ควายอีเหลียม


      "ควายอีเหลียม" จากประสบการณ์จริงของสมาชิกพันทิปชื่อว่า TharaJF เรื่องนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องราวที่น่ากลัวมากนัก แต่เป็นความผูกพันระหว่างคนและความ  ขอขอบคุณประสบการณ์สยองไว้ ณ ที่นี้ด้วย

เมื่อสมัยเรายังเด็กน้อย ทุก ๆ ปิดภาคเรียนพ่อแม่มักจะส่งไปอยู่กับตายายที่ต่างจังหวัด เพื่อให้ได้ใกล้ชิดกับญาติผู้ใหญ่
ไปอยู่เหนือบ้างอิสานบ้าง ในวัยเด็กพวกเรามักจะเล่นกันสนุกสนานจนลืมเวลา ทำให้ตายายต้องถือไม้เรียวมาตามเข้าบ้าน
เป็นประจำ ยิ่งเวลาปิดเทอมช่วงฤดูหนาวก็จะได้เจอกับการก่อกองไฟผิงอยู่หน้าบ้านแล้วเอามัน เอาเผือกมาอังไฟกินร้อน ๆ
ยายเป่าเผือกให้ฟู่ ๆ แล้วป้อนใส่ปากเราคำ ใส่ปากน้องชายคำ มันอร๊อย อร่อย ^^ เช้ามาตายายพาจูงควายเข้านา มีลูกควาย
เดินตาม น้องชายก็ขี่หลังควายไปนา แลดูรักควายตัวนี้มาก พร้อมตั้งชื่อให้ว่า “อีเหลียม” เราก็วิ่งนำหน้าลิ่ว แวะดูรูปูนาตามคันนา
เอามือแหย่รูปู ปูหนีบมือ ร้องไห้โฮ 555

เรื่องที่จะเล่าวันนี้เกี่ยวกับควายที่ชื่อ อีเหลียม ขอใช้คำว่าอีเหลียมเพราะในภาคอิสานเรียกอีแบบนี้ก็ไม่ใช่คำหยาบอะไร
น้องชายเรายังเด็กมากตอนที่ขี่หลังอีเหลียม แต่อีเหลียมก็เหมือนจะเข้าใจภาษาคน มันจะนั่งลงให้น้องชายเราปีนขึ้น
แล้วค่อย ๆ เดินจากบ้านไปนา มันก็ดูรักน้องชายเราเหมือนกัน ใครว่าควายวิ่งเล่นไม่เป็นไม่เชื่อหรอกเพราะอีเหลียมนี่แหละ
ที่มันวิ่งเล่นกับน้องชายเราตอนเด็ก อาจจะเพราะวัยใกล้เคียงกัน อีเหลียมเป็นลูกควายที่อายุไม่กี่ปี ความเป็นเด็กของมันยังมีอยู่
แต่มันไม่ได้วิ่งเล่นด้วยความปราดเปรียวเหมือนสุนัขหรือสัตว์ชนิดอื่น เพราะควายเป็นสัตว์ที่เชื่องช้า กว่าจะก้าว กว่าจะอ้าปาก
และเมื่อใกล้เปิดเทอมก็ถึงเวลาล่ำลา น้องชายมักจะเข้าไปในคอกแล้วกอดหอมแล้วบอวก่า “ปิดเทอมจะกลับมาใหม่เด้อ”
แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลานแต่ละคนก็โตขึ้น ปิดเทอมบางครั้งก็ไม่ได้กลับบ้านยาย เพราะบางครั้งก็กลับบ้านปู่ย่าที่เหนือบ้าง
ดังนั้นจึงไม่ได้กลับบ้านยายที่อิสานในทุกสามเดือนอีกแล้ว จะเหลือแค่ปีละครั้งหรือนานทีครั้ง ซึ่งเมื่อพวกเราโตขึ้นและ
กลับบ้านยายก็ไม่ได้มีช่วงเวลาที่ไปเล่นกับควายหรือไปนาเพราะมีกิจกรรมอื่น ๆ ให้ทำอีกเยอะแยะไปหมด

เมื่ออีเหลียมอายุได้ประมาณ 5 ปี ถือว่าเป็นช่วงที่โตเต็มวัยใช้แรงงานได้เต็มที่ เรากับน้องชายก็ได้ไปบ้านยายอีกครั้ง
ซึ่งครั้งนี้ น้องชายเราก็โตตามวัยใกล้เคียงกับควาย (ไม่แน่ใจอายุควายนับแบบไหน) เมื่อไปถึงทักทายตายายหอมกอด
จนพอใจ พวกเราก็ลงจากบ้านไม้ยกพื้นแล้วอ้อมไปทางด้านหลังของบ้าน ก็เจอกับคอกควายซึ่งมีควายอยู่ 3 ตัว ขนาด
ไล่เลี่ยกัน ดูแล้วไม่เห็นความแตกต่างและจำไม่ได้เลยว่าอีเหลียมคือตัวไหน แต่ทันใดนั้น เมื่อน้องชายเราโผล่หน้าเข้า
ไปในคอก ปรากฏว่าควายตัวหนึ่งค่อย ๆ เดินเข้ามาหาแล้วยื่นจมูกมาปะทะกับหน้าน้องชาย เราก็ตกใจรีบคว้าแขนน้องชาย
ออกห่างจากคอก แล้วควายก็ส่งเสียงร้อง ออ ออ (ประมาณนี้) น้องชายก็สะบัดแขนเราออกแล้วมุดเข้าคอกควายวิ่งไปกอด
ควายตัวนั้นก็ร้อง ออ ออ แล้วพยักหน้าเอาจมูกถูตัวน้องชายเรา

“อีเหลียมแม่นบ่?” น้องชายเราลูบควายตัวนั้นพร้อมถามว่าใช่อีเหลียมหรือเปล่า

มันส่งเสียงร้อง ออ ออ แล้วยายลงมาก็บอกว่า เอ้า จำกันได้ด้วยหรอเนี่ย คิดว่าจะลืมหน้ากันไปแล้วซะอีก นี่คือสิ่งที่เราเห็น
ว่าควายเป็นสัตว์ความจำดี จริง ๆ

ปิดเทอมนี้พวกเราได้มาอยู่บ้านตายายที่อิสานประมาณ 3 อาทิตย์ น้องชายมักจะอาสาพาควายทั้งสามตัวไปนาทุกวัน
ตากับน้องชายจูงควายออกไปที่นาแล้วปล่อยให้กินหญ้าตามวิถีชีวิตดั้งเดิม ส่วนตาก็ทำนาหว่านข้าว น้องชายก็จะรอที่
เถียงนา (กระต๊อบ) พร้อมร้องเพลงให้ควายฟัง ทำแบบนี้เป็นประจำทุกวัน ส่วนเรายายมักจะพาไปทำขนมไทยห่อใบตอง
ที่ศาลากลางประจำหมู่บ้าน จะมีกลุ่มยาย แม่บ้าน และเด็กที่รู้เรื่องบ้างแล้วมานั่งห่อขนมใส่ใบตองแล้วจะมีคนเอาหาบ
ไปเร่ขายที่ตลาดตอนสาย ๆ เมื่อห่อขนมเสร็จบางครั้งเราก็เดินเตร็ดเตร่ไปตามท้องนาคนเดียวบ้าง เดินเข้าไปหาตากับ
น้องชายบ้าง ระหว่างทางเจอรูปู ก็ยังไม่วายที่จะเอานิ้วแหย่รูปูเหมือนเดิม 555

ว่ากันต่อที่ควายอีเหลียม จริง ๆ แล้วควายเป็นสัตว์ที่ฉลาดมากนะคะ จากประสบการณ์ตรงที่ได้สัมผัสและน้องชายก็
ยืนยันอีกเสียงว่าฉลาดและจำคนเก่งจริง เพียงแต่ควายเป็นสัตว์ที่ช้าและพูดไม่ได้ (ก็ใช่น่ะสิ) ควายไม่ได้น่ารัก
ไม่ได้น่าลูบหัว ผิวไม่นุ่ม ถูกใช้แรงงานกลางแดดทำงานหนัก คนจึงเปรียบเปรยควายต่ำต้อยและไม่น่าเอ็นดู
แต่เรากับน้องชายไม่คิดเช่นนั้น ทุกครั้งที่พวกเราอยู่ใกล้ชิดควาย เรากลับรู้สึกเอ็นดูพวกมัน ลองมองเข้าไปที่ดวงตา
ของมันสิคะ จะเห็นว่าตาแบ๊วเหมือนใส่บิ๊กอายเลย เวลายิ้มมันจะทำปากจือแล้วแยกเขี้ยวแบบนี้

พวกเรามีความสุขทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้ควาย เมื่อใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันนานวันเข้าความผูกพันก็มีมากยิ่งขึ้น น้องชายก็เรียนรู้
ความเมตตาโอบอ้อมอารีมาจากควาย การได้ขี่หลัง พาไปเล่นโคลนอาบน้ำ กินหญ้า มันเป็นสิ่งที่ธรรมดาแต่ล้ำค่าใน
ความทรงจำมากสำหรับพวกเรา

ใกล้ถึงวันสุดท้ายที่ต้องอยู่ที่นี่ พวกเราต่างอาลัยอาวรณ์ที่จะต้องจากควายทั้งสาม โดยเฉพาะอีเหลียม ควายที่น้องชาย
ตั้งชื่อแล้วเรียกมันว่า "พี่สาวสุดสวย" ดูมันก็รับรู้ถึงความเศร้าของน้องชายได้ มันมาเดินคลอเคลียส่งเสียงร้อง ออ ออ
แล้วฉีกยิ้มสะบัดหูสะบัดหาง น้องชายจึงได้หัวเราะอีกครั้ง ก่อนวันกลับน้องชายวิ่งไปกอดอีเหลียมแล้วกระซิบข้างหู
จากนั้นก็วิ่งมาขึ้นรถที่พ่อขับมารับจากกรุงเทพฯ ระหว่างทางเราถามน้องชายว่าคุยอะไรกับควาย น้องชายบอกด้วยเสียง
เศร้า ๆ ว่า "ข่อยสิมาหาใหม่เด้อ คึดฮอดเจ้าหลายเด๊" (เราจะมาหาใหม่นะ คิดถึงแกมาก ๆ)

สุดท้ายแล้วระยะเวลาก็สามารถเปลี่ยนใจคนได้ เมื่อกาลเวลาเคลื่อนผ่านไปในแต่ละวัน ความทรงจำของเด็กน้อยที่มีต่อ
ควายก็เริ่มเลือนหาย แทนที่มาด้วยวิดีโอเกมส์และกิจกรรมบันเทิงที่แทรกเข้ามาอยู่ในทุกช่วงเวลาของชีวิต
มนุษย์นั้นลืมง่าย มีสิ่งต่าง  ๆ คอยโน้มน้าวจิตใจให้หลงใหลไปกับสิ่งรอบตัว แต่สัตว์นั้นอยู่ที่เดิม ความทรงจำมีเท่าเดิม
และอาจจะไม่เปลี่ยนแปลงเลยด้วยซ้ำ

เมื่อเวลาผ่านไปจนถึงช่วงที่เราและน้องชายเข้ามัธยม มีวันหยุดนักขัตฤกษ์ติดกัน 3 วัน จึงถือโอกาสนี้กลับไปบ้านยายอีกครั้ง
โดยครั้งนี้พ่อและแม่ก็หยุดงานและเดินทางไปด้วยกัน ระหว่างเดินทางพวกเรานั่งระลึกความหลังเมื่อวัยเยาว์เกี่ยวกับบ้านยาย
แล้วมาฉุกคิดถึงควายที่ชื่ออีเหลียมว่าป่านนี้มันจะโตมีลูกไปแล้วหรือยัง หรือว่าจะแก่หงำฟันร่วงหมดปากไปแล้ว พูดแล้วก็พา
กันหัวเราะชอบใจ "ถ้าควายฟันร่วงแล้วมันยิ้มให้เราเหมือนตอนนั้น หน้าคงตลกมากเลยนะพี่" 555 พวกเรานั่งขำพลางนึกถึง
หน้าของมัน ตะวันใกล้ตกดินพวกเราก็เดินทางมาถึงบ้านยายที่ยังคงสภาพเป็นบ้านไม้ยกพื้นชั้นเดียว ใต้ถุนมีแคร่ไม้ไว้รับแขก
และหากมองลอดผ่านสุ่มไก่ใต้ถุนบ้านไปก็จะเห็นคอกควายที่มีกองฟางสุมความสูงท่วมคอกวางอยู่ ได้ยินแต่เสียงกระดิ่งที่เอา
ไว้สนตะพายที่จมูกของควายดัง กริ๊ง พร้อมกับเสียง ออ ออ เบา ๆ  แต่พวกเราก็รีบวิ่งขึ้นบันไดไปไหว้ตายายและนั่งกินข้าว
กับอาหารพื้นบ้าน คุยเล่นอย่างสนุกสนาน จนเวลาล่วงเลยจึงได้จัดการอาบน้ำแล้วเข้านอน

เช้าวันรุ่งขึ้นพวกเราไปวัดทำบุญกัน พ่อแม่ตายายแวะไหว้ผู้หลักผู้ใหญ่และพูดคุยกันอยู่นาน เราและน้องชายจึงขอตัวเดินกลับ
มาที่บ้านกันก่อน ระหว่างทางมีงานบุญแห่เทียน พวกเราก็แวะดูขบวนแห่ มีนางรำ กลองยาว ชาวบ้านรุมล้อมดูขบวนแห่กัน
อย่างเนืองแน่น พวกเราก็อยู่ดูและมีเต้นไปตามจังหวะบ้าง จึงเป็นที่สนอกสนใจแก่ชาวบ้านแถวนั้นพอสมควร ผ่านมาจนถึง
เที่ยงวัน พวกเราวิ่งกลับไปที่วัดกันอีกรอบ พ่อแม่ตายายก็ยังนั่งคุยกับชาวบ้านในวัดอยู่เหมือนเดิม แม่กวักมือเรียกเรากับ
น้องชายให้มานั่งข้าง ๆ แล้วบอกว่าเดี๋ยวเราจะไปกินข้าวบ้าป้าหมายกัน นาน ๆ เจอกันทีวันนี้ต้องมีฉลอง พวกเราเล่นอยู่บ้าน
ป้าหมายกันทั้งวัน เนื่องจากพ่อแม่นาน ๆ กลับมาเจอเพื่อนทีก็มีสังสรรค์กันตามประสา กว่าจะกลับบ้านพวกเราก็หลับ ๆ ตื่น ๆ
ไปหลายรอบทีเดียว เมื่อกลับถึงบ้านยายทำธุระส่วนตัวเรียบร้อยเตรียมตัวนอนน้องชายก็ถามเราว่า

"ตั้งแต่มายังไม่ได้ไปหาอีเหลียมเลยพี่ พรุ่งนี้ไปดูมันหน่อยเนอะ"
"ระวังมันยิ้มให้เห็นแต่เหงือกนะ ฮ่า ฮ่า" เราบอกพร้อมหัวเราะ

รุ่งขึ้นเราและน้องชายเดินลอดใต้ถุนบ้านไปยังทางหลังบ้าน จุดมุ่งหมายของเราคือคอกควายที่อยู่ตรงนั้น ซึ่งตอนนี้มีกองฟาง
และไม้ที่เอาไว้ทำถ่านวางสุมเต็มไปหมด ความสูงของกองฟางสูงกว่าพวกเราจึงทำให้ต้องชะเง้อและเอามือโกยกองฟางออก
ระหว่างที่กำลังโกยกองฟางก็ได้ยินเสียงกริ๊ง คลอมาเบา ๆ แสดงว่าควายขยับตัวแน่เลย พวกเรามองหน้ากันแล้วยิ้ม นึกตื่นเต้น
ที่จะได้เจออีเหลียมกับควายอีกสามตัวนั้น เมื่อโกยกองฟางออกให้พ้นศรีษะ พอมองคอกควายได้ในระดับสายตา ปรากฏว่า
ในคอกไม่มีควายสักตัว มีแต่ดินแห้งและเศษฟางเศษหญ้ากระจายที่พื้น พวกเรามองหน้ากันแล้วถามว่า "ควายหายไปไหน?"
น้องชายรีบวิ่งขึ้นบ้านไปหายายเพื่อถามว่าควายอยู่ไหน ยายตอบกลับมาว่า "ไม่มีควายแล้ว ยายขายควายไปนานแล้วลูก..."
น้องชายวิ่งลงมาหาเราที่ยืนงงอยู่หน้าคอกบอกว่ายายขายควายนานแล้วพี่ แล้วเสียงกระดิ่งที่ได้ยินมาจากไหนล่ะ พวกเราพากัน
เดินเข้าไปในคอกควายแล้วสำรวจมองหาที่มาของเสียงไม่ว่าจะเสียงกระดิ่ง และเสียง ออ ออ เอาไม้ที่กองหน้าคอกเขี่ยตามดิน
แต่ก็ไม่เจอสิ่งผิดสังเกต พวกเราล้มเลิกกับการตามหาที่มาของเสียงนั้นแล้วเดินขึ้นบ้านไปอย่างผิดหวัง เมื่อยายเห็นสีหน้าของ
พวกเรายายก็เล่าให้ฟังว่า หลายปีมาแล้วยายขายข้าวไม่ได้เลยเอาควาย 3 ตัว ขายให้พ่อค้า พ่อค้าก็เอาควายขึ้นรถบรรทุกไป
แต่ไม่ได้จะเอาไปเชือดหรอก เอาไปเป็นแม่พันธุ์ต่อเพราะอายุกำลังโตเต็มวัยสุขภาพดี แต่ไม่ทันข้ามวันพ่อค้าโทรกลับมาบอก
ยายว่ามีควายตัวหนึ่งกระโดดลงมาจากรถตอนติดไฟแดง พอจะจับมันขึ้นไปมันก็ไม่ขึ้น วิ่งไล่กันจนมันวิ่งหนีเตลิดเข้าป่าเข้าดง
เขาก็วิ่งตาม เอาตำรวจมาช่วยตามควายแต่หาไม่เจอ ไปเจออีกทีมันหลุดเข้าไปในวัดมีพระกำลังดูมันอยู่ หลวงพ่อจึงบอกขอ
บิณฑบาตรได้ไหม พ่อค้าบอกว่าผมไม่ได้เอาไปโรงฆ่าสัตว์แต่จะเอาไปทำพันธุ์ แต่หลวงพ่อก็ยืนยันว่าจะขอบิณฑบาตรควาย
พ่อค้าจึงยอมยกควายให้ฟรีแล้วโทรมาบอกยายว่าควายอยู่ที่วัดอะไร จากนั้นตายายจึงรีบไปวัดแห่งนั้นก็เจอควายตัวนั้นนอน
อยู่ในบริเวณวัด ตายายรีบวิ่งไปดูใกล้ ๆ ที่ตัวเห็นมีแผลถลอกเลือดสดเปรอเปื้อนทั่วทั้งตัว ยายอุทานว่า "อีเหลียมบ่?"
ควายตัวนั้นหันหน้ามองยายแล้วร้อง ออ ออ แล้วน้ำตาของอีเหลียมก็ไหลออกมาเป็นทางยาว ยายลูบหัวอีเหลียงและพูดว่า
ขอโทษ ฉันไม่ได้จะทิ้งแก ฉันขายแกให้กับคนดีไม่ได้เอาไปฆ่าแกง แกไม่อยากไปกับเขาใช่ไหม งั้นกลับบ้านเรากันเด้อ...

ตายายจึงเข้าไปกราบหลวงพ่อเพื่อจะขอซื้อควายคืน หลวงพ่อบอกไม่ขายแต่อาตมาให้ไปเลย เพราะมันไม่ใช่ของอาตมา
จากนั้นจึงกราบลาหลวงพ่อแล้วจัดแจงโทรศัพท์หารถบรรทุกรับจ้างให้มาขนควายกลับบ้าน จังหวะที่กำลังดันควายขึ้นรถ
ยายก็สังเกตเห็นขาหน้าซ้ายของมันผิดรูป ดูที่ขาแล้วน่าจะหักเพราะมันไม่มีแรงยันตัวเองลุกขึ้น ซึ่งน่าจะเกิดจากตอนที่มัน
กระโดดลงจากรถ ยายเห็นก็สงสารเลยได้แต่บอกให้อดทนเอาเด้อสิพากลับบ้าน เมื่อมาถึงบ้านก็เอาอีเหลียมเข้าคอก
แต่ไม่ได้พาไปหาหมอรักษาขา ด้วยกลัวว่าค่ารักษาจะแพงและขนส่งก็ลำบาก จึงปล่อยมันไปตามอาการ มันก็เอาแต่นอนซม
อยู่ได้ไม่ถึงเดือนมันก็ตาย ยายบอกก่อนตายมันร้อง ออ ออ น้ำตาไหลพราก คงเพราะมันเจ็บขาเจ็บแผล แต่ตากับยายก็ไม่รู้
จะช่วยอย่างไร จึงสวดมนต์ให้มันฟังแล้วมันก็ชักกระตุกแล้วขาดใจตาย ยายเสียใจมากเพราะรักและผูกพันเหมือนลูก
ตั้งใจว่าขายไปทำพันธุ์แล้วพอมีเงินจะขอซื้อกลับคืนมาทั้ง 3 ตัว แต่ไม่ทันการเสียแล้ว ทุกวันนี้ยายพยายามคิดว่ายายเอามัน
ไปขายไปอยู่ที่อื่น ไม่อยากคิดว่ามันกลับมาตายที่บ้าน เพราะยายรู้สึกผิดและสงสารมัน มันจุกอยู่ที่อกยายนี่....

เมื่อเราและน้องชายได้ยินดังนั้น น้ำตาก็ไหลพรากออกมาทันที เราร้องไห้สะอื้นเพราะนึกถึงภาพที่มันต้องกระโดดลงจากรถบรรทุก
แล้วหนีเข้าไปหลบที่วัด ณ ขณะนั้นความรู้สึกของมันเป็นเช่นไร ควายไม่รู้หรอกว่ามันกำลังถูกเอาไปทำพันธุ์หรือเอาไปฆ่า แต่การ
รักตัวกลัวตายก็เป็นสัญชาตญาณของสัตว์ทุกชนิดเช่นกัน การกระโดดลงจากรถบรรทุกถือเป็นหนทางเดียวที่มันจะมีชีวิตอยู่ต่อ
ถึงมันไม่รู้เลยว่ากระโดดลงมาแล้วจะมีชีวิตอยู่หรือตาย แต่ก็ขอให้ได้เสี่ยงสักตั้ง ซึ่งอีเหลียมตัดสินใจเสี่ยงดวงกระโดดลงมา แม้ว่า
ขาของมันจะหักแต่ความรักชีวิตทำให้มันวิ่งหนีเตลิดมาถึงวัดจนได้ และมันอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่มันเข้าไปนอนหลบอยู่นั้นคือวัด
แต่มันเป็นที่ที่มันรู้สึกปลอดภัยผนวกกับเริ่มรู้สึกหมดแรง นับว่าเป็นบุญของมันที่เจอหลวงพ่อ มันถึงได้กลับมาตายอยู่ที่บ้านเกิดของมัน
น้องชายเราร้องไห้แล้ววิ่งลงไปข้างล่าง เราและแม่วิ่งตามลงไปดูเห็นน้องชายเข้าไปยืนอยู่ในคอกแล้วตะโกนชื่ออีเหลียมดัง ๆ

"อีเหลียม อีเหลียม ข่อยมาหาเจ้าแล้ว ออกมาแหม่ ฮือ ฮือ" น้องชายคงเสียใจไม่ต่างกันกับเราและยายที่รู้สึกรักและผูกพันธ์กับมัน
แม่เดินเข้าไปกอดน้องแล้วเช็ดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มเต็มใบหน้าพร้อมสัญญาว่าพรุ่งนี้ก่อนกลับกรุงเทพฯ เราจะทำบุญให้อีเหลียม
และจะแวะไปไหว้หลวงพ่อที่เคยช่วยชีวิตมันกัน

ในมื้อเย็นนั้นหลังจากทานข้าวและเตรียมเก็บกระเป๋าเพื่อออกเดินทางในวันพรุ่งนี้เช้า น้องชายมาบอกเราให้ลงไปข้างล่างหน่อย
น้องชายเดินนำหน้าเราเข้าไปในคอกควายพร้อมบอกว่าได้ยินเสียงกระดิ่งกับเสียง ออ ออ เลยวิ่งลงมาดูแล้วรอบนึงแต่ไม่มีอะไร
ทีนี้พอจะเดินขึ้นบันไดก็ได้ยินอีก จึงรีบวิ่งมาหาเราให้มาดูเป็นเพื่อน เราเข้าไปในคอกนั้นยืนนิ่ง ๆ พร้อมเอามือปัดแมลงหวี่ที่บิน
มาตอมหน้า แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงใด ๆ เราจึงขอตัวขึ้นมาเก็บกระเป๋าต่อ ไม่ทันไรน้องชายวิ่งหน้าตาตื่นขึ้นบันไดบ้านมาพร้อมตะโกน
"ยาย ยาย... อีเหลียมมาาาาาาา" ทุกคนหันหน้ามองน้องชาย "มันมาจริง ๆ มันมาหาหนู หนูได้ยินเสียงมัน ฮือ ฮือ มันมาหาหนู"
น้องชายพูดพร้อมน้ำตาที่ไหลพราก เสียงสะอื้นของน้องชายทำให้เราต้องร้องไห้อีกครั้ง ยายปาดน้ำตาเล็กน้อยแล้วก้มหน้านิ่ง...

คำว่าจุกอกใช้ได้กับเราในขณะนี้ ขณะที่เล่าเรื่องนี้ มันจุกอกน้ำตามันรื้นที่ต้องเล่าเรื่องนี้และพยายามถ่ายทอดออกมาให้ผู้อ่าน
รับรู้ว่าความรู้สึกความสูญเสียที่ไม่เคยแม้แต่จะได้กล่าวคำอำลาเป็นอย่างไร หากมนุษย์จะตายจากกันเรายังได้สั่งเสีย
แต่กับสัตว์มันไม่มีคำพูดใด ๆ ให้เรารับรู้ได้เลย มีแต่อากัปกิริยาที่มันจะแสดงออกมาให้เราได้เห็น เสียใจอย่างที่สุดที่ครั้งหนึ่ง
เคยลืมมันไป เคยไม่คิดถึงมันเพราะคิดว่ามันเป็นควาย คำพูดที่น้องชายเคยกระซิบบอกมันว่าจะกลับมาหา กลับคิดว่าไม่สำคัญ
มันคงฟังไม่รู้เรื่อง เราไม่มีทางรับรู้ได้เลยว่าอีกฝ่ายที่เฝ้ารอนั้นมีความรู้สึกอย่างไรกับคำพูดลม ๆ แล้ง ๆ ที่ออกจากปากขณะนั้น
แต่สิ่งที่รับรู้ได้แม้ไม่ได้เป็นรูปธรรมนั่นก็คือ

ไม่ว่าเราจะให้สัญญาอะไรกับใครไว้ สิ่งนั้นมักจะเฝ้ารอจนกว่าวันที่สัญญาจะเป็นจริง ไม่ว่าจะพบเจอกันอีกครั้งในรูปแบบใดก็ตาม....

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ ขอบคุณจากใจค่ะ

เรื่องจากพันทิป  ควายอีเหลียม
เรื่องโดย  TharaJF

ไม่มีความคิดเห็น