ติดฝนมรณะข้างทาง ตอนหนึ่ง


     "ติดฝนมรณะข้างทาง"  นวนิยายสยองขวัญประพันธ์โดยสมาชิกพันทิป Furryjit นักประพันธ์นวนิยายสยองแห่งพันทิป อีกหนึ่งผลงานที่น่าติดตามทั้งการเล่าเรื่องและเนื้อเรื่องที่เข้มข้นสุดสยอง ขอขอบคุณสมาชิกพันทิป Furryjit สำหรับเรื่องสยองไว้ ณ ที่นี้ด้วย

คณะเดินทางของเราห้าชีวิต กอปรไปด้วยตัวผมนายเรศ กับพี่จักรสหายรุ่นใหญ่กว่าที่คบหากันมานาน ขาดไม่ได้คือเจ้าโรจน์เพื่อนรุ่นเดียวกับผม พ่วงท้ายมาด้วยน้องสาวเจ้าโรจน์ชื่อเกศและจอยเพื่อนหญิงสนิทร่วมรั้วมหาลัยเดียวกันกับเธอ

เริ่มต้นที่ ผม พี่จักร เจ้าโรจน์ วางแผนเป็นมติร่วมกันว่าจะไปแอ่วที่จังหวัดหนึ่งทางเหนือ เมื่อทราบ น้องเกศแสดงความกระตือรือร้นอยากไปด้วยทันที แต่ติดขัดอยู่ตรงที่เป็นผู้หญิงคนเดียวในคณะอาจจะไม่เหมาะ จึงขออนุญาตพาเพื่อนผู้หญิงอีกคนคือน้องจอยไปด้วยเพื่อคลายความประดักประเดิด

พวกเราเลือกที่จะเดินทางด้วยการขับรถไปเอง เราต้องการไปแบบกินลมชมวิว สบายๆ อยากแวะที่ไหน แวะ ค่ำที่ไหนพักที่นั้น

พาหนะที่ใช้คือรถกะบะโฟร์วีลแบบติดหลังคาต่อที่นั่งผู้โดยสารเพิ่มแบบถูกต้องตามกฎหมาย มีเบาะ มีเข็มขัดนิรภัยพร้อมรื้อระบบแอร์ เดินท่อน้ำยาใหม่เพื่อให้แอร์เย็นทั่วถึงทุกผู้โดยสาร

ตอนแรกตั้งใจจะเลือกเอารถตู้ของพี่จักรเพื่อความสะดวกสะบายในการเดินทาง แต่เมื่อคำนึงถึงเส้นทางที่อาจต้องสมบุกสมบัน ผ่านโค้งต่างๆมากมาย หนทางอาจขรุขระเป็นดินแดงบ้าง ระยะเวลาที่เดินทางก็อาจจะ1-2วันขึ้นไป. จึงได้เปลี่ยนมาใช้รถกะบะโฟร์วีลแทนแบบเอาสบายใจไว้ก่อน

เริ่มต้นจากอำเภอเมืองนครปฐมโดยการสลับกันขับของผู้ชายสามคนไปตลอดทาง ส่วนสองสาวก็ปล่อยให้พวกเธอชมดูทิวทัศน์สองข้างทางไป เท่าที่รู้มาเกศพอจะขับรถได้แต่เจ้าโรจน์มันไม่กล้าให้น้องสาวมันขับ ส่วนจอยเข้าใจว่ายังขับรถไม่เป็น แต่จะอย่างไรก็ดี สุภาพบุรุษอย่างพวกเราไม่คิดจะให้สุภาพสตรีสาวสวยทั้งสองขับรถอยู่แล้ว

ช่วงที่เราไปไม่ใช่ฤดูเทศกาล จึงหายห่วงกังวลในเรื่องแย่งเติมน้ำมันกับรถคันอื่นที่ไปเส้นทางเดียวกัน เรื่องที่พักก็ไม่ต้องแย่งกับใครเช่นกัน มีที่พักค้างคืนว่างมากมายสามารถจองได้ทางเน็ต เราถึงขับแบบค่อยๆเป็น ค่อยๆไปเรื่อยๆ ผ่านหลายที่ แวะหลายแห่ง เพราะยังไม่ชินกับการขับรถทางไกลอย่างต่อเนื่อง ผมเคยขับไกลสูงสุดตอนอยู่เรียนหนังสืออยู่อเมริกากับพี่จักร จากเมือง Berkeley เพื่อไปเที่ยวหิมะที่ Lake Tahoe ก็ยังมากสุดที่ 6ชม ไม่เคยไกลและนานกว่านั้น

ยังไม่มีอะไรน่าสนใจเล่าให้ฟังเป็นพิเศษ พอใกล้ค่ำเราก็จองที่พักค้างคืนจาก์โทรศัพท์มือถือ ผู้ชายสามคนพักรวมกันแบบง่ายๆ ส่วนหญิงสาวสองคนแยกไปพักด้วยกันอีกห้องหนึ่ง  ก่อนนอนเราเอาไวน์แดงที่เตรียมมาเปิดสังสรรค์กันเล็กน้อย เสองสาวยังไม่ง่วงเพราะเพิ่งจะสองทุ่ม ท่าทางอยากมาร่วมวงด้วยแต่คงยังเคอะๆ เขินๆและเกรงใจอยู่ แลทำให้พี่จักรดูขรึมๆไป ไม่สนุกสนานเหมือนตอนกินไวน์ด้วยกันทุกครั้ง ปล่อยผมคุยและดวดไวน์กันกับเจ้าโรจน์อยู่สองคนจนถึงเวลาอันควรก็เข้านอน

ตื่นเช้ามาวันที่สอง กลุ่มของเราก็ยังเดินทางแบบ เพลินๆไม่เร่งรีบ เรามาทางเส้นทางสายทอดยาวผ่านหลายจังหวัดที่นักขับรถท่องเที่ยวรู้จักกันดี ผ่านดอยที่มีชื่อเสียงไปเพราะเราทุกคนต่างเคยมาเที่ยวต่างวาระกันหลายครั้งแล้ว เลยเห็นพ้องต้องกันไม่แวะขึ้นดอยเป็นเอกฉันท์ ซึ่งแน่ว่าด่านไม่เก็บเงินค่าขึ้นดอยกับพวกเรา

ช่วงนี้จะเป็นทางลงเขา มีทางโค้งต่างๆและผมรับหน้าที่เป็นคนขับ พี่จักรจะหมั่นคอยถามสองสาวและเจ้าโรจน์ที่นั่งอยู่เบาะหลังบ่อยๆถึงสภาพร่างกาย เพราะเหมือนเริ่มมีอาการวิงเวียนกันแล้ว แต่ผมรู้ว่าแกทำเป็นแสร้งถามให้ดูครบทุกคนไปยังงั้นเอง เพื่อไม่ให้ผิดสังเกต เพราะจุดสนใจจริงๆของแกอยู่ที่น้องเกศมากกว่า ผมพอจะรู้อะไรๆตั้งแต่ตอนแวะไหว้พระธาตุที่วัดแห่งหนึ่งแล้ว แกคอยจะหาโอกาสถ่ายรูปคู่กับน้องเกศเสมอ ส่วนเจ้าโรจน์มันจะเอะใจหรือไม่ผมไม่ทราบได้ เพราะมันยังทำตัวปกติเลยอ่านใจมันลำบาก

 แม้จะแอบขำพฤติกรรมการวางฟอร์มของแกอยู่บ้างแต่ในใจผมสนับสนุนเต็มที่ เพราะตัวตนน้องเกศนั้นน่ารัก สวยใสตามวัยและธรรมชาติ ไม่มีจริตหรือปรุงแต่ง เช่นเดียวกับน้องจอยเพื่อนของเธอ เสียงหัวเราะแบบจริงใจและร่าเริงของสองสาวได้สร้างความชื่นบานให้กับผมมาตลอดทาง

อย่างไรก็ดี. เมื่อมาถึงจุดท้องนา และจุดชมทิวทัศน์ สถานะของสองสาวก็เริ่มดีขึ้นตามลำดับ อาการคลื่นไส้จากเส้นทางที่วกเวียนไปมาค่อยๆลดลงเมื่อจอดรถลงเดินสูดอากาศบริสุทธิ์

พวกเราแวะไร่สตอเบอรี่ และถ่ายรูปเก็บไว้อีกเช่นเคย พี่จักรอาสาช่วยน้องเกศถือถังเก็บสตอเบอรี่จนเต็มและกุลีกุจอจ่ายเงินให้ ไม่ว่าหญิงสาวปฎิเสธด้วยความเกรงใจอย่างไรก็ตาม

 เอาล่ะสิ มาถึงจุดนี้พี่จักรของผมเก็บอาการนิ่งไม่อยู่แล้ว ผมแอบอมยิ้มและลองสังเกตปฏิกิริยาเจ้าโรจน์ดูบ้าง และได้พบว่ามันยังก็เฉยๆอยู่เหมือนเดิม

ระหว่างหยุดอยู่ที่ตำบลแห่งหนึ่ง จุดประสงค์เราคือแวะขึ้นดอยเพื่อพักค้างคืนที่นี้ ตั้งใจชมดอกไม้ในวันรุ่งขึ้นยามเช้าตรู่ก่อนผ่านทางมุ่งหน้าไปอำเภอ ตอนนี่แหละที่เริ่มเกิดปัญหาขึ้นมา ฝนหลงฤดูเริ่มเทลงมาอย่างหนัก ฟ้าลั่นครืนๆ มีลมพายุ ทำให้เกิดความลำบากในการขับรถ

ยังเย็นย่ำไม่เท่าไหร่ แต่ฟ้ากลับมืดลงแบบเร็วผิดเวลา ทำให้พี่จักรที่รับหน้าที่ขับอยู่ตอนนั้นถอยรถเข้าข้างทางและสอบถามคนแถวนั้นถึงที่กินที่พักใกล้ๆ เพราะเราคงขึ้นดอยกันไม่ได้แล้ววันนี้

มีคนพื้นที่ใจดีบอกทางให้ แต่ในที่สุดเราก็ไปไม่ถูกอยู่ดี ตัวGPS ติดรถเกิดไว้ใจขึ้นมาไม่ได้เสียแล้ว ระบบเสียงบอกทางกลับเงียบหายไป ส่วนแผนที่ก็เปลี่ยนเป็นขยายมองมุมกว้างจากข้างบนจนไม่สามารถระบุตำแหน่งได้ และด้วยความที่เลี้ยวไปมาอีท่าไหนไม่ทราบดันเลี้ยวเข้ามาในถนนที่เป็นที่เป็นดินแดง ทางเข้าหมู่บ้านใดก็ไม่รู้ ซึ่งตอนนี้หนทางเหลวแฉะไปหมดแล้วจากสายฝนที่ตกกระหน่ำลงมาอย่างไม่หยุดหย่อน ร่องยาวตามถนนซึ่งไม่ว่าจะเป็นรอยลากของล้อ หรืออะไรก็ตาม มีน้ำขังทั้งหมด

ทั้งสองฟากทางมีแต่ทุ่งโล่งสลับกับดงไม้ กับป่าละเมาะ ในระหว่างทาง คั่นด้วยเพิงก่อสร้างหลังคาใบจาก ยกพื้นสูงจากดินทำด้วยไม้ไผ่หลายหลังตั้งห่างๆกันไปสิบกว่าเมตรลักษณะคล้ายเถียงนาขนาดใหญ่ในนาปลูกข้าวแต่เป็นร้านค้า ปกติร้านแบบนี้ จะมีผัก ผลไม้ พริก เครื่องแกงวางขาย รวมถึงของกินสำเร็จรูป หรืออาหารตามสั่งบางอย่าง

แต่ตอนนั้นเกือบทุกร้านกลับโล่งไม่มีทั้งลูกค้าหรือคนขาย อีกทั้งของขายก็เก็บไปหมด คงจะหนีฝนไปตั้งแต่ตั้งเค้า ทำให้ทั้งสองฝากฝั่งของถนนดูอ้างว้าง ปกคลุมด้วยความเปล่าเปลี่ยวของธรรมชาติ

เผอิญเจอร้านหนึ่งจากแสงไฟวับแวม เพิงสร้างจะดูใหญ่โตกว้างขวางกว่าหลังอื่น มีเตาถ่านและเตาย่างอยู่หน้าร้าน ทว่าดับไฟหมดแล้ว เหมือนเจ้าของจะเตรียมปิด แต่มองไกลๆเห็นยังมีถาดใส่อาหารวางอยู่หลายถาด

ด้วยความที่คณะเราเริ่มหิวกันมาได้ซักพัก ที่สำคัญคือน้องสาวทั้งสองคนก็มีแค่ผลสตอเบอรี่ที่เก็บมารองท้องเท่านั้น อันที่จริงในการเดินทางไกลผมไม่เคยประมาท ผมมีอาหารแห้งเช่นขนมปัง ปลากระป๋องติดรถมาด้วย หาร้านกินไม่ได้จริงๆก็เอาขนมปังนี้แหละจิ้มปลากระป๋องกินประทังไปได้มื้อหนึ่ง

ถึงกระนั้น หลังจากปรึกษาความเห็นทุกคน เราก็ลองเสี่ยงโชคด้วยการให้พี่จักรจอดรถข้างทางแล้วผมขออาสาเดินฝ่าสายฝนมุ่งหน้าเข้าไปที่เพิงมีแสงไฟสว่างเรืองๆแห่งนั้น เจ้าโรจน์วิ่งเหยาะๆตามลงมาเป็นเพื่อน ส่วนพี่จักรนั่งรอหลังพวงมาลัยกัพร้อมกับสองสาวในรถเพราะไม่มีประโยชน์ที่จะตามลงมาหลายคนให้เเปียกปอนกันเปล่าๆ

เมื่อมาถึง สิ่งแรกที่ผมเห็นบนแผงหน้าร้านคือเส้นขนมจีนม้วนเป็นจับกองทับกันบนถาด และถัดไปก็มีผักแกล้มเป็นใบ ก้าน สารพัด รวมถึงของย่างเสียบไม้สีเหลืองปนน้ำตาลที่เห็นได้ชัดว่าหมักเครื่องเทศมาอย่างดีดูน่ากิน

คนขายเป็นป้าร่างท้วมๆกำลังก้มหน้าห่ออะไรบางอย่างอยู่ ส่วนด้านหลังเป็นสาวรุ่นๆเห็นหน้าไม่ถนัดเพราะกำลังง่วนกับการเก็บวัสถุดิบเข้ากระติกใบใหญ่ที่มีวางอยู่หลายใบ บวกกับแสงสว่างที่มีจำกัดภายในตัวเพิง ทำให้เห็นอะไรต่อมิอะไรได้ไม่ชัดเจนนัก

เป็นอันโล่งใจว่ามีของกินแน่นอน หมดปัญหาไปเปลาะหนึ่งส่วนเรื่องที่พักค้างคืนคอยว่ากันอีกทีหลังท้องอิ่ม

ป้าแกกำลังขมักเขม้นห่อของด้วยกระดาษมันอย่างตั้งใจ แม้กระทั่งผมเดินเข้าไปใกล้ยืนห่างจากตัวป้าแกไม่เท่าไหร่ ก็เหมือนกับว่าหญิงผู้อาวุโสยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามีคนมายืนใกล้ๆ

แต่จู่ๆแกก็พูดทักขึ้นทั้งๆที่ไม่เงยหน้ามอง เป็นสำเนียงภาษาท้องถิ่น แปลได้ใจความว่า ไปแต่ใดมาพ่อหนุ่ม

ผมยกมือไหว้แกและแสดงเจตจำนงที่จะขอซื้ออาหารจากแก ยังพูดไม่ทันจบประโยคดี แกก็ขัดขึ้นแบบห้วนๆว่าไม่ขาย ร้านปิดแล้วฉันจะเก็บของกลับบ้าน ทำเอาผมตะลึงด้วยความงงงวยพูดไม่ออกไปพักใหญ่ ช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลยกับป้าคนนี้ จะเก็บของกลับบ้านทำไมให้ลำบาก เมื่อลูกค้ามายืนทนโท่ขอซื้ออยู่หน้าร้าน

เอาล่ะของสดไม่ทำให้ก็ไม่เป็นไร พอเข้าใจได้อยู่ว่าว่าร้านปิด แต่ของสำเร็จที่วางอยู่บนถาดแล้ว เมื่อทำมาแล้วทำไมถึงขายไม่ได้จะเก็บไปทิ้งเสียเปล่าๆกระนั้นหรือ ขณะที่ผมกำลังจะพูดให้แกเข้าใจว่าผมไม่ได้มีความประสงค์จะรบกวนให้แกทำของใหม่ใดๆทั้งสิ้น เพียงแค่ขอซื้อบรรดา ไก่ย่างตับปิ้ง และขนมจีนที่วางเรียงรายอยู่ในถาดเท่าที่มีอยู่และพร้อมจะกินแล้วเท่านั้น เต็มใจจะเหมาเสียด้วยซ้ำ

ปรากฎว่าก่อนที่ผมจะอ้าปากพูด ก็ต้องชะงักค้าง เพราะแกพูดขึ้นก่อน เป็นทำนองว่า

ฉันขายให้พ่อหนุ่มไม่ได้หรอก ของกินนี้มีเจ้าของแล้ว ฉันก็แค่ รอ ให้เขามากินเท่านั้นเอง

ผมไม่รู้จะอธิบายอย่างไรถึงความรู้สึกในตอนนั้น เหมือนกับป้าคนนี้รู้ความคิดของผมจึงชิงตอบออกมาก่อนล่วงหน้า

ชะรอยเจ้าโรจน์คงจะเห็นอาการยืนทื่อเป็นเบื้อใบ้ของผมว่าผิดปกติมันจึงเอื้อมมือมากระตุกแขนผมให้รู้ตัว พลางถามด้วยความเป็นห่วง

“เฮ้ย เรศแกเป็นอะไร ป้าเค้าไม่อยากขายก็ไม่เป็นไร รีบกลับไปรถกันเถอะ ไปหากินเอาข้างหน้า”

ทันทีที่เจ้าโรจน์เอ่ยชื่อผม ป้าคนนั้นที่มัวแต่ก้มหน้างุดทำงานมาตลอดเงยหน้าปราดขึ้นมาทันทีด้วยสายตาคมปลาบ แกมองมาที่ผมตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างพินิจพิเคราะห์เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ผมมายืนหน้าร้านแก แล้วแกก็ชะงักงันไปพักใหญ่

สายตาผมอาจจะพร่ามัวไปด้วยเม็ดฝนที่ขยันเทลงมาอย่างหนักหน่วงจนส่วนน้ำฝนส่วนที่ค้างบนศีรษะผมหยดย้อยลงมากลบบนดวงตาทั้งสองของผมก็เป็นได้  ทำให้ผมเผลอเห็นไปเพียงแว่บเดียวว่า ดวงตาป้าแกมีน้ำตาเอ่อคลอรื้นปกคลุมอยู่ขณะมองมายังผมอย่างเต็มตา และได้เห็นรูปปากแกขยับออกพูดชื่อผมโดยที่ไม่มีเสียงใดๆเปล่งเล็ดลอดออกมาแม้แต่นิดเดียว

ฉับพลับก็มีแสงไฟสว่างไสวเพิ่มขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยภายในเพิงร้านของแกราวกับใครตั้งเวลาเปิดเอาไว้ หญิงสาวที่ตอนแรกเห็นว่ากำลังสาระวนยุ่งอยู่กับงานในร้าน หันขวับมามองทางผมตอนนั้นในวินาทีเดียวกัน เป็นดวงหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพรา ผิวพรรณบ่มด้วยเลือดผุดผ่อง ตัดกับบรรยากาศมืดมัวข้างนอกอย่างสิ้นเชิง

ความยินดีปรีดาบนใบหน้าของเธอชัดเจนเสียยิ่งกว่ากระไร ดวงตาเธอสวยวับวาวยิ่งกว่าดาวบนท้องฟ้าไม่ว่าจะนำไปเปรียบกับดาวดวงใด เธอทำท่าจะเดินปรี่เข้ามาทางนี้ หากแต่เสียงของผู้สูงวัยกว่าได้ตวาดห้ามขึ้น

ไปตระเตรียมเอาอาหารมาให้เขา ความรู้สึกส่วนตัวอย่างอื่น เก็บไว้ก่อนเถิด หากคุณยังจำได้ก็เป็นบุญของแก”

ติดตามตอนที่สองได้ที่ ติดฝนมรณะข้างทาง ตอนสอง

เรื่องจากพันทิป  ติดฝนมรณะข้างทาง ตอนหนึ่ง
เรื่องโดย Furryjit

ไม่มีความคิดเห็น