จำก้อยได้ไหมคะ?


     หากใครเคยอ่านเรื่อง เรื่องของก้อย (นามสมมุติ) เรื่องราวนี้เป็นเรื่องราวที่มีความเกี่ยวข้องกัน ซึ่งบุคคลในเรื่องมีจริง และขอให้มีสติในการอ่าน  จากประสบการณ์จริงของจากสมาชิกพันทิปนาม TharaJF ขอขอบคุณสมาชิกพันทิปนาม TharaJF สำหรับเรื่องราวสยองขวัญไว้ ณ ที่นี้ด้วย

ก่อนอื่นต้องบอกว่าก่อนจะนำเรื่องนี้มาเล่าและเอ่ยถึงบุคคลที่ 3 4 5 เราได้มีการพูดคุยกับครอบครัวของบุคคลนั้น
และทางครอบครัวก็ยินยอมให้นำเรื่องราวมาเผยแพร่ เพราะอยากให้เป็นข้อคิดเตือนใจถึงการดำเนินชีวิตของวัยรุ่น
ที่ยึดเอาความรักเป็นตัวตั้ง เอาสติเป็นตัวรอง

เมื่อหลายเดือนก่อนเราเคยเล่าเรื่องของก้อยในที่นี้ให้ทุกคนได้อ่าน และมีบางเพจในแอพสีฟ้านำกระทู้เรื่องของก้อยไปโพสต์
ทำให้เกิดคอมเม้นต์ทั้งทางดีและทางลบมากมาย แต่ก็เป็นเรื่องธรรมดาเมื่อเราโพสอะไรในที่สาธารณะนั่นก็หมายถึงการยอมรับ
กับคำวิจารณ์จากสาธารณะเช่นกัน เราไม่ได้มีประเด็นอะไรที่มีการโพสเรื่องของเราในเพจ ไม่มีประเด็นกับคนที่มาวิจารณ์  แต่มี
คนรู้จักของก้อยที่ติดตามเพจนั้น อ่านจนแตกฉานและเข้าใจได้ว่าคงหมายถึงก้อยที่เป็นพี่สาวตนเองแน่นอน จึงได้มีการหลังไมค์
มาหาเรา และได้ติดต่อกันเป็นต้นมาตั้งบัดนั้นจนถึงปัจจุบัน ครั้งนั้นเราเล่าว่าเราได้ไปร่วมงานบำเพ็ญกุศลศพของก้อยที่ต่างจังหวัด
และเราไม่ได้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างสัมมนาให้ครอบครัวก้อยฟังอย่างละเอียด เมื่อน้องสาวก้อยได้อ่านกระทู้ที่เราเขียนจึง
ได้ติดต่อมาหาเราและอยากให้เราเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างสัมมนาให้พ่อแม่ของเธอฟังอีกครั้ง

เราได้แลกเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์และติดต่อกันผ่านแอพสีเขียว มีโอกาสได้พูดคุยกับพ่อแม่ของก้อย ครั้งแรกที่มีการสนทนากัน
เราถามพ่อแม่ก้อยว่าจำเราได้ไหมที่เคยไปงานศพก้อย พ่อแม่พยักหน้าแล้วบอกจำได้ จากนั้นแม่ก็ร้องไห้แล้วบอกว่าแม่อ่าน
ประโยคหนึ่งที่เราเขียนถึงก้อยที่ก้อยเดินกลับเข้ามาในห้องกลางดึกแล้วพูดว่า “เรายังไม่อยากตาย” ก่อนที่ก้อยจะอ้วกแล้ว
ทรุดตัวลงไป แม่บอกว่าแม่อ่านประโยคนั้นแล้วนึกถึงหน้าก้อย แม่คิดถึงก้อย เราจึงกล่าวขอโทษพ่อแม่ว่าไม่มีเจตนาจะลบหลู่
เพียงแต่อยากเล่าเรื่องที่เราเจอในมุมของเราเท่านั้น และจะลบกระทู้นั้นทันทีถ้าพ่อแม่ไม่สบายใจ แม่บอกว่าอย่าลบนะลูก
แม่ไม่ว่าอะไรที่เราเล่าเรื่องก้อย แต่แม่อยากให้เราเอาเรื่องก้อยที่เรายังไม่รู้มาเล่าให้คนอื่นฟังอีกได้ไหม อย่างน้อยถือว่าทำบุญ
แม่ไม่อยากให้แม่คนไหนทุกข์ทรมานกับการสูญเสียลูกในลักษณะนี้อีก แม่จึงให้เราได้คุยกับน้องสาวของก้อยซึ่งเราเรียกว่า เก๋
(ต่อจากนี้เป็นเรื่องของก้อยที่เก๋เล่าให้ฟัง เราจะขอเรียบเรียงในแบบของเรานะคะ)

ก้อยและเก๋เป็นพี่น้องที่สนิทกันมาก อายุห่างกันแค่หนึ่งปีจึงเปรียบเสมือนทั้งพี่และเพื่อนในคราวเดียว ครอบครัวทางบ้านฐานะไม่ได้ยากจนแต่ก็ไม่ได้ร่ำรวย แต่ก็พอมีพอกินเพราะ
พ่อแม่เป็นข้าราชการทั้งคู่ ก้อยเป็นผู้หญิงที่ไม่หวือหวา
ไม่ชอบแต่งตัว ไม่แต่งหน้า แต่ก็นับว่ามีหน้าตาที่น่ารัก
ตามแบบฉบับสาวชาวเหนือ ผิวขาวใส ผมดำยาวประบ่า
ต่างกับเก๋ที่เป็นคนชอบแต่งตัว แต่งหน้า และทันสมัย
ผมซอยย้อมสีตั้งแต่เรียนมัธยม ถือว่าโดดเด่นมากทีเดียว
เมื่อยืนคู่กับก้อย

เมื่อก้อยเรียนจบได้ทำงานในองค์กรรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่ง
ในตัวจังหวัดและได้เช่าหออยู่ในเมือง เนื่องจากไม่อยาก
เดินทางไปกลับในเมืองกับบ้านที่อยู่ตัวอำเภอ พ่อแม่จึงให้
เก๋ไปอยู่เป็นเพื่อนเพราะไม่อยากให้อยู่คนเดียว แต่เก๋ติด
เพื่อน (เพื่อนชายในขณะนั้น) จึงทำให้ปกติก้อยต้องอยู่
คนเดียวและเก๋ไปนอนที่อื่น นอกจากพ่อแม่จะเข้ามาใน
ตัวเมือง ก้อยจะโทรบอกเก๋ล่วงหน้า ความลับของเก๋จึง
อยู่ที่ก้อย (และความลับของก้อยล่ะอยู่ที่ใคร?)

ก้อยทำงานรัฐวิสาหกิจ เก๋เป็นสาวแบงค์เอกชน ทั้งคู่พัก
อาศัยอยู่ในตัวเมืองของจังหวัด หากพ่อแม่จะมาหา
ก้อยจะรีบโทรบอกเก๋ให้กลับมาห้อง และหากพ่อแม่กลับ
ไปแล้ว เก๋ก็จะกลับไปห้องที่เก๋พักอยู่กับเพื่อนชาย นี่คือสิ่ง
ที่ทั้งคู่ช่วยกันปกปิดไม่ให้พ่อแม่รู้ จนกระทั่งวันหนึ่งที่เก๋
ทะเลาะกับเพื่อนชายและจะย้ายของกลับเข้ามาอยู่กับก้อย
ก้อยได้ปรามไว้ว่าอย่าเพิ่งมาห้องยังไม่เรียบร้อย เก๋จึงบอก
ว่าไม่รอแล้ว ถ้าห้องไม่เรียบร้อยจะไปช่วยจัด ตอนนี้ทะเลาะ
กันหนักเก๋จะย้ายออกมาอยู่ด้วย พูดจบเก๋ก็วางสาย ไม่กี่
อึดใจเก๋ก็มาถึงหน้าหอพักที่ก้อยอยู่ ก้อยวิ่งลงมาจากบันได
ชั้น 2 ของหอ บอกว่าอย่าเพิ่งขึ้นไปเลยห้องรกมาก ไปหา
ข้าวกินกันก่อนเดี๋ยวเพื่อนชายของเก๋ก็มาง้อแล้ว เก๋แปลกใจ
ว่าทำไมก้อยถึงปฏิเสธที่จะให้ตัวเองมาอยู่ด้วย เลยถามตรง ๆ ว่า ก้อยเอาใครมานอนที่ห้องหรือเปล่าล่ะ ถ้ามีคนนอนที่ห้อง
เราไปอยู่ที่อื่นก็ได้ ก้อยบอกว่า เราไม่กล้าบอกความจริง
กลัวเก๋น้อยใจ จะหาว่าเราไม่ให้น้องมาอยู่ด้วย เก๋จึงถาม
กลับว่า มีคนมานอนกับก้อยจริง ๆ ใช่ไหม เราไม่น้อยใจหรอก ก้อยช่วยเรามาเยอะแล้ว ก้อยจึงตอบว่า ใช่ เขาเป็นรุ่นพี่ที่ทำงาน แต่เราจะให้เขากลับคืนนี้แล้วเก๋มานอนกับเรานะ
แต่ขอเราเคลียห้องก่อน  เก๋จึงตอบว่า โธ่ เรื่องแค่นี้เอง
นอนด้วยกันสามคนเลยก็ได้ เดี๋ยวเราหาห้องใหม่ได้แล้ว
จะไปเอง ก้อยจึงมีท่าทีสบายใจขึ้น แล้วช่วยเก๋ขนกระเป๋า
เสื้อผ้าเดินขึ้นห้องกัน

ไท รุ่นพี่ที่ทำงานของก้อย เป็นผู้ชายหน้าตาดี สุขุมและดูอบอุ่น นี่คือสิ่งที่พี่น้องมีความชอบเหมือนกัน เก๋สารภาพว่าเมื่อเจอไทครั้งแรกรู้สึกเหมือนมีกระแสไฟช๊อตแปล๊บ ๆ เก๋รู้สึกถูกชะตา
ยิ่งเมื่อเห็นไทดูแลเอาใจก้อย เก๋ยิ่งปลื้ม และเคยบอกกับก้อยว่า

"ถ้าจะเอาผู้ชายมาเป็นพ่อของลูกต้องเป็นคนนี้เลยนะก้อย"

เก๋พักอาศัยอยู่ด้วยไม่นานก็ย้ายออกไปอยู่หอใหม่ที่ไม่ไกลจากหอของก้อยมากนัก เนื่องจากเกรงใจก้อยและไทที่ไม่เป็นส่วนตัว คราวนี้เมื่อพ่อแม่เข้ามาในเมือง เก๋ก็จะให้กุญแจห้องกับไทเพื่อไปนอนอยู่ที่นั่น ถึงจะเคยมีการแนะนำให้พ่อแม่รู้จักกันแล้ว แต่พ่อแม่ก็คงไม่ปลื้มหากรู้ว่าก้อยกับไทอยู่ด้วยกันได้เสียกันแล้ว ในสายตาและมุมมองของผู้ใหญ่ก็คงไม่พอใจ อีกทั้งไท
กับก้อยก็ยังไม่พร้อมที่จะมามัดข้อมือ สู่ขวัญ เพราะพ่อแม่จะถือว่าผิดผี ถามว่าในปัจจุบันก็มีคู่รักหลายคู่ทีเดียวที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันแบบนี้ก่อนแต่งงาน มันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย แต่ทางต่างจังหวัดอีกทั้งพ่อแม่เป็นข้าราชการมีคนรู้จักในอำเภอเยอะ หากจะทำอะไรก็คงต้องไว้หน้ากันบ้าง นี่จึงเป็นเหตุผลให้ไทต้องไปนอนห้องเก๋ทุกครั้งที่พ่อแม่ก้อยมา เพื่อไม่ให้พ่อแม่ก้อยรู้ว่าทั้งคู่อยู่กินด้วยกันแล้ว ทั้งสามชีวิตใช้ชีวิตอยู่ในเมืองและช่วยเหลือปกปิดให้กันและกันแบบนี้เรื่อยมา

วันหนึ่ง เพื่อนชายของเก๋กลับมาขอคืนดีมาง้อเก๋ที่ห้อง เก๋จึงโทรหาไทบอกให้ช่วยแกล้งมาเป็นแฟนใหม่เก๋หน่อย ทำยังไงก็ได้ให้มันออกไปจากชีวิตเราสักที ไทจึงขับรถออกไปหาเก๋ที่หอ และเจอเก๋กับเพื่อนชายยืนทะเลาะกันอยู่หน้าห้อง เมื่อไทไปถึงเก๋รีบวิ่งไปเกาะแขนแล้วบอกว่า “พี่ไท ช่วยเก๋ด้วย เก๋เลิกกับมันแล้วแต่มันไม่ยอม มาตามตื๊อเก๋” เพื่อนชายเมื่อเห็นเก๋เกาะแขนไทจึงเกิดความโมโห เดินปรี่เข้ามาชกหน้าไทเต็มแรงหนึ่งที ไทสวนกลับไปหนึ่งที เก๋จึงตะโกนให้หยุดร้องเรียกให้คนข้างห้องออกมาช่วย จังหวะนั้นเพื่อนชายกำลังง้างหมัดจะใส่หน้าไทอีกครั้ง เก๋จึงกระโดดแทรกตรงกลาง ทำให้เก๋โดนหมัดของเพื่อนชายเข้าไปเต็ม ๆ คนข้างห้องเริ่มออกมาแล้วเข้ามาแยกทั้งคู่ออกจากกัน เพื่อนชายวิ่งไปขึ้นรถแล้วขับออกไป ไทกับเก๋ประคองกันเข้าห้อง ต่างมองหน้ากันแล้วขอโทษกันแล้วลงเอยด้วยการมีอะไรกัน!!!

นี่คือสิ่งที่ติดใจเก๋มาโดยตลอด เธอแอบมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับแฟนพี่สาวตัวเอง เมื่อเราถามกลับว่าทำได้ยังไง ไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยหรอเวลาจะมีอะไรกัน ไม่เห็นหน้าพี่สาวตัวเองลอยมาบ้างหรอ? เก๋บอกว่าตอนนั้นอารมณ์แต่ละคนมันเตลิดเปิดเปิง อีกทั้งเก๋มีความรู้สึกปลื้ม ประทับใจไทมาตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ เก๋รู้สึกว่าผู้ชายคนนี้แหละที่จะมาเป็นพ่อของลูก เมื่อมาอยู่ด้วยกันใกล้ชิดกันแบบนี้จึงทำให้หลงใหลและทำผิดทำนองคลองธรรม จากนั้น เก๋แลไทก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้กันอีกเลย และทุกครั้งที่เจอกันพร้อมหน้าทั้ง 3 คน เก๋และไทต่างก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

หลังเหตุการณ์นี้ผ่านไป ก้อยได้มาบ่นให้เก๋ฟังเรื่องที่ไทไม่เหมือนเดิม ไม่ค่อยกลับมานอนหอด้วยกัน โทรหาไม่รับสาย
ไปเที่ยวด้วยกันน้อยลง ก้อยเริ่มซึมเศร้าเพราะรู้สึกได้ว่าคนรักเริ่มตีตัวออกห่าง ผิดกันกลับเก๋ที่เลิกกับแฟนแต่ดูมีท่าทีที่สดใสร่าเริงและแต่งหน้าแต่งตัวออกเที่ยวกลางคืนบ่อยขึ้น

“เก๋มีแฟนใหม่แล้วหรือจ๊ะ ทำไมช่วงนี้ดูสวยขึ้นผิดหูผิดตา”
ก้อยถาม

“ยังหรอก แค่มีคนมาจีบน่ะ” เก๋ตอบ

“ใครอ่ะ บอกเราหน่อยดิ่ เรารู้จักปะ?” ก้อยถาม

“ก้อยไม่รู้จักหรอก คุยเล่น ๆ อะ อย่าสนใจเลย” เก๋ตอบเลี่ยง ๆ

เมื่อเวลาผ่านไปหลายเดือน ก้อยมาบอกกับเก๋ว่า “เราเลิกกับพี่ไทแล้วนะ เราว่าพี่เขาเปลี่ยนไป เราไม่อยากมานั่งร้องไห้เสียใจแบบนี้อีกแล้ว เราเครียด ประจำเดือนก็ไม่มา ท้องหรือเปล่าก็ไม่รู้” เก๋จึงแนะนำให้ก้อยไปซื้อที่ตรวจมาตรวจครั้งแรกไม่ขึ้น แต่พอตรวจครั้งที่สองปรากฏว่าขึ้น 2 ขีด ก้อยร้องไห้โฮ เก๋ได้แต่กอดปลอบใจและบอกว่าจะช่วยก้อยเต็มที่ ก้อยขอร้องอย่าบอกพ่อแม่ แต่ก็ไม่อยากทำแท้งเพราะกลัวบาป เก๋ถามกลับ

“แล้วถ้าไม่ทำแท้งก็ต้องเก็บเด็กไว้ พ่อแม่ก็ต้องรู้นะก้อย ก้อยจะเอายังไง?"

"เราไม่รู้ เราเลิกกับพี่ไทไปแล้ว" ก้อยพูดพร้อมร้องไห้

"เราจะไปหาพี่ไท เราจะไปคุยกับเขาให้รู้เรื่อง” เก๋รับปาก

เมื่อเก๋เจอไทจึงได้เล่าเรื่องของก้อยให้ฟัง เก๋ถามไทว่าจะเอายังไง “ไม่ต้องถามพี่หรอกเก๋ ถามตัวเก๋ดีกว่าว่าจะเอายังไง พี่นอนกับเก๋ทุกคืน ที่ทำอยู่เนี่ยอย่ามาถามพี่เลย”

“พี่รักใครมากกว่ากัน?” เก๋ถาม

“พี่ตอบแบบนั้นไม่ได้ แต่ถ้าถามว่าตอนนี้พี่รักใคร พี่ตอบได้ว่าพี่รักเก๋”

“แต่ตอนนี้ก้อยท้อง พี่จะกลับไปหาก้อยไหม?”

“เก๋อยากให้พี่กลับไปหาก้อยหรือเปล่าล่ะ ถ้าอยากให้กลับพี่ก็จะกลับ”

เก๋เริ่มน้ำตาไหลสะอื้นกอดไทพร้อมบอกว่าไม่อยากให้กลับแต่ก็สงสารก้อย นี่เราหักหลังก้อยอยู่นะ เก๋ไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าก้อย แต่เก๋ก็รักไทมากเกินกว่าจะยอมปล่อยให้ไทกลับไปคืนดีกับก้อย เพราะหากปล่อยไปไปคืนดีกับก้อย นั่นหมายความว่า ทั้งคู่จะต้องเข้าไปขอขมาพ่อแม่และแต่งงานกันในที่สุด หากไปถึงจุดนั้นแล้ว มันคงสายเกินไปที่เก๋จะเข้าไปเป็นมือที่สามของพี่สาวตนเอง ในที่สุด ก้อยจึงตัดสินใจเข้าไปสารภาพกับพ่อแม่ว่าตนเองท้องและเลิกกับผู้ชายไปแล้ว พ่อแม่ไม่ดุด่าว่าก้อยแม้แต่คำเดียว แค่ขอให้ก้อยดูแลตัวเองดี ๆ อย่าขับรถมาที่บ้านบ่อย พ่อแม่จะเป็นฝ่ายขับรถไปหาก้อยในเมืองเอง ก้อยร้องไห้หนักกว่าเดิม แต่ไม่วายตัดพ้อพ่อแม่ที่ไม่ให้ก้อยมาหาเพราะกลัวจะอายชาวบ้านใช่ไหม แม่บอกไม่อายชาวบ้าน เราไม่ได้ขอใครกิน และวันนึงท้องก้อยก็จะใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ เราคงปิดบังเรื่องนี้ได้อีกไม่นาน แต่ที่ไม่อยากให้มาหา เพราะไม่อยากให้ขับรถมาไกล ๆ ต่างหาก...

ก้อยยังคงทำงานอยู่ที่เดิมเพิ่มเติมคือมีน้ำมีนวลขึ้น ด้วยว่าก้อยเป็นผู้หญิงร่างเล็กและอาจจะเป็นท้องสาวจึงไม่เป็นที่สังเกตุของเพื่อนร่วมงาน แต่หากครั้งใดเดินสวนกันกับไท ก้อยก็จะไม่มองหน้า แม้ว่าไทพยายามจะเข้ามาพูดคุย ครั้งหนึ่งเก๋เล่าให้ฟังว่า ตอนที่ก้อยยังไม่เลิกกับไท พวกเขาทั้ง 3 คน นัดกันไปเดินถนนคนเดิน ระหว่างนั้นก้อยครั่นเนื้อครั่นตัวบ่นปวดหัวและมีทีท่าว่าจะเป็นลม ไทจึงรีบประคองพาหาที่นั่ง เก๋ออกอาการหึงทำสายตาบึ้งตึงใส่ไท และก้อยสังเกตุเห็นได้ชัด ไทจึงรีบปล่อยมือออกปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเก๋ในการดูแล... ก้อยไม่เคยพร่ำถึงไทให้เก๋ได้ยินเลยแม้แต่ครั้งเดียวหลังจากที่เลิกกับไท ในใจก้อยเป็นอย่างไรเก๋ก็ไม่สามารถรับรู้ได้เพราะก้อยไม่แสดงความอ่อนแอให้เห็นสักครั้ง จนกระทั่ง ก้อยมาเล่าว่าไปดูหมอเขาว่าให้ระวังคนใกล้ตัวและเขาแนะนำให้ก้อยไปพบกับอาจารย์ท่านหนึ่งอยู่ต่างอำเภอ เขาจะช่วยเราได้ ก้อยจึงนัดหมายว่าจะไปวันเสาร์อาทิตย์นี้และให้เก๋ไปเป็นเพื่อน เก๋ปฏิเสธบอกว่ามีทำโอที แต่ก็ไม่อยากให้ก้อยไปเพราะเกรงว่าจะเป็นพวกมิจฉาชีพ แต่ก้อยก็ยังยืนว่าจะไป และเก๋มารู้อีกทีคือเย็นวันอาทิตย์หลังจากที่ก้อยกลับมาจากต่างอำเภอแล้วนั่นเอง

ก้อยเริ่มมีท่าทีเปลี่ยนแปลงไปหลังกลับจากไปพบอาจารย์ท่านหนึ่ง พ่อแม่มาหาก้อยชวนไปทำบุญ ก้อยมักจะปฏิเสธ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก้อยจะเป็นฝ่ายชวนทุกคนไปทำบุญ หรือแม้แต่เก๋ชวนก้อยไปกินข้าวนอกบ้าน ก้อยก็จะบอกไม่หิว ไม่ไป ไม่อยาก คือพฤติกรรมที่ก้อยแสดงออกมาคือการหลบหลีกไม่พบเจอทุกคน พ่อแม่ได้กำชับให้เก๋ดูแลก้อยอย่างใกล้ชิด อาจเป็นเพราะความเครียดหรือฮอโมนส์คนท้องก็ได้ และแม่ก็จะพยายามหาวันหยุดหรือลางานเพื่อมาอยู่กับก้อยสักช่วงเวลาหนึ่ง

คืนหนึ่งที่เก๋มานอนห้องก้อย เพราะก้อยบอกว่าวันนี้อาเจียนทั้งวัน กินอะไรไม่ได้เลย เก๋จึงหาซื้อผลไม้และอาหารที่ก้อยชอบมาไว้ให้ กลางดึกก้อยลุกขึ้นมานั่งโยกตัวแล้วขย่มเตียงดังเอี๊ยด ๆ เก๋ที่นอนอยู่ข้าง ๆ จึงสะดุ้งตื่นขึ้นมาแล้วถามว่าก้อยเป็นอะไร ก้อยไม่ตอบได้แต่นั่งก้มหน้าโยกตัวไปมาหน้าหลัง เก๋คว้าแขนเขย่าถามว่าก้อยละเมอหรือเปล่า ก้อยไม่ตอบยังคงโยกตัวเหมือนเดิม และเพิ่มความแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนตัวก้อยหงายหลังล้มตึงไป เก๋ตกใจมากรีบลุกขึ้นมาเปิดไฟแล้วเขย่าเรียกก้อย ก้อยลืมตามองหน้าเก๋แล้วถามกลับว่า "เปิดไฟทำไม นอนไม่หลับหรอ" เก๋ได้แต่มองหน้าแล้วแอบกลัวในใจ จึงเดินไปปิดไฟแล้วกลับมานอนต่อด้วยความระแวง

เก๋คิดไว้ว่าอาการมันแปลก ๆ ไม่เหมือนเดิม จึงโทรเล่าให้พ่อแม่ฟัง ได้ฟังดังนั้นทุกคนจึงตัดสินใจออกอุบายชวนก้อยไปหาข้าวข้าวทานข้างนอกแล้วขับรถเลยเข้ามาที่วัด เมื่อถึงวัดก้อยลุกลี้ลุกลนไม่ยอมลงจากรถท่าเดียว แม่มาเกลี้ยกล่อมอย่างไรก็ไม่ได้ผล บางทีก็ตาขวาง บางทีก็ร้องไห้ พ่อจึงไปนิมนต์หลวงพ่อให้มาหาที่รถแทน เมื่อหลวงพ่อมาถึงที่รถ ก้อยเริ่มร้องไห้ หายใจกระหืดกระหอบ เอามือคว้าประตูรถทำท่าจะปิดประตู ทุกคนรีบวิ่งเข้าไปคว้าประตูแล้วแม่ก็ขอร้องให้ก้อยลงมาจากรถ

"ก้อยลงมาเถอะลูก มีอะไรหรืออยากได้อะไรก็ลงมาคุยมากับหลวงพ่อดูนะลูกนะ"

"ไม่ลง! ไม่ลง!" ก้อยพูดตาขวาง

หลวงพ่อบอกว่าของแรงนะ เจ้าตัวจิตอ่อนของเลยย้อนกลับมาหาเขา ทุกคนจึงขอร้องให้หลวงพ่อช่วยเหลือ แต่หลวงพ่อกลับตอบมาว่า

"อาตมาช่วยไม่ได้หรอกโยม มันเป็นกรรมของเขา เขากำลังรับผลกรรมที่เขาก่อ" ตอนนั้นเก๋งงว่าทำไมก้อยถึงได้รับผลกรรมที่ก้อยก่อ และก้อยไปทำอะไรไว้ทำไมถึงได้รับผลกรรมแบบนี้ ไม่ใช่ตัวเธอเองกับไทหรอกหรือทีต้องได้รับผลกรรมจากการนอกใจ

สัปดาห์หนึ่งผ่านไปหลังจากเกิดเรื่อง ก้อยก็กลับมาเป็นก้อยคนเดิม แต่ที่เปลี่ยนไปคือก้อยไม่ออกมากินข้าวกับเก๋เหมือนอย่างเคย เก๋ไปหาก้อยที่ห้องปรากฏว่าห้องมืด จึงเปิดผ้าม่านพร้อมบอกว่า “อยู่ได้ยังไงอากาศไม่ถ่ายเทเลย ยิ่งท้องอยู่ด้วยนะ” ก้อยไม่ตอบนั่งดูทีวีนิ่ง เก๋ถามว่าหิวไหม จะกินอะไรหรือเปล่าจะออกไปซื้อให้ หรือว่าแพ้ท้องไหม ก้อยก็ไม่ตอบ เก๋จึงเปลี่ยนเรื่องแล้วถามว่า

"ไปหาอาจารย์ที่ตำหนักได้เรื่องอะไรมาบ้าง ยังไม่ได้เล่าให้เก๋ฟังเลยนะ"

ก้อยหัวเราะเหมือนคนกลั้นขำ สายตามองกลับมายังเก๋แล้วบอกว่า

“จะให้เราเล่าอะไรให้ฟังหรอเก๋ เก๋น่าจะรู้ดีอยู่แก่ใจ รู้ดีมากกว่าเราอีก เก๋ล่ะ มีอะไรจะเล่าให้เราฟังไหม๊?” ก้อยถามกลับพร้อมมองหน้าเก๋ จังหวะนั้นเก๋รู้สึกว่าสายตาก้อยน่ากลัว น้ำเสียงที่เรียบเฉย ใบหน้านิ่ง แต่ดูแล้วมีความจริงจังแฝงอยู่ เก๋จึงบอกว่า

“ก้อยพูดเรื่องอะไรอะ สรุปแล้วก้อยรู้อะไรมา”

“ถ้าหากเราถูกคนที่เรารักหักหลัง ถูกคนที่ไว้ใจที่สุดทำร้าย แย่งของรักเราไป เราจะไม่เอาของเราคืนหรอกนะ แต่เก๋รู้ไหม๊ว่าเราจะทำอะไร?” ก้อยพูดพร้อมยื่นมือมาจับมือเก๋แน่น แล้วน้ำตาก้อยก็ไหลออกมา

“เราจะทำทุกวิถีทางที่จะสั่งสอนคนทรยศพวกนั้น จะด้วยวิธีไหนก็ได้ เอาให้มันหลาบจำ เอาให้มันกลัวและทุกข์ใจเหมือนตายทั้งเป็นเลยยิ่งดี!!!”

นี่คือบทสนทนาสุดท้ายก่อนที่เก๋จะมารู้อีกทีว่าก้อยต้องไปสัมมนาต่างจังหวัด แล้วทั้งคู่ก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย มารู้อีกทีก็คือที่ทำงานก้อยโทรมาหาพ่อแม่ในกลางดึกคืนหนึ่งว่าน้องตกตึกที่รพ.เสียชีวิต เก๋ทราบข่าวก้อยในคืนนั้นเช่นกัน จึงรีบขับรถจากในเมืองไปหาพ่อแม่ที่บ้าน และเดินทางไปรับร่างของก้อยด้วยตนเอง

ในงานสวดพระอภิธรรมศพก้อย มีเรา หัวหน้าและเพื่อนไม่กี่คนที่มาจากงานสัมมนาเดินทางมาร่วมงานครั้งนี้ แม่ก้อยถามว่าพวกเราสนิทกับก้อยไหม ก้อยเคยเล่าอะไรให้ฟังบ้างไหม พวกเราตอบว่าเพิ่งรู้จักก้อยตอนมาสัมมนานี่เอง และก้อยไม่เคยเล่าอะไรให้ฟังเลย เราเป็นคนเปิดประเด็นถามแม่ก้อยและเก๋ว่า
ก่อนมาสัมมนาก้อยมีพฤติกรรมอะไรแปลก ๆ บ้างไหม เพราะบางทีก้อยก็ยิ้ม บางทีก็เงียบ (ทั้งที่จริงเราอยากถามมากกว่านี้แต่ก็ไม่กล้า) เก๋รีบชิงเล่าว่าก้อยไปหาอาจารย์ที่สำนักอะไรสักอย่างเพราะมีปัญหากับแฟน ก้อยอาจจะเครียดที่แฟนไม่ยอมกลับมาคืนดีเลยคิดสั้น นี่คือคำตอบที่เราได้ ณ ตอนนั้น

แต่เมื่อเก๋ได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เราฟัง ถึงเราจะหาข้อสรุปหรือมูลเหตุจูงใจให้ก้อยกระโดดตึกที่รพ.คืนนั้นไม่ได้ว่าอะไรเป็นสาเหตุที่แท้จริง แต่อย่างน้อยเราก็ได้รู้ว่าเหตุใดก้อยจึงต้องพึ่งไสยศาสตร์ สุดท้ายแล้วคนใกล้ตัวนี่น่ากลัวที่สุด แม้ไม่รู้ว่าที่เก๋เล่ามาจะครบถ้วนสมบูรณ์ประการใด แต่อย่างน้อยก็ทำให้เก๋ได้ปลดแอกออกจากความลับที่ติดค้างอยู่ในใจมาโดยตลอด ไม่มีใครกล่าวโทษว่าใครเป็นสาเหตุทำให้อีกฝ่ายหนึ่งต้องเสียชีวิต หากอีกฝ่ายหนึ่งรักชีวิตและไม่วู่วามก็อาจจะไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ กลับกัน หากอีกฝ่ายหนึ่งมีสติยังยั้งชั่งใจรู้ผิดชอบชั่วดี เกรงกลัวในบาป ยึดมั่นในศีลธรรม เรื่องทั้งหมดก็คงไม่ต้องมาจบลงแบบนี้เช่นกัน

เราสามารถนำเรื่องนี้มาเขียนให้อ่านได้ เพราะความลับที่ติดอยู่ในใจของคนหนึ่งที่คิดว่าตัวเองเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดได้ถูกเปิดเผยต่อพ่อแม่เรียบร้อยแล้ว ไม่มีใครกล่าวโทษใครว่าเป็นต้นตอของเรื่องทั้งหมด ทุกอย่างมันสายเกินกว่าจะย้อนกลับมาแก้ไข พ่อแม่เก๋และไท ยังคงต้องเดินหน้าดำเนินชีวิตกันต่อไป แต่ก็ไม่ลืมที่จะอุทิศบุญกุศลให้ผู้ล่วงลับ ระลึกบาปบุญคุณโทษ พึงนึกถึงกิเกสตัณหาบ่อเกิดของความเดือดร้อนทั้งปวง พร้อมทั้งไทที่บวชอุทิศบุญกุศลให้ก้อยและลูกเพื่อให้ไปสู่สุขคติต่อไป.

** จบแล้วนะคะรวดเดียวเลย หวังว่าเพื่อน ๆ จะอ่านเรื่องนี้และวิเคราะห์หาบทสรุปมาเป็นข้อคิดเตือนสติของตนเองทั้งในส่วนของก้อย เก๋ และไท ผู้ซึ่งอาจเคยทำกรรมร่วมกันมาและอาจต้องชดใช้กันด้วยทางใดทางหนึ่ง เราทำหน้าที่เผยแพร่เรื่องนี้ตามคำขอของครอบครัว เพื่อให้เป็นอุทธาหรณ์สอนใจ ให้ยับยั้งชั่งใจกับกิเลส รู้ผิดชอบชั่วดี รวมถึงมีสติยั้งคิดไม่ใฝ่หาของต่ำ อันจะนำพาเราไปสู่อบายภูมิ **

เราลองมาคิดดูแล้วยังสงสัยว่าก้อยท้องแล้วตอนที่ไปสัมมนาด้วยกัน ที่เรากับหัวหน้าเจอผ้าอนามัยเปื้อนเลือดวางทิ้งไว้อยู่หลังทีวีเป็นของใคร หรือก้อยพยายามหาของต่ำมาเพื่อป้องกันตนเองจากสิ่งที่ก้อยกำลังมองทางผิดไป? แต่ก็ไม่รู้ คิดยังไงก็คิดไม่ออกว่าไปหามาจากไหน

ส่วนชีวิตของเก๋และไท ณ ล่าสุดที่เราคุยกัน พวกเขาทั้งคู่ยังดำเนินชีวิตต่อไปด้วยกัน แต่ถามว่ามีความสุขที่แท้จริงหรือไม่นั้น เราไม่ทราบ ฉากหน้าพวกเขาอาจกำลังยิ้ม แต่ใครจะรู้ว่าฉากหลังอาจเป็นรอยยิ้มที่เปื้อนคราบน้ำตาอยู่ก็ได้

เก๋อ่านกระทู้และคอมเม้นท์ที่เพื่อน ๆ เขียนไว้ในนี้ด้วยค่ะ เก๋ไม่โกรธและไม่มีสิทธิ์โกรธทุกคนที่โกรธแค้นและไม่พอใจแทนก้อย เก๋ก้มหน้ารับกับสิ่งที่เก๋ต้องการเปิดเผย

นี่คือที่เก๋ฝากบอกมาค่ะ

ขอบคุณเพื่อน ๆ ทุกคนที่ติดตาม เราเขียนเอง เราก็จุกอกไม่น้อยเลย


เรื่องจากพันทิป จำก้อยได้ไหมคะ?
เรื่องโดย  TharaJF


ไม่มีความคิดเห็น