไปทำบุญกัน
พอไปถึงบริเวณที่เขาทำบุญกัน ฉันก็ได้แต่มองหน้าคนแถวนั้นไปทั่ว
ดูว่ามีใครคุ้นๆหน้าไหม จนบางคนก็มองหน้าฉันกลับ แล้วทำหน้าแปลกๆ
หลังจากทำบุญเสร็จ เราก็เดินดูงานอยู่สักพักหนึ่ง เพื่อนก็ชวนกลับ
ช่วงที่เรากำลังเดินออกไปทางหน้างานนั้นเอง
อยู่ๆ ก็มีชายแก่คนหนึ่ง นั่งอยู่ใต้โคนต้นไม้
แต่งตัวมอซอ เสื้อผ้าขาดๆ หัวหงอกเกือบทั้งหัว
สภาพเหมือนคนเมา
แกมองมาที่พวกเรา พอเดินเข้าไปใกล้ๆแถวที่แกนั่งอยู่
แกก็มองมาที่ฉัน ด้วยสายตาที่ไม่กระพริบเลย
จนทำให้ฉันรู้สึกกลัวจนต้องหลบหน้าลุง
พอเข้าไปใกล้ๆแก แกก็ลุกขึ้นมาอย่างเร็ว ยืนเซไปมา
แต่ตาก็ยังจ้องมาที่ฉัน
ฉันกลัวมาก จับมือเพื่อนไว้แน่น แล้วก็บอกเพื่อนว่า รีบๆเดินเถอะ
แต่ชายแก่คนนั้นก็ยืนขวางหน้าฉันไว้
แล้วก็พูดกับฉันว่า บัวขวัญ แกกลับมาแล้วหรือ แกกลับมาหาข้าแล้วใช่ไหม
ฉันตกใจ ทำไรไม่ถูก แล้วก็บอกลุงไปว่า ลุงจำคนผิดแล้วฉันไม่ใช่บัวขวัญของลุงหรอก
แล้วเราก็รีบเดินผ่านลุงไป รีบไปที่รถมอไซด์ที่จอดอยู่
ลุงยังเดินตามมา จับมือฉันแน่
บัวขวัญ ข้าจำแกไม่ผิดหรอก เพราะข้าไม่มีวันลืมเอง
ฉันตกใจมากรีบสะบัดมือออกจากลุง ปล่อยนะลุง
เพื่อนก็มาช่วยกระชากแขนฉันออก
พอลุงปล่อยแขนฉัน เพื่อนก็รีบสตาร์ทรถทันที
แล้วพวกเราก็รีบพากันขี่มอไซค์ออกมา
เร็วๆซี่
ฉันรีบเร่งเพื่อนให้ออกรถ
ฉันมองไปที่ลุง เหมือนลุงแกจะวิ่งตามมา แล้วก็หยุดมองพวกเรา
ฉันตกใจมาก ใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ
พอขับรถออกมาได้ไม่นาน ฉันก็มองเห็นเหมือนมีแสงไฟส่องมาทางเรา
พอหันกลับไปมองก็เห็นเป็น แสงจากไฟหน้ารถ มีดวงเดียว
ที่แรกคิดว่าเป็นไฟหน้ารถมอไซค์ แต่พอไม่นาน รถคันนั้นก็วิ่งมาเหมือนจะแซงเรา
ฉันมองไปเห็นเป็น สามล้อเครื่อง มีลุงคนนั้นเป็นคนขับอยู่
แกร้องตะโกนมาที่เรา
หยุดนะ แกจะหนีข้าไปไหน ข้าจะไม่ปล่อยให้แกไปไหนอีกแล้ว
พอได้ยินเท่านั้นแหละ ฉันก็บอกเพื่อนว่า อย่าหยุดนะ รีบขับไปเร็วๆ
ตอนนั้นใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย กลัวมากๆ
แต่ไม่นาน ขณะเพื่อนกำลังจะเร่งเครื่องหนี รถสามล้อเครื่องคันนั้น
ก็พุ่งมาขวางข้างหน้ารถเราไว้
จนเพื่อนต้องหักหลบลงข้างทาง แล้วก็หยุด
ชายแก่คนนั้นกระโดดลงมาจากรถ แล้วมาคว้าแขนฉัน กระฉากแขนฉันให้ลงจากรถ
จนฉันต้องร้องกรี๊ดออกมาด้วยความตกใจ
ฉันร้องไห้ออกมา ดึงแขนเพื่อนไว้
เพื่อนเองก็ร้อง ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย
แล้วเพื่อนอีกสองคนก็ขี่มอไซด์มาจอดข้างๆ มาดึงแขนลุงไว้
ฉันมองไปรอบตัว ตรงนั้นมันเปลี่ยวมาก มืดไปหมด มีแต่ป่า
พอเห็นแบบนั้นฉันก็ร้องไห้เสียงดัง
ลุง ปล่อยฉันไปเถอะนะ อย่าทำอะไรฉันเลย
แกก็ดึงแขนฉันแรงขึ้น
ไม่ ข้าจะไม่ยอมให้เอ็งไปไหนอีกแล้ว
ว่าแล้วชายแก่คนนั้นก็เอามีดพร้า ออกมาจากด้านหลังแก
เพื่อนเห็นก็ตกใจ พากันถอยห่างออกไป
ชายแก่ดึงตัวฉันไปอยู่ใกล้ๆ ฉันก็ได้แต่ร้องไห้ ทำอะไรไม่ถูก
ลุงอย่าทำอะไรฉันเลย ฉันกลัวแล้ว
บัวขวัญไปกะข้าเถอะนะ
ชายแกหันมาพูดกับฉัน แล้วก็ดึงฉันให้ขึ้นไปนั่งคล่อมตรงเบาะคนขับสามล้อเครื่อง
เพื่อนก็วิ่งมาดึงฉันไว้ ฉันก็ได้แต่ร้องกรี๊ดๆออกมาสุดเสียง ด้วยความกลัว
ชายแกขึ้นมานั่งซ้อนข้างหลังตัวฉัน แล้วก็รีบ ตะวัดมีดพร้าในมือไปมา
จนเพื่อนต้องรีบปล่อยมือฉัน
ฉันได้แต่ร้อง ช่วยด้วย อย่าทิ้งเรานะ
พอชายแก สตาร์ทรถได้ ก็ขับพุ่งไปข้างหน้าอย่างเร็ว
ฉันได้ยินเพื่อนฉันพูดว่า ไม่ต้องกลัวนะ เดี๋ยวเราจะตามคนไปช่วย
ตอนนั้นฉันเริ่มร้องไห้เสียงดัง รอบๆตัวก็ได้กลิ่นเหล้าคุ้งออกมาจากตัวชายแก่
รถที่ชายแก่ขับก็ทะยานไปด้วยความเร็ว
ฉันมองดูกระจกข้าง ไม่มีรถตามมาเลย
ถนน มันเปลี่ยวมาก มืดไปหมด
ขับมาได้พักใหญ่ ชายแก่ก็ขับรถเลี้ยวเข้าไปในป่าข้างทาง
เหมือนเป็นซอยเล็กๆ แต่ก็มีต้นหญ้าขึ้นสูง จนดูเหมือนไม่ใช่หนทาง
เข้าไปในซอยลึกพอสมควร แกก็จอดรถ
แล้วก็ลากแขนฉันลงมาจากรถสามล้อเครื่อง
ฉันได้แต่ร้อง อ้อนวอนให้ลุงปล่อยฉันเถอะนะ ฉันเจ็บ
แต่ชายแก่ก็จับแขนฉันพาเดินเข้าไปในป่า
ฉันพยายามดิ้น พยายามไม่เดินต่อ แต่ก็ถูกชายแก่ลากไปตามทาง
จนมาถึงบ้านหลังหนึ่ง เป็นบ้านแบบยกพิ้นสูง ชั้นล่างโล่งไม่มีอะไร
ชายแก่พาฉันเข้าไปในบ้าน ขึ้นไปที่ชั้นสอง
แล้วก็เปิดไฟในห้อง ห้องหนึ่ง
แล้วก็ผลักฉันเข้าไปในห้องนั้น
แล้วก็ปิดประตูล๊อคไว้ไม่ให้ฉันออก
แล้วฉันก็ได้ยินเสียงเหมือน ชายแก่เดินลงไปชั้นล่าง
ฉันรีบวิ่งไปที่หน้าต่าง เปิดหน้าต่างทันที
พอมองออกไปข้างนอกมืดมาก จนมองอะไรไม่เห็น
เราต้องหาผ้ามาต่อมัดแล้วหย่อนลงไป
ฉันพยายามตั้งสติ
กลับมาในห้อง มองรอบห้องจนทั่ว เพื่อหาเศษผ้า เสื้อผ้า
แต่ก็ไม่มีอะไร ส่วนใหญ่จะเป็นที่นอนหมอนมุ้งซะมากกว่า
แล้วก็ลังใส่เครื่องมือ ลังใส่กระดาษ
ฉันไปยืนอยู่ตรงหน้าต่างแล้วก็ ร้องออกไปว่า ช่วยด้วย ช่วยด้วย
สักพักก็ได้ยินเสียงคนเดินขึ้นมา เดินมาปลดล็อคประตู
แล้วก็เปิดประตูเข้ามา
กลายเป็นลุงแกคนนั้น
เดินเข้ามาหาฉัน พร้อมกับในมือถือโซ่มาด้วย
แกเดินมาจับที่ข้อเท้าฉัน
ฉันสะบัดข้อเท้าไปมา แต่แกก็ออกแรงบีบเท้าฉันไว้แน่นจนฉันเจ็บ
ไม่นาน เท้าฉันก็ถูกล่ามโซ่ไว้ ติดอยู่กับเสาบ้าน
แล้วชายแก่คนนั้นก็พูดขึ้นว่า
รอข้าอยู่นี่แหละ ข้าจะไปหาเรือ พาแกไปอยู่ในที่ที่ไม่วุ่นวาย
ว่าแล้ว ชายแกก็ เดินออกจากห้องไป ปิดห้องล็อคกูญแจ
สักพักก็ได้ยินเหมือนเสียงเดินลงบันใดไป
ฉันพยายามตั้งสติ มองไปรอบๆห้องอีกครั้ง
นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไม เราโดนจับมาขังไว้แบบนี้
ฉันพยายามมองว่า ชายแก่คนนี้ เขาเป็นคนสติไม่ดีหรือเปล่า
หรือว่าเป็นแค่เพียงคนคลุ้มคลั่งเพราะพิษเหล้า
ฉันมองไปที่ตู้เก็บของตู้หนึ่ง ข้างในมีที่นอน หมอน ยัดอยู่
และก็มีพวกหนังสือพิมพ์ กระดาษ ปฏิทินเก่าๆ ยัดๆปนกันอยู่
ฉันค่อยๆดึงมันออกมาดูช้าๆ
อยากจะรู้ว่าชายคนนี้เป็นใคร
เผื่อจะมีทะเบียนบ้าน หรืออะไรที่พอจะทำให้รู้จักเขาได้
หลังจากค้นหาไปมาในตู้นั้นอยู่สักพัก
แล้วฉันก็ ตกใจ เมื่อค้นไปเจอ อัลบั้มรูปเก่าๆ
พอเปิดดู ก็เห็นรูปผู้หญิงคนหนึ่งที่หน้าตาเหมือนฉันมาก
และพอเปิดดู หลายๆรูปก็มีรูปหนึ่ง ที่เป็นภาพถ่ายหน้าตรง
เหมือนกับรูปที่พ่อเก็บไว้
เฮ้ย นี่มันรูปแม่ นิ่
ฉันนั่งดูรูปของแม่ ในอริยาบทต่างๆ ที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน อยู่พักใหญ่
อยู่ๆก็รู้สึกหนาวสั่นขึ้นมา โดยไม่รู้สาเหตุ
ฉันมองขึ้นไป ข้างบนหัวตู้ที่ฉันรื้อของออกมา
แล้วก็ยืนขึ้น
สิ่งที่เห็นข้างหน้า เป็นกระถางธูป ไม่มีธูปปัก มีแต่ขี้ธูปเต็มกระถางไปหมด
ข้างๆมีไฟแช๊คเก่าๆ วางอยู่ มีแก้วน้ำเปล่าใส่น้ำไว้เต็มแก้ว
แล้วก็มีห่อผ้าขาวๆ เหมือนห่อขวดโหลเล็กๆอยู่ วางอยู่ข้างๆ แก้วน้ำ
มี ด้ายสายสินที่ใช้สำหรับมัดข้อมือ กองๆเป็นกระจุกอยู่ ฝุ่นจับหนาเตอะ
มีเศษเหรียญห้าสิบตังส์ กองอยู่เกลือน
ฉันเอื้อมมือไปหยิงห่อผ้าขาวๆมาดู แล้วก็ค่อยๆเอาด้ายที่มัดอยู่ออก คลี่ผ้าออกดู
ปรากฏว่า มันเป็นแก้ว ข้างในมีเศษผง เศษกระดูกเป็นชิ้นๆ เล็กๆ
พอฉันเห็นว่าเป็นเศษกระดูก ฉันก็ขนลุกซู่ รู้สึกเย็นยะเยือกไปหมดทั้งตัว
ฉันรีบเอาผ้าพันขวดโหลนั้นไว้ แล้วก็วางไว้ที่เดิม
นั่งลงหลังพิงฝาบ้าน มองไปรอบๆห้อง บรรยากาศเงียบสงัด
จนทำให้ฉันเริ่มขนลุก แล้วก็เริ่มคิดกลัวไปต่างๆนาๆ
แล้วฉันก็เลย พนมมือสวดมนต์ เท่าที่ตัวเองพอจำได้
สวดมนต์อยู่พักใหญ่ แล้วฉันก้อฟุบหลับไป
มารู้สึกตัวอีกที ตอนได้ยินเสียงเหมือนคนคลานอยู่รอบๆ
ฉัน งวงเงีย ค่อยๆลืมตาขึ้นมาดูว่า ใครมาคลานข้างหน้า
แล้วฉันก็ต้องตกใจ รีบลืมตาหันไปดู สิ่งที่เจอ
ที่มุมห้องไฟสลัวสลัว มีหญิงชรา ผมดำแซมหงอกยาวปิดหน้า
เนื้อหนังเหี่ยวแห้ง ร่างผอมๆ นั่งตัวสั่น หลังพิงฝาอยู่
ฉันตกใจ อ้าวมีคนอยู่ในห้องนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
ก็ตอนเราเข้ามาเราอยู่คนเดียวนี่ ไม่เห็นมีใครในห้อง
พอเริ่มมีสติ ก็ผวา รีบถอยหลังไปจนชิดฝาบ้าน
แล้วหญิงแก่ก็มองมาที่ฉัน ผมยาวปิดหน้าตา จนฉันไม่เห็นใบหน้า
อยู่ๆร่างนั้นก็ค่อยๆขยับ แล้วก็คลานมาหาฉันอย่างเร็ว
ฉันขนหัวลุกสุดขีด
หญิงชรามาจับที่แขนฉัน แล้วก็พูดว่า "อี..จัญญ....ไร..."
ฉันร้องกรี๊ดออกมาจนสุดเสียง
แล้วฉันก็ได้ยินเสียงตัวเองร้องออกมา จนฉันตื่น
พอลืมตาได้ก็รีบลุกขึ้นมาดูรอบๆห้อง
อ้าว เราฝันไปหรือนี่
อาการยังสั่นกลัวไม่หาย
ภาพหญิงชราผมยาว ยังคงติดตาฉันอยู่
แม้ว่าจะเป็นเพียงฝัน แต่ก็ทำให้ขนลุกจนกลัวไปหมด
ฉันตัดสินใจ ยกมือไหว้
ยายจ๋า อย่าทำอะไรฉันเลยนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจมา ฉันถูกจับตัวมาที่นี่
ฉันนั่งกอดเข่าตัวสั่นไปมา อากาศก็เริ่มเย็น เพราะดึกมากแล้ว
ฉันนั่งพิงฝาอยู่อย่างนั้น จนหลับสัปหงกไปมา
จนหลับอยู่ในท่านั่งกอดเข่า
แล้วอยู่ๆฉันก็รู้สึกตัว ครึ่งหลับครึ่งตื่น
มันรู้สึกอุ่นๆ จนฉันต้องขยับตัวไปหา
เหมือนได้ผิงไฟ
พอขยับตัวไปมากๆ ฉันก็เหมือนทิ้งตัวลงนอนกับพื้น
แล้วก็รู้สึกว่ามีหมอนนุ่มๆมาให้หนุน
ฉันก็เลย ขยับไปหนุนหมอน
พอหัวถึงหมอนนุ่มๆ ฉันก็ทิ้งตัวทั้งตัวนอนแบบไม่เกร็ง
เหยียดขาตรงออกไป
กางแขนออกสองข้าง อย่างสบาย
ใจหนึ่งก็คิดว่า เรามาถึงห้องเราแล้ว
แต่ใจหนึ่งก็คิดแว๊บขึ้นมาว่า เราอยู่บ้านคนอื่นอยู่
เท่านั้นแหละ ฉันก็รู้สึกตัว รีบลืมตาตื่นมา
พบว่าตัวเองนอนหงายเหยียดยาวอยู่กลางห้อง
มองขึ้นไปตรงขื่อบ้าน เจอผู้หญิงผมยาวผูกคอตาย
ศพห้อยโตงเตง อยู่ที่ขื่อ
ฉันร้องกรี๊ดออกมาจนสุดเสียง เอามือปิดตา
รีบลุกขึ้นมานั่ง ขยับตัวไปจนชนฝาบ้าน
กลัวแล้ว ยาย หนู กลัวแล้ว
อย่ามาหลอกมาหลอนกันเลย
ถ้าหนูหนีไปได้หนูจะ ทำบุญไปให้นะยาย
พูดไปร้องไห้ไป
ฉันทำอะไรไม่ถูก ได้แต่สวดมนต์ไปมา
นั่งสวดมนต์อยู่พักใหญ่ๆ
แล้วฉันก็ได้ยินเหมือนมีเสียงคนคุยกัน แววมาแต่ไกลๆ
เหมือน มีคนเดินสองสามคน อยู่รอบๆที่ไหนสักแห่ง
ฉันหยุดสวดมนต์ เงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ ว่าใช้เสียงคนหรือเปล่า
แล้วฉันก็ได้ยินคนเรียกชื่อฉัน
พอได้ยินฉันก็ รีบร้องตอบ ว่า ช่วยด้วย ฉันอยู่นี่ ช่วยด้วย...
ฉันร้องอยู่อย่างนั้น สักพัก ก็ได้ยินเสียงเพื่อน เริ่มเดินเข้ามาใกล้
แล้วก็เริ่มได้ยินเสียงวิ่งกัน ได้ยินเสียงเหมือนมีผู้ชายหลายคน
เริ่มใกล้เข้ามา
สุดท้ายเขาก็พากันขึ้นมาบนบ้าน เสียงเพื่อนร้องถามฉันว่า เธอเป็นยังไงบ้างได้รับอันตรายไหม
ฉันก็บอกว่าฉันไม่เป็นไร รีบพาฉันออกไปที
ได้ยินเสียงผู้ชายหลายคนบอกว่าหาอะไรมางัด บางคนก็พูดว่า งัดเลย งัดเลย
ตอนนั้นข้างนอกห้อง เขาทำอะไรตะกุตะกะ อยู่สักพัก
ที่สุดก็เปิดประตูเข้ามาได้
เพื่อนก็รีบมาหาฉัน ฉันก็เรียกเพื่อนทุกคนมาหาฉัน
ฉันร้องไห้ออกมา กอดเพื่อนแน่น
เพื่อนบอกว่าไม่ต้องกลัวนะ พวกพี่ๆเขามาช่วยแล้ว
ฉันก็เลยถามไปว่า ทำไมช้าจัง
ตอนนั้น กลุ่มผู้ชายก็เข้ามาให้ห้องถือมีด ถือไม้มาเต็ม
แล้วเขาก็มาจับโซ่ที่ขาฉัน
เพื่อนก็ตอบว่า ก็กว่าจะไปตามกำนันมาได้ ต้องไปหลายหลังเลย
แล้วกลุ่มคนที่มาช่วยเขาก็ ช่วยกัน ทุบกุญแจที่ล๊อคโซ่ออกให้
พอออกมาจากในห้องได้ ก็เห็นคนที่มาช่วย รวมๆกันน่าจะสิบกว่าคนได้
มีผู้ชายคนหนึ่งมาแนะนำตัวว่า เขาเป็นตำรวจ
ถามฉันว่า
หนูเป็นอะไรไหม โดนทำร้ายตรงไหนหรือเปล่า
ฉันก็ตอบว่าไม่เป็นไรมากคะ เขาไม่ได้ทำอะไร
ตำรวจคนนั้นก็เลย เล่าให้ฟังว่า ตอนนี้เขาส่งคนไล่ล่าคนร้ายอยู่
คนร้ายชื่อตาจงชาวบ้านแถวนี้ก็รู้จักดี
มีคนแจ้งว่ามีคนร้ายขโมยเรือ พอสอบถามเจ้าของเรือ
เขาก็ให้การณ์ว่า ตาจงเป็นคนขโมย
ตอนนี้ ก็ให้อีกทีมค้นหาอยู่
หลังจากที่ ออกมาจากบ้านหลังนั้นได้
ทางตำรวจก็ให้พวกเรากลับมาพักผ่อนก่อน ค่อยไปให้การณ์อีกทีตอนเช้า
พวกเรากลับมาถึงที่พัก
ฉันก็บอกเพื่อนๆว่า เรากลับกรุงเทพกันเลยนะ ฉันกลัว.. ไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว
เพื่อนก็บอกว่า
อืม .. ก็ต้องรอเรือมาตอนเช้าอะ เธออย่าพึ่งคิดอะไรมาก พักผ่อนก่อน
ฉันดู นาฬิกา ตอนนั้นราวๆ ตีสองแล้ว
เพื่อนๆต่างมอบแมมกันหมด เลยต้องอาบน้ำกันก่อนนอน
ส่วนฉัน รู้สึกว่าคือนี้ ยังไงก็คงหลับไม่ลงแน่
ก็เลยรออาบน้ำทีหลัง
พออาบน้ำออกมาเสร็จ เพื่อนบางคนก็หลับไปด้วยความเพลีย
เหลือเพื่อนสองคนยังไม่หลับ
ฉันก็เลยเดินไปนอนข้างๆ เพื่อนคนหนึ่ง
เพื่อนก็พูดว่า นอนไม่หลับซิเอ็ง
ฉันก็ตอบไปว่า อืม เธอไม่ง่วงหรือ
เพื่อนก็บอกว่าก็ เริ่มๆจะตาปิดแล้ว
ฉันก็เลยบอกว่างั้นเธอนอนเถอะ
แล้วเพื่อนคนหนึ่งก็เลยลุกขึ้นไปปิดไฟ
พอเพื่อนปิดไฟแล้วมานอน
ฉันจะข่มตาให้หลับ ก็หลับไม่ลง
ก็เลยลืมตาคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย
มองออกไปนอกระเบียงหลังบ้าน
เห็นท้องฟ้าแลบๆ เหมือนฝนจะตก
มีแสงสลัวสลัวจากภายนอก ส่องเข้ามาในห้อง
เลยทำให้ในห้องบางจุดไม่มืดนัก
อยู่ๆ ฉันก็เห็น ร่างคนเป็นเงาดำ เดินผ่านที่ปลายเตียง
หายไปทางห้องน้ำ
ฉันตกใจ ร้องกรี๊ดออกมา
จนเพื่อนก็ตกใจเสียงร้องของฉันไปด้วย
เพื่อนคนหนึ่ง สะดุ้งตื่น รีบลุกขึ้นมามองฉันแล้วพูดว่า เป็นอะไร
ฉันกอดเพื่อนไว้แน่น
เธอ เธอเปิดไฟให้หน่อย
เพื่อนคนหนึ่งก็ลุกไปเปิดไฟ
เพื่อนก็ถามว่าเป็นอะไร
ฉันก็กลัวเพื่อนจะกลัว ก็เลยบอกว่า เราเปิดไฟนอนกันนะ
ฉันกลัวความมืด
เพื่อนก็เลย เปิดไฟนอนกัน
พอทุกอย่างสงบลง ฉันก็คิดถึงวิญญาณที่ฉันเห็นที่บ้านหลังนั้นขึ้นมา
ทำให้ฉันนึกอยู่ในใจ
ยาย พรุ้งนี้เช้าฉันจะไปทำบุญไปให้ยายเลยนะ
ยายไม่ต้องมาหาฉันแบบนี้อีกแล้วนะ ฉันกลัว
ตื่นเช้ามา เพื่อนๆพากันจัดแจงเตรียมข้าวของใส่กระเป๋าเพื่อเดินทางกลับ
แต่ฉันก็ไปชวนเพื่อนว่า ก่อนกลับพาเราไปแวะที่วัดก่อนได้ไหม
เราอยากทำบุญก่อน
เพื่อนคงเห็นว่าเรายังไม่สบายใจ ถ้าได้ทำบุญแล้วคงสบายใจขึ้น
ก็เลยไม่ได้ขัด
พอเตรียมของเสร็จ พวกเราก็เลยแวะไปวัดแถวนั้นกัน
พอไปถึงวัด ปรากฏว่า วันนี้เป็นวัดพระพอดี คนเลยมาเต็มวัดไปหมด
พอไปถึงศาลา หลายคนเห็นพวกเราถือกระเป๋าพะรุงพะรังมากัน
ก็ต่างมองกันใหญ่
ไม่นานพวกเราก็เข้าไปนั่ง อยู่ในศาลาปะปนอยู่กับชาวบ้านแถวนั้น
แล้วก็เอากับข้าวที่ซื้อมา ไปใส่ในบาตรที่วางอยู่ด้านหน้า พร้อมกับเพื่อนๆ
นั่งรออยู่สักพักก็เห็นคนเริ่มถยอยมาวัดกันมากขึ้น
สักพักท่านมัคนายก ก็เริ่มพากล่าวนำ เพื่อถวายสิ่งของต่างๆแก่พระภิกษุ
จนมาถึงช่วงกรวดน้ำ ฉันก็นึกถึง วิญญาณที่เจอเมื่อคืน
แล้วก็ตั้งจิตกรวดน้ำไปถึงวิญญาณนั้น
เสร็จแล้วฉันก็เลยเอาน้ำ ไปกรวดที่ใต้ต้นไม้แถวนั้น
พอเสร็จสิ้น การกรวดน้ำ ชาวบ้านส่วนหนึ่งก็ถยอยกลับกัน
พวกเราก็เข้ามาเอากระเป๋าในศาลาแล้วก็จะกลับออกไป
ช่วงที่กำลังใส่รองเท้าอยู่
พอลุกขึ้นมากำลังจะเดินออกจากศาลา
ฉันก็เจอกับผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าฉัน
ผู้หญิงคนนั้นมองมาที่ฉัน ไม่กระพริบตา
ฉันก็มองเขาไม่ละสายตา
เพราะเขาหน้าเหมือนกับแม่มาก
แล้วผู้หญิงคนนั้นก็พูดขึ้นว่า บัวขวัญ
ฉันยืนตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก
เพราะภาพที่เห็นอยุ่ตรงหน้า ก็คือผู้หญิงคนที่ฉันตามหาเมื่อวาน
ผู้หญิงคนนั้น เดินมาเรียกฉัน ว่า หนู หนู จนฉันเริ่มมีสติกลับมา
ไม่ทันได้คิดอะไร อยู่ๆฉันก็โผลตัวเข้ากอดผู้หญิงคนนั้น โดยไม่รู้ตัว
ผู้หญิงคนนั้นก็กอดฉันไว้อย่างแนบแน่น
วินาทีนั้น ฉันรู้สึกว่า เหมือนได้พบกับคนที่เราคุ้นเคยมานานแสนนาน
ทั้งๆที่เราพึ่งเจอกันเมื่อสักครู่นี่เอง
อยู่ๆน้ำตามันก็ไหลพรั่งพรูออกมา จนยากจะอดกลั่น
ฉันได้แต่ สะอื้น ร้องเรียกว่า แม่ แม่ ออกมา แบบไม่อายใคร
ผู้หญิงคนนั้นเอามือมาลูปหัวฉันเบาๆ เหมือนจะปลอบใจ
มันทำให้ฉันยิ่งรู้สึกถึงความอบอุ่น แบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
สักพักจนทุกอย่างเริ่มกลับมามีสติ
ผู้หญิงคนนั้น จับไหล่ฉํน แล้วก็มองมาที่ฉัน พร้อมกับเอ่ยว่า
เหมือนมาก เหมือนมากๆ
ฉันมองหน้าผู้หญิงคนนั้น แบบ งง ๆ
แล้วเขาก็ถามฉันว่า หนูชื่อ อะไร
ฉันก็ตอบชื่อของฉันไป แล้วเขาก็ถามอีกว่า แล้วแม่หนูชื่ออะไร
ฉันก็ตอบว่า ชื่อขวัญค่ะ
ผู้หญิงคนนั้น ยิ้มออกมา เมื่อได้ยินชื่อนั้น
ดูมีอาการตื่นเต้นขึ้นมาทันที แล้วก็รีบถามฉันว่า
แล้วแม่หนูมาด้วยกันไหม
ฉันก็เลยตอบไปว่า
เปล่าคะ แม่หนูเสียไปตั้งแต่หนูยังเด็กๆ
พอได้ยินคำตอบ อยู่ๆผู้หญิงคนนั้น ก็มีอาการแบบยืนเซไปมา
จนเหมือนคุมอาการไว้ไม่อยู่ ถอยหลังไปชนกับคนที่เดินอยู่ข้างหลัง
แล้วก็เป็นลมล้มพับไป
จนฉันตกใจรีบวิ่งไปคว้าตัวเขาไว้ แล้วก็ได้ยินเสียงคนอื่นๆร้องเอะอะขึ้นว่า
คนเป็นลม คนเป็นลม
หลังจากที่ ช่วยกันนำผู้หญิงคนนั้นเข้ามานั่งพักในศาลาได้ครู่หนึ่ง
เธอก็เริ่มมีสติ
มองมาที่ฉัน
แล้วก็แนะนำตัวว่า ฉันชื่อ บัวแก้ว เป็นแฝดผู้น้องกับบัวขวัญ
ฉันตกตะลึง อึ้งไปพักหนึง ที่แท้แม่มีฝาแฝดนี่เอง
ผู้หญิงคนนั้น เอามือมาจับแขนฉัน ดึงฉันขยับไปอยู่ใกล้ๆ แล้วก็เอามือมาทาบที่แก้มฉัน
พร้อมกับพูดว่า
เหมือน เหมือนมากๆ อย่างกะคนคนเดียวกันเลย หนูเหมือนบัวขวัญเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนมาก
ตอนนั้นฉันเริ่มแปลกใจ ว่าทำไมน้าบัวแก้วถึงไม่รู้ว่า แม่เสียไปแล้ว เพราะพ่อบอกว่า
ตอนแม่เสีย ญาติๆของแม่มารับศพแม่กลับไปทำ พิธีที่บ้านเกิด
แต่ฉันก็ยังไม่ได้ถามอะไรน้า ได้แต่เก็บงำความส่งสัยนั้นไว้ก่อน
จนพอได้คุยกันสักพัก น้าบัวแก้วเริ่มมีอาการดีขึ้น แกก็เลยชวนพวกเราไปเล่นที่บ้านแก
โดยให้ หลานที่มาด้วยกันกับน้า ขี่มอไซค์กลับไปก่อนแล้ว น้ากับฉันและเพื่อนๆ
ก็นั่งรถคนที่น้ารู้จักแถวนั้น อาศัยติดรถไปลงแถวบ้านด้วย
พอถึงบ้านน้าบัวแก้ว สภาพบ้านเป็นบ้านไม้สองชั้น มีพื้นที่รอบๆ เหมือนเป็น สวน
พอเข้าไปข้างในตัวบ้าน พวกเราก็นั่งพักกันที่ โถงด้านหน้า
น้าเดินเข้าไปหลังบ้าน ร้องเรียก แม่ แม่.. มาดูอะไรนี่ เร็วๆ..
สักพัก น้าก็เดินออกมาพร้อมกับหญิงชราคนหนึ่ง และก็เด็กๆ สามคน
พอ เห็นฉัน หญิงชราคนนั้นก็ ร้องขึ้นว่า อี่ บัวขวัญ
แล้วก็เดินเข้ามาหาฉันอย่างเร็ว
ฉันทำอะไรไม่ถูก ได้แต่สวมกอดหญิงชราคนนั้น
หญิงชราคนนั้น ก็พูดขึ้นว่า เอ็งกลับมาหาแม่แล้วหรือ บัวขวัญ
หญิงชราก็ร้องไห้ออกมา จนฉันก็พลอยร้องไห้ตามไปด้วย
สักพักหญิงชราก็ จ่องมองหน้าฉันด้วยความสงสัย แล้วก็ถามว่า
ทำไมเอ็ง ยังดูเหมือนเดิมเลย อย่างกะตอนเด็กๆ
เสียงน้าบัวแก้วหัวเราะขึ้นมา
แล้วก็เข้ามาพูดกับหญิงชราคนนั้น
จะไม่เด็กได้ไงหละ ก็นี่ลูก นั่งบัวขวัญมัน ไม่ใช่บัวขวัญ
หญิงชราทำหน้า งง หันมามองฉันอีกที
แล้วก็พูดว่า
อ้าวหรือ ฉันก็ว่าอยู่ ทำไมมันไม่แก่เลยวะ
มามา ให้ยายกอด หน่อย หลานยาย
ไปไงมาไง นี่ลูก ถึงได้มาเจอกัน
ยายพูดออกมายกใหญ่
จนฉันก็ไม่รู้จะตอบยังไง
พอได้นั่งพูดคุยกันอยู่พักหนึ่ง ยายก็พูดขึ้นว่า
เออ แล้วนังบัวขวัญมัน เป็นยังไงบ้าง
เท่านั้นแหละ ทั้งฉันและน้าก็สะอึกขึ้นมา
แล้วฉันก็ตอบยายไปว่า แม่หนูเสียไปแล้วคะยาย
พอยายได้ยินคำตอบ แกก็หน้าสลดลงทันที
ทำเอาบรรยากาศตอนนั้น เงียบไปหมด
แล้วยายก็พูดขึ้นว่า บัวขวัญเอ้ย.. เองทำไมอายุสั้นแบบนี้
พูดไปพรางเอางมือปาดน้ำตาไป
น้าก็เลยเข้าไปปลอบยายว่า มันไปดีแล้ว แม่
อย่างน้อยเราก็ได้รู้แล้วว่ามันไม่มาแล้ว พวกเราจะได้ไม่ต้องรอมันอีก
ตอนนั้นบรรยากาศอยู่ในสภาวะเศร้าอยู่พักใหญ่
จนน้าหันมาเจอฉัน แกก็เริ่มมีสีหน้าดีขึ้นมา
แล้วน้าก็ชวนพวกเรา ค้างที่บ้านสักคืน
แต่พวกเรา บอกว่า ต้องกลับวันนี้แล้ว
เพราะติดธุระกัน
แต่เพื่อนๆก็บอกว่า ให้ฉันอยู่ต่อเถอะ ส่วนเพื่อนๆจะขอกลับกันก่อน
ฉันรู้สึกไม่ดี กลัวกลับคนเดียว แล้วมันจะยังไงอยู่
ก็เลย ปฏิเสธน้าไปว่า เดี๋ยวไว้วันหลังหนูแวะมาค้างด้วยนะน้า
น้าบัวแก้วก็เลย บอกว่า งั้นไม่เป็นไร ทานข้าวเที่ยงด้วยกันก่อน
เดี๋ยวน้าทำของอร่อย อร่อยให้ทานกัน
หลังจากนั้น พวกเราก็ เข้าไปในครัวเพื่อช่วยน้าบัวแก้วทำอาหาร
ช่วงที่ระหว่างเดินไปในครัว
มันมีทางที่ดูเหมือนเป็นช่องทางเดินเข้าไปอีกห้องหนึ่ง
อยู่ๆน้าบัวแก้วก็พูดขึ้นว่า
อ้อ .. เกือบลืมไป มา มา จุดธุปไหว้ พ่อกันก่อน
แล้วน้าก็พาฉันเดินเข้าไปในช่องทางเดินนั้น
พอเข้าไปในนั้น มันก็ไปทะลุอีกห้อง ห้องหนึ่ง
ในห้องนั้นมีข้าวของเครื่องใช้ๆต่างๆวางอยู่เต็มไปหมด
น้าพาไปยืนอยู่หน้าหิ้งพระ
แต่พอดูใกล้ๆแล้วไม่ใช่หิ้งพระ
เป็น หิ้งที่มีกระถางธุป และรูปผู้ชายคนหนึ่ง
น้าก็พูดว่า
นี่พ่อน้าเอง ท่านเสียไปตั้งแต่ตอนที่ บัวขวัญหายไป
พวกเราก็เลยจุดธูปไหว้ พ่อของแม่กัน
ตอนนั้นมันก็ยิ่งทำให้ฉันสงสัยว่า ทำไมแม่หายตัวออกจากบ้าน
แล้วตกลง พ่อไม่ได้มาสู่ขอแม่กับทางครอบครัวของแม่หรือ
มันทำให้ฉันเริ่มสับสนกับเรื่องราวต่างๆของแม่
แต่ก็ได้แต่เก็บความสงสัยไว้
จนพอเริ่มเข้าไปทำกับข้าวอยู่ในครัว
ฉันก็เลยถามน้าไปว่า
น้า.. ทำไมแม่ถึงหายตัวไป
น้าหันมามองหน้าฉัน
แล้วก็พูดว่า เรื่องมันยาวนะ..
แต่น้าก็จำได้ เหมือนเรื่องมันเกิดขึ้น เพียงเมื่อวานนี่เอง
แม้ว่ามันจะผ่านมาแล้วยี่สิบกว่าปีก็ตาม
ตอนนั้นฉันอยากรู้มาก ก็เลยบอกน้าให้เล่าให้ฟังหน่อย
น้าก็เลยเล่าว่า
ตอนนั้น ก่อนเรียนจบ บัวขวัญมันมีแฟนอยู่คนหนึ่ง
ชื่อ ไอ้จง เป็นคนในหมู่บ้านนี้ แหละ
ไอ้จงมันก็ ชอบบัวขวัญมาตั้งแต่เด็กๆ
จนบัวขวัญมันทนความตื้อของไอ้จงไม่ไหว
ก็เลยยอมตกลงเป็นแฟนกันไป
แต่นับวัน ยี่งโต บัวขวัญก็ยิ่งดูดี ไอ้จงมันก็เลยขี้หึงมาก
จนไม่ว่าบัวขวัญจะไปไหนมาไหน ไอ้จงจะแทบไม่ยอมให้คลาดสายตาเลย
พอหลังเรียนจบ บัวขวัญมันก็ได้ งานพิเศษทำในเมือง
เป็นงานคล้ายๆธุระการ อยู่ในไซด์งานก่อสร้างแห่งหนึ่ง
บัวขวัญมันบอกว่า ก็ทำงานที่นั้นไปก่อน รองานที่ไปสมัครไว้เรียกตัว
แต่พอไปทำงานที่นั้นได้สักพักหนึ่ง บัวขวัญมันก็มีอาการแปลกๆไป
คือ ชอบหลบหน้าไอ้จง จนไอ้จงเริ่มมาอาละวาดที่บ้าน
วันดีขึ้นดี มันก็กินเหล้ามา แล้วก็มาหาเรื่องทะเลาะกับพ่อ
บอกว่าพ่อ กีดกันไม่ให้พบ บัวขวัญ
แต่พอมันหายเมา มันก้มาขอโทษพ่อ
เป็นอยู่แบบนี้หลายหน
จนน้าทนไม่ไหว ก็เลยไปต่อว่าบัวขวัญมัน ว่าทำแบบนี้ทำไม
ถ้าไม่ชอบไอ้จง ก็ไปบอกเลิกมันไป
แล้วบัวขวัญก็เลยเล่าให้ฟังว่า ตอนนี้บัวขวัญคบหากับวิศวกรคนหนึ่งอยู่
ในไซด์งาน อยากบอกเลิกกับไอ้จง แต่กลัวมันจะไม่ยอมเลิก
แล้วก็กลัวมันจะตามไปทำร้ายแฟนใหม่ของบัวขวัญ
บัวขวัญมันก็เลยมาปรึกษาว่าควรจะทำยังไงดี
ตอนนั้นน้าก็เลยเข้าใจมัน แต่ก็ ปวดหัว คิดไม่ออกว่าจะต้องทำยังไง
จนหนักๆเข้า ไอ้จงเองก็อาละวาดหนักถึงขั้น ไปมีเรื่องชกต่อยกับคนในหมู่บ้านต่างๆ
ที่มันคิดว่า จะมาแย่งบัวขวัญ จนมันกลายเป็นหัวโจกคุมเกาะ ไม่มีใครกล้าไปตอแยกับมัน
อ้าวเสร็จแล้ว เดี๋ยวไปทานข้าวกันก่อน
แล้วน้าจะเล่าให้ฟังต่อนะ
พอฉันได้ฟัง ที่น้าเล่า มันก็ยิ่งรู้สึกว่า อยากรู้ต่อ
ช่วงที่กำลังทานข้าวกัน ฉันอยากจะถามอะไรอีกมากมาย
แต่ก็เกรงใจยาย ที่นั่งทานข้าวอยู่ด้วย
ยายเองก็ใจดีมาก ทานจะตักของอร่อยอร่อยมาให้ฉันกินจนเต็มจานเลย
หลังจากทานข้าวกันเสร็จ
น้าก็ถามฉันว่า อยากเห็นรูปบัวขวัญไหม
ฉันก็ตอบว่า อยาก แล้วน้าก็เลยพาพวกเราขึ้นไปที่ชั้นสอง
พอขึ้นไปถึงห้องนอนน้า น้าก็เปิดแอร์ในห้อง ให้พวกเรานั่งดูรูปแม่บัวขวัญกัน
ระหว่างที่นั่งดูรูปแม่อยู่
น้าบัวแก้วก็เริ่มเล่าเรื่องของแม่ต่อ
หลังจากที่ไอ้จงมันไปอาละวาดกับนักเลงหมูบ้านอื่น
เรื่องก็มาถึงหูบัวขวัญ ว่าไอ้จงมันจะให้ผู้ใหญ่มาสู่ขอ
บัวขวัญมันก็เลยตัดสินใจ ไปเจอไอ้จง เพื่อจะบอกเลิก
วันนั้นหลังจากไปเจอไอ้จงกลับมา
ตื่นเช้าไปทำงาน บัวขวัญมันก็ ไม่กลับมาบ้านอีกเลย
จนพ่อเองก็กินไม่ได้นอนไม่หลับ ออกตามหาตัวบัวขวัญกันทั้งคืน
แต่พอไปหาไอ้จงที่บ้าน ก็ปรากฏว่าไม่เจอมัน
ทั้งไอ้จงและบัวขวัญหายไปทั้งคู่
หลังจากที่ บัวขวัญหายไป ได้สามวัน ก็ติดต่อกลับมา
บอกว่า ตอนนี้ อยู่กับแฟนที่กรุงเทพ ไม่ต้องห่วง
และถ้าทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้ว จะพาแฟนไปกราบขอขมาพ่อกับแม่
พอได้รับรู้ว่า บัวขวัญไม่เป็นอะไรแล้ว พ่อก็ค่อยหายกังวลลงไปได้บ้าง
หลังจากนั้น ร่วมๆ 3 เดือน วันนั้นน้าไปตลาด
ก็ไปเจอไอ้จง นอนอยู่ข้างถนน เนื้อตัวมอมแมมไปหมด
น้าก็เลยไปถามมันว่า มันเป็นอะไร ทำไมมานอนอยู่ข้างถนน
พอมันเห็นน้า มันนึกว่าน้าคือบัวขวัญ มันก็เข้ามาจะฉุดกระชากลากถู น้า
แต่โชคดีมีคนแถวนั้นมาช่วยไว้
พอถามอะไรไอ้จงมัน มันก็พูดไม่รู้เรื่อง เพราะความเมา
ตั้งแต่วันนั้น มันก็กลายเป็นคนขี้เมา ประจำหมู่บ้านจนถึงทุกวันนี้
ส่วนบัวขวัญหลังจาก ติดต่อมาครั้งนั้น
พอผ่านไปได้สักสี่ห้าเดือน บัวขวัญก็โทรมาบอกว่า
กำลังท้อง และหลังจากนั้น บัวขวัญก็ไม่ติดต่อมาอีกเลย
จนพ่อก็เริ่มล้มป่วย บ่นคิดถึงบัวขวัญอยู่ทุกวัน
แล้วสุดท้ายต่อจากนั้นสามเดือน ท่านก็เสีย
และพวกเราที่เหลือ ก็ได้แค่รอบัวขวัญกลับมา จนถึงทุกวันนี้
หลังจากที่ฟังน้าเล่าทุกอย่างให้ฟัง ฉันก็ได้แต่คิดว่า
นี่แสดงว่าพ่อไม่เคยมาเจอญาติๆของแม่เลย
ถึงปล่อยให้พวกท่านรอแม่กลับมาอยู่แบบนี้
และก็ทำให้ฉันอยากรู้ความจริงขึ้นมาว่าแม่ของฉันเขาเสียเพราะอะไรกันแน่
พ่อคือคนเดียว ที่รู้ว่าแม่เป็นอะไร
หลังจากที่ร่ำลาจากยายและน้าแล้ว
ระหว่างทางที่กลับมา กรุงเทพ ฉันก็คิดเรื่องของแม่มาตลอดทาง
และก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมพอแม่เสียแล้ว
พ่อถึงไม่ติดต่อไปบอกครอบครัวของแม่เลย
หรือจริงๆแล้ว แม่อาจจะยังไม่เสียก็ได้
พอกลับไปถึงบ้าน เจอพ่อ ฉันก็รีบเข้าไปถามพ่อ เรื่องแม่ทันที
ฉันบอกพ่อว่า ฉันไปเจอ ญาติๆของแม่มาแล้ว
พวกญาติของแม่ไม่รู้เลยว่า แม่เสียไปแล้ว
ทำไมพ่อถึงต้องปิดบังหนูด้วย
พ่อหันมามอง ดูเหมือนตกใจ จนหน้าถอดสี
แต่ก็ยัง เงียบขรึม ไม่ได้ตอบอะไร
ท่านเดินไปนั่งตรงเตียง ก้มหน้า สักพักก็ถามว่า
หนูอยากรู้จริงๆใช่ไหม แม้ว่ามันอาจจะทำให้ชีวิตหนูเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล
พอพ่อถามแบบนั้น ฉันก็เดินเข้าไปนั่งขุกเข่าอยู่ตรงหน้าท่าน
แล้วก็บอกพ่อไปว่า พ่อบอกหนูมาเถอะ แล้วหนูจะไม่เสียใจเลย
พ่อมองหน้าฉัน แล้วก็เริ่มเล่าให้ฟังว่า
ตอนนั้นพ่อไปทำงานที่ ไซด์งานแห่งหนึ่ง แม่ของลูกเข้ามาสมัครงาน
ในไซด์งานก่อสร้างนั้นพอดี เลยทำให้ เราทั้งสองคนได้รู้จักกัน
และไม่นานพ่อก็ตกหลุมรักแม่ของลูกเข้าให้ แต่โชคดีที่แม่ของลูกก็ดูมีทีท่าที่ดีให้พ่อ
ไม่นานเราก็คบกันเป็นแฟน
หลังจากคบกันได้พักหนึ่ง พ่อพยายามจะตามแม่ของลูกไปบ้านเขา
เพราะเขาต้องลงเรือกลับบ้านทุกวัน แต่แม่ของลูกก็บ่ายเบี่ยงตลอด
ไม่ยอมให้พ่อตามไปบ้านด้วย
แม่ของลูกบอกว่ายังไม่พร้อม
รอให้คบกันนานกว่านี้ก่อนแล้วเขาจะพาไปไหว้พ่อไหว้แม่
ในไซด์งาน ไม่มีใครรู้ว่าเราคบกันเป็นแฟน
เพราะเราต้องปกปิดสถานะนั้นเอาไว้
ยกเว้นวันหยุดที่เราสองคนจะไปเที่ยวด้วยกัน
ในที่ห่างไกลตา เพื่อนร่วมงาน
เราคบกันแบบไม่เปิดเผย มาเรื่อยๆ
จนกระทั่งวันหนึ่ง
หลังเลิกงาน พอพ่อกลับเข้าที่พักแล้ว อยู่ๆ ก็มีคนมาเคาะประตูห้อง
พอเปิดประตูออกมา ก็เจอแม่ของลูกยืนร้องไห้อยู่หน้าประตู
อยู่ๆแม่ของลูกก็พูดขึ้นว่า
เราไปจากที่นี่กันเถอะ หนูอยากหนีไปให้ไกลแสนไกล
ตอนนั้นพ่อ ก็ งงๆ กับเหตุการณ์ตรงหน้า จนทำอะไรไม่ถูก
ได้แต่พูดว่า จะไปไหนกัน นี่มันจะมืดค่ำแล้วนะ ไม่กลับบ้านหรือ
แต่แม่ของลูกก็บอกว่า ไปไหนก็ได้ที่ให้ไกลจากที่นี่
ตอนนั้นพ่อไม่รู้ว่าแม่ของลูก มีปัญหาอะไร ก็เลย พาแม่ของลูกไปที่รถ
หวังว่า แค่ไปนั่งรถเล่นกัน แม่ของลูกอาจจะสบายใจขึ้นก็ได้
พอไปขึ้นรถ กำลังจะขับรถออกมา อยู่ๆก็เจอผู้ชายคนหนึ่งเข้ามาขวาง
พอเล่าถึงตรงนี้ ฉันก็ เผลอตัว หลงเรียกชื่อผู้ชายคนนั้นขึ้นมา “ตาจง”
พ่อหันมามองฉัน แล้วก็เล่าต่อ
ใช่ ผู้ชายคนนั้นชื่อ จง
พอแม่ของลูกเห็นผู้ชายคนนั้น ก็รีบ บอกให้พ่อรีบออกรถ
พ่อก็รีบขับรถออกไปทันที แต่ไม่นาน คนที่ชื่อจง ก็ ขี่มอเตอร์ไซค์ตามมา
พอมาใกล้ๆถึงรถ ก็ใช้เท้าถีบรถพ่อบ้าง ใช้ไม้ตีรถบ้าง
แต่ แม่ของลูกก็บอกว่า อย่าจอดนะ หนูไม่อยากเจอเขา
ตอนนั้นพ่อไม่รู้ว่าเรื่องอะไรกัน แต่ก็ตกใจที่มีเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น
ขับหนีไปจนครู่ใหญ่ เราก็หนีพ้น
แล้วพ่อก็ถามแม่ของลูกว่ามันเรื่องอะไร
แม่ของลูกก็บอกว่า ผู้ชายคนนั้น คือแฟนเก่า วันนี้เขามาดักรออยู่ที่ท่าเรือ
หนูไม่อยากเจอเขา
เท่าที่พ่อเห็น ผู้ชายคนนั้นดูคลุ้มคลั่งมาก ถ้าปล่อยให้แม่ของลูกไปกับเขา
เขาอาจจะทำร้ายแม่ของลูกก็ได้
หลังจากมาถึง กรุงเทพ แม่ของลูกก็ขอร้องอย่าให้พ่อกลับไปทำงานที่นั่นอีกเลย
เพราะกลัวว่า คนชื่อจง จะดักรอทำร้ายพ่อ
พ่อก็เลยต้องหางานใหม่ทำแทน
หลังจากนั้น พอแม่ของลูกติดต่อไปที่บ้านเขาแล้ว
เราก็กะว่า จะรอให้เรื่องมันเงียบสักสองสามเดือนก่อน
แล้วถึงจะพากันกลับไปไหว้พ่อแม่ของบัวขวัญ
แต่พอสามเดือนผ่านไป ก็ปรากฏว่า บัวขวัญเกิดท้องเสียก่อน
ก็เลยยังไม่ได้กลับไปบ้าน
จนกระทั่งบัวขวัญคลอดลูก มันเป็นวันที่พ่อดีใจมาก
เราใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
แล้ววันหนึ่ง หลังจากคลอดหนูได้ 8 เดือน
อยู่ๆบัวขวัญก็มาพูดอะไรบางอย่างกับพ่อ
พ่อเริ่มเสียงสั่นๆ น้ำตาคลอๆ บีบมือตัวเองแน่น
เหมือนจะฝืนความเจ็บปวดที่อยู่ในใจ ออกมา
แม่ของลูกบอกว่า ก่อนที่เราจะหนีกันมาในวันนั้น
คืนก่อนหน้านั้น แม่ของลูกได้ไปบอกเลิกกับแฟนเก่า
แล้วก็ถูกแฟนเก่าข่มขืน
พ่อเริ่ม น้ำตาไหลออกมา น้ำเสียงตะกุกตะกัก
แม่ของลูกบอกว่า เด็กคนนี้คือลูกที่เกิดจากแฟนเก่า
พอฉันได้ฟัง มันก็ทำให้ฉันรู้สึกอึ้งจนทำอะไรไม่ถูก ทุกอย่าง มันงวยงงไปหมด
ตัวฉันชาไปทั้งร่าง
พ่อก็ร้องไห้โฮ ออกมา อย่าง ยาก จะสุดกลั้นไว้ได้
หนูไม่ใช่ลูกพ่อ ..
เท่านั้นแหละ น้ำตาฉันก็ไหลออกมา โดยไม่รู้ตัว
ภาพต่างๆ ตั้งแต่วินาทีที่จำความได้ มันผุดขึ้นมาเต็มหัวฉันไปหมด
เห็นหน้าพ่อที่เคยหยอกล้อเล่นหัวกับฉัน
เห็นร้อยยิ้มของพ่อที่โอบกอดฉันอย่างมีความสุข
ขณะเดียวกัน ก็กลับรู้สึกถึงความโดดเดียวของท่าน
จนฉันแทบไม่อยากจะรับรู้อะไรอีกแล้ว
ฉันได้แต่เรียกว่า พ่อ ..
แล้วก็โผเข้ากอดท่าน
ฉันอยากจะลืมเรื่องทุกอย่าง
พ่อ หนูไม่อยากฟังอีกแล้ว
หนูไม่อยากรับรู้อะไรอีกแล้ว
พ่อเอามือมาจับที่ไหล่ของฉัน
แล้วก็พูดว่า
หนู ฟังพ่อนะ
นี่เป็นเรื่องที่ พ่อได้ทำผิดพลาดอย่างร้ายแรงที่สุดในชีวิต
พ่อไม่อยากให้มันจบลงด้วยการ ที่ไม่มีใครแก้ไขอะไรมันเลย
ถ้าเป็นไปได้ สักวันหนึ่ง ถ้าเรื่องราวทั้งหมดที่หนูได้รับรู้ไป
มันพอช่วยแก้ไขความผิดพลาดของพ่อได้
หนูช่วยจัดการมันแทนพ่อด้วย
แล้วพ่อก็เล่าเรื่องราวของแม่ให้ฉันฟังต่อ
หลังจากวันที่รู้ว่า ลูกไม่ใช่ลูกของพ่อ
พ่อก็เริ่มรู้สึก เฉยชาต่อแม่
และกลายเป็นคนไม่มีเยื่อใยที่ดีต่อแม่
ทั้งๆที่ก็รักแม่หนูมาก แต่มันก็เหมือนมีอารมณ์บางอย่าง
ทำให้พ่อต้องแสดงออกไปแบบนั้น
วันหนึ่ง แม่ของลูกก็ขนเสื้อผ้าอุ้มลูกจะออกไปจากห้อง
แม่ของลูกบอกว่า
หากเธอไม่ต้องการฉันแล้วฉันก็จะไปเอง
ตอนนั้นเราก็ทะเลาะกัน ฉุดกระชากลูกไว้
แม้ว่าพ่อจะเจ็บปวดที่ได้รับรู้เรื่องราวนั้น
แต่ก็รู้สึกเป็นห่วงและสงสารแม่ของลูกมาก
มันเป็นอารมณ์ที่ขัดแย้งกันในตัวพ่อ
จนพ่อเองก็ทำตัวไม่ถูกว่าจะเลือกแบบไหน
แต่หลังจากพ่อแย่งตัวลูกมาได้
แม่ของลูก ก็ออกไปจากห้อง ไม่เอาอะไรไปเลย
พ่อก็เลยคิดว่า แม่คงจะออกไป สงบสติอารมณ์สักพัก
แล้วก็คงจะกลับเข้ามา
พ่อรอแม่กลับมา นานมาก
แม้จะยังโกรธเขาอยู่ แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้
สุดท้ายก็เลยออกไปตามหาแม่ของลูก
ตามหาอยู่นาน แต่ก็หาไม่เจอ จนกระทั่งฝนตกหนัก
พ่อกลับมาถึงห้อง มีสายโทรเข้ามามือถือพ่อ พอดี
พอรับสาย
เป็นเสียงแม่ของลูก พูดออกมา
พอได้ยินเสียงแม่ของลูก พ่อก็รีบถามเขาทันทีว่า
เขาอยู่ไหน แต่แม่ของลูกไม่ตอบ ได้แต่ร้องไห้
แล้วก็พูดขึ้นว่า
พี่ หนูลาก่อนนะ ดูแลลูกให้หนูด้วย
พ่อก็รีบ ร้องตะโกนออกไปว่า
อย่าคิดอะไรสั้นๆนะ กลับมาคุยกันก่อน
แต่ไม่ทันได้คำตอบอะไร สายนั้นก็ถูกตัดไป
พ่อกระวนกระวายใจมาก พยายามออกไปตามหาบัวขวัญ กลางสายฝน
ไปทุกที่ ขนส่ง หรือแม่แต่สวนสาธารณะ
แต่ก็ไม่เจอแม่ของลูกเลย
รุ่งขึ้นพ่อพยายามติดตามข่าวต่างๆ ทุกอย่างเท่าที่พอหาได้
ว่ามีข่าวการเสียชีวิตของผู้หญิง ที่ไหนบ้างไหม
แต่ก็ไม่มี
พ่อออกตามหาบัวขวัญทุกวัน เท่าที่พอมีเวลาทำได้
จนเวลาผ่านไป เป็นเดือนๆ
แล้ววันหนึ่ง ก็มีโทรศัพท์สายหนึ่งโทรมา
ปลายสายเป็นเสียงผู้ชาย
คุณเป็นญาติกับผู้หญิงคนหนึ่งไหม
แล้วผู้ชายคนนั้นก็เล่าว่า
มีผู้หญิงคนหนึ่ง ตอนนี้อยู่กับเขา แต่เธอจำอะไรไม่ได้
จำได้แค่ เบอร์นี้ ผมเลยโทรมาหาคุณ
เท่านั้นแหละ พ่อก็รีบบอกว่าใช่ครับ ใช่ๆผมเป็นญาติเขาเอง
เธออยู่ไหนครับ
พอวางหูได้ ก็รีบไปหาตามที่เขานัดทันที
พอไปถึง บ้านหลังนั้น เป็นบ้านหลังใหญ่โตมาก
พ่อเข้าไปเจอคนที่นัดพ่อมา
เขาเล่าให้ฟังว่า
คือ....
ทางเขา ไม่อยากมีเรื่องขึ้นโรงขึ้นศาล และไม่อยากเป็นข่าวใดๆทั้งสิ้น
แต่เรื่องทั้งหมดมันเป็นอุบัติเหตุ เขาไม่ได้ตั้งใจ
เขายินดีจ่ายค่าชดเชยให้ทุกอย่าง
วันนั้น เขาขับรถอยู่ท่ามกลางสายฝน อยู่ๆก็มีผู้หญิงโดนลงมาจากสะพานลอย
หล่นลงมาโดนหลังคารถเขา แล้วน้องเขาก็กลิ้งตกลงมาหัวน๊อคพื้น
ตอนนั้นเขาก็ตกใจ ทำอะไรไม่ถูก กลัวว่าจะมีเรื่อง ก็เลยเอาน้องเขากลับมาที่บ้าน
แล้วก็โทรไปให้ หมอที่สนิท ที่มารักษาให้คนในบ้านประจำ มาดูอาการให้
ที่บ้านเราเคยมี เครื่องมือแพทย์ต่างๆ เยอะพอสมควร เพราะเมื่อก่อน
เรารักษาอาม่าอยู่ที่นี่ ก็เลยคิดว่าน่าจะช่วยได้
หลังจากดูอาการแล้ว หมอบอกว่าไม่เป็นอะไรมาก แค่หัวแตกแล้วก็ ถลอกตามตัว
พอเช้า เธอตื่นขึ้นมา ปรากฏว่า เธอจำอะไรไม่ได้เลย
ไม่รู้ชื่อตัวเอง ไม่รู้ว่ามีญาติอยู่ที่ไหน
พอหมอมาดูอาการ หมอก็บอกว่า
อาการแบบนี้อาจจะเป็นไปได้ว่า
เกิดกระทบกระเทือนทางสมองอย่างรุนแรง
มันก็มีสองเคสที่อาจเป็นไปได้คือ
ความจำเสื่อมชั่วคราว ไม่นานก็จะฝื้นความทรงจำกลับมาได้เอง
และทางที่สองก็อาจจะ ความจำเสื่อมถาวร
หมอก็เลยแนะนำให้ดูอาการไปสักระยะก่อน
เผื่อเขาจะจำอะไรขึ้นมาได้ ก็ค่อยไปหาญาติเขาอีกที
แล้วล่าสุด หลังจากให้เธอนึกว่า เธอรู้จักใครบ้าง
เธอก็บอกว่าเธอจำได้แค่เบอร์นี้
ผมก็เลยโทรไปหาคุณนี่แหละ
หลังจากฟังเรื่องราวกับชายคนนั้นแล้ว
พ่อก็มั่นใจว่า คือแม่ของลูกแน่ๆ
แล้วชายคนนั้นก็พาพ่อไปเจอ ผู้หญิงคนนั้น
พอพ่อเห็นแม่ของลูก
เธอจำพ่อไม่ได้เลย ไม่สงสัย ไม่เสียใจ
ไม่ได้รู้สึกอะไรกับพ่อทั้งนั้น
อยู่ๆ ความคิดบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในหัวพ่อ
จะดีกว่าไหม ถ้าบัวขวัญไม่ต้องมารับรู้ เรื่องราวอะไรอีกแล้ว
พ่อเห็นหน้าซื่อๆของบัวขวัญ ที่ไม่มีเรื่องราวทุกข์ใจใดๆ
อยู่ตรงหน้า
มันเป็นความสุข ที่เหมือนเด็กบริสุทธิ์ ยิ้มร่า
ทันใดนั้นเอง พ่อก็ตัดสินใจ บอกชายคนนั้นไปว่า
นี่ไม่ใช่ญาติของผม เป็นใครก็ไม่รู้ผมไม่รู้จักเหมือนกันครับ
ส่วนเบอร์ที่เธอจำได้ เธออาจจะจำส่งเดชไปเองก็ได้
ไม่รู้เหมือนกัน
ชายคนนั้น พอได้ยินพ่อพูดแบบนั้น เขาก็ดูกังวลเล็กน้อย
แล้วก็ ขอบคุณที่พ่อ อุตสาห์มาเป็นธุระให้
หลังจากวันนั้น พ่อก็ตัดสินใจแล้ว
จะบอกลูกว่า แม่ของลูกเขาเสียไปแล้ว
ฉันสะดุ้ง กระเด้งตัวลอย มามองหน้าพ่อ ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ
พ่อ จริงหรือ แม่ยังไม่ตาย
พ่อยิ้มให้แล้วก็พยักหน้า
ฉันรู้สึกดีใจมาก ๆ โผเข้ากอดพ่ออีก
แล้วพ่อยังจำบ้านหลังนั้นที่แม่ไปอยู่ได้ไหม
พ่อพยักหน้าอีก
แล้วก็พูดว่า ตอนนี้แม่ไม่ได้อยู่ที่นั้นแล้ว
ฉันมองหน้าพ่อ งงๆ
พ่อรู้ได้ยังไง
หลังจากที่ พ่อกลับมาจากที่บ้านหลังนั้น
ผ่านไปเกือบ 20 ปี
วันหนึ่งก็มีโทรศัพท์เบอร์แปลกๆโทรมาหาพ่อ
เป็นเสียงแม่ของลูก
ขอโทษทุกท่านด้วยครับ
น้องเขาไม่ได้เล่าต่อแล้วครับ
เนื่องจาก พ่อของน้องเขา ทิ้งน้องเขาไปแล้วครับ
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามครับ
เรื่องจากพันทิป เรื่องหัวแก้วหัวแหวน
เรื่องโดย สมาชิกหมายเลข 2227735
Post a Comment