อุทิศบุญกุศลให้ใคร
"อุทิศบุญกุศลให้ใคร" ประสบการณ์จากสมาชิกพันทิปชื่อว่า TharaJF ฝากผลงานไว้มากมายการกลับมาครั้งนี้เธอพบสิ่งลี้ลับที่เธอมองเห็น เธอเชื่อว่านั้นคือวีรชนในอดีต...... ขอขอบคุณประสบการณ์สยองไว้ ณ ที่นี้ด้วย
ทุกครั้งเวลาที่เราทำบุญและกรวดน้ำแผ่เมตตา เรามักจะลืมนึกถึงบรรพบุรษ หรือวีรชน วีรสตรีผู้กล้า ที่ได้สละชีพสละเลือดเนื้อตนเอง
เพื่อรักษาและปกป้องผืนแผ่นดินอาณาเขตของประเทศไทย เรามักจะอุทิศและแผ่บุญกุศลโดยรวมแบบไม่เจาะจงให้ผู้ใดผู้หนึ่งรับ
แต่จะพูดโดยกว้าง ๆ เช่น เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย สัมพเวสีทั่วไป และบรรดาสรรพสัตว์น้อยใหญ่ที่เราใช้ร่างกายเขาเหล่านั้นประทังชีวิต
แต่ไม่เคยหรือแค่ส่วนน้อยที่จะเจาะจงไปยังกลุ่มผู้รับที่กล่าวข้างต้นเลย
เนื่องจากได้มีโอกาสอ่านหนังสือเล่นหนึ่ง ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับความเชื่อส่วนบุคคลนะคะ สรุปโดยย่อคือ กรรมเกิดจากการกระทำ
ไม่ว่าจะกระทำเพื่อปกป้องบ้านเมือง หรือในขณะทำนั้นจิตไม่ได้เป็นการกระทำเพื่อกตัญญูแผ่นดิน แต่เกิดจากความโลภ
โทสะ ก็มักจะส่งผลของการกระทำไม่ต่างกันมากนัก นั่นคือ จิตมักจะผูกอยู่ ณ สถานที่นั้น ไม่ว่าตัวตายหรือผ่านมากี่ภพ
ขณะจิตที่เกิดขึ้นก่อนตายก็ยังอยู่ ณ จุดนั้นจนกว่าจะหมดสิ้นเวรกรรม ดังนั้น จิตของเหล่าวิญญานผู้กล้าเหล่านั้นก็มักจะยัง
วนเวียนอยู่ในที่แห่งนั้น จนกว่าพวกเขาจะชดใช้กรรมหมดไปหรือได้ในสิ่งที่ต้องการ
ที่เกริ่นมาทั้งหมดนี้ไม่ใช่อะไร แต่เนื่องจากทุกวันนี้เวลาใส่บาตร และกรวดน้ำอุทิศบุญกุศล เราจะแผ่ไปให้ถึงกลุ่มวีรชน
วีรสตรีผู้กล้า และทหารที่เสียเลือดเนื้อและเสียสละแก่ความสุขของตนให้กับคนรุ่นหลัง บางคนก็มีครอบครัว มีพ่อแม่ มีลูก
ทุกคนอยากกลับไปนอนกอดกัน ไปนั่งกินข้าวร่วมกัน ไปเทือกสวนไร่นา ใช้ชีวิตอย่างปกติสุข แต่พวกเขากลับทำไม่ได้
พวกเขาเหล่านั้นต้องเสียสละตนเองเพื่อให้คนข้างหลังอยู่รอดปลอดภัย ทุกครั้งที่ผ่านอนุสาวรีย์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น
อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ หรืออนุสาวรีย์ตามต่างจังหวัดที่สร้างขึ้นเพื่อเทิดทูนวีรกรรมของทหาร ตำรวจ หรือพลเรือน เราและ
ครอบครัวมักจะอุทิศบุญกุศลให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้นเช่นกัน และทุกครั้งหากได้กรวดน้ำลงดินพร้อมอุทิศบุญกุศลด้วยความ
ปลื้มปิติ ขนแขนถึงขนหัวก็มักจะลุกชันขึ้นมาโดยพร้อมเพรียงกันเสมอ และน้ำตาก็มักจะเอ่อล้นออกมาทุกครั้ง ยิ่งเวลาที่ตักบาตร
ในที่ทำงานแล้วกรวดน้ำน้ำตาจะเอ่อออกมา เวลาเงยหน้าขึ้นพี่ที่ไปตักบาตรด้วยกันก็มักถามว่า
"ใครเสียหรือเปล่าพี่เห็นเรากรวดน้ำแล้วร้องไห้ พี่เสียใจด้วยนะคะน้อง"
เราเป็นแบบนี้ทุกครั้งโดยที่เราไม่ได้อยากให้น้ำตาไหลออกมา จนกระทั่งได้ไปยังอนุสาวรย์วีรชนผู้กล้าที่หนึ่งพร้อมครอบครัว
เมื่อถึงตอนตั้งจิตอุทิศบุญกุศลแผ่เมตตาและกรวดน้ำนั้น น้ำตาก็ไหลออกมาโดยไม่ตั้งใจ เรารีบเช็ดน้ำตาเพราะไม่อยากให้
ใครเห็นกลัวคนที่ไม่เข้าใจความรู้สึกเราแล้วจะหาว่าเราบ้า... พอเช็ดน้ำตาแล้วเราเดินมาเข้าห้องน้ำ น้องชายก็เดินตามมาแล้ว
บอกว่า
"พี่เข้าใจความรู้สึกของหนูเวลาที่รอคอยให้พ่อกับแม่กลับมารับหนูไหม หนูรู้สึกไม่ต่างกับพวกเขาเลยที่ต้องรอคอยคนที่ตัวเองรัก
อยู่ตรงนี้" เราไม่แปลกใจที่น้องชายเราพูดแบบนี้ เพราะเรารู้แล้วว่าเสียงที่เปล่งออกมาจากข้างในนั้นเป็นเสียงที่เราคุ้นเคยเป็นอย่างดี
"ไม่รู้ทำไมพี่ถึงน้ำตาไหลและรู้สึกอยากจะร้องไห้สะอึกสะอื้นทุกครั้งที่นึกถึงพวกเขา"
"ก็เพราะว่ามีจิตผูกพันธ์กันไม่ชาติใดก็ชาติหนึ่งพี่ถึงสัมผัสได้ รวมถึงหนูอยากให้พี่รู้สึกด้วยว่าหนูทรมานและเสียใจแค่ไหนที่ต้องรออยู่
ตรงนั้น (อยุธยา) รอนานมาหลายร้อยปีแล้วกว่าพ่อกับแม่จะกลับมา รู้ไหมว่าหนูเจ็บ" พูดแล้วน้ำตาน้องชายก็ไหลออกมา
"แต่พวกเขาเหล่านี้ คนรุ่นหลังก็ทำบุญอุทิศบุญกุศลให้แล้ว มีการจัดพิธีทำบุญใหญ่โตในทุกปี แล้วทำไมพวกเขาถึงไม่หลุดจาก
สถานภาพตรงนี้?"
"ตราบใดที่พวกเขายังไม่ลืมสิ่งที่จดจำหรือทำก่อนสิ้นลม หากเขายังพะวงและคิดถึงคนข้างหลัง เขาก็ไปไหนไม่ได้ เหมือนหลาย ๆ คน
ที่หนูเห็นอยู่ที่นี่ พวกเขาก็ไม่ไปไหน เพราะก่อนตายยังไม่ได้สั่งเสียพ่อแม่ ลูกเมียที่บ้านเลย"
นี่คือสิ่งที่น้องบอกเราและเราก็รับรู้ถึงความรู้สึกหลังความตายเหล่านั้นได้... ไม่มากก็น้อย...
บ่อยครั้งที่น้องมักจะพาเราไป (ในความฝัน) ไปยังสถานที่ต่างถิ่น ไปพบผู้คนที่แต่งกายแปลกตา หน้าตาและทรงผมไม่เหมือนปัจจุบัน
คำพูดที่ฟังไม่ค่อยเข้าใจ บางคนก็ยิ้มให้อย่างเป็นมิตร บางคนก็หน้าบึ้งตึงขมวดคิ้วไม่เป็นมิตรนัก น้องมักพาไปให้เห็นแบบนี้บ่อย ๆ
แต่ไม่ค่อยมีคำอธิบายจากน้อง เหมือนพาไปให้เห็นว่ามีอะไรแล้วก็ตื่น เมื่อตื่นแล้วก็ไม่ค่อยอยากจะถาม เพราะถามแล้วน้องไม่บอก
เราก็โอเค ถือซะว่าได้ไปเที่ยวละกัน
มีอยู่ครั้งหนึ่ง ก่อนถึงวันอาสาฬหบูชา สวดมนต์เข้านอนตามปกติแล้วฝันว่าได้ไปยังที่แห่งหนึ่ง มีแต่ความมืด สถานที่แห่งนี้คุ้นตา
เมื่อเพ่งมองปรับสายตาเข้ากับความมืดได้แล้ว ถึงรู้ว่านี่คือซอยในหมู่บ้านเรานี่ แปลกใจที่เราจำซอยทางเข้าหมู่บ้านเราเองได้
ถึงแม้จะไม่มีบ้านคนสักหลัง เพราะรอบ ๆ นั้น เป็นทุ่งโล่งกว้าง มีต้นมะพร้าวต้นหนึ่งตั้งอยู่สุดลูกหูลูกตา แต่ในความฝัน เราจำได้
ว่าต้นมะพร้าวต้นนี้อยู่ท้ายหมู่บ้านเรา เราก็เพ่งมองไปยังต้นมะพร้าว ตั้งใจว่าจะเดินลัดทุ่งไปต้นมะพร้าว เพื่อเป็นที่ปักหลักกันหลง
แต่ยังไม่ทันก้าวเดิน ก็ได้ยินเสียงคนตะโกนเอะอะดังลั่น แล้วก็มีฝุ่นควันคละคลุ้ง เสียงที่ได้ยินเป็นเสียงผู้ชายมีมากกว่า 1 คน
ในฝันเราก้มลงหมอบตัวสั่น แอบเงยหน้ามาดูว่าเกิดอะไรขึ้น ภาพที่ปรากฏตรงหน้าคือ มีกลุ่มผู้ชายจำนวนนับไม่ถ้วน กำลังถือดาบ
ฟาดฟันกันอย่างบ้าคลั่ง พร้อมสบถคำหยาบด่าทอกัน แล้วก็ฟาดใส่กัน เราได้ยินเสียงเวลาที่ดาบถูกฟาดไปบนตัวของคน ดัง ตุ๊บ!!
เสียงหนัก ๆ ไม่รู้โดนกระดูกหรืออะไร แต่เราตอนนั้นได้แต่หมอบอยู่กับที่ น้ำตาไหลด้วยความกลัว แล้วก็สะดุ้งตื่น...
เมื่อตื่นมาแล้ว น้ำตาก็ไหลออกมา ไม่รู้จะด้วยความกลัวหรือสงสารอย่างไรก็ไม่ทราบ แต่มันรู้สึกจุกอก เวทนากับภาพที่เห็นตรงหน้า
ครั้นถึงวันอาสาฬหบูชา เสร็จสิ้นจากการทำบุญพร้อมครอบครัว หลังจากกลับจากวัด เราได้นำอาหารใส่ถ้วยเล็ก ๆ จำนวน 2 - 3 ถ้วย
วางไว้หน้าบ้านริมถนน แล้วจุดธูป 1 ดอก ปักไว้กลางแจ้ง พร้อมอธิษฐานจิตระลึกถึงสัมพเวสีที่อยู่บริเวณนั้นให้มารับส่วนบุญที่เรา
อุทิศให้ในครั้งนี้ เวลาล่วงเลยผ่านไปจนกระทั่งตะวันตกดิน...
คืนนั้นเรายังมัวดูทีวีอยู่ข้างล่างจนดึก เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืนก็ตั้งท่าลุกขึ้นมาปิดทีวี บ้านของเราเป็นทาวเฮาส์ 2 ชั้น ทีวีตั้งหันหลัง
ให้กับหน้าต่างหน้าบ้าน ซึ่งเมื่อลุกปิดทีวีแล้ว ระดับสายตาจะอยู่ที่หน้าต่างและมองออกไปหน้าบ้านได้พอดี เราลุกขึ้นปิดทีวี และ
เอารีโมทมาวางข้างทีวี พลางได้ยินเสียง แค่ก... แค่ก... เหมือนคนไอแห้ง ๆ อยู่หน้าบ้าน เราเลยมองลอดมู่ลี่หน้าต่างออกไป
แต่ไม่เจออะไร แอบคิดว่าขโมยหรือเปล่านะ กลัวว่าขโมยจะมาแอบขึ้นบ้านใคร เราเลยปิดไฟในบ้านชั้นล่าง และปิดไฟหน้าบ้าน
แล้วก็แอบมองลอดมูลี่จากภายในบ้าน ตั้งใจว่าถ้าเป็นขโมยจะโทรแจ้งตำรวจทันที
ว่างเปล่า... ไม่มีความเคลื่อนไหวใดทั้งสิ้นเลยคิดว่าสงสัยเป็นคนเดินผ่านหน้าบ้านแล้วไอพอดีมั้ง จึงหันหลังกลับ
"แค่ก..." เสียงไอดังมาอีกรอบ แค่กเดียวแล้วเงียบ เอ๊ะ? เสียงไม่ได้ดังมาก เป็นเสียงแผ่วเบา แต่ได้ยินชัดมาก ว่าแล้วก็แอบแหวก
มู่ลี่อีกรอบ ว่างเปล่า... ไม่มีอะไรอีกเช่นเคย เริ่มหงุดหงิดตอนนั้นคิดเรื่องขโมยอย่างเดียว เลยเปิดมู่ลี่ออก กะว่าถ้ากล้าปีนเข้าบ้าน
ก็เข้ามาสิ ฉันเปิดม่านรอเห็นหน้าแกจัง ๆ แล้ว ว่าแล้วก็เปิดมู่ลี่ออกแล้วมองจ้องไปทางหน้าบ้านอย่างไม่ละสายตา
สายตาเพ่งมองไปหน้าบ้าน พยายามกวาดสายตามองไปข้างซ้ายที ข้างขวาที เพื่อดูว่ามีอะไรเคลื่อนไหวผ่านไปมาบริเวณนี้บ้างหรือไม่
ทันใดนั้น สายตาก็ไปประสานกับผู้ชายคนหนึ่ง เขาปรากฏตัวมาตอนไหนก็ไม่ทราบ ซึ่งเราเองก็ไม่ได้ละสายตาไปจากหน้าบ้านเลย แต่
กระพริบตามาอีกทีก็มีผู้ชายคนหนึ่งยืนประจันหน้าเรา เขายืนมองเราอยู่นอกรั้วบ้าน เรายืนอยู่ในบ้านมองลอดผ่านมู่ลี่ ด้วยความงุนงงว่า
ผู้ชายคนนี้มายืนตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? เราเบิกตากว้างกว่าเดิมเพราะความสงสัยและต้องการมองจ้องให้เขารู้ว่า ฉันมองเธออยู่นะ จะปีน
เข้ามาบ้านฉันหรอ ฉันจะเปิดไฟและตะโกนเสียงดัง ๆ ให้คนแถวนี้ตกใจเลย... สิ้นเสียงในความคิดเรา ผู้ชายคนนั้นก็ไอแค่ก... มาหนึ่งที
แล้วก็ทำหน้ายื่นเข้ามาใกล้รั้วบ้าน ตัวยืนอยู่ที่เดิมแต่หน้าและคอยื่นมาข้างหน้า เราก็เลยยื่นหน้าเราไปใกล้กับมู่ลี่อีกนิดเพื่อที่จะเห็นหน้า
เขาให้ชัดเจนขึ้น เมื่อยื่นหน้าเข้าไปใกล้มู่ลี่อีกนิดจึงทำให้เห็นรายละเอียดของชายคนนั้นชัดเจนดังใจหวัง
- ชายผิวดำขลับ หน้าดำมองไม่เห็นดวงตา ไม่ใส่เสื้อ แต่มีสายอะไรก็ไม่รู้ห้อยตัวไขว้ซ้ายขวา มือขวาถือมีดยาวมาก ท่อนล่างมองไม่เห็น
ชายคนนั้นยืนถือมีดในลักษณะพร้อมรบยืนประจันหน้ามองมาทางเรา แต่นั่นยังไม่ทำให้เราตกใจเท่ากับมองเห็นหน้าของเขา เพราะว่า
ใบหน้าของเขาแหว่งหายไปครึ่งหน้าเห็นแต่ฟัน (ให้นึกถึงมะม่วงที่ผ่าฝานครึ่ง) มีเสียงไอแค่ก... ลอดออกมาจากซี่ฟัน
เพียงแค่นั้นเราก็กรี๊ดลั่นบ้าน
"แม่!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!" เรากรี๊ดแล้วทรุดตัวนั่งลงไปกองกับพื้นน้ำตาไหลอาบหน้า แม่เรารีบวิ่งลงมาแล้วกอดเราไว้แน่น
ตอนนั้นเราไม่เงยหน้าลืมตา ได้แต่ร้องไห้แล้วบอกว่า
"ใครก็ไม่รู้ยืนอยู่หน้าบ้าน ฮือ ฮือ แม่ดูหน่อย แม่ดูหน่อย" พูดไปก็ร้องไห้ไป
"ไม่มี ไม่มีใครเลย แม่เปิดไฟดูแล้ว ไม่มีใครเลย" แม่เราบอก
เราจึงลุกขึ้นยืนดูมองไปหน้าบ้านปรากฏว่าไม่มีใครแล้ว สักพักน้าบ้านตรงข้ามก็เปิดประตูรั้วออกมาแล้วตะโกนถามแม่เรา
"พี่น้อย (นามสมมติแม่เรา) เป็นอะไรกันเปล่าพี่ ได้ยินเสียงตะโกนดังลั่นเลย"
แม่เราจึงเปิดประตูออกไปแล้วบอกว่าไม่มีอะไรหรอก ฟ้า (นามสมมติเรา) มันเจอหนูเลยตกใจร้องน่ะ
ว่าแล้วแม่ก็พาเราขึ้นนอนพร้อมตั้งข้อสันนิษฐานว่าสิ่งเราเห็นคืออะไร แต่ที่แน่ ๆ ไม่ใช่คนแน่นอน แล้วเขามาทำไม ต้องการอะไร?
กว่าจะผ่านพ้นคืนนั้นไปได้ เราแทบนอนไม่หลับ กว่าจะหลับตาลงได้จริง ๆ ก็เกือบเช้า เราตื่นมาอีกทีเกือบเที่ยง รีบลุกมาทำธุระ
แล้วลงไปกินข้าว ระหว่างที่กินข้าวอยู่นั้นเห็นน้องชายทำท่าลุกลี้ลุกลน กินข้าวสักพักหน้าก็คว่ำลงกับจานข้าว แม่จึงรีบประคอง
หัวน้องขึ้นมา เช็ดเม็ดข้าวที่ติดตามแก้มตามปาก สักพักน้องชายก็ลืมตาแล้วไอแค่ก... หนึ่งที เราก็สะดุ้งโหยง น้องก็หัวเราะ
บอกว่า "ล้อเล่นน่า แกล้งไอแค่นี้ทำไมพี่ต้องสะดุ้งขนาดนี้เลย" เราเลยถามต่อว่าเมื่อคืนนี้คืออะไร รู้ใช่ไหมว่าพี่เจออะไร?
น้องเลยบอกว่า
"หนูพาพี่ไปดูสถานที่ก่อนที่จะเจอเขาแล้วไง จำไม่ได้หรอ?"
"ที่พี่ฝันเห็นซอยในบ้านเราน่ะหรอ?" เราถามกลับด้วยความสงสัย
"ใช่... คนเราเมื่อถึงเวลาที่จะได้มาเจอกัน หนีกันยังไงก็หนีไม่พ้น อยู่ที่ว่าทำกรรมแบบไหนร่วมกันมา
อาจจะเป็นกรรมดีก็ได้นะที่ได้เจอ" น้องบอก
"กรรมดีแล้วมาเจอแบบนี้ก็ไม่อยากเจอนะ เขาต้องการอะไรไหม"
"เขาจะมาขอบคุณที่นึกถึงเขา แต่รูปกายเขาเป็นแบบนั้นเลยทำให้พี่กลัว"
สรุปได้ความว่า... ผู้ชายที่เราเห็น เป็นชาวบ้านที่เคยสู้รบกับกบฏเรื่องแบ่งแยกดินแดนเมื่อครั้งอดีต ซึ่งสนามรบที่พวกเขาไล่ล่าฆ่าฟัน
ก็คือบริเวณหน้าบ้านเรา ในอดีตนั้นเป็นเพียงทุ่งโล่งกว้าง ๆ เมื่อมาถึงหน้าบ้านเราในปัจจุบัน เขาได้พ่ายแพ้ต่อศัตรู ถูกดาบฟันเข้าหน้า
ทำให้หน้าหายแหว่งไปครึ่งหนึ่ง ตายคาที่อยู่หน้าบ้านเราพอดิบพอดี
จะเห็นได้ว่า ถึงแม้สิ่งที่เขาทำนั้นจะเป็นการปกป้องประเทศชาติ กตัญญูต่อคุณแผ่นดิน แต่เมื่อเลือดหยดลงพื้นและจิตที่ฝังใจว่าจะกู้แผ่นดิน
รักษาบ้านเมืองไว้ จึงทำให้จิตสุดท้ายในขณะนั้นเขายังอยู่ที่เดิม และวนเวียนอยู่แบบนั้นจนกว่าจะสิ้นเวรกรรม เราในฐานะที่เป็นลูกหลาน
สืบทอดต่อมา บรรพบุรุษเราเองก็อาจสืบเลือดเนื้อเชื้อไขมาจากเหล่าทหาร พลเรือนเหล่านี้ก็ได้ สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดคือ
-รู้จักกตัญญูรู้คุณแผ่นดิน รักษา และรักผืนแผ่นดินที่เหยียบยืนอยู่นี้ให้เท่ากับวีรชนคนกล้าที่เขาเคยรัก เคยปกป้องมา
หากเป็นคนดีรุ้คุณต่อชาติบ้านเมืองไม่ได้ ก็ควรจะเริ่มจากสังคมเล็ก ๆ นั่นก็คือ ครอบครัว ปฏิบัติดีต่อกัน แล้วจะได้ไม่
มานั่งเสียใจภายหลังว่าเรายังไม่ได้ทำสิ่งดี ๆ ให้กัน ยังไม่ได้ตอบแทนบุญคุณซึ่งกันและกัน หากเป็นเช่นนั้น จิตก็คง
ยังไม่ไปสู่สัมปรายภพแน่นอน.
โปรดใช้วิจารณญานในการอ่าน...
เรื่องจากพันทิป อุทิศบุญกุศลให้ใคร
เรื่องโดย TharaJF
Post a Comment