ป้าจูลี่
"ป้าจูลี่" อาจจะเป็นเรื่องที่ไม่ได้สยองอะไรมาก แต่เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ ประสบการณ์จากสมาชิกพันทิปชื่อว่า TharaJF ได้เจอมาเธอมักจะเจอวิญญาณอยู่บ่อยครั้ง ขอขอบคุณประสบการณ์ผีๆไว้ ณ ที่นี้ด้วย
เรื่องที่จะเล่านี้ไม่ได้มีความน่ากลัว สยองขวัญเขย่าประสาท แต่อยากเล่ามุมมองที่เราได้เจอมาในต่างแดน
ความรู้สึกสัมผัสที่แปลกใหม่ต้องขออภัยหากไม่ได้น่ากลัว และอาจดูยืดยาวไปบ้าง
เมื่อไม่นานมานี้ เราได้มีโอกาสเดินทางไปทำธุระที่ประเทศหนึ่งระยะสั้น ๆ และได้รับความช่วยเหลือเรื่องที่พักอาศัย
จากเพื่อนสนิทของพ่อซึ่งเปิดร้านอาหารไทยอยู่ในเมืองนี้ ขอแทนชื่อเพื่อนพ่อว่า "แม่นำ" แม่นำเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว
มาจากภาคเหนือของประเทศไทย สู้ดิ้นรนอยู่ต่างแดนจนกระทั่งสามารถเปิดร้านอาหารไทยและมีชื่อเสียงติด 1 ใน 5
ของการทำรีวิวร้านอาหารไทยในเมืองนี้ เมื่อเราเดินทางมาถึงเมืองเล็ก ๆ อยู่ท่ามกลางเกาะที่มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์
ทางทะเล เมืองที่เงียบไม่มีอะไรหวือหวา หากคนไทยอยากฝึกภาษา เมืองนี้ช่วยคุณได้ เพราะคนไทยน้อยมาก
ซึ่งจะทำให้คุณได้ใช้ภาษาอังกฤษไปโดยปริยาย
แม่นำมีบ้าน 2 หลัง อยู่ห่างจากร้านอาหารไม่ไกลนัก หลังร้านอาหารมีภูเขาชื่อดังของเมืองที่ผู้คนมักใช้เป็นที่ปีนเขา
หรือออกกำลังกายเพื่อขึ้นไปยังจุดชมวิว เมื่อเราไปถึง แม่นำได้ให้กุญแจบ้านเรามาหนึ่งหลังพร้อมบอกให้เราอยู่ที่นี่
และหากมาครั้งต่อไปก็ถือซะว่าบ้านหลังนี้เป็นสิทธิ์ของเรา โดยจ่ายแค่น้ำค่าไฟอย่างเดียวก็พอ ขอเล่าลักษณะบ้าน
บ้านหลังไม่ใหญ่ชั้นเดียวยกพื้น ส่วนชั้นล่างมีไม้ระแนงตีรอบบ้าน 3 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ 1 ห้องครัง ซึ่งปกติปล่อยไว้
ให้คนเช่า และที่สำคัญรอบบ้านไม่มีรั้วใด ๆ เลย แต่กลับมีบันไดให้ขึ้นบ้านอยู่นอกตัวบ้านนี่สิ แม่นำบอกว่าไม่ต้องห่วง
เรื่องความปลอดภัย กฎหมายที่นี่เขาแรง... สภาพภายนอกดูไม่ค่อยสวยเท่าไหร่แต่ภายในสะอาดใช้ได้เลย อย่างที่บอก
ว่ารอบบ้านไม่มีรั้ว จอดรถริมถนนก็เดินผ่านสนามหญ้ารก ๆ ถึงบันได้บ้านได้เลย
เมื่อเก็บกระเป๋าเสร็จแล้ว แม่นำได้ให้กุญแจเราอีกดอก คือกุญแจจักรยาน เอาไว้สำหรับปั่นจากบ้านไปที่ร้านหรือไปหา
แม่นำที่บ้านห่างออกไปอีกบล๊อค จากนั้นแม่นำจึงเดินทางกลับ ทิ้งไว้แต่เพียงความอ้างว้างที่เราต้องเผชิญในต่างถิ่น
เราน้ำตาคลอเบ้าเล็กน้อยเพราะรู้สึกเหมือนตัวคนเดียว ทั้งที่มาแค่ไม่กี่วันก็กลับ แต่นึกภาพในอนาคตที่จะต้องมาอยู่ที่นี่
และอยู่บ้านหลังนี้คนเดียวก็คงเหงาไม่ใช่น้อย เราจึงตัดสินใจขจัดความเหงานี้ออกไปด้วยการออกไปปั่นจักรยานถ่ายรูป
จนตะวันใกล้ตกดินแล้วกลับเข้าบ้าน วิ่งขึ้นบันไดเตรียมหากุญแจเปิดลูกบิดเข้าห้อง เอ๊ะ! ถุงอะไรแขวนที่ประตู รีบเปิด
ถุงดูข้างในเป็นขนมปังชิ้นโตกับไก่ทอด แม่นำต้องเอามาให้แน่ ๆ ว่าแล้วเรารีบคว้าเข้าบ้าน อาบน้ำกินแล้วเข้านอน.
เช้ารุ่งขึ้นเราตื่นแต่เช้าเนื่องจากผิดที่นอนไม่ค่อยหลับ เราจึงเดินออกมาเปิดประตูหน้าบ้านเพื่อรับลม
และก็เจอเข้ากับถุงใบหนึ่งที่แขวนไว้ที่ลูกบิดประตูด้านนอก เมื่อเปิดดูก็พบกับไข่ต้ม แอปเปิ้ล และ
นมขวดเล็ก เรารีบคว้าถุงเข้ามาแล้วพิจารณาว่าเป็นของ ๆ ใคร แต่แว่บแรกที่นึกออกเลยคือแม่นำ...
เมื่อทำธุระส่วนตัวและกินอาหารเช้าแบบเฮลท์ตี้เสร็จแล้ว เราจึงเริ่มเดินสำรวจรอบบ้าน หญ้าหน้าบ้าน
ค่อนข้างขึ้นรก เราจึงเข้าครัวไปหามีดมาฟันให้หญ้าสั้นลง และด้วยความที่รองเท้าเราเปื้อนดิน เราจึง
ตัดสินใจถอดรองเท้าไว้ที่บันไดแล้วเดินเท้าเปล่าขึ้นบ้าน จนเรานึกขึ้นมาได้ว่าเราถอดรองเท้าไว้ข้างล่าง
จึงชะโงกออกมาดูก็เห็นรองเท้าวางอยู่ที่บันไดแต่... ระหว่างทางของบันได้กลับมีรอยดินเป็นก้อนตาม
ขั้นบันไดตั้งแต่ที่ถอดรองเท้ามาสุดที่หน้าประตู นั่นทำให้เราแปลกใจว่ารอยดินเหล่านี้มาได้อย่างไร
ในเมื่อเราถอดรองเท้าเดินเท้าเปล่าขึ้นมาและเท้าก็ไม่ได้มีคราบดินเยอะขนาดนี้ด้วย แต่เราก็พยายาม
คิดในแง่บวก นี่เรามาต่างถิ่นนะ ไม่อยากเจออะไรทั้งนั้น เราจึงจัดการทำความสะอาดขั้นบันไดและรีบ
ปั่นจักรยานออกไปหาแม่นำทันที.
ในทุก ๆ วัน ระหว่างวันเราจะไปอยู่ที่ร้านแม่นำและกลับเข้าบ้านมาอีกทีตอนประมาณสี่ทุ่มของทุกวัน
ในคืนแรกที่เรากลับเข้าบ้าน เราได้จอดจักรยานและล๊อคโซ่ไว้กับราวบันไดหน้าบ้าน เตรียมขึ้นบันได
ทันใดนั้น ไฟสีส้มในหน้องหนึ่งของบ้านข้าง ๆ ก็เปิดพรึ่บ! หน้าต่างที่เป็นกระจกทำให้เรามองเห็น
ข้างในได้ค่อนข้างชัดเจน ปรากฏเงาของบุคคลหนึ่งยืนนิ่งโผล่ลำตัวมาแค่ข้างเดียว อีกข้างหนึ่งนั้น
หลบมุมอยู่และมองมาทางเรา ทำให้เราต้องหยุดนิ่งชะงักไปเช่นกัน แต่พอเราจ้องมองเข้าไปนาน ๆ
เงานั้นก็เดินกลับหลังหันและไฟก็ดับลงทันที! ตอนนั้นเราคิดแค่ว่าเขาคงมาดูเพราะว่าเราเป็นคน
แปลกหน้าละมั้ง?
ในเช้าของอีกวันยังคงมีถุงอาหารแขวนไว้ที่ลูกบิดประตูบ้าน ซึ่งอาหารก็ดูสดสะอาดและมีรสชาดดี
ถามว่าเรากินไหม? กินค่ะ 555 เพราะเคยกินในครั้งแรกแล้วไม่เป็นอะไรท้องไม่เสีย และก็ยังคงคิด
อยู่เสมอว่าแม่นำเป็นคนเอามาแขวนไว้ให้ ในตอนเช้าเราจะมีเวลาว่างก่อนไปร้าน วันนี้เราตัดสินใจ
เดินสำรวจรอบบ้าน ข้างบ้านซ้ายขวาเป็นบ้านลักษณะเดียวกันไม่มีรั้วกั้นบริเวณ เราเดินลัดสนาม
หญ้าไปทางบ้านขวามือที่เปิดไฟเมื่อคืน เพราะอยากพิสูจน์ว่าบ้านหลังนี้มีคนอยู่จริงไหม ปรากฏว่า
มีหนังสือพิมพ์วางอยู่หน้าบ้าน นั่นหมายความว่าบ้านหลังนี้มีคนอยู่แน่นอน ส่วนบ้านทางซ้ายไม่มี
ความเคลื่อนไหวใด ๆ
เราตัดสินใจเดินไปบ้านที่เปิดไฟเมื่อคืน ด้วยหวังว่าจะผูกมิตรและไม่อยากให้เขามาแอบดูเราอีก
เรากดกริ่งไม่นานก็มีผู้หญิงร่างท้วมคนหนึ่งเดินออกมาแง้มประตูด้วยสีหน้าเรียบเฉย เรากล่าว
แนะนำตัวเองว่ามาจากที่ไหนและจะขอฝากเนื้อฝากตัวหากมีเหตุฉุกเฉินจะได้ขอความช่วยเหลือ
กันได้ ผู้หญิงคนนี้กล่าวสั้น ๆ ว่า ชื่อ จูลี่ ขอแทนว่า "ป้าจูลี่" เพราะว่าดูจากภายนอกแล้วอายุก็น่า
จะเยอะอยู่ ป้าจูลี่ไม่ได้พูดคุยอะไรกับเรามากมาย คือไม่รู้ว่าเพราะวัฒนธรรมหรือฟังเราไม่รู้เรื่อง...
เมื่อแยกย้ายเราจึงเดินทางไปร้านและกลับเข้าบ้านในเวลาเดิม และในคืนนี้ป้าจูลี่ก็ยังคงเปิดไฟใน
เวลาที่เราจอดจักรยาน เราทำเป็นก้มหน้าแต่ก็แอบชำเลืองมองด้วยหางตาไปยังหน้าต่างบ้าน
ป้าจูลี่ พลางคิดในใจว่าป้าแกเป็นคนนี่เราจะกลัวทำไมล่ะ ดังนั้น เราจึงเงยหน้าและโบกมือทักทาย
ปรากฏว่าป้าจูลี่เดินกลับหันหลังแล้วปิดไฟในห้องทันที! อ้าว... ป้าต้องการอะไรจากเรา?
เราส่ายหัวเล็กน้อยกับความเผือกหรือสอดรู้สอดเห็นของป้า นี่เราต้องมาเจอกับป้าแบบนี้ทุกคืน
เลยหรือเปล่าเนี่ย?
คืนนี้เป็นคืนแรกที่เราสวดมนต์แผ่เมตตาและนั่งสมาธิ ระหว่างที่นั่งสมาธิก็มีเสียง ฮึก ฮึก มากระทบหู
เราลืมตาขึ้นทันที กวาดสายตามองรอบห้องนอนและพยายามนึกถึงน้อง ถึงแม้ว่าจะยังไม่รู้ว่าเสียงที่
ได้ยินคืออะไร แต่ตอนนั้นที่พึ่งหนึ่งเดียวที่นึกถึงได้คือน้อง และอีกอย่างถึงแม้ว่าเราจะไม่รู้เลยว่าน้อง
จะสามารถเดินทางข้ามประเทศมาได้หรือไม่แต่ก็ขอเรียกให้รู้สึกอุ่นใจไว้ก่อนดีกว่า เราเรียกน้องให้มา
อยู่ด้วยและยกมือไหว้เจ้าที่เจ้าทางตามแบบฉบับคนไทย ไม่ทันไรเราก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียง
กร๊อง แกร๊ง เสียงเหมือนโลหะกระทบกัน ตอนนั้นคิดอย่างเดียวคือต้องมีคนแอบเข้าบ้านแล้วรื้อหาของ
เรารีบหยิบโทรศัพท์มือถือส่องไฟไปที่ประตูห้องนอนเพื่อเช็คว่าเราลงกลอนเรียบร้อย จากนั้นเตรียมกด
เบอร์ฉุกเฉิน ความกลัวผีในขณะนั้นไม่มีอยู่ในหัวเลยเพราะกลัวตายมากกว่า แต่แล้วเสียงก็เงียบหายไป
ไม่มีอะไรดังขึ้นมาอีก ซึ่งหากเป็นขโมยจริง ป่านนี้พวกมันต้องบุกมาถึงห้องเราแล้ว เราจึงโล่งใจคิดว่า
อาจเป็นเสียงแมวหรือเราหูฝาดไปเอง.
ผ่านพ้นไปแล้วสองคืนกับการใช้ชีวิตอยู่ที่นี่เพียงคนเดียว
เรายังคงได้กินอาหารเช้าที่แขวนไว้ที่ประตู และไม่เคยถาม
แม่นำเลยว่าใช่ของแม่นำหรือไม่ เอาเป็นว่ามีของอร่อย
ประทังชีวิตในทุกเช้านั่นถือว่าเป็นเรื่องที่ดีจึงไม่อยากถาม
เซ้าซี้ เมื่อถึงเวลาก่อนเข้านอนเราตั้งจิตอธิษฐานขอเทวดาคุ้มครองและเริ่มสวดมนต์ ทันใดนั้นเสียง ฮึก ฮึกเหมือนคนร้องไห้ก็เล็ดเข้าหูแล้วตามด้วยเสียง กร๊อง แกร๊ง เราลืมตาโพล่งและกระเด้งตัวดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปงทันที ความรู้สึก
มันสัมผัสได้เองว่านี่ไม่ใช่สถานการณ์ปกติ เป็นไปไม่ได้ว่า
จะมีเสียงแบบเดิมเกิดขึ้นซ้ำกัน นอกจากจะมีสิ่งหนึ่งสิ่งใด
ที่เคยกระทำสิ่งนั้น ๆ และกลับมาทำซ้ำ ๆ ในเวลาเดิม
เราเริ่มตัวสั่นเพราะเสียงโลหะที่กระทบกันยังคงดังขึ้นเรื่อยๆ
เหมือนกับเรียกร้องความสนใจให้เราต้องออกไปดู
แล้วเราออกไปไหมคะ? ตอบ... ไม่ค่ะ! ใครจะกล้าออกไปคือเราไม่รู้ว่าถ้าออกไปแล้วจะต้องเจอกับอะไร ถ้าเราพูดไทยเขาจะฟังรู้เรื่องไหม แต่ถ้าจะให้เราพูดอังกฤษ เขาคงฟังเราไม่รู้เรื่อง ดังนั้นเราจึงเรียกน้องมาอยู่เป็นเพื่อนและฝากน้องไปบอกสิ่งที่อยู่ข้างนอกด้วยว่าอย่ารบกวนกันเลยเรากลัว ไม่ทันขาดคำเสียงก็เงียบไป แอบคิดในใจสงสัยโดนน้องเราเล่นซะแล้ว ว่าแล้วก็คลุมโปงนอนต่อจนถึงเช้า
เช้าวันนี้หลังจากกินอาหารในถุงหิ้วเสร็จแล้ว
ถือว่าเป็นครั้งแรกที่เราจะไปดูในครัวหลังจาก
ได้ยินเสียงแว่วเมื่อคืน ภายในครัวที่มีเพียงเตา
แก๊ส หม้อ กระทะอย่างละ 1 ใบและถ้วยจาน
ช้อนส้อมอย่างละ 1 ชุด นอกนั้นก็ไม่มีอะไร
ผิดปกติ จริง ๆ แล้ว เราแทบจะไม่ได้ใช้งานใน
ครัวเลยด้วยซ้ำ เนื่องจากปกติกินข้าวที่ร้าน
กลับมาก็ดึก แต่ที่สะดุดตาคงหนีไม่พ้นตะหลิว
สแตนเลสที่วางอยู่ข้างเตา ใครเอามาวาง?
เป็นไปไม่ได้ที่จะวางตรงนี้ มันควรอยู่ในลิ้นชักกับช้อนส้อมไม่ใช่อยู่ข้างเตาแก๊ส! เรารีบเก็บตะหลิว
เข้าลิ้นชักพร้อมทั้งรีบเดินออกมาจากบ้านตัดสินใจปั่นจักรยานออกมาทันที ระหว่างทางพลางคิดว่า
สิ่งที่เห็นคืออะไร
1. วิญญานที่มาส่งเสียง ฮึก ฮึก แล้วหยิบตะหลิวมาเคาะเตา ถ้าเป็นอย่างนั้นจะทำไปเพื่ออะไร? หรือเรา
กำลังเผชิญหน้ากับผีกุ๊ก?
2.มีคนแอบเข้าบ้านมาทำอาหารกินแล้วออกไปในตอนเช้าก่อนเราตื่น
ในวันนั้นระหว่างอยู่ที่ร้าน เราได้หาโอกาส
เล่าให้แม่นำฟังว่าเกิดอะไรขึ้นในหลาย ๆ คืน
ที่ผ่านมา แม่นำบอกว่าเราคิดมากหรืออาจจะเหงาและแปลกที่ก็ได้ ส่วนเรื่องป้าจูลี่ข้างบ้าน แม่นำ
บอกว่าไม่ใช่บุคคลอันตราย ผูกมิตรกับแกไว้น่ะดีแล้ว... หราาาาาา เล่นมาแอบดูเราทุกคืนแบบนี้
ใครจะกล้าผูกมิตรด้วยล่ะ จริงไหม?
เราลองสังเกตดูทุกครั้งที่เราสวดมนต์แผ่เมตตา ในคืนนั้น
เราจะได้ยินเสียง ฮึก ฮึก กร๊อง แกร๊ง แต่หากคืนไหนที่เรา
ไม่สวดมนต์ เราจะไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยและเสียงจะถี่มาก
น้อยแค่ไหนก็คงขึ้นอยู่กับอารมณ์ของผู้กระทำ เราทำได้
เพียงนั่งฟังนอนฟัง และรอเวลาที่เสียงจะมาเท่านั้นเอง
ครั้งหนึ่งเราเคยพูดก่อนสวดมนต์ว่า ถ้าหากการสวดมนต์
แผ่เมตตาในครั้งนี้จะเป็นการรบกวนผู้ที่อาศัย ณ ที่แห่งนี้
เราต้องขอโทษและเราไม่มีเจตนาจะสวดเพื่อทำร้ายใคร
เกิดอะไรขึ้นต่อรู้ไหมคะ? เสียงยังคงมาเหมือนเดิมเพิ่มเติม
คือดังขึ้นและนานขึ้น นั่นหมายความว่าเขารับรู้ในสิ่งที่เราต้องการจะสื่อ เพียงแต่เราไม่รู้ว่าเขาสื่อสารอะไรออกมา
พอใจหรือไม่พอใจ? ความเชื่อที่ว่าผีต่างชาติฟังภาษาไทย
ไม่ออก สถานการณ์ของเราสามารถหักล้างความเชื่อนั้นได้
หรือไม่แน่เขาอาจรับรู้ได้จากเจตนาของเรา?
วันหนึ่งแม่ไลน์มาบอกว่าอย่าลืมสวดมนต์นะวันนี้ที่ไทย
เป็นวันพระ ถ้าหาพวงมาลัยได้ก็จะดี โธ่แม่จ๋าหนูจะหา
พวงมาลัยมาจากไหน คืนนั้นก่อนนอนเราจัดแจงที่นอน
เตรียมสวดมนต์ ในใจก็หวั่นว่าถ้าคืนนี้สวดแบบเต็มบท
ชินบัญชร มันจะเป็นการรบกวนเขาไหม เราคิดกลับกันว่า
ในแต่ละที่เขาคงมีเจ้าของที่อยู่ก่อนแล้ว เราเป็นผู้มาทีหลัง
จึงไม่ควรรบกวนเจ้าของเดิมหากแต่ขออยู่ด้วยกันด้วยความ
สงบดีกว่า สรุปคืนนั้นเราตัดสินใจไม่สวดมนต์ และแล้ว
เจ้าของที่ก็ออกมาทักทายเราจนได้ เรามั่นใจมากว่า
สิ่งที่เราเห็นนั้นคือเจ้าของเสียงบ้านหลังนี้ ทำไมเราถึงมั่นใจขนาดนั้นคะ มาดูกัน...
เข้ามาประชิดเตียงแล้ว
เอื้อมมือมาจับแขนเรา จากนั้นก็เขย่า... เขย่า... พร้อมเสียง
ฮึก ฮึก เหมือนคนสะอื้นร้องไห้ เราตะโกนออกมาเสียงดังว่าปล่อยหนู! ปล่อยหนู! แต่เขากลับจับแขนเราแรงขึ้นกว่าเดิม
และบีบแน่นขึ้นจนเรากรี๊ดสะบัดแขนแล้วเราก็ตื่น!!!
เหงื่อเราออกท่วมตัวในตอนนั้น เราไม่กล้าหลับตาได้แต่ยกมือไหว้ท่วมหัวน้ำตาไหลแล้วพูดว่าต้องการอะไร ทำไมไม่มาบอกกันดี ๆทำร้ายกันแบบนี้ทำไม ฮือ... กลายเป็นเราที่นั่งร้องไห้สะอื้นแทน...
เช้าวันต่อมาเราไม่ต้องไปร้าน ตาเราโหลมากเพราะตั้งแต่
สะดุ้งตื่นกลางดึกเราก็ไม่นอนอีกเลย เรารีบวิ่งมาเผิดประตู
บ้านแต่เช้าคาดหวังว่าหากแม่นำมาแขวนอาหาร เราจะบอก
แม่นำว่าเราเจออะไร แต่รอจนแล้วจนรอดถึง 10 โมง แม่นำ
ก็ไม่มา เราจึงรีบกุลีกุจอวิ่งออกมาหน้าห้องมองไปรอบ ๆ
เผื่อถุงจะปลิว ปรากฏว่าไร้วี่แววแม่นำ หรือว่าวันนี้เป็น
วันหยุดแม่นำจึงไม่นำอาหารมาแขวนให้ เราจึงตัดสินใจ
ไปอาบน้ำซึ่งต้องเดินผ่านห้องครัว ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้
ที่จะเลี่ยงสายตา และแล้วสิ่งที่ทำให้เรามั่นใจมากว่าใน
บ้านหลังนี้ไม่ได้มีแค่เราที่อาศัยอยู่ที่นี่คนเดียวนั่นก็คือ
ตะหลิวที่เราเก็บใส่ลิ้นชักถูกนำออกมาวางไว้ข้างเตาแก๊ส!!!
เป็นไปไม่ได้ ยังไงก็เป็นไปไม่ได้เพราะเราเก็บตะหลิวเอง
กับมือ เราหยุดนิ่งมองดูตะหลิวใจนึงก็กลัวแต่อีกใจก็คิด
อยากจะพิสูจน์อะไรสักอย่าง เราจึงหยิบตะหลิวขึ้นมาและ
ลองนำมาเคาะกับเตาแก๊ส ปรากฏว่าเสียงที่ได้ยินนั้นเป็น
เสียงเดียวกับที่เราได้ยินเกือบทุกคืน กร๊อง แกร๊ง...
เสียงสะท้อนของตะหลิวที่กระทบกับเตาแก๊สดังกังวาล...
เราวางตะหลิวไว้ข้างเตาแก๊สในลักษณะเดิมและพูดว่า
"หนูรู้แล้วนะว่าคุณอยู่ที่นี่ อยากได้อะไรบอกกันดี ๆ
อย่าทำร้ายกันอีกเลย"
จากนั้นเราจึงเดินออกมานั่งหน้าบ้านพินิจพิเคราะห์
ว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี ในตอนนั้นเราไม่กล้าแม้แต่
จะเล่าให้แม่นำฟังอีกครั้ง เพราะกลัวเขาจะว่าเราบ้า
เพราะบ้านหลังนี้อย่างไรก็เป็นบ้านของเขา แม้เรา
จะมั่นใจเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วว่ามันต้องมีอะไร
อยู่ในนั้นนอกเหนือจากเรา แต่เราก็พยายามหลอก
ตัวเองให้คิดกลับกันว่าไม่มีอะไร เพราะเราจะต้อง
กลับมาอยู่ที่นี่ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า หากเรามอง
ที่นี่เป็นแง่ลบเราจะอยู่ที่นี่ต่อไปได้อย่างไร?
เรามีเพื่อนที่รู้จักอยู่ในเมืองนี้หนึ่งคน เป็นเพื่อนที่เรา
เคยพาไปเที่ยวเมืองไทย เพื่อนเราค่อนข้างเชื่อกับสิ่ง
ที่เราเล่าและเสนอแนวทางให้เราไปพักอยู่ที่บ้านเขา
จนกว่าจะเดินทางกลับไทย แต่เราปฏิเสธเพราะเขา
เป็นผู้ชาย และอีกอย่างเหตุผลในการย้ายบ้านก็ฟัง
ไม่ขึ้นถ้าเราจะไปบอกแม่นำ เราจึงเปลี่ยนแผนและ
เลือกเดินไปหาบ้านข้าง ๆ นั่นก็คือ ป้าจูลี่...
ไม่รู้ทำไมถึงต้องเป็นป้าจูลี่ แต่ตอนนั้นเราคิดอะไรไม่ออก
ก็นึกถึงป้าแกไว้ก่อนถึงแม้ว่าป้าจะชอบทำตัวแปลก ๆ
แอบดูเราทุกครั้งที่เราจอดจักรยานก็เถอะ เรากดกริ่ง
อยู่สักพักประตูก็ถูกเปิดแง้มออก เราทักทายป้าพร้อม
บอกว่าเรามีปัญหาต้องการความช่วยเหลือ ป้าจูลี่ไม่
ถามเราสักคำว่าต้องการความช่วยเหลืออะไร แต่ป้า
กลับเปิดประตูออกกว้างขึ้นและกล่าวเวลคัมเราเข้าบ้าน
เราเดินตามป้าเข้าไปนั่งรอในห้องโถงเล็ก ๆ ก่อนป้าจะนำ
แอปเปิ้ลพร้อมนมมาเสิร์ฟ เรากล่าวขอบคุณพร้อมเล่าให้
ป้าฟังว่าเราฝันและพบเจอกับอะไรในบ้านหลังนั้น ป้าจูลี่
ทำหน้าตกใจเล็กน้อยแล้วเอ่ย "เขามาให้เธอเห็นแล้วหรอ?"
กรี๊สสส!!! เขาที่ว่าคือใครคะป้า? ป้าไม่ตอบแค่ส่ายหน้าแล้ว
ไล่เรากลับบ้าน! ปัดมือเหมือนปัดแมลงวันตอมขรี้...
อ้าว เงิบสิคะ เราก็จำเป็นต้องออกจากบ้านป้าแล้วกลับมา
ยืนมองหน้าบ้านตัวเองพลางคิดจะเอายังไงต่อดี?
เราจึงเปลี่ยนแผนอีกรอบโดยการนัดเจอกับเพื่อน
แล้วออกไปเที่ยวกัน เราเลือกกลับเข้าบ้านในเวลา
ประมาณตีหนึ่งซึ่งจะทำให้เรามีเวลาอยู่ในบ้านเพียง
แป๊บเดียวคิดแค่ว่าเดี๋ยวก็เช้าแล้ว ก่อนเพื่อนจะกลับ
ก็ถามเราว่าแน่ใจใช่ไหมที่จะนอนที่นี่คืนนี้เราพยักหน้า
ใจตอนนั้นฮึกเหิมมากคิดแค่ว่าจะเอาตะหลิวมาเคาะ
หลอกฉันทั้งคืนก็เชิญ ทำได้มากสุดก็แค่มาเข้าฝันฉัน
เท่านั้นแหละ ก่อนลงจากรถเพื่อนสะกิดบอกอีกนิดว่า
เธอระวังตัวหน่อยนะฉันเห็นเงาคนมองเธออยู่
เรารีบหันขวับ!!! ป้าจูลี่ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ นี่มันตีหนึ่งแล้วทำไม
ป้ายังไม่น๊อนนนนน!!! เราไม่ได้ตอบอะไรเพื่อนแค่ยิ้มรับ
แล้วเดินจากมา ป้าจูลี่ยังคงมายืนดูเรากลับถึงบ้านทุกคืน
พอเรามาป้าก็จะเปิดไฟแล้วยืนแอบหลบมุมโผล่ลำตัวมา
แค่ครึ่งเดียว และทุกครั้งเราก็พยายามโบกมือทักทาย
แต่ป้าก็จะปิดไฟทันที พักหลังเราจึงไม่สนใจอยากมอง
ก็มองไปเลย บางครั้งเราแกล้งป้าพอเราถึงบ้านปุ๊ปก็แกล้ง
ยืนนิ่งอยู่ตรงจักรยานไม่ขยับไปไหน อยากรู้ใครจะทน
ได้นานกว่ากันก็เอาสิ ป้าก็เปิดไฟยืนดูเราจนป้าทนไม่ไหว
ก็ปิดไฟหายไปเอง คือป้าต้องการอะไรจากเร๊า? (เสียงสูง)
ก่อนนอนคืนนั้นเราเลือกไม่สวดมนต์ ถึงแม้ในใจอยากจะ
ท้าทายอำนาจมืด แต่ก็ยังเชื่อสุภาษิตไทยที่ว่า ไม่เชื่ออย่า
ลบหลู่อยู่ดี... เหงื่อที่ไหลออกตามไรผมและแผ่นหลังทำให้
คืนนั้นเรานอนหลับไม่สนิทพลิกตัวไปมาหน้าร้อนผ่าววูบ ๆ
ลุกขึ้นดูอุณหภูมิแอร์ที่เปิดต่ำกว่า 20 องศา แต่ทว่าความเย็นของแอร์ไม่สามารถทำให้เรานอนหลับได้สบายเลย เราลุก
ขึ้นมานั่งด้วยอารมณ์หงุดหงิดด้วยความที่ว่านอนก็ดึกแล้วยังนอนไม่หลับอีกหรอ ความคิดแวบแรกที่เข้ามาในหัวคือต้องมีอะไรแกล้งเราแน่ ๆ อากาศเย็นขนาดนี้แต่เหงื่อออกท่วมตัว
มันเป็นอะไรที่ขัดแย้งกันมาก เราผุดลุกผุดนั่งจนทนไม่ไหว
มองนาฬิกานี่เพิ่งจะตีสอง เอาสิอยากทำอะไรก็ทำ เราไม่นอนก็ได้เดี๋ยวก็เช้าแล้ว เราตัดสินใจหยิบโทรศัพท์มาเปิดยูทูบ
และเราก็หลับไปตอนไหนไม่ทราบ ความรู้สึกมันวูบหายไปเลย... รู้สึกตัวอีกทีคือร้อนหน้าผ่าว ร้อนแบบเหมือนอยู่ใกล้เปลวไฟ ร้อนมากจนเริ่มแสบ เหงื่อไหลพรั่งพลูออกมา...
ฮึก ฮึก รอบนี้เสียงใกล้หูกว่าเดิม เราพยามลืมตาแต่ลืมไม่ขึ้น
เรารู้สึกตัวทุกอย่าง ได้กลิ่นได้ยินแค่มองไม่เห็นเท่านั้น ฮึก ฮึก ตามมาด้วยเสียง กร๊อง... แกร๊ง...
นึกถึงเสียงแม่ค้าผัดกะเพราแล้วเคาะกระทะเสียงแบบนั้นเลย กร๊อง... แกร๊ง...
เสียงมาใกล้หูเรามาก มากซะจนได้กลิ่นไหม้ กลิ่นเหมือนมีของไหม้ สภาพเราตอนนั้นความรู้สึกเหมือนกำลังจะถูกเผา เรานอนอยู่ที่เตียงได้ยินเสียงทุกอย่างชัดเจน พยายามลืมตาแต่ทำอย่างไรก็ลืมไม่ขึ้น มันหนักอึ้งไปหมด ความร้อนจากอะไรไม่ทราบมันแผดเผาเราจนแสบหน้า เราพยายามดิ้น ปากก็ร้องตะโกนแม่! แม่! แล้วก็ตะโกนเรียกน้องสุดเสียงช่วยด้วยยยยย ส่วนมือเราก็พยายามปัดอากาศเพื่อปัดไอร้อนออกจากหน้า
ก่อนที่เราจะสามารถลืมตาได้นั้น มือเราก็ปัดไปโดนกับวัตถุอย่างหนึ่งที่แข็ง แล้วเราก็ลืมตาเฮือก!!! เรานอนมองเพดานที่สูงซะจนไม่สามารถเอื้อมมือไปแตะได้
รอบข้างไม่มีแม้แต่โต๊ะข้างเตียง แล้ววัตถุที่เราปัดโดนเมื่อตะกี๊คืออะไร? เรากระเด้งตัวนั่งในทันทีลุกเปิดไฟในห้องนอน ส่องกระจกดูหน้าตัวเอง ไม่ปรากฏแม้รอยไหม้ เรื่องนี้เราไม่ต้องสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น เราพุ่งเป้าไปที่บุคคลหนึ่งที่อยู่ในบ้านหลังนี้ร่วมกับเรา และในเมื่อหนียังไงก็หนีไม่พ้น ดังนั้น หนทางเดียวที่จะขจัดความกลัวออกไปได้นั่นก็คือ เดินหน้าเข้าหาปัญหาและไม่วิ่งหนีอีกต่อไป เรามองนาฬิกาบอกเวลาตีสี่ เราจึงลุกมานั่งแล้วรอเวลาอันสมควรที่จะเอาคืน!!!
555 ตอนนั้นน่ากลัวก็ต้องทนค่ะ เราไม่มีทางเลือก
เผื่อมีคนถามทำไมไม่ไปนอนกับแม่นำ เพราะที่บ้านแม่นำมีลูกสาว 2 คน และมีลูกจ้างที่ร้านมานอนอยู่ด้วยแล้ว รวม ๆ ก็ประมาณ 7 คนได้ นี่แม่นำถือว่าเราเป็นลูกเพื่อนสนิทเลยได้อภิสิทธิ์พิเศษ บ้านหนึ่งหลัง รถจักรยานหนึ่งคันนะคะ แค่นี้ก็บุญโขเลยค่าาา
เมื่อนาฬิกาบอกเวลาหกโมงเช้า เราไม่สนใจว่าจะมีถุงหิ้วมาแขวนไว้ที่หน้าประตูหรือไม่
เราเดินมุ่งหน้าไปยังห้องครัวเล็ก ๆ ที่ไม่เคยแม้แต่จะเข้ามาทำอาหารกิน เราเพ่งสายตา
ไปยังเตาแก๊สเพื่อมองหาเป้าหมายในการเอาคืนครั้งนี้ ไม่ปรากฏเป้าหมายของเรา
เราจึงเปิดลิ้นชักที่เก็บช้อนส้อมและคาดหวังว่าจะเจอกับสิ่งที่เรากำลังตามหา... บิงโก!!!
มันอยู่ในนี้ มันถูกวางไว้เหมือนไม่เคยถูกหยิบใช้มาก่อน เราหยิบมันออกมาจับให้ถนัด
ด้วยมือขวา แล้วค่อย ๆ บรรจงเคาะให้เข้าจังหวะกับเตาแก๊ส กร๊อง... แกร๊ง...
อืมเสียงเพราะกังวาลดีจังเลยนะ ถ้างั้นก็ขอให้เสียงเพราะแบบนี้ตลอดไปนะ
กร๊องงงงงงงง... แกร๊งงงงงงง... กร๊อง... แกร๊ง... กร๊อง...แกร๊ง...
เรากระหน่ำเคาะ ไม่ใช่เคาะสิ ต้องเรียกว่าฟาด เรากระหน่ำฟาดมันลงไปกับเตาแก๊สอย่างบ้าคลั่ง
ตอนนั้นเราเหมือนสติหลุด โมโหก็โมโหกลัวก็กลัว
ก๊อก!!! เป้าหมายของเราหัวเบี้ยวไปแล้ว สภาพดูไม่ได้เลย ดังนั้นเราจึงเอามันเก็บใส่ลิ้นชักไว้ตามเดิม
แล้วเปิดประตูออกมาหน้าบ้าน ปรากฏว่ามีถุงอาหารแขวนไว้หน้าบ้านเช่นเคย เราคว้าถุงนั้นแต่คราวนี้
ไม่ได้กินในบ้าน เราคว้าถุงแล้วปั่นจักรยานตรงดิ่งมาที่ร้านทันที
เราอยู่ที่ร้านด้วยความอ่อนล้า หนังตาทำท่าจะตกลูกเดียว เพื่อนสาวชาวไทยกระซิบถามนอนมาน้อยหรอ เราบอก
อืมแทบไม่ได้นอนเลยต่างหาก เมื่อถึงเวลาเลิกงานเพื่อนสาวชาวไทยที่พักอาศัยอยู่กับแม่นำบอกว่าจะเดินกลับพร้อมกับเรา ทำให้เราต้องจูงจักรยานคุยไปจนถึงบ้าน ระหว่างทาง
เพื่อนสาวชาวไทยเปิดคำถามว่านอนที่บ้านเช่าหลังนั้นไม่เจออะไรเลยหรอ? เราตาค้างในทันทีแต่ยังไม่ทันจะได้ตอบอะไร
ชีก็ยิงคำถามมาอีกชุด รู้เรื่องอะไรบ้างหรือเปล่า?
อือ... เราไม่รู้จริง ๆ มีอะไรหรอ? เราถามกลับ แต่ชีก็ไม่ได้เล่าอะไรให้เราฟังแถมยังช่วยจูงจักรยานมาจนถึงหน้าบ้าน แต่พอมาถึงหน้าบ้านเราเท่านั้นแหละ ชีก็ทำท่าสะดุ้งโหยง
ก่อนจะพูดว่า "แถวนี้ที่มันแรงจริง ๆ" พูดเสร็จชีก็รีบเดินจากไป... ค่ะ!!! พูดซะขนาดนี้เราจะทำยังไงคะ
จะก้าวขึ้นบันไดหรือจะแบกหน้าไปทางอื่นดี
เอาวะ มาถึงขนาดนี้แล้วอีกหน่อยก็ต้องมาอยู่ที่นี่
ทำใจดีสู้เสือไปเลยละกัน คิดได้ดังนั้นก็กลับหลังหันเตรียมขึ้นบันได ขวับ!!!
ปะ ปะ ป้าจูลี่ ๆ ๆ ๆ ๆ
เฮ้อ... ป้าจูลี่จะรู้บ้างไหมนะว่าในแต่ละคืนหนูต้องเจอกับอะไรบ้าง นี่ถ้าคืนไหนกลับบ้านแล้วไม่เจอป้าจูลี่นี่คงเป็นเรื่องผิดปกติแน่เลย เพื่อนนะเพื่อน ปล่อยให้เรายืนงงงันอยู่หน้าบ้านกับป้าข้างบ้านในเงามืดอีกหนึ่งคนจนได้
ในคืนนี้เราไม่ได้อาบน้ำ เมื่อถึงห้องนอนแล้วตัดสินใจล้มตัว
ลงนอน หยิบโทรศัพท์มาดูเวลา ป่านนี้ที่ประเทศไทยก็ดึกมากอยากจะคอลไลน์กลับไปหาแม่จังแต่แม่คงนอนหลับแล้วล่ะ
เราพยายามหากิจกรรมอื่น ๆ ทำเพื่อต้องการลืมและไม่อยากจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจ แต่ร่างกายก็ฝืนไม่ไหว
จนในที่สุดก็ผล็อยหลับไปเอง...ดึกดื่นค่อนคืนเสียงที่คุ้นหูก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้ไม่มีเสียงโลหะกระทบกัน มีแต่เสียงสะอื้นที่เราคุ้นหูเป็นอย่างดี พลางอมยิ้มกระหยิ่มในใจ เสียงสะอื้นนั้นก็ค่อย ๆ เบาลงและเงียบหายไป ผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่ทราบ มวลความร้อนเริ่มแผ่เข้ามาในห้องอีกครั้ง เรานอนดิ้นส่ายหน้าไปมาด้วยความแสบร้อนแต่คราวนี้แขนของเราหนักอึ้งพร้อมกับตาที่ลืมไม่ขึ้น มีแต่ช่วงขาที่เรายกขึ้นกระทืบเตียง ปัง ปัง ลมร้อนยังคงปะทะที่ใบหน้า เราพยายามยกแขนตัวเองขึ้นมาต้องการที่จะปัดไล่ลมร้อนที่แผ่อยู่บริเวณใบหน้าของเราแต่ทำเท่าไหร่ก็ยกแขนไม่ขึ้นเหมือนกำลังยื้อยุดฉุดแขนตัวเองสุดแรงเกิดจนสุดท้ายเราก็ตะโกนออกมาว่าดัง ๆ ว่า
"กลัวแล้ววววววววววว" เท่านั้นแหละลืมตาโพล่งได้ทันที แขนเหมือนถูกปลดจากพันธนาการ และด้วยความสัตย์จริง ใครเคยอยู่ในสถานการณ์ที่กลัวตายหรือตกใจสุดขีดแล้วฉี่ราดไหมคะ? 555 คิดต่อเองละกันเนอะ ตอนนั้นเรานอนหลับทั้งน้ำตาเลย... เสียงนาฬิกาปลุกทำให้เราตื่นงัวเงียขึ้นมา เราเลือกเก็บงำเรื่องนี้ไม่เล่าให้แม่ฟังเพราะไม่อยากให้เขาเป็นห่วง ไม่เล่าให้แม่นำฟังเพราะไม่อยากให้เขาว่าเราบ้า ไม่เล่าให้ป้าจูลี่ฟังเพราะคิดว่าไม่มีประโยชน์อะไรนอกจากมายืนดูเราในทุก ๆ คืน จะว่าไปแล้วเราก็ยังมีชีวิตรอดอีกหนึ่งวัน มีสติได้มานั่งทบทวนว่าเราได้ทำอะไรที่พลาดพลั้งจนทำให้ใครไม่พอใจไปบ้าง? เราคิดมาตลอดว่าการสวดมนต์จะช่วยขจัดปัดเป่าสิ่งเลวร้าย แต่ก็ไม่ถูกต้องเสมอไป เพราะแท้จริงแล้วการสวดมนต์คือการทำให้เรามีสติ รู้จักคิดวิเคราะห์แยกแยะอย่างฉลาดและมีเหตุผล เมื่อมาผนวกกับสถานการณ์ที่เราเจอทำให้เราสามารถแยกแยะสถานการณ์ได้
- หากสวดมนต์ เราจะเจอในรูปแบบเสียง
- หากไม่สวดมนต์ เราจะเจอในรูปแบบ รูป รส กลิ่น เสียง
ทำตัวไม่ถูกเลยว่าจะเลือกแบบไหนดี?
ในคืนต่อมาเราลืมตาขึ้นมานอนฟังเสียง ฮึก ฮึก
ถามว่ากลัวไหมตอบ... กลัวค่ะ!!! แต่บางครั้งก็รู้สึกเหมือนเป็นความเคยชินว่าจะมาอะไรกันนักกันหนา มาอยู่ได้ทุกคืน! อีกอย่างเราไม่มีคนกลางหรือสื่อกลางที่จะทำให้รับรู้ได้เลยว่าเขาต้องการอะไร เราเลือกนอนลืมตาฟังอย่างเงียบ ๆ แล้วเสียงก็ค่อย ๆ หายไป นี่คงเป็นผลพวงมาจากการสวดมนต์ในคืนนี้ที่ทำให้เรามีสติมากขึ้น สติในการคิดพิจารณาว่าหากแยกออกจากกันไม่ได้ก็ควรที่จะสงบศึกและอยู่กันด้วยความเข้าใจ การอธิษฐานจิตถึงใครสักคนที่เป็นเจ้าบ้านให้เขารับรู้ว่าเราขอโทษถ้าเราทำลายของ ๆ เขา เราขออโหสิกรรมถ้าเราลบหลู่เขา เราขอให้ยกโทษให้ถ้าเราปากดีท้าทายเขา ทั้งหมดทั้งมวลนี้เราขอแค่มาอาศัยอยู่ด้วยในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ แต่หากในอนาคตมีความจำเป็นต้องได้มาอยู่ที่นี่จริง ๆ ก็ขอให้อยู่ด้วยกันอย่างสงบและให้คุณเราเราก็จะให้คุณเขาด้วยการทำบุญตามวิถีไทยพุทธ เคยไปกรรมฐานกับหลวงพ่อสายวัดป่าท่านว่า "บุญกุศลใด เราสามารถอุทิศให้ถึงแก่ผู้รับทั้งที่ล่วงลับไปแล้วก็ดี ยังมีชีวิตอยู่ก็ดี อยู่เมืองไทยก็ดี อยู่ต่างประเทศก็ดี คนไทยก็ดี ฝรั่งมังค่าก็ดี สรรพสัตว์ก็ดี แลผีเปรตก็ดี หากเราตั้งใจให้แก่เขาแล้ว อย่างไรก็ดีเขาย่อมได้รับบุญนั้นจากเรา"
เรื่องนี้ไม่มีคำตอบชัดเจนเกี่ยวกับบุคคลปริศนาในบ้านหลังนี้ มีเพียงข้อสันนิษฐานของเราที่ปะติดปะต่อเรื่องราวเองจากปากเพื่อนสาวชาวไทยที่สุดท้ายยอมทนลูกตื๊อเราไม่ไหวจนหลุดปากเล่าให้เราฟังว่าบ้านหลังนี้เคยมีอดีตพ่อครัวที่ทำงานอยู่ร้านอาหารอิตาเลี่ยนมาเช่าอยู่กับภรรยาและเกิดหัวใจล้มเหลวขณะกำลังทำอาหารอยู่ในห้องครัว ไฟที่กำลังลุกโชนกระทะที่แห้งทำให้ภรรยานั้นได้กลิ่นเหม็นและวิ่งเข้ามาดู แต่ก็ไม่สามารถช่วยเหลือสามีได้ทันเพราะเขาได้เสียชีวิตไปแล้ว ศพได้ถูกเคลื่อนย้ายออกจากบ้านพร้อมกับภรรยาทำการยกเลิกสัญญาเช่าและเก็บข้าวของออกไป ส่วนสิ่งของคู่ใจที่เขาเคยหยิบจับมันทำอาหารให้กินเมื่อครั้งยังมีชีวิตมันก็ยังคงอยู่ที่เดิม คงเพื่อเป็นการระลึกถึงอดีตสามีผู้ล่วงลับไปแล้วและคงเป็นการเตือนความทรงจำว่าครั้งหนึ่งเธอนั้นเคยอร่อยกับอาหารของเขามากแค่ไหน ในวันสุดท้ายก่อนกลับเมืองไทย เราได้เข้าไปร่ำลาป้าจูลี่และนี่ถือเป็นครั้งแรกที่ป้าจูลี่ยอมพูดกับเราเป็นประโยคยาว ๆ ก่อนกลับว่า
"อาหารที่เธอกินน่ะ ไม่ใช่ของเธอนะ ฉันเอาไปแขวนให้สามีฉันกิน" ปะ ปะ ป้าจูลี่ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
และอีกไม่เกินปีเราก็จะกลับไปที่นั่นอีก และมีโอกาสสูงที่จะได้พักอยู่ที่เดิมอยู่ใกล้กับป้าจูลี่อีกเหมือนเคย หากมีความคืบหน้าในเรื่องนี้อีกในอนาคตเราจะมาเล่าเพิ่มเติมนะคะ ขอบคุณเพื่อน ๆ ที่ติดตามมาตั้งแต่ต้น น้ำตาจะไหลไม่คาดคิดว่าจะมีคนมารออ่านด้วย ขอบคุณจากใจจริงค่ะ.
เดี๋ยวขอเบลอภาพบ้านแล้วจะมาอัพให้ดูนะคะ แต่อย่าเอ็ดไป ปัจจุบันบ้านหลังนี้แม่นำก็ยังไม่ได้ปล่อยเช่าเพราะจะเก็บไว้ให้เราไปอยู่ค่ะ.
เรื่องจากพันทิป ป้าจูลี่ (คิดชื่อเรื่องไม่ออก เอาเป็นชื่อนี้ไปก่อนละกัน)
เรื่องโดย TharaJF
Post a Comment