ย่าของฉัน


     "ย่าของฉัน"ความรักและความผูกพันกันระหว่างย่าหลานนั้น ถึงแม้ว่าต้องจากกันแต่ดวงวิญญาณก็ยังคอยปกปักรักษา กลับมาอีกครั้งของ ประสบการณ์จากสมาชิกพันทิปชื่อว่า TharaJF ได้เจอมาเธอมักจะเจอวิญญาณอยู่บ่อยครั้ง ขอขอบคุณประสบการณ์ผีๆไว้ ณ ที่นี้ด้วย

กลับมาเจอกันอีกแล้ว ช่วงนี้ใกล้สิ้นปีเป็นช่วงเวลาแห่งการเดินทางออกจากกรุงเทพฯ มุ่งหน้าสู่ชนบทบ้านเกิดเมืองนอนสไตล์ล้านนา
การได้กลับไปเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ที่ต่างจังหวัดถือเป็นการตั้งหน้าตั้งตารอคอยของคนที่อยู่ทางโน้น ย่าของเราจะคอยมองเพื่อนบ้านที่มีรถ
มาจอดในตอนเช้ามืดและชะเง้อมองหน้าบ้านของตัวเองว่าจะมีใครมาบ้าง ครอบครัวเรากลับบ้านทุกปี ปีละ 2 ครั้ง กลับไปสาดน้ำให้ม่วน
ซื่นใจ๋และอีกทีก็ไปนับดาวข้ามปี ที่เกริ่นมานี้เพียงเพราะระลึกถึงเหตุการณ์ความทรงจำที่น่าประทับใจ (หรือเปล่า?) เมื่อครั้งไปเที่ยวหาย่า
จริง ๆ เรื่องนี้เราเคยเล่าไว้ตั้งแต่ตอนสมัครเว็บนี้แรก ๆ ตอนนี้จะขอเล่าส่วนแยกหรือเหตุการณ์ที่มาที่ไปต่อจากนั้นอีกสักนิด

บ้านย่าของเราเป็นบ้านไม้ 2 ชั้น ครึ่งปูน ครี่งไม้ ห้องน้ำสังกะสีที่ย่าใช้อาบน้ำจะอยู่ด้านนอกตัวบ้านซึ่งต้องเดินออกไปทางด้านหลัง
และจะมีต้นมะม่วงต้นใหญ่หนึ่งต้นพร้อมโอ่งดินเผาขนาดกลางพอใส่น้ำอาบได้ตั้งอยู่หน้าห้องน้ำ ในครั้งนั้นที่เรามาบ้านย่าพร้อม
น้องสาวซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องในช่วงเวลากลางคืน ญาติพี่น้องทุกคนไปรวมตัวกันกินข้าวเย็นที่บ้านของลุงซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลเท่าไหร่
เราและน้องสาวได้รับคำสั่งให้มาเอาถ้วยชามเพิ่มเติมเนื่องจากว่ามีการกินเลี้ยงสังสรรค์ของผู้ใหญ่ และเป้าหมายของเราคือบ้านย่า
เพราะว่าอยู่ใกล้ที่สุด ดังนั้นน้องสาวเราจึงสตาร์ทรถขี่มอไซค์เรานั่งซ้อนท้ายมุ่งตรงมายังบ้านย่าทันที เมื่อมอไซค์จอดที่หน้าบ้านย่าสิ่งที่
นึกออกก็คือ กุญแจล่ะ? ต่างคนต่างส่ายหน้าเพราะไม่ได้เอากุญแจมา แต่ย่าเคยบอกว่าประตูบ้านไม่เคยล็อคให้เดินอ้อมไปทางหลังบ้าน
แล้วแงะประตูเข้าไปได้เลย พวกเราจึงจัดแจงถกขากางเกงและปีนรั้วที่สูงเลยหัวเรามานิดหน่อย เราปีนรั้วข้ามเข้ามาคนแรกด้วยความ
ทุลักทุเลกระโดดลงพื้นตุบ! น้องสาวกระโดดตามตุบ! แล้วพากันเดินอ้อมไปทางด้านหลังบ้านซึ่งต้องผ่านต้นมะม่วงสูงใหญ่แผ่กิ่งใบออก
อย่างกว้างขวาง เรายังพูดกับน้องสาวเลยว่า “มะม่วงต้นนี้อายุยืนจังเนอะ เราเก็บลูกมันกินตั้งแต่เด็ก ๆ จำได้ปะ?”
น้องสาวบอกจำได้พร้อมเล่าถึงวีรกรรมที่เราปีนต้นมะม่วงขึ้นไปแล้วถูกมดแดงกัดจนลื่นตูดไถลตกต้นไม้ลงมา เล่าไปพร้อมกับหัวเราะ
สนุกสนานมือก็พลางแงะประตูข้างหลังเข้าบ้าน อันที่จริงแทบไม่ต้องแงะเลยเพราะเอามือสะกิดนิดเดียวประตูก็แง้มออกมาอย่างง่ายดาย
เรายังนึกเป็นห่วงย่าว่าบ้านช่องประตูปิดไม่มิดชิดแบบนี้จะเป็นอันตรายหรือเปล่านะ เมื่อเราเปิดประตูเข้าทางหลังบ้านได้สำเร็จก็ค่อย ๆ
เดินควานหาสวิตไฟแต่น้องสาวตัวดีบอกว่า

"ไม่ต้องเปิดไฟก็ได้มั้ง มีแสงจันทร์จากข้างนอกส่องเข้ามาพอมองเห็นอยู่ รีบเอาจานรีบกลับเถอะ"

ในเวลานั้นถึงจะเป็นเวลาค่ำแล้วก็ตามแต่คืนนั้นเป็นคืนที่พระจันทร์เต็มดวงจึงทำให้มีแสงจันทร์เล็ดลอดเข้าตามซอกหลืบของบ้าน
แลให้เห็นของภายในบ้านค่อนข้างชัดทีเดียว เมื่อเราและน้องก้ม ๆ เงย ๆ คว้าจานพร้อมทั้งเปิดตู้เย็นแอบกินขนมของย่าขนมปังที่น้า ๆ
ซื้อมาติดตู้เย็นไว้ให้ย่ากิน เรากับน้องก็ยัดเข้าไปเต็มปากพร้อมมองหน้ากันหัวเราะอย่างชอบใจ

“ทำตัวเหมือนขโมยกันเลยอะ” 555 น้องเราหัวเราะออกมา เราก็บอกว่า “ขโมยที่ไหน นี่เรียกว่าขอกินโดยไม่บอกต่างหาก ของย่าเราเอง
ถึงไม่ขอย่าก็ให้กินอยู่แล้ว”

เมื่อพวกเรายัดขนมเข้าปากจนเต็มแก้มเป็นพวงทั้งสองข้าง มือแต่ละคนก็อุ้มจานถ้วยพร้อมทั้งตุเลงเดินออกมาทางประตูด้านหลัง
และเมื่อเราใช้เท้าเตะประตูให้เปิดออก สายตาของเราก็พลันไปประสานกับสายตาของผู้หญิงคนหนึ่ง แสงจากดวงจันทร์ที่สาดส่อง
ลงมาทำให้มองเห็นลักษณะผู้หญิงคนนั้นชัดเจนมากถึงชัดเจนมากที่สุด เมื่อประตูเปิดออกและเราก็ผงะหยุดนิ่งประสานสายตากับ
ผู้หญิงคนนั้นอยู่สักพัก น้องสาวที่เดินตามหลังเรามาก็สะกิดถามว่า “หยุดทำไม! มองอะไร!?” เราตอบแค่ว่า “เปล่า!!!!!”
แต่การกระทำของเรากำลังจะสวนทางกับคำพูด เมื่อเราตอบคำว่าเปล่า แต่เรากลับก้าวขาออกจากบ้านยาวกว่าเดิมและจ้ำขายาวขึ้น
ยาวขึ้น จากเดินจึงค่อย ๆ เปลี่ยนมาเป็นวิ่ง เราสับขาวิ่งมุ่งหน้าไปทางด้านหน้าบ้านของย่าโดยไม่ฟังเสียงเรียกของน้องสาว เมื่อวัตถุ
ที่อยู่ตรงหน้าเรามีความสูงท่วมหัวแต่ในใจตอนนั้นคิดแค่ว่าจะออกจากบ้านย่าให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ เมื่อระยะประชิดกับวัตถุตรงหน้า
เรากระโดดคว้าขอบรั้วพร้อมเอาเท้าไถ ๆ แล้วพลิกตัวข้ามรั้วกระโดดลงข้างล่างตุบ! ขึ้นคร่อมมอไซค์บิดกุญแจที่เสียบคาไว้แล้วเหยียบ
เกียร์หนึ่งพร้อมบิดคันเร่ง แฮ่นนน... แล้วยกล้อหน้าออกตัวล้อฟรีลากยาว แฮ๊นนนนนนน!!!!!
ต้องบอกก่อนว่าเราเองตอนนั้นขี่มอไซค์ยังไม่เป็นแต่เราจำได้จากที่ต้องซ้อนมอไซค์เป็นประจำว่าต้องเหยียบเกียร์หนึ่งแล้วตามด้วยสอง
จนไปถึงสี่ถึงจะขี่ยาว ๆ ได้ ทีนี้ด้วยความตกใจเราขี่ลากเกียร์หนึ่งจนมีเสียง แท่ด แท่ด ประมาณนี้ คงเป็นเสียงเตือนให้เหยียบเกียร์สอง
ขณะที่มอไซค์เริ่มมีเสียงดังสติของเราถึงได้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว เราตกใจเสียงของมอไซค์และรถเริ่มอืด จังหวะเดียวกันกับที่เรามอง
กระจกส่องหลังแล้วเห็นน้องสาวเราวิ่งตามหลังพร้อมโบกไม้โบกมือตะโกนเป็นภาษาคำเมือง

“อิปี้ๆๆๆๆๆๆๆๆ รออออเปิ้นจิมมมมมมมม” ตอนนั้นนั่นแหละค่ะสติถึงกลับมา เมื่อน้องสาววิ่งตามมาถึงรถก็บ่นให้เราว่า
“ไหนว่าบ่มีอะหยัง แล้ววิ่งหนีมาปล่อยหื้อเปิ้นปีนฮั้วค๋นเดว จ๋านเฮี่ยเสียหม๊ด”

เราก็บอกว่ารีบขี่รถไปหาย่าก่อนเถอะอย่าเพิ่งบ่นเลย เมื่อพวกเรามาถึงบ้านของลุงพร้อมกับถ้วยจานที่เอาติดมาได้น้อยนิด เราเล่าให้
ญาติผู้ใหญ่ฟังว่าเราเจออะไรที่บ้านย่าถึงทำให้ได้จานมานิดเดียว ทุกคนบอกว่าเราตาฝาดแล้วก็หันไปร้องเพลงเคาะแก้วกันต่อ
เราจึงเดินไปกระซิบย่าว่า "เห็นจริง ๆ นะ ผู้หญิงผมยาวนุ่งผ้าถุงนั่งยอง ๆ อยู่บนปากโอ่งแล้วจ้องหน้าหนูอะ"
ย่าถามกลับ “แล้วเขาทำอะไรหนู?”
"เขาเปล่าทำแต่เขาจ้องหน้าหนูตาไม่กระพริบเลย แต่หนูก็จ้องหน้าเขากลับนะเพราะสงสัยว่าใครกันเข้ามาในนี้ แต่พอมองดี ๆ
ใครที่ไหนจะนั่งยองบนปากโอ่งอย่างนั้น หนูเลยคิดว่าใช่แน่ ๆ เลยรีบวิ่งออกมา" น้องสาวตัวดีรีบเข้ามาสมทบ
“แต่หนูไม่เห็นอะไรนะย่า หนูเห็นแต่พี่ยืนนิ่งมองจ้องอะไรไม่รู้แล้ววิ่งหนีหนูออกมาเนี่ย ดูซิ จานแตกหมดเลย”
ย่าจึงบอกให้เราเอาธูปไปปักกลางแจ้งที่บ้านพรุ่งนี้พร้อมบอกกล่าวเจ้าที่ทางขอขมาซะ เราอาจทำอะไรที่ไม่ดีงามเขาจึงออกมาเตือน
เรากับน้องก็มองหน้ากันแล้วคิดว่าทำอะไรที่ไม่ดีไว้ เพราะบ้านย่านี่ก็ปีนต้นไม้เล่นวิ่งเข้าวิ่งออกบ้านตั้งแต่เด็ก ๆ แต่ก็เอาเถอะขอขมาก็ได้
ไม่เสียหายอะไร...

เช้าวันต่อมาเราไปบ้านย่าอีกครั้งพร้อมธูปปักกลางแจ้งหน้าบ้านยกมือกล่าวขอขมาตามที่ย่าพูดนำ เมื่อปักธูปแล้วย่าบอกว่าไปเอา
ขนมปังในตู้เย็นมากินสิย่าอนุญาต เราชะงักไปนิดนึงแล้วนึกได้ว่าเมื่อคืนเราแอบกินขนมปังในตู้เย็นไปแล้ว เอ... ย่าจะรู้ไหมนะ?
เราจึงบอกย่าไปว่าไม่หิวแล้วทำทีจะเดินออกไปเล่นนอกบ้านกับน้อง ๆ หลาน ๆ ที่ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวกันอยู่ ย่าบอกว่าไปเอามากินเถอะ
ย่ายกให้ เราก็บอกว่าไม่หิวพูดเสร็จก็รีบวิ่งสะบัดก้นออกไปอย่างไว แล้ววิ่งไปกระซิบหูน้องสาวที่มาด้วยเมื่อคืนว่ากลัวย่าจะรู้จังเลยว่า
พวกเราแอบกินขนมปังในตู้เย็น น้องสาวก็รีบโบ้ยเราทันทีว่าทำตามเรานั่นแหละถ้าย่ารู้ว่าขี้ขโมยหนูจะโทษพี่... อ้าว!!!
ความจริงแล้วย่าไม่ได้หวงของกินกับหรอกค่ะ แต่เรามาเข้าใจเหตุผลก็เมื่อโตขึ้นว่าการขออนุญาตเป็นสิ่งที่สมควรกระทำและเป็นมารยาท
ที่พึงกระทำไม่ว่าจะหยิบจับสิ่งของนั้นจากญาติพี่น้องคนกันเองก็ตาม แต่ในขณะนั้นที่เรายังเป็นเด็กก็คิดแค่ว่านี่ก็บ้านย่าตู้เย็นย่าของกินย่า
แล้วย่าก็เป็นย่าทำไมเราจะหยิบกินอะไรไม่ได้ หยิบได้ค่ะ... แต่ต้องได้รับการอนุญาตหรือขออนุญาตจากเจ้าของเสียก่อน
นี่คือการสอนของย่าเรา หลังจากที่พวกเราเล่นกันทั้งวันด้วยความเหนื่อยล้า ญาติพี่น้องทุกคนก็มารวมตัวกันบ้านย่าแล้วทำอาหารกินกัน
เราซึ่งเป็นพี่คนโตของกลุ่มลูกพี่ลูกน้องก็อาสาไปเอาน้ำในตู้เย็นมาแจกจ่ายน้อง ๆ พลันฉุกคิดถึงเหตุการณ์เมื่อคืนที่แอบขโมยขนมปังย่า
มันติดคาใจถึงแม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยแต่เมื่อเรายังเป็นเด็กก็รู้สึกว่าสิ่งที่ทำไปมันไม่ดี จึงได้เดินไปกอดย่าข้างหลังแล้วบอกว่าเราแอบกิน
ขนมปังย่านะ ย่าไม่ได้ว่าอะไรแต่กลับสอนให้รู้จักความซื่อสัตย์ต่อตนเอง หากเราโตขึ้นแล้วไปอาศัยอยู่บ้านคนอื่นก็ต้องระมัดระวังเรื่องนี้
และย่าพูดทิ้งท้ายว่า “คราวหน้าจะหยิบจับอะไรไม่ว่าบ้านใครก็ขออนุญาตก่อนนะ”

เมื่อกินข้าวเย็นและนั่งพักผ่อนถามสารทุกข์สุขดิบกันในเครือญาติเสร็จแล้ว ต่างคนก็เริ่มแยกย้ายกลับบ้านของตนเอง
พ่อแม่เราย้ายมาตั้งถิ่นฐานอยู่ในกรุงเทพฯ ตั้งแต่เรายังไม่เกิด ที่ต่างจังหวัดจะไม่มีบ้านของพ่อแม่มีแต่ที่ดินที่รอพ่อ
เกษียณแล้วจะกลับมาสร้างบ้านอยู่ ดังนั้น เวลาครอบครัวเราไปเที่ยวก็จะอาศัยนอนบ้านย่าหนึ่งคืน บ้านลุงหนึ่งคืน
บ้านน้าหนึ่งคืนสลับแบบนี้เพราะย่ามีลูกเยอะ เลือกได้เลยว่าคืนนี้จะไปนอนบ้านของใคร คืนนี้พ่อแม่เรานอนบ้านย่า
บ้านไม้ทรงโบราณ (ที่มีการต่อเติม) อายุร้อยกว่าปีปลูกตั้งแต่สมัยหม่อน (ทวด) ยังเป็นสาวจนตอนนี้ย่าก็แก่จนจะ
เป็นหม่อนไปอีกคน เมื่อจัดแจงที่นอนเสร็จแล้วก็เข้านอนม้วนชายมุ้งสอดใต้ที่นอนไม่ให้ยุงเข้า เวลาผ่านไปค่อนคืน
ด้วยความที่วันนี้เราวิ่งเล่นเยอะทำให้เกิดอาการเกร็งที่น่องหรือเป็นตะคริวนั่นเอง เราร้องโอ๊ยขึ้นมาดัง ๆ พร้อมดีดตัว
ลุกมานั่งกอดขาตัวเองด้วยความเจ็บปวด

“โอ๊ย!!!”

ร้องแล้วหันมองแม่ที่นอนข้าง ๆ แม่ไม่ได้ยินเสียงเราเลยหรอเนี่ยปวดจะตายอยู่แล้ว เรากอดขาตัวเองอยู่สักพักถึงได้รู้สึก
ผ่อนคลายและยืดขาออกล้มตัวลงนอนอีกรอบ ไม่ทันไรความรู้สึกปวดที่น่องก็กลับมาอีกครั้ง คราวนี้เราร้องดังกว่าเดิมพร้อม
เอามือสะกิดแม่แต่แม่ก็ยังนอนนิ่ง เราลุกขึ้นมานั่งกอดขาตัวเอง นิ้วเท้าหงิกงอเกร็งมันปวดจนไม่รู้จะบรรยายออกมาแบบไหน
คนที่เคยเป็นตะคริวตอนนอนคงจะทราบดี ในขณะที่เรานั่งน้ำตาไหลจับขาตัวเองอยู่นั้น ปลายมุ้งที่เราม้วนชายสอดพับเก็บใต้
ที่นอนก็สะบัดออกพรึ่บหนึ่งที!!! มันจึงเบี่ยงเบนความสนใจจากน่องของเราไปที่ปลายมุ้งทันที เราชำเลืองตามองที่ปลายมุ้ง
ลักษณะเหมือนมีลมแล้วมุ้งปลิว แต่ว่าถ้ามีลมมุ้งส่วนอื่นต้องเคลื่อนไหวด้วยสิ นี่ขยับเป็นบางจุดแล้วเป็นจุดที่ถูกทับไว้อีกทีด้วย
ประหนึ่งว่ามีคนจะมาเปิดมุ้งขึ้นแล้วสะบัดออก เรามองไปที่ปลายมุ้งที่ตอนนี้มันถูกดึงออกมาจากใต้ที่นอน พร้อมเงาลาง ๆ
ปรากฏอยู่หน้ามุ้ง เงานั้นรูปร่างผอมเหมือนผู้หญิงยืนนิ่งอยู่หน้ามุ้งที่เรานอน ด้วยความที่ห้องมืดเราจึงเห็นเฉพาะลักษณะเงา
ไม่ได้เห็นรายละเอียดมากนัก แต่แปลกใจที่เรารู้สึกคุ้นเหมือนเคยเห็นที่ไหน ที่แน่ ๆ ไม่ใช่ย่าแน่นอนเพราะย่าเราหุ่นท้วมเตี้ย
และเราไม่สามารถละสายตาจากเงานั้นได้เลย เนื่องจากเงานั้นก็ไม่มีทีท่าว่าจะขยับไปไหนเพียงแต่ยืนนิ่ง ๆ  ในใจตอนนั้นภาวนา
ให้เป็นย่าเดินออกมาดูถึงแม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าไม่ใช่ เงานั้นเริ่มขยับ ไม่ได้ขยับเข้าแต่เป็นขยับออก เงานั้นค่อย ๆ เคลื่อนตัวถอยออก
แล้วหายวับไปกับความมืดของมุมห้องและไม่มีสิ่งใดเคลื่อนไหวอีกเลย ปล่อยให้เราที่หายเจ็บน่องตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบนั่งตาค้าง
อยู่อย่างนั้น

เช้ามืดหลังจากตักบาตรเสร็จแล้ว ย่าชวนเราไปห่อขนมเพื่อเตรียมไปวัดวันพระพรุ่งนี้ บอกว่าจะสอนทำขนมโหนบเหนบ
หรือขนมเทียน ระหว่างที่กำลังเตรียมใบตองย่าเอ่ยว่า “หม่อนชอบมากเลยนะโหนบเหนบ สงสัยจะอยากกิน เมื่อคืนย่าฝันเห็นหม่อน”
เราหันขวับไปมองหน้าย่าที่กำลังเอาน้ำมันถูใบตองอย่างขมักเขม้น ย่าหันกลับมาพูดเป็นภาษาคำเมือง “หม่อนท่าจะดีใจ๋ขนาดวันนี้
ได้หลานสาวคนเก๊ามาช่วยห่อใบตอง ยะงาม ๆ เน้อ หม่อนจะได้กิ๋นรำ ๆ “ เราพยักหน้าตอบรับ วันนี้ทั้งวันเราไม่ได้ออกไปเล่นที่ไหน
เพราะมัวแต่ช่วยย่าเตรียมขนมเทียนและอาหารคาวหวานสำหรับไปวัดวันพรุ่งนี้ ย่าบอกว่าคืนนี้ให้นอนที่นี่กันอีกคืนเพราะว่าต้องตื่นไป
วัดแต่เช้าถ้าไปนอนบ้านญาติคนอื่นมันอยู่ไกลวัดเดี๋ยวจะพากันไปวัดสาย พอตกโพล้เพล้เราเตรียมเสื้อผ้าอาบน้ำหอบผ้าเช็ดตัวเดินไป
ทางด้านหลังบ้านคนเดียว เมื่อละเลงตักน้ำอาบถูสบู่ เราก็ฮัมเพลงตามไปด้วย ซ่า... เสียงน้ำราดพื้นดังขึ้นเบา ๆ หนึ่งที เราเงี่ยหูฟังข้าง
ประตูว่าเสียงน้ำดังมาจากทางไหน เพราะในห้องน้ำตอนนี้เราถูสบู่อยู่ ซ่า... เสียงน้ำราดพื้นดังขึ้นอีกหนึ่งที เราจึงแง้มประตูออกเพื่อดูว่า
มีใครมารดน้ำอะไรแถวนี้หรือไม่ ว่างเปล่า! ไม่มีใครอยู่แถวห้องน้ำที่เราอาบและก็ไม่ใช่เสียงของบ้านข้าง ๆ เพราะว่าตัวบ้านไม่ได้ใกล้กัน
ขนาดนั้นเราจึงปิดประตูแล้วใช้ขันตักน้ำราดตัวล้างหน้าแล้วรีบคว้าผ้าเช็ดตัว เวลาพลบค่ำที่บ้านนอกบนเขาสูงชันถ้ามองให้สวยก็สวยสงบ
แต่ถ้ามองให้น่ากลัวก็วังเวงมิใช่น้อย เราม้วนผ้าเช็ดตัวเหน็บกับหน้าอกแล้วเปิดประตูห้องน้ำออกมา จ๊ะเอ๋!!! หลังใครแว่บ ๆ เดินผ่านหน้า
ห้องน้ำเราไปทางขวามือที่มีต้นมะม่วงต้นใหญ่ตั้งอยู่ เราหยุดนิ่งอยู่ที่ประตูใช้หางตาชำเลืองมองไปทางขวาอย่างช้า ๆ แล้วรีบหันกลับ
เอายังไงดีจะเดินหรือจะวิ่ง เราก้าวขาออกมาจากห้องน้ำอย่างช้า ๆ ตอนนั้นทำใจดีสู้เสือทำเป็นมองไม่เห็น ใครอย่ามาเรียกร้องความสนใจ
จากเรานะเราไม่สนหรอก พอเราก้าวเท้าออกมาจากห้องน้ำปุ๊บ ก็มีเสียงหนึ่งดังทันที ตุบ! เราสะดุ้งเฮือกแล้วหันขวับไปหาที่มาของเสียง
ไม่ปรากฏสิ่งใดบริเวณโดยรอบต้นมะม่วง เรามองไม่ค่อยเห็นว่ามีอะไรตกไหมแต่ก็คิดแง่ดีว่ามะม่วงคงหล่นลงมาแหละ ซ่า... เสียงน้ำราดพื้น
ดังขึ้นอีกหนึ่งที คราวนี้เสียงมันชัดมากเหมือนอยู่ใกล้ ๆ เราสะดุ้งโหยงหันกลับไปทางห้องน้ำ จังหวะที่กำลังหันหลังกลับไปดูห้องน้ำ หางตา
มันก็แว่บจริง ๆ เป็นคนเดินแว่บหายเข้าไปในห้องน้ำต่อหน้าต่อตาเลย แต่มันเห็นแว่บเดียวแค่ไม่กี่วิ เรายืนมองตาปริบ ๆ ว่าใครล่ะ แล้วเดินมา
จากทางไหน กลัวก็กลัวแต่กลัวจะไปเล่าให้คนอื่นฟังแล้วไม่มีใครเชื่อมากกว่า จึงตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้ห้องน้ำแล้วค่อย ๆ ชะเง้อหน้าเข้าไป
ส่องว่ามีใครอยู่ในนั้นจริงหรือเปล่า จังหวะที่กำลังจะชะโงกหัวเข้าไปในห้องน้ำยังไม่ทันชะโงกดูได้เต็มตาก็มีเสียงคำเมืองดังขึ้น

"เข้าใจ๋ไปน๋อน” (รีบกลับไปนอน)

ได้ยินแค่นั้นแหละค่ะ กรี๊ดลั่นหน้าห้องน้ำเลย ผ้าเช็ดตัวนี่หลุดลงไปกองอยู่ที่พื้น ไม่รู้ตกใจอิท่าไหนมือไม้มันปัดพัลวัลผ้าเช็ดตัวหลุดไปเลย
555 เราวิ่งเข้าบ้านทั้งที่เปลือยแบบนั้นแหละค่ะ แต่ตอนนั้นอะไร ๆ มันก็ยังไม่โตเลยไม่ต้องอายมาก (ติดเรทหรือเปล่าเนี่ย อิอิ) เหตุการณ์นี้
เป็นที่เล่าขานกันสืบมาจนถึงปัจจุบันนี้ที่ห้องน้ำบ้านย่าถูกทุบออกแล้วเทปูนขยายตัวบ้านเต็มพื้นที่ก็ยังถูกเล่าต่อ ๆ กันมาไม่จบไม่สิ้น
และที่เล่าไม่ได้เล่าเรื่องผีนะคะ แต่เล่าเรื่องเราที่วิ่งแก้ผ้าหนีผีเข้าบ้านนี่แหละค่ะ

เช้าวันพระญาติพี่น้องทุกคนรวมตัวกันที่วัดเพื่อทำบุญในวันพระใหญ่และตักบาตรให้แก่บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว
“ตอนหยิบขนมใส่บาตรนึกถึงหม่อนด้วยนะลูก” ย่าเรากล่าวพร้อมยกอาหารขึ้นสาธุท่วมหัว เราทำตามและตั้งจิตนึกถึงหม่อน
ถึงแม้ว่าจะไม่ได้สนิทมากนักเพราะตอนที่เราพอจะจำความได้ก็เป็นช่วงเวลาที่หม่อนเสียพอดี เรายังจำเหตุการณ์ได้ลาง ๆ
ว่าพ่อพาเรากลับมาน่านทั้งที่ยังไม่ปิดเทอมเพื่อมาดูใจหม่อนเป็นครั้งสุดท้าย บ้านเราเป็นครอบครัวใหญ่ หม่อนมีลูกหลายคน
ย่าก็มีลูกหลายคน ทุกคนรวมตัวกันบ้านหม่อน เรายังเด็กมาก ผู้ใหญ่นั่งกันเต็มบ้านส่วนเราก็วิ่งเล่นอยู่ใต้ต้นมะม่วง คอยเก็บ
ลูกมะม่วงที่ตกลงมาเน่าอยู่ที่พื้นโยนไปมา ในขณะนั้นเราถือเป็นหลานสาวคนแรกของย่าและเป็นเหลนสาวคนแรกของหม่อน

“เข้ามาไหว้หม่อนเร็ว หม่อนจะไปแล้ว”

เสียงพ่อเรียกเราให้เข้าบ้าน เรารีบวิ่งเข้าไปกราบหม่อนตามที่ผู้ใหญ่ทำ ใบหน้าเหี่ยว ๆ ของผู้หญิงชรา ริมฝีปากงุ้มเข้าไปในปาก
แสดงให้เห็นว่าภายในปากนั้นไม่มีฟันเหลืออยู่แล้ว พ่อจับมือของหม่อนแล้วมาวางบนหัวเราในขณะที่หม่อนหลับตาไม่มีปฏิกิริยา
ตอบโต้ “คอยดูแลหลานโตยเน้อแม่อุ้ย” ว่าแล้วก็วางมือหม่อนลงแล้วทุกคนก็ร้องไห้ นั่นคือภาพสุดท้ายที่เราจำหม่อนได้ เราตั้งจิต
อธิษฐานถึงหม่อนตามที่ย่าบอกแล้วบรรจงตักบาตร เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจในเช้าวันนี้ ทุกคนก็รวมตัวบ้านย่าแล้วทำขนมจีนน้ำเงี้ยวหม้อ
ใหญ่กินกัน พวกเราเป็นเด็กก็ไม่ได้สนใจอะไรมัวแต่เที่ยวเล่นสนุกสนานเหมือนเคย ตกกลางคืนพับชายมุ้งสอดเก็บใต้ที่นอนล้มตัวลง
นอนแล้วสะดุ้งตื่นกลางดึกเพราะได้ยินเสียงดนตรีลอยมาแว่ว ๆ เรางัวเงียลุกขึ้นมานั่งฟังเสียงดนตรีนี้ซึ่งไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เรารู้ในทันที
ว่าเป็นเครื่องดนตรีทางเหนือ เพราะเสียงเพลงที่ได้ยินเป็นเพลงเหนือและเราเคยได้ยินเสียงเพลงนี้ด้วย ดนตรียังคงบรรเลงต่อไปแต่ไม่
หนวกหูแต่ก็ได้ยินติดอยู่ที่หู เราล้มตัวลงเอนหลังพลางคิดว่าดึกขนาดนี้บ้านก็อยู่บนดอยบนเขาถ้าได้ยินเสียงจั๊กจั่นเรไรจะไม่แปลกใจแลย
นี่ได้ยินเสียงซะล้อ ซอซึง คงเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้คงมีใครอยากให้เราได้ยินหรืออยากให้เรารับรู้บางอย่าง เรานอนฟังเสียงดนตรีนี้จนเรา
เคลิ้มหลับไปแล้วฝันเห็นตัวเองวิ่งเล่นอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งมีเด็กผู้ชาย 4 – 5 คน วิ่งตาม แล้วก็มีวงดนตรีพื้นบ้านเล่นอยู่ข้าง ๆ
ขณะเดียวกันก็มีผู้หญิงคนหนึ่งใส่ชุดชาวบ้านนุ่งผ้าถุงนั่งอยู่หน้าวงดนตรีดูนางรำฟ้อนแง้นเอาปากคาบเหรียญ ผู้หญิงคนนั้นนั่งโยกหัวไป
ตามจังหวะเพลงและทันใดนั้นก็หันมามองเราที่หยุดนิ่งดูเขาอยู่ ผู้หญิงคนนั้นยิ้มให้เราแล้วกวักมือเรียกเราให้ไปดูรำใกล้ ๆ เราเดินเข้าไปใกล้
พร้อมกับเด็กผู้ชายที่วิ่งตามมาด้วย แล้วผู้หญิงคนนั้นก็ยื่นขนมห่อใบตองให้เรากับเด็ก ๆ เรายื่นมือไปรับแล้วเราก็สะดุ้งตื่น...

เช้านี้เราต้องเก็บของกลับบ้านที่กรุงเทพฯ กินข้าวเช้าและร่ำลาญาติพี่น้อง ย่าผูกข้อไม้ข้อมือและทำพิธีสู่ขวัญก่อนที่ลูกหลานจะแยกย้าย
กลับไปทำภารกิจตามหน้าที่ บรรยากาศอบอุ่นแบบนี้มีได้ปีละไม่กี่ครั้งด้วยภาระหน้าที่ของแต่ละคนที่แตกต่างกัน สิ้นปีนี้ก็เช่นเคยที่ย่าจะ
เฝ้าชะเง้อมองหาลูกหลานที่ไปพำนักอยู่ต่างถิ่น นอกจากคนทางโน้นจะเฝ้ารอ คนทางนี้ก็เฝ้ารอเช่นกัน รอเทศกาล รอวันหยุดยาว รอช่วง
เวลาที่จะได้กลับบ้านและทำบุญไปให้บรรพบุรุษอีกเช่นเคย.

---เรื่องนี้ไม่มีอะไรแปลกใหม่พิสดารเลยค่ะ แค่อยากเล่ามุมมองความรู้สึกที่ประทับใจปนตกใจนิด ๆ ใกล้เทศกาลแล้วเดินทางปลอดภัย
กันทุกคนนะคะ ขอบคุณค่ะ---


เรื่องจากพันทิป ย่าของฉัน
เรื่องโดย  TharaJF

ไม่มีความคิดเห็น