รวมเรื่องสั้นจากเว็บไซต์ reddit
เป็นการแปลเรื่องสั้นจากเว็บ reddit.com โดยสมาชิกพันทิปหมายเลข 5347947 รวบรวมเรื่องสยองขวัญแนวซึ้งๆ ไซไฟๆ จากนักเขียนใน reddit.com เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสยองของคนชอบเรื่องสยอง ขอขอบคุณเรื่องดีๆจากสมาชิกพันทิปหมายเลข 5347947 ไว้ ณ ที่นี้ด้วย
ผมเองนั้นชอบอ่านเรื่องสั้นภาษาอังกฤษมาก และในหมวด r/shortscarystories ของเว็บไซต์ reddit.com นั้นก็เป็นที่ที่เหล่านักเขียนต่างพากันมาปล่อยของ โดยการเล่าเรื่องสยองขวัญ(ที่บางครั้งก็ออกแนวซึ้งๆ ไซไฟๆ) โดยมีความยาวไม่เกิน 500 คำ
หลายๆเรื่องที่ผมจะหยิบยกมาต่อไปนี้ นับว่าเป็นเรื่องสั้นที่ผมอ่านแล้วโดนใจมาก จึงอยากจะนำมาแปลให้ทุกท่านใด้อ่านกันเพื่อความบันเทิงครับ แถมบางเรื่องก็แฝงข้อคิดไว้ไม่น้อยเช่นกัน เพื่อไม่รอช้า มาเริ่มกันเลยดีกว่าครับ
---
#1: ชีวิตของคนทรยศชาติ
คุณรู้ไหม จริงๆแล้วมันก็ตลกดีนะ ในทัณฑสถานที่มีการรักษาความปลอดภัยระดับสูง ที่ที่เต็มไปด้วยเหล่าฆาตกรและพวกชอบข่มขืน สิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่จะเกิดกับคุณได้ก็คือการที่คุณถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว ขังเดี่ยวน่ะ ถ้าจะพูดกันง่ายๆ
สมองของมนุษย์นั้นต้องการรับข้อมูลข่าวสารอยู่เสมอ ไม่งั้นมันอาจดำดิ่งสู่ความบ้าคลั่งอันน่าสยดสยองของตัวมันเองได้
ในปี 2086 เมื่อรัฐบาลโลกได้เข้าสู่การปกครองระบอบเผด็จการเต็มรูปแบบ บทลงโทษสำหรับคดีอุกฉกรรจ์จึงถือเป็นเรื่องปกติ อย่างไรก็ตามการ “ขังเดี่ยว” ต่างหากที่ผู้คนล้วนพากันหวาดกลัว มันเป็นสิ่งที่สงวนไว้สำหรับข้อหากบฏเท่านั้น
ผมใช้ชีวิตของผมสร้างสิ่งที่ใช้สำหรับการจองจำนี้ รวมไปถึงการควบคุมกระบวนการขังเดี่ยวให้เป็นไปตามข้อกำหนดที่เขียนไว้อย่างเคร่งครัด นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น
ห้องขังถูกออกแบบมาให้มีขนาดพอดีตัวผู้กระทำผิด จริงๆแล้วมันก็คือโลงศพที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์นั่นเอง แขนทั้งสองข้างจะทำมุม 30 องศากับลำตัว และขาทั้งสองข้างจะถูกแยกออกให้ห่างจากกัน 45 องศา เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับกระบวนการ “สอดใส่” เมื่อผู้ต้องขังถูกวางยาสลบแล้ว
ดวงตา หู และจมูกไม่ได้ถูกทำให้เสียหายแต่อย่างใด เพียงแต่มันจะถูกปิดผนึกไว้อย่างถาวร ท่อสำหรับหายใจจะถูกสอดเข้าไปในลำคอ สายน้ำเกลือจำนวนสามสายจะถูกสอดเข้าไปเช่นกันเพื่อการให้อาหาร เราใช้สามสายในกรณีที่หนึ่งในนั้นอาจทำงานผิดพลาด สายสวนปัสสาวะและทวารหนักก็จำเป็นต้องถูกสอดเข้าไปเพื่อจัดการกับของเสียต่างๆ
ผู้กระทำผิดจะถูกฝังและปิดผนึกในสถานที่ที่เรียกกันว่า “สุสานคนทรยศชาติ” ใจกลางสวนสาธารณะในเมืองใหญ่ๆทั่วโลก โดยมีระบบให้อาหารอัตโนมัติซึ่งจะยื้อชีวิตได้จนถึงอายุ 80 ปี แต่พวกเขาเหล่านั้นจะถูกทางการประกาศว่าเสียชีวิตไปแล้วตั้งแต่วันแรกที่โดนฝัง
น่าสะอิดสะเอียนใช่ไหมล่ะ?
นี่คืองานของผมมาตลอด 20 ปีนี้ และผมก็ค่อนข้างที่จะชินชากับมัน ทุกๆวันในเมืองที่ผมอยู่จะมีผู้ต้องหาหนึ่งรายถูกฝังที่สุสานแห่งนี้ มันเป็นสิ่งจำเป็นที่สุสานต้องอยู่ในที่สาธารณะเพื่อผู้คนที่เดินผ่านไปมาจะได้เห็นและตระหนัก รวมไปถึงผู้ต้องหาทุกคนจะได้ออกข่าวช่วงเย็น ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นจะกล่าวถ้อยคำขอโทษต่อหน้าสาธารณชนก่อนโดนฝัง พวกเขามักจะร้องไห้อย่างบ้าคลั่ง วิงวอนให้ได้รับการอภัยโทษอยู่เสมอ แต่กฎหมายก็คือกฎหมาย ผมไม่เคยรู้สึกสะทกสะท้านใดๆเลยตลอดช่วงหลายปีมานี้
จนกระทั่งสัปดาห์ที่แล้ว ผมถูกจับกุมในข้อหากบฏ
ผมไม่มีข้อแก้ตัวใดๆหรอก ผมผิดจริง แต่หลังทนเห็นสิ่งพวกนี้มาหลายปี ผมจึงเริ่มลงมือฆ่า ระบอบการปกครองนี้ต้องถูกพังลง การขังเดี่ยวอันแสนจะป่าเถื่อนแบบนี้ต้องจบสิ้นสักที
แต่มันต้องใช้คนที่ดีกว่าผมมากจึงจะทำเช่นนั้นได้
วันนี้ผมตื่นขึ้นมาจากการโดนวางยาสลบ ดวงตาและปากของผมถูกปิดผนึก ความเงียบงันและความมืดมิดทักทายสมองอันตื่นตระหนกของผม การตอบสนอง “สู้หรือหนี” ของผมเริ่มทำงาน แต่ทางเลือกของผมนั้นเป็นศูนย์
ผมขยับตัวไม่ได้แม่แต่นิดเดียว กระทั่งนิ้วมือของผมยังถูกล็อกแน่นอยู่กับที่
ผมเอาแต่นึกถึงคนพวกนั้นที่ผมปล่อยให้ไปสบาย นึกถึงทุกสิ่งทุกอย่างทีผมได้แต่หวังว่าจะได้ทำมันให้ถูกต้องตามข้อกำหนด
ผมทำใจที่จะถูกฝังอยู่ข้างล่างนี่ไม่ได้จริงๆ แม้สัปดาห์เดียวก็ดูจะทรมานเกินไป ถ้าผมเลือกได้ ความตายนั้นดีกว่าเยอะ
ผมยินยอมให้ทุกอย่างเพื่อหวนคืนสิ่งที่ได้ทำลงไป กว่า 7000 คนที่ผมได้ลงมือฆ่า
ผมกระทำมันแค่เพื่อที่จะปลดปล่อยคนเหล่านั้นจากความทุกข์ทรมาน ผมทำมันตอนที่พวกเขาโดนวางยาสลบ กระบอกเข็มฉีดยาที่เต็มไปด้วยอากาศทำให้หัวใจหยุดเต้นอย่างเฉียบพลัน หนึ่งศพต่อวันตลอด 20 ปี
ตอนนี้มีแค่ผมคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่ข้างล่างนี่ ใช้ชีวิตของคนทรยศชาติต่อไป
---
#2: แกล้งเอมี่
เฟรดดี้ไม่ใช่เด็กชายอายุสิบสามทั่วๆไป เขานิสัยไม่ดีเอามากๆ ถ้าไม่เอาแต่หัวร้อนเพราะเล่นเกมในห้อง เขาก็มักจะหาทางแกล้งหลอกผีน้องสาววัยเจ็ดขวบของเขาเอง
ทุกๆสิ่งที่เขาได้ทำกับเอมี่น้อยผู้น่าสงสารนั้นมีแต่จะเลวร้ายลงกว่าครั้งก่อน แม้กระทั่งวันหนึ่งเขาเคยหลอกเธอว่าพ่อแม่ถูกฆาตกรรมอย่างโหดเหี้ยมในห้องครัว เขาถึงกับลงทุนเอาซอสมะเขือเทศมาเทราดไว้บนพื้นก่อนเพื่อเป็นการจัดฉาก
เขานี่แหละเหตุผลที่ทำให้เอมี่มีอาการแปลกๆ อยู่เสมอ
เธอมักจะเดินไปหาแม่แล้วบอกว่าได้ยินเสียงกระซิบอยู่ในห้อง แม้กระทั่งบอกว่าเห็น “ผี” คอยเดินวนเวียนอยู่ในบ้านตอนกลางดึก แน่นอนว่าเฟรดดี้กลั้นขำไม่อยู่ เขารู้สึกภาคภูมิใจกับสิ่งที่ได้ทำลงไป แต่โชคร้ายสำหรับเอมี่ มันไม่เคยเพียงพอสำหรับพี่ชายเธอ เขาสัมผัสได้ถึงความตั้งใจลึกๆ ว่าจะย่ำยีเธอจนถึงจุด “แตกหัก” อย่างสิ้นเชิง
คืนนั้นพายุข้างนอกทำให้เขานอนไม่หลับ เขาเอาแต่พลิกตัวไปมาด้วยความกระสับกระส่าย จากนั้นเขาก็ลองนับแกะ แต่นั่นก็ไม่ได้ผล เขาเริ่มท้อแท้ จ้องมองหยดน้ำที่ไหลลงหน้าต่างอย่างไร้จุดหมาย
แสงฟ้าแลบส่องสว่างห้องเขาเพียงชั่วพริบตา ตามมาด้วยเสียงฟ้าร้องอันน่าแสบแก้วหู มันนำความคิดบางอย่างมาให้เขา เฟรดดี้ยิ้มกรุ้มกริ่ม เขารู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น
เฟรดดี้ได้ยินเสียงร่ำไห้ของน้องสาวมาจากอีกด้านของผนัง แล้วมันก็เปลี่ยนไปเป็นเสียงฝีเท้าเล็กๆขณะเธอวิ่งไปที่ห้องแม่ มันคือช่วงเวลานี้… ช่วงเวลาแห่งความสนุก
เขาค่อยๆย่องออกไปตามทางเดินแล้วเข้าไปในห้องนอนเอมี่ ด้อมๆมองๆราวกับเป็นฆาตกรโรคจิต ศึกษาทุกกระเบียดนิ้วของห้องนั้น ไอเดียนับไม่ถ้วนเริ่มพรั่งพรูเข้าสู่สมองอันน้อยนิดของเขา… จากนั้นเขาจึงพบกับตู้เสื้อผ้า
เฟรดดี้เฝ้ารอในความมืดเป็นเวลานาน รู้สึกราวกับว่าเป็นนิรันดร์เมื่อเขาตื่นเต้น คอยส่องสายตาผ่านช่องแคบๆระหว่างประตูของตู้เสื้อผ้า เขาได้ตัดสินใจแล้วว่าถ้าน้องสาวตัวน้อยเดินเข้ามาและมานอนบนเตียง เขาจะเริ่มส่งเสียงกระซิบเบาๆให้เธอได้ยิน เมื่อเธอหวาดกลัวจนถึงขีดสุด เขาจะพุ่งออกมาแล้ววิ่งหาเธอ ตะโกนใส่หน้าเธออย่างสุดเสียง
แต่มันช่างยาวนาน นานจนเขาเกือบถอดใจแล้วเดินออกมา ทันใดนั้นเองเขาได้ยินเสียงฝีเท้าเล็กๆนั่นอีกครั้ง แม่เปิดประตูห้องเข้ามาและเอมี่ก็ขึ้นไปบนเตียง น้องอมนิ้วหัวแม่มือไว้ในปากแล้วเอาผ้าห่มคลุมตัว ตอนนี้เธออยู่ในนั้นแล้ว เฟรดดี้อดใจไม่ได้นอกจากจะยิ้มออกมา
เฟรดดี้เฝ้ามองอย่างใจจดใจจ่อ เขาเห็นแม่จูบลาลูกสาวสุดที่รักบนหน้าผาก แม่เอ่ยคำว่าฝันดีก่อนเดินจากไป เขารอจนกว่าประตูห้องจะปิด แผนการทุกอย่างจะได้เริ่มต้นเสียที
ตอนนี้แหละ เขาคิดในใจ ตัวสั่นเครือด้วยความตื่นเต้น ฉันจะทำให้มันเป็นบ้าไปเลย
“เอมี่…” เฟรดดี้กระซิบ ดัดเสียงตัวเองให้หลอนที่สุดที่จะทำได้
เธอไม่ตอบสนองใดๆ
“เอมี่…” เขาส่งเสียงต่อไป
ยังคงไม่มีการตอบสนอง
“ฉันอยู่ในตู้เสื้อผ้าาา… เอมี่… มาเล่นกันเถอะะะ…” เสียงเขาฟังดูแหบแห้ง ไร้ชีวิตชีวา
“ไม่ใช่คืนนี้ ลูซี่” เอมี่ตอบกลับอย่างใจเย็น
เฟรดดี้ขมวดคิ้วด้วยความงงงวย สงสัยเธอจะนอนละเมอแหงๆ
“ตื่นก่อนเอมี่... มันไม่ใช่อย่างที่--”
มือปริศนาข้างหนึ่งได้เอื้อมมาจากด้านหลังตัวเขา มันดึงเฟรดดี้เข้าไปอยู่ในความมืดมิดและปิดปากเขาไว้แน่นสนิท
“น้องแกบอกแล้วไง… ว่าไม่ใช่คืนนี้”
---
#3 น้องชาร์ลี
ผมโคตรเกลียดเลยตอนที่น้องชาร์ลีไม่อยู่
พ่อแม่ผมเอาแต่บอกว่าน้องป่วย พยายามอธิบายให้ผมเข้าใจว่าเขาป่วยหนักแค่ไหน บอกว่าผมโชคดีแล้วที่สารเคมีในสมองยังคงไหลได้ตามปกติไปยังที่ที่มันควรจะไป เหมือนธารน้ำไหลที่ไม่มีฝายกั้น ตอนผมบ่นว่ามันน่าเบื่อแค่ไหนเมื่อไม่มีน้องชายให้เล่นด้วย พวกท่านก็พยายามทำให้ผมรู้สึกแย่ลงโดยการบอกว่าน้องชายผมอยู่ในสถานที่ที่น่าเบื่อกว่าบ้านผมมาก มาคิดๆดูแล้วก็ถูกของพวกท่าน น้องต้องอยู่ในห้องมืดๆแคบๆคนเดียว ภายในโรงพยาบาลจิตเวชแห่งนั้น
ผมมักจะขอร้องอ้อนวอนพ่อกับแม่ ขอให้พวกท่านให้โอกาสเขาสักครั้ง แน่นอนว่าแรกๆพวกท่านก็ทำตาม น้องชาร์ลีของผมได้กลับมาที่บ้านสามสี่ครั้ง ซึ่งในแต่ละครั้งช่วงเวลาที่เขาอยู่มันก็ดูสั้นลงเรื่อยๆ และทุกๆครั้งโดยไม่มีข้อยกเว้น เหตุการณ์ทุกอย่างก็ได้เริ่มต้นใหม่อีกรอบ ศพของลูกแมวแถวบ้านจำนวนนับสิบได้ถูกพบในลิ้นชักของเขา พวกมันทุกตัวถูกควักลูกตาออกอย่างน่าสยดสยอง ใบมีดโกนหนวดของพ่อถูกพบวางอยู่บนสไลเดอร์ในสนามเด็กเล่นตรงข้ามบ้านผม ยาเม็ดผสมวิตามินของแม่ถูกแทนที่ด้วยผลิตภัณฑ์ล้างจานชนิดก้อน พ่อแม่ผมเริ่มชักจะลังเลใจแล้วตอนนี้ ไม่ค่อยได้พาน้องกลับบ้านสักเท่าไหร่ เหมือนให้ “โอกาส” แก่เขาอย่าง “ประหยัด” มากขึ้นกว่าเดิม พวกท่านบอกว่าโรคที่น้องเป็นทำให้เขาดู “มีเสน่ห์” ทำให้ง่ายสำหรับเขาที่จะแกล้งทำว่าหายเป็นปกติแล้ว จากนั้นเขาก็หลอกพวกจิตแพทย์ว่าตัวเขาพร้อมที่จะกลับมาพักฟื้นที่บ้าน พวกท่านยังบอกอีกว่าผมจำเป็นต้องทนกับความน่าเบื่อพวกนี้ให้ได้ ถ้ามันหมายความว่าตัวผมเองจะปลอดภัยจากเขา
ผมโคตรเกลียดเลยตอนที่น้องชาร์ลีไม่อยู่ มันทำให้ผมต้องแกล้งทำตัวปกติจนกว่าเขาจะกลับมา
---
#4 แต่ผมไม่ได้ทำ
ผมไม่ได้ฆ่าเอมิลี่ ได้โปรดอย่าเข้าใจผิด จริงๆผมอยากฆ่าเธอ เพียงแต่ผมทำไม่ได้ ตอนที่ผมเห็นภรรยาที่อยู่กินมาด้วยกันกว่า 11 ปีกำลังมีสัมพันธ์กับไอ้งั่งคนหนึ่งบนเตียงเรา ผมรู้สึกถึงบางอย่างที่แตกหักลงภายในใจ ตู้เก็บของมันก็อยู่ข้างๆผม และเตียงก็อยู่อีกฝั่งของห้อง… ผมรู้ตัวดีว่าผมสามารถเอื้อมไปหยิบปืนจากลิ้นชักชั้นบนสุด แล้วยิงอัดพวกมันเข้าไปไม่ให้มีโอกาสลุกขึ้น หรือเปิดปากเน่าๆเพื่อเอ่ยข้อแก้ตัวน่าสมเพชว่าทำไมผมควรไว้ชีวิตพวกขยะที่ได้บ่อนทำลายชีวิตแต่งงานอันสมบูรณ์แบบและมีความสุขของผม แต่ผมไม่ได้ทำ ผมไม่ใช่ผู้ชายแบบนั้น ผมเลือกที่จะปล่อยไอ้ชั่วนั่นไป นับแต่นั้นผมก็ไม่ได้คุยกับภรรยาอีกเลย
สองสามวันถัดมาตำรวจก็มาเคาะประตูหน้าบ้าน ถามผมเกี่ยวกับเอมิลี่ เป็นที่กระจ่างว่าตำรวจได้รับแจ้งความว่าเธอหายตัวไป คนที่แจ้งคือแม่ของเธอเองผู้ซึ่งได้พยายามและได้ล้มเหลวในการติดต่อลูกสาวมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว ในตอนนั้นผมเองก็ไม่ได้เห็นหน้าภรรยามาสามวันติด และเอาเข้าจริงๆคือผมไม่สนอะไรเลย นังร่านที่บังอาจนอกใจผมสมควรแล้วที่จะโดนแบบนั้น
ผมใช้เวลาสองสามสัปดาห์ต่อมาในห้องสอบสวน รวมไปถึงได้ขึ้นโรงขึ้นศาล พวกเขาดูเหมือนไม่รู้เลยว่าใครเป็นคนผิด จะโทษพวกนั้นก็ไม่ได้หรอก มันจะดูง่ายจนเกินไปถ้าฆาตกรก็คืออดีตสามีของเธอเอง คนที่ทำงานกับคดีความต่างๆคงเจอเคสคล้ายๆแบบนี้มานับไม่ถ้วน อาจแทบทุกสัปดาห์เลยก็ได้ แต่โชคดีสำหรับผมที่ไม่มีหลักฐานใดๆเอาไว้มัดตัวเลย
แล้วกระบวนการทั้งหมดนี่มันก็สูบพลังชีวิตผมเสียเหลือเกิน เดือนต่อเดื่อนที่ผมพยายามพร่ำบอกผู้คนว่าผมไม่ได้ฆาตกรรมอดีตคนรัก และในขณะเดียวกันก็ต้องมองเข้าไปที่ดวงตาอันปราศจากความเชื่อใจของพวกนั้น ผมได้แต่คิดว่าน่าจะฆ่าเธอซะ ทุกอย่างมันน่าจะง่ายขึ้นมาบ้างสำหรับทุกคน แต่ผมไม่ได้ทำ ไม่ว่าผมจะโมโหแค่ไหน ผมไม่มีวันทำอย่างนั้นกับเธอได้ลงคอหรอก
วันนี้ตอนที่ผมเขียนเรื่องนี้อยู่ มันก็ได้ผ่านมาปีหนึ่งพอดีนับจากวันที่ผมจับได้ว่าเธอนอกใจอย่างคาหนังคาเขา ผมคิดถึงเอมิลี่มากเลย แต่ทุกคนดูราวกับว่าจะลืมเธอไปแล้ว ผมก็เหมือนกัน ถ้าผมไม่ได้รู้สึกว่าเธอยังคงวนเวียนอยู่ใกล้ๆผม เธอยังอยู่กับผม บางคืนผมได้ยินเสียงเธอร้องไห้ เหมือนขอโทษในสิ่งที่เธอได้ทำลงไป อย่างน้อยผมก็รู้ตัวแล้วว่าผมชอบให้เป็นแบบนี้ บางครั้งเธอกรีดร้องเสียงดัง ทำให้ผมสะดุ้งตื่นกลางดึกด้วยความหวาดระแวง
ส่วนมากกระดูกนิ้วที่แตกหรือกระดูกซี่โครงที่หักจะทำให้เธอหุบปากลงได้ บางครั้งเธอก็พยายามขัดขืน และผมต้องถือมีดลงไปด้วย ดวงตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวคู่นั้น ตัวเธอเองก็ดูอ่อนแอปวกเปียกอยู่ตลอดเวลา ผมก็เลยไม่จำเป็นต้องถลกหนังเธอออกมามากก่อนเธอจะหมดสติไป จากนั้นผมจึงเปลี่ยนเทปกาวที่เธอกัดมันเข้าปากด้วยเทปกาวอันใหม่ แล้วก็กลับขึ้นมานอนบนเตียงนุ่มๆของผมเอง
เห็นมั้ย ผมบอกแล้วว่าผมไม่ได้ฆ่าเอมิลี่ ถ้าผมจะทำ ผมสามารถยิงเธอได้ตั้งแต่วันนั้นตอนที่ผมเดินเข้าห้องนู่นแล้ว แต่ผมไม่ได้ทำ และผมจะคอยดูให้แน่ใจอยู่เสมอว่าทุกๆวันที่ผ่าน เธอจะคอยคุกเข่าขอร้องให้ผมทำมัน
#5: พวกเขาทอดทิ้งเราด้วยคำ 13 คำ
สิ่งแรกที่พวกเราสัมผัสได้คือความตื่นตระหนกเมื่อกองทัพยานอวกาศต่างดาวมาอยู่ในวงโคจรโลก แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่หนังสือประวัติศาสตร์จะสอนคุณแน่ ผมบอกได้เลยว่าเราทุกคนแทบเสียสติไปเลยหลังจากนั้น ผมได้เป็นถึงเสนาธิการให้กับนักเขียนสุนทรพจน์มือหนึ่งของท่านประธานาธิบดี แล้วผมก็อยู่แถวปีกตะวันตกของทำเนียบขาวในตอนที่เราเริ่มทำการติดต่อกับสิ่งมีชีวิตนอกโลกพวกนั้น
ความไม่เอาแน่เอานอนของพวกต่างดาวเป็นดั่งยาพิษที่ทำให้เรารู้สึกอึดอัด ไม่มีใครรู้หรือคาดคิดอะไรได้เลย เสียงกึ่งหนึ่งของพวกเราเอนเอียงไปในทางที่ว่าพวกเขาไม่ได้มาอย่างสันติ ว่าพวกเขามาเพื่อมาบุกยึด เอาชนะ และนำจุดจบมาสู่มวลมนุษย์ เราหวาดกลัวที่จะให้พวกเขาลงจอดโดยเราไม่ยิงอาวุธนิวเคลียร์ใส่หรือทำอะไรเลย และยิ่งไปกว่านั้นพวกเราต่างหวาดกลัวว่ากระสุนนิวเคลียร์ที่จะยิงใส่นั้นอาจกระดอนออกมาราวกับว่าเป็นเพียงลูกบอลยาง
แต่เราไม่พบเหตุการณ์แบบในภาพยนตร์ พวกเขามาอย่างสันติจริงๆ เอเลี่ยนและมนุษย์ได้ใช้เวลาเจ็ดสัปดาห์เพื่อพูดคุยกัน แลกเปลี่ยนปรัชญาเกี่ยวกับกฎระเบียบและหลักศีลธรรม วางรากฐานด้านกฎเกณฑ์ข้อบังคับสำหรับเศรษกิจของมนุษย์ในอนาคต ทุกอย่างผ่านไปอย่างราบรื่น แต่เราทุกคนควรได้ตระหนักว่าสิ่งเหล่านี้จะพังทลายลงในอีกไม่ช้า
มีทฤษฎีไร้สาระมากมายปรากฏบนหน้าหนังสือพิมพ์ พยายามอธิบายว่าเพราะเหตุใดพวกต่างดาวเหล่านั้นจึงตัดสินใจยุติการสนทนาทั้งหมด แล้วล่าถอยกลับขึ้นไปบนท้องฟ้า ไม่แม้แต่จะหวนกลับมาอีกครั้ง มันมีบทความแปลกๆเกี่ยวกับความเชื่อทางศาสนาที่ทำให้พวกเขาไม่พอใจ รวมไปถึงสิ่งที่อาจเป็นสาเหตุเช่นอินเทอร์เน็ตมีม และอดีตอันอันสกปรกโสมมของมวลมนุษยชาติ แต่จริงๆแล้วผมได้มีโอกาสนั่งอยู่ในห้องประชุมกับตัวแทนนักการทูตของพวกต่างดาว พวกเขาได้รับรู้เรื่องทั้งหมดนี้แต่กลับไม่สนใจอะไรเลย
สิ่งที่ทำให้พวกเขาหวาดกลัวนั้นไม่ใช่ลัทธิความเชื่อ หรือการแข่งขันขึ้นเป็นมหาอำนาจด้านนิวเคลียร์ หรือแม้แต่หมวดหมู่ใหม่ในเว็บไซต์ลามก แต่สิ่งที่จุดชนวนการล่าถอยของพวกนั้นคือการได้รับรู้ว่ามนุษย์ฝันร้ายเมื่อตอนนอนหลับ
“มีมนุษย์กี่คนกันที่ทุกข์ทรมานกับความฝันพวกนี้” นักการทูตเอ่ยปากถามผ่านอุปกรณ์ช่วยแปลภาษา
“เราทุกคน” พวกเราบอกเขาไป
“นานแค่ไหนแล้วที่พวกคุณเลือกที่จะไม่สนใจมัน”
“ตั้งแต่… เอ่อ… คือมันไม่เป็นปัญหาสำหรับพวกเรา ฝันร้ายเป็นหนึ่งในสิ่งที่เราต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน”
พวกต่างดาวรีบเก็บอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือใส่กล่องแล้วกลับเข้ายานอย่างรวดเร็ว ช่างเทคนิคของพวกนั้นบางคนพากันวิ่งอย่างแตกตื่นทั้งที่ยังทานอาหารในศูนย์อาหารไม่เสร็จเลย
ผมได้อ่านข้อความสุดท้ายที่พวกเขาทิ้งไว้ขณะท่านประธานาธิบดีเตรียมกล่าวสุนทรพจน์เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นเพื่อพยายามไม่ให้ผู้คนตื่นตระหนกจนเกินไป ข้อความนั้นมีเพียง 13 คำ
“ทิ้งดาวโลกไปซะ พยายามตื่นให้นานที่สุด โชคดี”
---
#6: เด็กคนนี้...ผมต้องจ่ายเท่าไหร่?
“สรุปว่า… จะเอาเท่าไหร่?”
ผมเคยมาขอซื้อกับคนแบบไอ้พวกนี้มาก่อน แต่ก็ยังไม่เคยรู้สึกสิ้นหวังเท่าครั้งนี้ - น้ำเสียงผมมันฟ้องน่ะ
“โทษทีว่ะ เท่าไหร่ก็ไห้ไม่ได้”
“ไม่เอาน่า ผมขอล่ะ เท่าไหร่บอกมา?”
ผมเริ่มสำรอกความคับแค้นใจในลำคอ ยังไงผมก็จะเสียเธอไปไม่ได้เด็ดขาด เด็กสาวคนนี้สมควรได้รับสิ่งที่ดีกว่าชีวิตที่เน่าเฟะแบบนี้
“ฟังนะ เราบอกแกแล้วว่าไม่ขาย ทีนี้ก็กลับบ้านไปซะ ไอ้แก่!”
ผมขมวดคิ้วแล้วเริ่มพูดกดดันพวกนั้น “อย่าทำเหมือนมันไม่มีราคาสิวะ แค่บอกมาว่าเท่าไหร่ ผมยอมจ่ายทั้งนั้น! เพื่อเด็กคนนี้… ผมต้องจ่ายเท่าไหร่??”
“คิดว่าเด็กนี่มันพิเศษมากสำหรับแกหรอวะ?”
ผมพยักหน้า
“เอางี้ ไอ้แก่ คือพวกเรากำลังจะออกเรือ แล้วเราก็เตรียมพร้อมเสร็จหมดแล้วด้วย เลยคิดว่า… เอาตรงๆนะ แกลองไปเดินหาตามท่าเรือแถวนี้ดู แต่ไอ้เด็กนี่จะไม่ไปไหนทั้งนั้น โอเคมั้ย?”
ผมหันไปมองเธอ เด็กสาวสวยสะพรั่ง แถมยังเด็กอยู่มาก ไม่ต่างจากดอกไม้แรกแย้ม ช่างงดงามเหลือเกิน ผมรู้อยู่แก่ใจว่ามันผิดที่จะพาเธอกลับบ้าน ผิดอย่างมหันต์ แต่ผมไม่มีทางเลือก ผมควบคุมอะไรไม่ค่อยได้มากนักในตอนนี้
“ฟังผมบ้าง คือมันไม่มีที่อื่นแล้ว ได้โปรดฟังสิ่งที่ผมจะพูด ฟังเหตุฟังผลสักแป๊บนึงจะได้มั้ย? เธอคนนี้ช่างสมบูรณ์แบบ ผมรักเธอหมดหัวใจ แค่อยากให้เธอมีคนคอยดูแล ทีนี้ไอ้พวกชั่วเห็นแก่ตัว! บอกมาว่าผมต้องจ่ายเท่าไหร่?! ไอ้ลูกหมาเอ้ย!!!”
“ไม่ต้องหรอก มันจบละ ใช้ชีวิตบั้นปลายให้สนุกล่ะ จะไปตายไหนก็ไป และ… อ้อ ขอให้โชคดีละกัน!”
ผมหน้าชา รู้สึกคลื่นไส้ อยากอาเจียนออกมาแรงๆ แต่สายตาผมก็ยังคงจับจ้องที่เรือลำใหญ่ลำนั้น มันค่อยๆออกตัวจากท่าน้ำ - การอพยพครั้งสุดท้ายออกจากเขตกักกันโรค บนเกาะแห่งนี้ที่เต็มไปด้วยผู้ป่วยระยะแรก เฝ้ารอความตายอย่างสิ้นหวัง
“ปู่ขอโทษนะหนูน้อย... ปู่พยายามแล้ว แต่บนเรือนั่นไม่เหลือเลยแม้แต่ห้องเดียว” ผมกระซิบข้างหูเธอพลางสะอื้นเบาๆ กอดหลานสาวสุดที่รักไว้แนบอก
---
#7 ผมขอร้องล่ะ
“ได้โปรด จริงๆนะ ผมกำลังขอร้องคุณอยู่จริงๆตอนนี้” ผมพูดออกมา แต่เพชฌฆาตพวกนั้นทำได้แค่ถอนหายใจและทำสีหน้าเศร้าสร้อยขณะเสียบเข็มเข้าแขนผม
มีบาทหลวงคนหนึ่งนั่งข้างๆเตียงผม “เมื่อเขากดปุ่มนั้น ตัวยาจะไหลผ่านท่อด้วยความรวดเร็ว อาการหมดสติจะเกิดขึ้นภายในประมาณสามสิบวินาที และความตายอันสงบก็จะตามมาหลังจากนั้น” เขาอธิบายให้ผมฟัง แม้ว่าผมจะเคยได้ยินมันมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน “มีอะไรจะสั่งเสียมั้ย?”
“แค่ ผมขออีกรอบเถอะนะ ผมขอร้องพวกคุณไม่ให้ทำแบบนี้” ผมพูด
บาทหลวงพยักหน้าอย่างเศร้าหมอง เหมือนเสียใจที่ผมไม่ได้รู้สึกถูกชำระจิตใจให้บริสุทธิ์ก่อนโดนประหาร
แต่นั่นแหละคือประเด็น ผมไม่เคยฆ่าใคร แล้วมันก็เป็นแบบนี้มาทั้งชีวิตผม ผมไม่รู้ว่าทำไม แต่ทุกครั้งที่ผมทำให้ตัวเองบาดเจ็บโดยไม่ตั้งใจ คนอื่นๆรอบตัวผมก็จะพลอยได้รับแผลนั้นไปด้วย ครั้งหนึ่งผมเคยโดนกระดาษบาดมือซึ่งทำให้นักเรียนสามคนรอบโต๊ะผมมีเลือดออกที่นิ้วเดียวกัน ตอนขึ้นมัธยมผมเคยประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ และแม้ว่ารถจะถูกชนตรงด้านที่ผมนั่ง แต่ปรากฏว่าแฟนสาวที่นั่งข้างผมขาหัก
ผมระมัดระวังตัวอยู่ตลอด คอยดูแลตัวเองให้ดี พยายามรักษาสุขภาพ แต่แล้วตอนที่ผมโดนจี้ชิงทรัพย์โดยโจรสามคนที่ยิงปืนใส่หน้าผม ศีรษะของพวกมันทั้งสามระเบิดออกตรงหน้าผมเลย และผมไม่บาดเจ็บใดๆทั้งสิ้น เมื่อตำรวจมาถึง พวกเขาเจอผมในสภาพคุกเข่าข้างศพโจรพวกนั้น ผมแค่พยายามจะคิดให้ออกว่าต้องทำอะไร และผมรู้สึกโง่เง่าเหลือเกินที่หยิบปืนของพวกนั้นขึ้นมาถือไว้ ต่อหน้าต่อตาเจ้าพนักงาน
ประมาณสามสิบวินาทีหลังการประหารได้เริ่มต้นขึ้น ผมเห็นเพชฌฆาตทุกคนรวมทั้งบาทหลวงร่วงลงไปกองกับพื้น “ขอร้องล่ะ” ผมเอ่ยปากอีกครั้ง... ด้วยความสิ้นหวัง
---
แถมๆครับ อันนี้ไม่ได้มาจาก reddit แต่เป็น creepypasta ที่ผมชอบมากๆครับ เรื่องสั้นๆ แต่ก็ทำผมหลอนไปหลายวันเหมือนกัน
---
#8: มาสเตอร์พีซ
ผมนอนอยู่ตรงนี้มาหลายชั่วโมงแล้ว ตอนนี้เป็นเวลาตีห้ากับอีกสามสิบห้านาที และผมก็ทำอะไรได้ไม่ค่อยมากนัก คุณรู้มั้ยว่าส่วนที่เลวร้ายที่สุดคืออะไร? พ่อแม่ของผมอยู่ในห้องกับผมตอนนี้ พวกท่านเอาแต่จ้องมาที่ผม ผมทำอะไรไม่ได้นอกจากมองพวกท่านและพยายามที่จะไม่ร้องไห้ ปากของพวกท่านเปิดกว้าง มีกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วห้อง ร่างกายของผมแข็งทื่อด้วยความกลัว
ทีนี้ประเด็นคือ ถ้าผมทำอะไรก็ตามที่แสดงให้รู้ว่าผมตื่นอยู่ ผมแย่แน่นอน ผมจะต้องตายและไม่มีใครเลยที่ช่วยผมได้ ผมได้พยายามคิดหาหนทางเอาตัวรอด แต่สิ่งเดียวที่ผมคิดได้คือรีบวิ่งออกไปเปิดประตูห้อง ออกไปจากบ้าน แล้วร้องตะโกนให้คนช่วย โดยหวังว่าเพื่อนบ้านจะได้ยินเสียงผม มันค่อนข้างเสี่ยงหน่อย แต่ถ้าผมยังนอนอยู่นี่ มีแต่ตายกับตาย เขากำลังรอให้ผมตื่น เพื่อที่ผมจะได้เห็นผลงาน “มาสเตอร์พีซ” ของเขา
คุณอาจจะสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ บางทีผมก็ชอบเล่าเรื่องล่วงหน้าน่ะครับ
คือเมื่อสามชั่วโมงที่แล้ว ผมได้ยินเสียงกรีดร้องดังมาจากอีกฝั่งของบ้าน ผมลุกขึ้นแล้วออกไปดูว่ามันคืออะไร ในตอนนั้นเองที่ผมรู้สึกปวดฉี่ขึ้นมาฉับพลัน แทนที่ผมจะทำสิ่งที่ฉลาดคือออกไปสำรวจที่มาของเสียง ผมกลับเดินเข้าห้องน้ำหน้าตาเฉย เพิ่งมานึกขึ้นได้ตอนนี้ว่าผมอาจตายได้เลยนะนั่นถ้าไม่ออกไปดู เผื่อเวลาเจออะไรจะได้เห็นทางหนีทีไล่ หลังจากทำธุระเสร็จแล้วผมก็แง้มประตูห้องน้ำเพื่อแอบดู ภาพที่ผมเห็นคือพื้นด้านนอกเต็มไปด้วยเลือด! ผมตกใจวิ่งออกมาแล้วรีบกลับเข้าห้องผม เอาผ้าห่มคลุมคลุมทั้งตัวเหมือนเด็กขี้ขลาด ใช่! ผมมันทั้งขี้ขลาดทั้งโง่ เอาแต่นึกในใจว่ามันเป็นแค่ฝัน แค่เพียงเพื่อที่จะได้กลับไปนอนต่อ
แล้วผมก็ได้ยินเสียงประตูห้องเปิดออก ราวกับเด็กที่กำลังหวาดกลัวในหนังสยองขวัญ ผมค่อยๆลดผ้าห่มลงเหลือแค่ระดับสายตา แอบมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเงียบๆ ผมเห็นบางสิ่งกำลัง “ลาก” ร่างอันไร้วิญญาณของพ่อแม่ผมเข้ามาในห้อง มันไม่ใช่คนแน่ๆ ผมรับประกันได้เลย มันไม่มีเส้นผม ไม่มีลูกกะตา ไม่ใส่แม้กระทั่งเสื้อผ้า มันเดินเหมือนมนุษย์ถ้ำ หลังของมันดูค่อมลงขณะมันลากพวกท่านเข้ามา แต่มีบางอย่างที่ผมรู้สึกได้ เจ้าสิ่งนี้มันเฉลียวฉลาดกว่ามนุษย์ถ้ำมากนัก เหมือนมันรู้ว่าผมกำลังทำอะไรอยู่
มันค่อยๆ วางร่างพ่อผมบนปลายเตียง จัดอิริยาบถท่านให้ดูเหมือนนั่งจ้องมาที่ผม เมื่อเสร็จมันก็จับร่างแม่ผมนั่งบนเก้าอี้ หันหน้ามาทางผมเช่นกัน แล้วสิ่งนั้นมันก็บรรจงเอามือทั้งสองข้างถูไถบนผนังห้อง เอาเลือดมาละเลงไปทั่ว จากนั้นมันก็ทำการวาดวงกลมวงใหญ่ และสิ่งที่ดูเหมือนเป็นรูปทรงดาวห้าแฉกกลับหัวอยู่ข้างในวงกลมอีกที ในตอนนั้นมีความคิดเข้ามาในหัวผมแว้บนึงว่า มันกำลังสร้างผลงานศิลปะอะไรสักอย่าง ไม่รู้ทำไมแต่ผมเรียกมันว่า “มาสเตอร์พีซ” แล้วไอ้ตัวนี้มันก็ดูเหมือนเขียนข้อความบางอย่างบนผนังห้องผม ข้อความที่ตอนนั้นผมยังอ่านไม่ออกในความมืด ข้อความที่เขียนด้วยเลือดพ่อแม่ผมเอง!
เมือทุกอย่างเสร็จสมบูรณ์ มันก็คลานเข้ามาหาผม มุดเข้าไปอยู่ใต้เตียงผม เฝ้ารอที่จะปลิดชีพผมเป็นคนสุดท้าย
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือตอนนี้สายตาของผมได้ปรับให้มองเห็นในความมืดเรียบร้อยแล้ว แม้มันจะไม่ได้ชัดมาก แต่ผมก็พอที่จะอ่านสิ่งที่มันเขียนบนผนังได้ ผมอ่านแล้วอ่านอีก ตอนแรกๆ ผมก็ช็อกไปเลย พยายามไม่มองมัน แต่ตอนนี้ผมทำใจได้แล้ว มันเป็นข้อความสุดท้ายที่ผมจะได้อ่านก่อนตาย ผมรู้สึกเช่นนั้น
“รู้นะว่าตื่นอยู่”
---
เรื่องจากพันทิป รวมเรื่องสั้นจากเว็บไซต์ reddit
เรื่องโดย สมาชิกหมายเลข 5347947
Post a Comment