ติดฝนมรณะข้างทาง ตอนสอง
เรื่องราวต่อจาก "ติดฝนมรณะข้างทาง ตอนหนึ่ง" ที่กำลังเข้มข้นและสนุกกำลังลุ้น ประพันธ์โดยสมาชิกพันทิป Furryjit นักประพันธ์นวนิยายสยองแห่งพันทิป ฝีมือของเขายอดเยี่ยมเปี่ยมไปได้คุณภาพ ขอขอบคุณสมาชิกพันทิป Furryjit สำหรับเรื่องสยองไว้ ณ ที่นี้ด้วย
นอกเหนือไปจากคำพูดที่ผมไม่เข้าใจนั้นแล้ว สิ่งที่ทำให้ผมฉงนใจยิ่งกว่าคืออากัปกิริยาที่กลายเป็นต้อนรับขับสู้อย่างกระฉับกระเฉงของป้าเจ้าของร้าน
ไปๆมาๆแกบอกว่าแกเปลี่ยนใจแล้ว ตอนแรกฝนลงเม็ดตั้งใจจะกลับบ้านแต่ตอนนี้มีลูกค้าแล้วจะขออยู่ต่อ ไม่เช่นนั้นของที่เตรียมมาจะเสียหมด
แต่เมื่อมองเห็นหน้าแกถนัด ผมก็พบว่าสีหน้า ท่าทาง แววตาของแก คนละอย่างกับที่พูด มันไม่ใช่พ่อค้าแม่ขายที่ดีใจเวลาขายของได้เลย
อะไรไม่รู้ทำให้ผมเผลอคิดไปว่านี้มันลักษณะของญาติผู้ใหญ่ที่พบปะหน้าบุตรหลานคนที่ไม่ได้เห็นหน้ากันมานาน แล้วแกก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนเครือ
ที่สุดก็เจอ หลงทางมาเหรอลูก โถ ซื้ออาหารจากป้าแล้วจะเอาไปกินที่ไหนกัน มากินข้างในเพิงนี่ดีกว่าไหมไม่โดนฝนหรอกนั่งกินกันได้สบายๆ ลานนั่งก็ยกพื้นสูง น้ำท่วมไม่ถึง ไปเรียกเพื่อนๆในรถลงมาเถอะไป๋
สิ่งที่แกพูดราวกับมองเห็นปัญหาเฉพาะหน้าพวกเราในตอนนี้ ทำเอาผมกับเจ้าโรจน์นิ่งอึ้งด้วยความประหลาดใจ
แกคงจะรู้ตัวว่าเผลอพูดอะไรไป เพราะแกรีบเสริมขึ้นทันทีว่า
ทางแถวนี้มีแต่ชาวบ้านใช้สัญจร ถ้าเป็นคนที่อื่นก็มีแต่หลงกันเข้ามาทั้งนั้นแหละ อย่าร่ำไรให้เพื่อนคอยนานเลย ท่าทางจะหิวกันแย่แล้ว ป้ามองจากตรงนี้ก็เห็นเพื่อนที่มาด้วยกันสามคนนั่งรออยู่ในรถ ไปบอกเพื่อนเลยว่าใกล้จะค่ำเต็มทีทางเส้นนี้ขืนขับต่อไปก็ไม่เจอร้านรวงอะไรหรอก มีแต่บ้านคนอยู่อาศัยไม่กี่หลังกับทางเปลี่ยวๆ
แต่เราสองคนไม่มีใครขยับตัวเพราะยังยืนงงกันอยู่ ดวงตาแกเกิดประกายขึ้นเล็กน้อยแล้วแกก็หันไปย้ำเสียงหนักๆกับเจ้าโรจน์ที่จับตามองแกอย่างสงสัย
ไปสิพ่อหนุ่ม เร็วๆ
น่าแปลกที่แกไม่ยักกะบอกผมแต่ไปบอกเจ้าโรจน์แทน แวบหนึ่งหน้าตาเจ้าโรจน์คล้ายคนเหม่อลอยตอนหันหลังวิ่งกลับไปที่รถท่ามกลางม่านฝนที่โปรยปรายลงมาอย่างหนัก ขณะที่ผมกำลังจะทัดทานอะไรป้าแกก็คว้าข้อมือผมไว้แน่นราวกับกลัวว่าผมจะหนีไปไหน
เข้าไปนั่งรอเพื่อนข้างในเถอะลูก ยืนอยู่ตรงชายคาฝนมันกระเซ็นใส่เดี๋ยวไม่สบาย
ไม่รู้ผมคิดไปเองหรือเปล่า ที่รู้สึกว่าน้ำเสียงของแกแฝงไปด้วยความห่วงใยเสมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งและโดยไม่ทันตั้งตัวแกก็ฉุดมือผมเดินเข้าไปในร้าน
คงจะเป็นด้วยความอ่อนเพลียจากการเดินทางตะเวนเที่ยวทั้งวัน ทำให้ผมรู้สึกตัวเบาหวิวไม่อาจขัดขืนได้ จึงเดินตามแรงจูงของแกไปอย่างว่านอนสอนง่าย
แกพาผมเข้ามาข้างในตรงที่ลานแคร่กว้างยกสูงจากดินแล้วกดตัวผมเบาๆให้นั่งลงราวกับผู้ใหญ่ทำกับเด็ก ความรู้สึกกึ่งตี่นกึ่งฝัน อะไรก็ไม่รู้ทำให้ผมรู้สึกว่ามีคนรู้จักทำกับผมเช่นเดียวกันอย่างนี้มาก่อน เหมือนมันเคยเกิดขึ้นมานานแล้วแต่ลางเลือนเหลือเกิน
และตาของผมคงจะพร่ามัวไปชั่วขณะ ในช่วงที่ป้าแกเดินไปยืนบังแสงไฟในร้านจังหวะพอดีผมมองไปแล้วคลับคล้ายคลับคลาว่า. เงาร่างนั้นช่างคล้ายคลึงกับ
หน้ามืดหรือลูก นวลเอ๋ย เอาผ้าขนหนูมาเช็ดตัวพี่เอ็งหน่อย
ผมกลับคืนสติและเห็นภาพตรงหน้ากระจ่างเหมือนเดิม ป้าแกยังคงยืนตรงหน้าผมและมองมาอย่างเป็นห่วง ทำให้ผมรู้สึกแปลกๆเลยเฉไฉไปว่า
“ไม่ต้องห่วงครับป้า วันนี้ผมกับเพื่อนจะอุดหนุนป้าอย่างเต็มที่ รับรองไม่ขาดทุนแน่นอน”
ผมพูดอย่างมั่นใจ เพราะเจ้าโรจน์มันเหมือนคนท้องมาร กินจุแต่ไม่รู้ว่าเอาไปไว้ไหน รูปร่างยังคงผอมอยู่เหมือนเดิม ส่วนพี่จักรเองก็ใช่ย่อยจัดว่ากินเก่งอยู่เหมือนกัน บวกกับสองสาวนั้นจะกินมากน้อยได้เท่าไหร่ก็แล้วแต่เพราะผมตั้งใจให้เงินป้าแกมากเกินค่าอาหารอยู่แล้ว เพื่อตอบแทนน้ำใจแก
พอได้ยินแทนที่จะดีใจป้าแกกลับมีสีหน้าเศร้าสลดลงแทน แกรีบหันหลังก้มหน้าเหมือนซ่อนอะไรบางอย่างแล้วพูดขึ้นเบาๆ อย่างไม่หวังให้ผมได้ยิน
อย่าเลย ฉันได้มามากเกินพอจากเธอแล้ว
หูผมคงจะฝาดไป หรือมิเช่นนั้นแกคงหมายความว่าแกคงบวกค่าอาหารเต็มที่แน่ๆคืนนี้ อย่างไรก็ดีผมยินดีจ่าย แต่ความคิดผมต้องสะดุดลงเพราะเห็นน้องเกศกับน้องจอยเดินเอาเสื้อแจ็คเก็ตตัวเดียวแบ่งกันคลุมหัวเดินเข้ามาพอดี
คงไม่ต้องสงสัยว่าเสื้อที่เสียสละให้สาวๆกันฝนเป็นของใคร เพราะเจ้าตัวเดินเเปียกม่อล่อกม่อแล่ก
อย่างจงใจให้ดูน่าสงสารพร้อมเจ้าโรจน์ที่เปียกโชกพอๆกันตามเข้ามา
“เอ้ะ ข้างในกว้างดีนี่หว่า” พี่จักรเอ่ยขึ้นทันทีที่เข้ามา“ หลบฝนสบายๆเลย ตอนแรกนึกว่านั่งกินไปจะโดนฝนสาดไป”
เป็นครั้งแรกที่ผมมองสำรวจภายในอย่างใช้ความตั้งใจแล้วก็เห็นด้วยกับแก มองดูโครงสร้างในเชิงสถาปัตยกรรมแล้ว หลังคาสูงแหลมและลาดเอียงแบบสามเหลี่ยมหน้าจั่วแถมยังต่อปีกหลังคายื่นออกไปโดยใช้ไม้ค้ำอีก เป็นลักษณะกันแดด ลม ฝน ได้ดียกเว้นหลังคาจะรั่วเท่านั้น หรือไม่ฝนก็ตกมาแบบผิดธรรมชาติคือตกทะแยงมุมเข้ามาโดยประมาณ30 องศา คนข้างในถึงมีโอกาสเปียกได้
ทั้งหมดเดินมานั่งบนแคร่ยกพื้นทำด้วยไม้กระดานกันแล้ว ปรากฎว่าทุกคนนั่งกันได้อย่างสบายๆไม่อึดอัด คือต่อให้นั่งเหยียดแข้งเหยียดขากันอย่างไร้มารยาทก็ตาม เนื้อที่ก็ยังพอมีอยู่ พื้นไม้มียวบยาบนิดหน่อยเวลาขยับตัวแต่ไม่มีความรู้สึกว่ามันจะทรุดฮวบลงไปแต่อย่างใด แต่ที่สำคัญเหนืออื่นใดคือฝนไม่โดนตัวเลยซักกระผีกทั้งๆที่กระหน่ำแบบไม่ลืมหูลืมตาอยู่ข้างนอกกระทบหลังคาและข้างฝาดังเกรียวกราว
พอนั่งลงได้พี่จักรก็เอื้อมมือมาตบบ่าผมพลางพูด
“แหมไอ้เสือ วาทศิลป์ดีนักนะน้อง มาพูดอีท่าไหนล่ะเจ้าของร้านถึงขนาดเปิดร้านให้อยู่ต่อหลบฝนเลยทีเดียว ส่วนไอ้โรจน์นี่พูดจาอะไรไม่รู้เรื่องตอนไปเรียกพี่กับน้องเกศน้องจอยลงจากรถท่าทางยังกับคนเมาไม่สร่าง พูดแต่ให้ลงมาๆไม่เลิก”
เจ้าโรจน์เอามือกุมขมับครุ่นคิดเหมือนกับมีอะไรจะพูด แต่ในที่สุดมันก็ตัดสินใจไม่พูดแล้วมันก็ล้วงขวดเหล้าที่พกติดตัวออกมาเปิดยกขึ้นดื่มเสียอย่างนั้น ทุกคนเห็นท่าทางมันก็ได้แต่งปลงไม่มีใครอยากห้าม
แล้วสิ่งที่ปรากฎต่อมาก็เหมือนแสงนวลแจ่มใสหยอกล้อแสงไฟเล่น เมื่อหญิงสาวคนนั้นดินนวยนาดเข้ามาหาผมพร้อมกับผ้าขนหนูในมือ ไม่ได้ยื่นให้เปล่าๆแต่ทำท่าจะเช็ดให้ด้วยต่อหน้าต่อสายตาใครๆ ทำให้ทุกคนต่างพากันมองตาค้าง
สีหน้าเธอเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกบางอย่างเต็มล้นเมื่อมองหน้าผม ทำไมผมถึงรู้สึกว่าสัมผัสของเธอช่างอ่อนโยน และละมุนคุ้นเคย จนกระทั่งผมแสดงอาการขัดขืนอย่างสุภาพนั่นแหละ เธอจึงได้หยุดความพยายามที่จะเช็คตัวผมต่อหน้าเพื่อนๆ
เริ่มรู้ตัวและแสดงทีท่าเขินอายเดินถอยห่างออกมาแล้วพูดเป็นภาษาคำเมืองว่า รอประเดี๋ยว จะไปนำอาหารมาให้ แล้วเธอก็เดินหันหลังไปยังบริเวณประกอบอาหารให้ลูกค้า
สายตาของทุกคนยังคงอยู่ที่ผม โดยเฉพาะพี่จักรที่มองผมดุจเป็นสิ่งมหัศจรรย์อย่างหนึ่งของโลก ในที่สุดแกก็หัวเราะพรืดออกมาเบาๆด้วยเกรงใจว่าเจ้าของร้านจะได้ยิน
“ไอ้เรศ แกนี้มันร้ายเหลือเกินเข้ามาก่อนพวกเราได้ห้านาทีแกติดแล้วหรือว่ะ แหมทำลายสติถิโลกจริงๆ”
ใครต่อใครล้วนอมยิ้ม ยกเว้นน้องเกศที่เม้มริมฝีปากแน่น มองมาทางผมด้วยสายตาขุ่นๆแบบตัดพ้อ บางทีผมอาจจะคิดมากไปก็ได้เพราะเวลาผมมองไปทางเธออีกทีก็พบว่าเธอหันหน้าไปทางอื่นแล้วทำท่าปกติเหมือนเช่นเคย
และแล้วก็วกกลับเข้ามาจุดสำคัญคือ ตั้งแต่อนุญาตให้เราเข้ามานั่งในร้าน ยังไม่มีใครในคณะได้คุยกับเจ้าของร้านอย่างเป็นกิจจะลักษณะถึงเรื่องอาหารที่เราจะได้กินมื้อเย็นนี้เลย แม้กระทั่งผมที่ได้เข้ามาอยู่ในเพิงนี้เป็นคนแรกก็ไม่มีคำตอบ แต่ฉับพลัน
หญิงสาวคนนั้นกับป้าเจ้าของร้านก็กลับมาพร้อมกับไก่ย่างที่กรุ่นๆไอร้อนและความหอมสมุนไพร รวมถึงข้าวเหนียวที่ยังคงความนิ่มระอุไว้ ตามด้วยขนมจีนแกงเขียวไก่มาเสริฟให้ทุกคน น้ำแกงข้นคลั่กน่าอร่อย มะเขือลอยฟ่อง มีเนื้อไก่ติดกระดูกโปะมาเต็มที่แถมด้วยเลือดไก่
และที่เด็ดไปกว่านั้นคือเนื้อแห้งที่ดูเหมือนแดดเดียวโรยหน้าด้วยงากับลาบอะไรแห้งๆเช่นกันแต่ทว่าดูเครื่องเยอะดีตามแบบฉบับคนเหนือ
เนื้อแห้งและลาบปลา สูตรดั้งเดิมแท้ หวังว่าทุกคนคงชอบ กินกันให้อร่อยนะ
ป้าแกพูดเช่นนั้น แล้วหันตัวเดินไปทางหน้าร้านพร้อมกับหญิงสาวที่ยังไม่มีใครรู้ความสัมพันธ์ระหว่างสองคน แต่ถ้ามีใครสังเกตจะพบว่าสตรีต่างวัยทั้งสองปรายตามาทางผมบ่อยมาก เหมือนกับประเมินความพอใจในเรื่องรสชาติอาหารจากสีหน้าผม
คณะของเราชมเปาะไปตามๆกันถึงเรื่องรสชาติอาหารนอกจากคนเดียวคือน้องเกศที่กินแต่พอเป็นพิธีเท่านั้น พอพี่จักรคะยั้นคะยอให้กินต่อเธอก็ยิ้มแย้มแจ่มใสบอกว่าค่ะ แต่พอผมพูดบ้างสีหน้าเธอแปรเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงทันทีตอบอย่างห้วนๆตามมารยาท
“เกศอิ่มแล้วค่ะ ขอบคุณ”
เสียงตึงๆของเธอแบบนี้ถ้าใครฟังแล้วไม่รับรู้ถึงความผิดปกติก็เรียกได้ว่าเซ่อเต็มที แต่ใครเล่าอยากจะทำลายบรรยากาศในตอนนั้น เจ้าโรจน์นั่งกระสับกระส่ายอยู่สักพักก็โพล่งขึ้น
“พี่จักรผมขอกุญแจรถหน่อย จะไปหยิบไวน์ในรถ”
ตอนแรกพี่จักรทำท่าจะคัดค้านแต่แล้วก็เปลี่ยนความคิด สถานการณ์ตึงเกลียวอย่างนี้มีสิ่งมาผ่อนคลายได้ก็ดี แกเลยควักยื่นกุญแจรถให้เจ้าโรจน์แล้วพูดด้วยเสียงอ่อนๆเพราะเริ่มมองเห็นความจริงบางอย่างลางๆ
“เออไปเอามา ถ้าจะให้ดีหยิบมาทีเดียวเลยสัก2-3ขวด จะได้ไม่ต้องเดินไปหลายรอบ ยังไงก็ติดฝน
แหง็กตรงนี้ไปไหนไม่ได้อยู่แล้ว”
แล้วพี่จักรก็หันหน้ามาทางผมพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เรศลองไปถามป้าเจ้าของร้านดูสิว่าพวกเราจะขออยู่ต่อได้ไหม เอาเป็นว่าขอนั่งแช่อยู่ตรงนี้ยันฝนหยุดแกจะคิดเงินเท่าไหร่ก็ช่าง เรียกว่าเหมาร้านทั้งคืนเลยก็ได้พี่จ่ายไม่อั้น”
ถ้าพี่จักรเสียงเครียดขึ้นมาอย่างนี้ก็ไม่มีอะไรดีไปกว่าทำตามคำขอของแก ผมลุกขึ้นจากที่นั่งเดินไปหาป้าเจ้าของร้านและหญิงสาวคนนั้นที่นั่งคุยอะไรกันอยู่เบาๆหลังแผงที่วางขายของ
ขนาดว่าเสียงฝนกระแทกดังกลบเสียงทุกอย่างแล้ว พวกเธอยังได้ยินเสียงเดินของผมอยู่ดีเพราะทั้งคู่นั้นหันมามองทันควัน
อาหารพอกินได้ไหมลูก
ป้าแกถามด้วยท่าทีที่แสดงให้เห็นว่าไม่ได้ถามไปแบบงั้นๆ แต่ตั้งใจรอคำตอบทีเดียว
“อร่อยทุกอย่างครับป้า” ผมตอบจากใจจริง “ ทำให้ผมคิดถึงอาหารที่คุณย่าทำให้กินตอนเด็กๆ”
ผมมองเห็นสีหน้าอันชื่นบานของพวกเธอแล้วรำลึกอะไรขึ้นมาได้ เป็นภาพความทรงจำเก่าๆที่ซีดจางไปตามกาลเวลา
บ้านหลังหนึ่งอยู่ในสวนใหญ่ เด็กชายคนนั้นวิ่งเล่นอย่างสนุกสนาน สตรีสูงวัยสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความเมตตาปราณีนั่งบนเรือนทำงานฝีมืออยู่ หากแต่นานๆทีจะเหลือบมองไปยังหลานชายตัวน้อยที่อยู่ในวัยซนกำลังเล่นบนลานพื้นหน้าบ้าน มีเพื่อนเล่นคือลูกแมวขนฟูสวยสีขาววิ่งกระโดดดักหน้า ดักหลังอยู่
“แววเอ๋ย ประเดี๋ยวฉันจะเอนหลังซักหน่อย ชักจะเมื่อยแล้ว” หญิงชราไม่ได้กล่าวกับใครแต่พูดกับสุนัขพันธุ์ไทยเพศเมียตัวสีน้ำตาลแดงที่หมอบอยู่ข้างๆไม่ไปไหนด้วยความจงรักภักดี อายุอานามของมันถ้าเปรียบเป็นปีของคนก็ถือได้หลายปีดีดักแล้ว
“ช่วยดูเจ้าเรศมันด้วย ให้วิ่งเล่นอยู่แถวๆนี้แหละพอ ถ้าหลานฉันจะไปไหนไกลกว่านี้ช่วยเห่าปลุกฉันที”
นางแววสุนัขประจำบ้านชูหูชันขึ้นอย่างรู้ความพร้อมทั้งส่งเสียงฮึ่มๆครางในลำคอเป็นการตอบรับ หญิงวัยไม้ใกล้ฝั่งคนนั้นลูบไล้ศีรษะของมันด้วยความพอใจและเอ็นดู ก่อนหาวหวอดใหญ่และก่อนค่อยๆล้มตัวลงนอนเธอส่งเสียงแผ่วเบา
“ดูแลหลานชายฉัน แวว ฉันไม่ไหวแล้ว”
เจ้านายผู้ใจดีของมันล้มฟุบหลับไปแล้วด้วยโรคของความชราภาพที่ร่างกายเหน็ดเหนื่อยง่าย แต่ไม่เป็นไร นางแววหมาตัวนี้จะสานต่อหน้าที่เพื่อตอบแทนความกรุณาของนายหญิงเจ้าบ้านที่เมตตาเก็บมันมาเลี้ยงตั้งแต่แบเบาะ ให้ข้าว ให้น้ำ จนรอดตาย ให้ที่คุ้มหัวจนวัยล่วงเลยเป็นหมาแก่แล้วปีนี้ จึงจะขอดูแลเด็กชายคนนี้ไปจนวาระสุดท้ายหรือจวบจนกระทั่งชดใช้บุญคุณหมดสิ้น
และที่ร่วมชะตาเดียวกันคือนางนวล ลูกแมวจรจัดที่คุณเรศเสี่ยงชีวิตกระโดดลงไปงมมาจากในท้องร่องสวน.มันจะต้องคืนหน้าที่ดูแลรักษาเป็นการใช้หนี้เช่นกัน
วินาทีนั้นภาพแห่งอดีตสลายวับไปเพราะผมเห็นเจ้าโรจน์เปิดหลังรถกะบะและหยิบขวดไวน์ออกมาไม่ต่ำกว่าสี่ขวด คืนนี้มียาวแน่
“คุณป้าครับ” ผมเอ่ยขึ้นอย่างเกรงใจ” คืนนี้ เรา พวกผมคงไม่มีปัญญาเดินทางต่อไปได้ พวกเราไม่รู้ทางแล้วฝนก็ตกหนัก อยากขออนุญาตป้าอยู่ในนี้รอจนกว่าฝนจะหยุดตก คือผมจะจ่ายให้ป้าและน้องคนนี้ให้คุ้มกับที่เสียเวลาและให้เรายืมสถานที่ครับ เอาเป็นว่า ผมมีเงินอยู่สองหมื่นและให้ป้าตอนนี้เลยครับ”
เมื่อครั้นจะหยิบเงินจากกระเป๋าให้ มืออันอบอุ่นมีเลือดเนื้อของป้าก็ยื่นมาประกบทับหลังมือผม และพูดจาแปลกๆ
เงินไม่มีความหมายกับป้าและนวลหลานสาวป้าหรอก ป้าเคยได้รับสิ่งที่ดีงามที่ประเมินค่าไม่ได้มากมายหลายเท่ามาแล้ว จากครอบครัวหนึ่ง สิ่งนั้นเรียกว่าความรัก”
ผมผงะไปเล็กน้อย สายตาผมคงสับสนระหว่างความมืดครึ้มที่เกิดจากฟ้าฝนข้างนอกร้าน ตัดกับไฟสว่างจ้าภายในร้าน ทำให้เกิดมองเห็น
ภาพสามมิติหลอกตาว่ามีอุ้งเท้าของสัตว์วางซ้อนทับอยู่บนมือของป้าอย่างจำแนกไม่ออก
ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม ความรู้สึกบางอย่างอวัยวะสองข้างนี้เคยแตะตัวผมมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน เพราะร่างกายผมจำสัมผัสนี้ได้ แม้ด้วยรูปลักษณ์ที่ผิดแผกไป จากอดีตสู่ปัจจุบัน
ในเรือนบ้านไม้ทรงไทยแห่งนั้น สุนัขพันธุ์ไทยตัวหนึ่งตอนแรกนอนคุดคู้อยู่นิ่งแต่สายตาระแวดระวังไปทั่วบริเวณ อีกทั้งโสตประสาทที่เหนือล้ำกว่ามนุษย์ก็คอยสำเหนียกตรวจหาสิ่งผิดปกติรอบข้าง พอเห็นเด็กชายที่เพิ่งเกิดได้หกเดือนในวัยหัดเดินยังไม่แข็งแรงทำท่าจะเดินกระเตาะกระแตะลงจากบ้านก็รีบผลุดลุกขึ้นมาทันทีแล้ววิ่งไปขวางทางเอาไว้พลางเห่าลั่นได้ยินทั่วบ้าน
ทั้งปากและสองขาหน้าของนางหมาตัวนั้นทำหน้าที่ทั้งเขี่ยและขวางไม่ให้เด็กเคลื่อนตัวไปไหนอีก เด็กน้อยคนนั้นแสดงอาการขัดใจเล็กน้อย แต่ในที่สุดก็ยอมแพ้เพราะไม่อาจฝ่าป้อมปราการที่คอยปกป้องนั้นได้
แล้วภาพก็ดับไปดื้อๆ ใครบางคนคงจงใจให้เห็นแค่นั้น
ได้ยินเสียงป้าพูด ถ้าเผอิญมองเห็นริมฝีปากแกตอนนี้จะพบว่ามันไม่ได้เผยอขึ้นแม้แต่น้อย
กลับไปสังสรรค์กับเพื่อนฝูงเถอะลูก บอกพวกเขาว่าให้หลับนอนในนี้ได้อย่างสบายใจทั้งคืน พอแจ้งพรุ่งนี้ฝนจะหยุดตามเวลา ให้กลับไปตามเส้นทางเดิมที่มาแล้วจะไม่หลงอีก
และก็มีเสียงเน้นย้ำตามมาว่า
เพื่อนของลูกเป็นคนดีทุกคน จงทำความเข้าใจกันเสียใหม่ อย่าให้ความเข้าใจผิดมาทำลายมิตรภาพ
ผมเดินกลับมาหาคณะของเราอย่างคนใจลอยไปชั่วขณะ จะว่าถูกสะกดจิดก็ไม่ใช่เพราะสติผมยังแจ่มใสทุกอย่าง เมื่อนั่งลงพี่จักรก็ถามทันที
“เป็นไงเรศ ป้าแกตกลงไหม”
สายตาทุกคู่รวมถึงสายตาที่ปั้นปึ่งนั้นด้วยมองมาทางผม ผมตอบสั้นๆว่า
“ป้าแกบอก คืนนี้นอนกันตามสบาย พรุ่งนี้เช้าฝนคงหยุดตก”
สีหน้าพี่จักรแสดงว่าโล่งใจไปส่วนหนึ่ง แต่พอคิดอะไรได้อีกแกก็ถามต่อ
“อ้าว แล้วค่าเสียหายล่ะ แกเรียกมาเท่าไหร่พี่จะได้เอาไปจ่ายให้แกเดี๋ยวนี้เลย”
สำหรับข้อนี้ผมไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรจริงๆ แกปฏิเสธไม่รับเงินของผม เผลออึกอักเล็กน้อยหวังว่าคงไม่มีใครสังเกตเห็น หากแต่สายตาคู่หนึ่งของคนที่นั่งตรงกันข้ามมองมาเหมือนจับพิรุธ
“ยัง ยังก่อนพี่ ป้าแกบอกยังไม่ต้องรีบจ่าย” ผมพูดได้แค่นั้น พอเห็นว่ามีแก้วน้ำธรรมดาที่ถูกเติมไว้ด้วยน้ำสีชาดแดวางอยู่ข้างหน้างข้างหน้า มองจากขวดไวน์ที่ถูกเปิดจุกเอาไว้แล้ว ผมก็เดาเอาว่าไม่พี่จักรหรือเจ้าโรจน์ต้องรินเอาไว้เผื่อผม
ไม่รอช้าผมรีบยกขึ้นจิบทันทีเพื่อกลบอาการ พี่จักรดูไม่ติดใจสงสัยอะไรหรืออาจกำลังใส่ใจอยู่กับเรื่องอื่นก็ได้ แกเหลือบตาไปยังน้องเกศที่นั่งห่างออกไปเพราะถูกคั่นด้วยน้องจอยอยู่บ่อยครั้ง ลักษณะลังเลที่จะพูดอะไรบางอย่าง
ตอนนั้นน้องเกศก็ถือแก้วน้ำองุ่นอยู่ในมือเช่นกัน สีแก้มของเธอแดงระเรื่อ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอากาศรอบข้างที่เย็นชื้นจนเผิวซีดห็นเลือดฝาดหรือแอลกอฮอล์ที่เข้าไปหมุนเวียนอยู่ในเลือดลมของเธอ แต่สีหน้าเคร่งขรึมเกินวัย
และนั่งข้างผมคือเจ้าโรจน์ซึ่งก็สุขประสามัน ขอเพียงบรรยากาศดีๆมีแอลกอฮอล์และอยู่กับเพื่อนฝูงมันจะพอใจอยู่แค่นั้น ไม่เคยเห็นบ่นอะไร
ส่วนอีกคน น้องจอย สำหรับผมมองว่าเธอเป็นคนมนุษยสัมพันธ์ดี เอาความขุ่นไว้ในใจความใสไว้ข้างนอก ไม่ชอบขัดใจหรือโต้แย้งอะไรกับใครทั้งนั้น เมื่อคนทั้งกลุ่มพอใจดื่มเธอก็ดื่มตามแต่ผมจะเห็นว่าเธอจิบแค่ครั้งเดียวและหลังจากนั้นถือแก้วไว้ในมือเฉยๆ
ขอย้อนไป บรรยากาศที่ไม่สุขสันต์ของคืนนี้ มีต้นเหตุเริ่มมาจากก่อนหน้าที่เรา
ยังอยู่ในไร่สตอเบอร์รี่
ตอนนั้นเราแยกกันเป็นสามกลุ่มเล็กๆ พี่จักรเดินตามหลังใครเพื่อนเพราะกำลังวุ่นวายกับการช่วยน้องเกศเก็บผลไม้ลูกเล็กสีแดง เจ้ากรกับน้องจอยเดินนำหน้าเว้นระยะหางไว้พอสมควรช่วยกันเก็บลูกไม้ใส่ถังเช่นกัน แต่คู่นี้ดูอย่างไรก็ไม่มีลักษณะของอาการเกี้ยวพาราสีเข้ามาเกี่ยวข้องให้ลุ้น แลดูคล้ายช่วยกันเก็บเฉยๆพูดจาสัพเพเหระเรื่องต่างๆไม่ได้เจาะจงอะไร
ตัวผมนั่นเดินอยู่หน้าสุด แยกมาคนเดียว ไม่ได้เก็บอะไรกับเขาหรอกแค่เดินมองโน้นมองนี้ไปเรื่อยเปื่อยสูดอากาศบริสุทธิ์ ไม่ได้สนใจว่าใครทำอะไรกันบ้าง
รู้ตัวอีกทีว่าแตกกลุ่มมาแล้ว ก็เมื่อพี่จักรส่งเสียงเรียกจากข้างหลังพร้อมกับวิ่งเหยาะๆมาหายื่นถังที่บรรจุผลไม้ไว้เกือบเต็มส่งให้
“เรศ ช่วยถือถังให้หน่อย พี่ปวดท้องว่ะ ช่วยน้องๆเก็บไปก่อนเดี๋ยวพี่กลับมา อย่าเพิ่งให้ใครจ่ายเงินล่ะ รอเสร็จแล้วพี่จัดการเอง”
แกยิ้มเจื่อนๆให้ทุกคนรวมถึงน้องเกศและปลีกตัวไปจากตรงนั้น คงไม่ต้องบอกว่าแกมุ่งหน้าไปไหน
ไม่มีใครพูดอะไรเพราะเข้าใจกันดี ผมเดินหิ้วถังสตอเบอร์รี่แดงสดย้อนกับไปหาน้องเกศที่ยืนมองผมอยู่
“เก็บกันต่อไหมครับ “ ผมถามยิ้มๆ แต่น้องเกศมีกริยาแปลกๆ เธอหลบสายตาผมแล้วพูดเบาๆ
“ไม่เป็นไรค่ะ กวนพี่เรศเปล่าๆ เกศเก็บเองได้ เห็นพี่ชอบเดินไหนมาไหนคนเดียว เดินกับเกศพี่จะรำคาญเปล่าๆ พี่ไปเดินชมวิวของพี่ต่อเถอะค่ะ ”
น้องเกศพูดราวกับว่าผมอยู่ในความสังเกตของเธอมาตลอด แต่ตอนนั้นผมไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น เพราะผมเห็นอะไรอย่างอื่นที่แปลงต้นอ่อนเนินลาดเป็นขั้นบันไดเขียวห่างออกไป
“มา มากับพี่เร็ว เห็นเด็กหญิงชาวเขาที่อยู่ตรงนั้นไหม เราไปขอถ่ายรูปกับเธอกันดีกว่า” ด้วยความที่ผมตื่นเต้นและน้องเกศแสดงออกงึกงักไม่ทันใจ ผมเผลอไปคว้ามือนิ่มน้อยข้างนั้นออย่างลืมตัวแล้วฉุดให้เดินไปข้างหน้าด้วยกัน โดยไม่มีเจตนาล่วงเกินใดๆทั้งสิ้น
แม้กระทั่งแก้มที่แดงสดใสขึ้นมาของหญิงสาว ผมไผล่คิดไปว่าแสงแดดอ่อนๆนั้นขับเลือดฝาดเธอให้ดูเปล่งปลั่งเสียอีก ไม่ได้รับรู้ว่านั่นคืออาการเอียงอายของผู้หญิง
ผมและน้องเกศได้ถ่ายรูปกับเด็กสาวน่ารักในชุดเผ่าลายถักสีชมพูอย่างสมใจ เมื่อย้อนกลับมาดูรูปภาพนั้นในภายหลังก็ต้องแปลกใจ ทำไมรูปถ่ายแรกในชีวิตผมกับเธอเราถึงได้กุมมือกันอย่างสนิทชิดเชื้อเช่นนั้น
เมื่อผมพยายามยัดธนบัตรสีแดงใส่มือสาวน้อยเป็นค่าขนม เธอมองมันราวกับเป็นวัตถุแปลกประหลาดและไม่แสดงความกระตือรือร้นที่จะรับจากผม ในที่สุดภาพแห่งความประทับใจก็เกิดขึ้น ณ ตรงนั้น
หญิงสาวเบื้องหน้าผมย่อตัวลงและปลดสร้อยข้อมือเธอที่ต่อให้ดูไม่เป็นอย่างไรก็รู้ว่ามีราคาออก แล้วสวมใส่ให้กับเด็กสาวชาวเผ่าอย่างอ่อนโยน คราวนี้สาวน้อยไม่ปฏิเสธเธอยิ้มออกมาอย่างถูกใจและพนมมือน้อยๆไหว้
แล้วก็ได้รู้ว่าตอนจับมือถ่ายรูปกัน น้องพอได้แตะสร้อยข้อมือสวยเส้นนั้นก็สนใจและไม่ละสายตาอีกเลยเหมือนเจอสิ่งของต้องใจ น้องเกศเธอเอ็นดูเด็กเลยถอดให้เป็นค่าจ้างนางแบบน้อย
“น้องเกศเป็นคนจิตใจดี” ผมพูดชมจากความรู้สึกที่แท้จริง “ผู้หญิงบางคนสวยแค่ภายนอก บางคนสวยจากภายใน แต่น้องเกศสวยหมดทั้งนอกและใน อิจฉาโรจน์จริงๆ พี่อยากมีน้องสาวอย่างเกศบ้าง”
ผมอาจจะพูดไปด้วยสำนวนนักประพันธ์ก็จริงแต่ไม่ได้โกหกหลอกลวงแต่ประการใด คิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น ปรากฎว่าน้องเกศจ้องตาผมนิ่งไม่ได้แสดงเลยว่าอยากจะอ้วกเพราะเลี่ยน สีหน้าและแววตาเธอยึดถือคำพูดอย่างจริงจังซึ่งผมก็ไม่ได้สนใจอะไร
หลังจากนั้นเราก็ได้มีโอกาสไปเที่ยวปางช้าง ได้นั่งช้าง ป้อนอาหาร อาบน้ำให้เผ่าพันธุ์ที่สุดแสนจะน่ารักพันธุ์นี้
และผมไปเจอแผงวางขายผลิตภัณฑ์พื้นเมือง เห็นสร้อยข้อมือมือเส้นหนึ่งสะดุดตาเหมือนทำด้วยโป่งขามหรือหินอะไรสักอย่าง อะไรก็ไม่รู้ดลใจให้ผมหยิบมันขึ้นมาและจ่ายเงินทันที
ผมเดินเอาสร้อยเส้นนั้นกลับไปที่คณะของเรา พอมีจังหวะผมก็ยื่นมันให้น้องเกศแบบไม่มีพิธีรีตอง
“เอ้า พี่ให้ พอดีไปเห็นมันสวยดี ราคาค่างวดมันไม่เท่าอันที่เกศให้เด็กผู้หญิงคนนั้นหรอก แต่เห็นข้อมือเกศว่างๆ ใส่ไว้แก้ขัดหรือจะเก็บเอาไว้เฉยๆก็แล้วแต่เกศ จะไม่เก็บมันไว้ก็ได้”
น้องเกศอึ้งไปชั่วขณะ รับสร้อยข้อมือจากผม แล้วเธอก็หลบหน้าซ่อนสายตาเสียอย่างนั้น
“ขอบคุณค่ะ” เท่านั้นคืออาการตอบสนองที่ผมจำได้ หลังจากนั้นก็ไม่มีรายละเอียดอื่นที่ผมเก็บมาใส่ใจอีก
จนกระทั่ง
“เกศ พี่จักรแกเริ่มรุกหนักแล้วนะ ฉันว่าแกหล่อและรูปร่างสมาร์ทมาก ฉันเองยังชอบเลย แกคิดยังไงห่ะ”
จอยเพื่อนสาวเอ่ยขึ้นมาตอนอยู่ด้วยกันตามลำพัง แต่เพื่อนตัวเองเองกลับก้มหน้านิ่ง ตรองใจก่อนพูด
“พี่จักรเป็นผู้ชายที่ครบทุกอย่าง แกจีบฉันทำไมจะไม่รู้ แต่ทั้งๆที่แกพยายามจีบฉันเป็นแฟนแต่ฉันกลับรู้สึกว่าแกเหมาะเป็นเพื่อนหรือพี่ชายที่ดีมากกว่า”
คำพูดต่อมา แม้แต่เพื่อนสนิทหล่อนก็ไม่ได้ปริปาก สิ่งที่เก็บกดไว้ในใจประโยคนั้น
“ฮึ คนนั้นสิ ชอบวางตัวเป็นแบบพี่ชายทุกอย่าง ไม่รู้ตัวเลยเหรอว่าฉันไม่เคยอยากได้คุณมาเป็นพี่ชายเพิ่มอีกคน”
ติดตามตอนที่สองได้ที่นี่ ติดฝนมรณะข้างทาง ตอนจบ
เรื่องจากพันทิป ติดฝนมรณะข้างทาง ตอนสอง
เรื่องโดย Furryjit
Post a Comment