บัตรพนักงาน (SIDE STORY กลิ่นในที่แคบ)


     "บัตรพนักงาน" นิยายตื่นเต้นสยองขวัญเนื้อเรื่องเป็น SIDE STORY เกี่ยวข้องกับเรื่อง  "กลิ่นในที่แคบ"ประพันธ์โดยสมาชิกพันทิปชื่อว่า macneto เรื่องราวมันเกี่ยวข้องกันอย่างไรเชิญติดตามกันเลย  ขอขอบคุณสมาชิกพันทิปชื่อว่า macneto  สำหรับเรื่องสยองไว้ ณ ที่นี้ด้วย

ผมลืมตาตื่นขึ้นมาในความมืด สะลึมสะลือและปวดศีรษะที่ท้ายทอยเล็กน้อยมันยิ่งทำให้รู้สึกมึนงงและสงสัย

ที่นี่คือที่ไหนกัน? ผมค่อยๆ เหยียดตัวขึ้นอย่างช้าๆ พยายามเพ่งมอง มันออกไปแต่กลับไม่เห็นอะไรเลย มันมีแต่ความ

ว่างเปล่าที่มืดมิดราวกับว่าเหมือนผมเป็นคนที่ตาบอดสนิท

ผมค่อยๆ ขยับก้าวเท้าเดินอย่างช้า ช้า ทีละก้าว เพื่อที่จะหาทางออก สองมือเปล่าๆ ก็ได้ไปสัมผัสถึงผิวอะไรบางอย่าง

มันเป็นผนังผิวโลหะ ผมค่อยๆ ใช้ๆ มือ คลำมันต่อไปแล้วเดินเลียบไปตามผิวของผนังโลหะ เดินวนไปมาจนได้รู้ว่า

มันมีมุมชนมุม ในที่ที่เราอยู่ตอนนี้น่าจะเป็นผนังห้องสี่เหลี่ยมไม่กว้างมากนัก แต่มันความสูงแค่ไหนก็ไม่อาจรู้ได้

อากาศที่ใช้หายใจภายในห้องนี้ก็ไม่ค่อยจะดีนัก มันทั้งเหม็นอับเหม็นสาบ กลิ่นเน่า และกลิ่นสนิมเหล็ก ปะปนกัน

ทำให้เมื่อสูดหายใจเข้าไปมันแสบไปทั้งโพรงจมูก หายใจได้ก็ไม่เต็มปอด แถมยังจะร้อนมากขึ้นมาอีกด้วย

ผมเริ่มรับรู้สึกได้ถึงความร้อนอึดอัด ทั้งในร่างกายและจิตใจ

แต่แล้วดูเหมือนเท้าของผมไปสะดุดเข้ากับอะไร บางอย่าง? ผมค่อยๆ ย่อตัวลงและลองยังใช้มือคลำหาให้ต่ำลงมาบ้าง ก็สัมผัสได้

กับอะไรบางอย่าง จึงค่อยๆ ใช้มือไล่จับแตะๆ ลงมา ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าไม่ได้อยู่แค่คนเดียวอีกต่อไป มันเป็นเหมือนท่อนแขนของคน

“คุณครับ คุณ.......คุณครับ .....คุณครับ.....คุณ”

ผมจับไปที่มือพยายามเขย่าเรียกเขา คนนั้นให้มีสติกลับมาแต่มันก็ไม่มีเสียงอะไรตอบกลับมามีเพียงแต่ เสียงสะท้อนที่ก้องตอบกลับ

มา..................... “คุณครับ คุณ.......คุณครับ .....คุณครับ.....คุณ” ..............................

ผมค่อยๆ ใช้มือคลำหาบริเวณใบหน้าเพื่ออยากที่จะรู้ให้ได้ว่าเขาเป็นใคร เป็นผู้ชายหรือผู้หญิงและยังพอจะมีสติอยู่ไหม

แล้วมือของผมก็ไปสัมผัสได้ถึงอะไรบางสิ่ง มันทำให้ขนลุกไปทั้งตัวและเริ่มกลัวกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าถึงแม้ว่าจะมองไม่เห็นมันก็ตามที่

เธอน่าจะเป็นผู้หญิง มันเริ่มจากปลายนิ้วไปสัมผัสโดนให้กับปลายเส้นผมของเธอ บริเวณตรงบ่า มือของผมจึงค่อยๆ คลำขึ้นไป

บริเวณศีรษะ เส้นผมอันแห้งกร้านและค่อนข้างบางพอจับมาแล้วแทบจะหลุดติดมือมา สองมือของผมคลำต่อไปเจอเข้าให้กับใบหน้า

ของเธอมันช่างเป็นใบหน้าที่ซูบผอม ผิวก็แห้งเหี่ยวแข็งกระด้าง ดูเหมือนเขากำลังอ้าปากค้างไว้อยู่ นิ้วมือของผมจับไปถึงโพรงจมูก

โหนกแก้ม และเบ้าตาที่มันถลำลึกเข้าไป มันเป็นเหมือนกันหัวกะโหลกแห้งๆ ที่กำลังอ้าปาก ของคนเรานี้เอง

ผมตกใจกลัวเด้งตัวปล่อยมือ ออกมาจากหัวของเธอกลิ่นเหม็นสาบติดมาที่มือ มันทำให้ผมอาเจียนออกมาอยู่พักใหญ่ ซากศพ

แห้งๆ ของใครกันที่อยู่ตรงหน้าเรา ผมได้แต่ภาวนาอย่าให้เธอตื่นขึ้นมาจะดีกว่า

ถึงตอนนี้ผมรวบรวมสติกลับมาได้ก็พยายามคิดหาหนทางที่จะออกไปจากห้องนี้

ผมพยายามค้นตามตัวเพื่อหาโทรศัพท์จะติดต่อให้ใครสักคนมาช่วย แต่มันก็หาไม่เจอ ทั้งๆ ที่ปกติโทรศัพท์มือถือเป็นเหมือนอวัยวะ

อีกชิ้นในร่างกาย

ความกลัววิตกกังวล ความตระหนักถึงการหาทางเอาชีวิตให้รอด เริ่มกลับเข้ามา เพราะถ้าไม่พยายามทำอะไรต่อไปผมก็คงจะได้เป็น

ซากศพแห้งๆ อีกศพหนึ่งเป็นแน่ ผมพยายามปีนป่ายที่ผนังมันก็ไม่สำเร็จ ลองใช้มือ พยายามทุบที่ผนังเพื่อที่จะหวังให้ใครมาได้ยิน

แต่มันก็มีแต่เพียงเสียงสะท้อนที่ก้องตอบกลับมา

เวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้ แต่ภายในห้องมันเริ่มเหมือนกับเตาอบ อุณหภูมิมันเริ่มสูงขึ้นมากเข้าไปทุกนาที

ร่างกายก็เริ่มอ่อนล้าอ่อนแรง ลงเป็นอย่างมาก ถ้าตอนนี้ผมได้ดื่มน้ำเย็นๆ ซักแก้วได้ก็คงจะดี

ปั๊ง........................... ปั๊ง....................ปั๊ง!!!!!!!!

เสียงเหมือนมีใครทุบผนังจากด้านนอก

"ช่วยด้วย ช่วยด้วย มีคนติดอยู่ในนี้"!!!!!

ผมรีบลุกขึ้นเอามือทุบที่ผนัง ปากก็ร้องตะโกนขอความช่วยเหลือ แต่ก็ไม่มีเสียงอะไรจากข้างนอก ตอบกลับมา ผมยังพยายามร้อง

ตะโกนอยู่ต่อไป สองมือที่ทุบผนังก็ค่อยๆ เบาแรงลง ไปตามสภาพร่างกายที่อ่อนแรงแต่ปากก็ยังพยายามเปล่งเสียงร้องขอความ

ช่วยเหลือ ตัวของผมค่อยๆ ทรุดลงไปกับพื้นห้อง

ปากของผมก็ยังอ้าให้กว้างออก พยายามเปล่งเสียงพร้อมกับหายใจ ในตอนนี้มันทั้งร้อนและอึดอัด การหายใจเริ่มติดๆ ขัดๆ มันไม่

สะดวกเอาเสียเลย

ปั๊ง!!!!!!

ปั๊ง!!!!!!!!!!!!

ปั๊ง!!!!!!!!!!!!

เสียงทุบผนังจากด้านนอกยัง ดังอยู่เป็นระยะ ระยะ เสียงเหมือนกับมันกำลังวนเวียน ไปมารอบตัวผม ใครสักคนที่อยู่ด้านนอกเขาคง

ไม่มีเจตนาที่จะมาช่วยเราเป็นแน่

ก่อนที่กำลังจะหมดลมหายใจไป สิ่งสุดท้ายที่เข้ามาในหัวก็คือ ทำไมเราถึงต้องมาติดอยู่ที่นี่

...........................................................................................

มันเป็นเวลาสักหกโมงกว่าๆ เห็นจะได้ ผมกำลังจะไปที่ห้องสูบบุหรี่ในตึก ของชั้นสามสิบที่ผมทำงานอยู่แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะห้อง

สูบบุหรี่มันถูกปิดล็อกเอาไว้ซึ่งปกติมันไม่เคยมีใครมาปิดเอาไว้ แต่อาจจะเป็นแม่บ้านที่เข้ามาทำงานใหม่เผลอปิดเอาไว้ก็ได้

แต่ด้วยตอนนี้ผมอยากสูบบุหรี่ มากจึงต้องหาที่สูบให้ได้ แล้วผมก็มาพบกับทางบันไดหนีไฟโดยที่แรกตั้งใจว่าจะสูบบุหรี่แถวๆ นั้น

แต่ทางบันไดหนีไฟถ้าเดินขึ้นไปอีกสักหน่อยมันก็ออกมาบนดาดฟ้าของตัวตึกได้แล้ว

ผมจึงตัดสินใจเดินออกไปสูบบุหรี่ที่บนดาดฟ้ามันน่าจะดีกว่า แล้วมันก็ทำให้ผมได้พบกับบางสิ่ง

บนดาดฟ้าของตึกมันช่างโล่งโปร่ง แถมมีลมเย็นๆ คอยพัดมา มันช่างทำให้รู้สึกผ่อนคลายดีจริงๆ ภายนอกดาดฟ้าก็มีอุปกรณ์ไฟฟ้า

วางไว้อยู่ทั่วไป แต่ก็มีบางสิ่งที่ดึงดูดสายตาของผมให้ต้องจ้องมองดู มันเป็นแท็งก์น้ำเก่าๆ ที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว มันเป็นแท็งก์เหล็ก

ชุบสังกะสี รูปทรงสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่สูงขึ้นไปประมาณสามสี่เมตร แต่ตัวแท็งก์เก่าๆ มันไม่ใช่สาระสำคัญอะไร แต่สิ่งที่อยู่บน

แท็งก์น้ำสิมันทำให้ผมแทบจะลืมหายใจ

หญิงสาวผมยาวประบ่าใบหน้าและดวงตาที่ดูมีความสุข กำลังยืนมองวิวข้างหน้าของเธออยู่บนแท็งก์สายลมอ่อนๆ ที่กำลังพัดมามัน

ทำให้ผมของเธอปลิวไหวไปตามสายลม มันช่างเป็นภาพที่ทำให้ผมประทับใจ

ผมได้แต่แอบมองเธอจากระยะไกล เธอเป็นใครกันทำไมถึงมายืนรับลมอยู่บนแท็งก์น้ำ แต่จากการดูชุดฟอร์มที่เธอใส่แล้วมันดู

เหมือนกับชุดแม่บ้าน ที่ดูแลทำความสะอาดในตัวตึก

ผมยืนจุดบุหรี่สูบ และยังคงเหลือบตามองไปทางเธออยู่เป็นระยะ ๆ แต่แล้วดูเหมือนเธอเริ่มจะรู้ตัวแล้วว่าไม่ได้อยู่ลำพังคนเดียวบน

ดาดฟ้า หญิงสาวค่อยๆ ลงมาจากแท็งก์น้ำ แล้วเดินมาที่ทางลงบันไดหนีไฟที่ผมยืนอยู่ เธอค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ๆ ใกล้เข้ามา ใจผม

ก็ไม่รู้เป็นอะไรหัวใจมันกลับรู้สึกเต้นเร็ว แรงอย่างผิดปกติเมื่อยิ่งเธอเดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนในที่สุดเธอก็กำลังจะเดินผ่านหน้าผมไป

ใบหน้าที่ดูนุ่มนวล ริมฝีปากที่ดูอวบอิ่มและผิวพรรณที่ดูอ่อนนุ่มของเธอช่างดูมีเสน่ห์และงดงาม จนทำให้ผมอยากเอ่ยคำพูดคุยหรือ

ทักทายขึ้นกับเธอ แต่ก็ไม่กล้าที่จะเอ่ยปากพูดออกไป

“ขอโทษนะคะ ขอทางหน่อยค่ะ”

“อ่อ ครับ ครับ เชิญ เชิญ..........เลยครับ”

เธอกำลังจะเดินผ่านผมไป สายลมอ่อนๆ ที่พัดมามันทำให้เส้นผมของเธอพลิ้วไหวลอยผ่านที่หน้าของผม

กลิ่นหอมจางๆ ของเส้นผมเธอลอยผ่านพ้นไปพร้อมกับตัวของเธอ ผมอยากจะหยุดช่วงเวลานี้เอาไว้เพื่อสูดดมกลิ่นหอมๆ จากเส้นผม

ของเธอคงอยู่ตราบนานเท่านาน แล้วเธอค่อยๆ เดินลงบันไดจากไป

ความประทับใจในตัวของผู้หญิงคนนั้น ไม่รู้ทำไมมันเกิดขึ้นกับตัวผมได้อย่างรวดเร็ว นี้นะหรือที่เขาเรียกกันว่ารักแรกพบ

หลังจากวันนั้นในช่วงเย็นๆ ตอนพักเบรก ผมก็มักที่จะขึ้นมาบนดาดฟ้าแห่งนี้อยู่เป็นประจำโดยหวังว่าจะได้พบกับหญิงสาวคนนั้นอีก

แต่แล้วเย็นวันหนึ่งผมก็ได้พบกับเธออีกครั้ง

เธอยังคงยืนรับลมอยู่บนแท็งก์น้ำที่เดิม ในครั้งนี้ผมตัดสินใจ รวบรวมความกล้า อยากที่จะลองพูดคุยกับเธอดูสักครั้ง ผมจึงขึ้นมายัง

บนแท็งก์น้ำแล้วยืนอยู่ข้างหลังของเธอ

บทสนทนา ประโยคทักทาย มันมีมากมายภายในหัว แต่สุดท้ายผมได้แต่พูดออกไปว่า

“วันดีครับ บนอากาศนี้เย็นดีนะครับ”

ผมยืนอึ้งกับประโยคทักทายของตัวเองอยู่แป๊บหนึ่ง

นี้เราพูดอะไรออกไปวะ ชัย มันเป็นประโยคทักทายที่ดูโง่และแถมยังพูดผิดอีกต่างหาก ผมได้แต่คิดในใจ

“สวัสดีครับ อากาศบนนี้เย็นดีนะครับ คุณสบายดีไหมครับ”

ผมกล่าวคำทักทายใหม่กับเธออีกครั้ง

..........................................................

ไม่มีเสียงคำตอบใดตอบกลับมา มันมีแต่ความเงียบสงัดผมเริ่มจะรู้สึกแล้วว่าบรรยากาศแบบนี้ชักไม่ค่อยจะดีแล้ว ควรถอนตัวออก

จากตรงนี้ก่อนดีกว่า

แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น

“อากาศร้อน.......................อึดอัดมากเลย”

เธอตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา คล้ายกับคนที่จะหมดแรง มันทำให้ผมเริ่มรู้สึกแปลกๆ กับคำตอบที่ได้รับ กลับมา จนทำให้ไม่รู้

เลยว่าจะเริ่มบทสนทนาอย่างไรไปต่อกันดี

“ขอตัวก่อนนะคะ”

เธอพูดออกมาก่อนที่จะค่อยๆ หันตัวกลับมา ผมรู้สึกดีใจที่ได้พูดคุยกับเธอเป็นครั้งแรก และกำลังจะได้เห็นหน้าเธอใกล้อีกสักครั้ง

มันทำให้คิดถึงความประทับใจในครั้งแรกที่เราได้พบกันและคิดถึงกลิ่นหอมจางๆ จากเส้นผมของเธอ

แล้วโลกทั้งโลกมันก็เหมือนมืดดับสนิทไป

เมื่อเธอหันหลังกำลังเดินเข้ามา ใบหน้าของเธอในวันนี้มันดูซีดเซียวแห้งกร้าน ริมฝีปากที่เคยดูอวบอิ่มมันกลับแห้งแตก ลอกออกมา

เป็นแผ่น ผิวพรรณที่แลดูอ่อนนุ่ม มันกลับเป็นผิวที่ดูแห้งกร้านเสียมากกว่าอีกทั้งในดวงตาที่เคยเปล่งประกาย กลับดูเศร้าหมอง

ทั่วทั้งร่างกายของเธอก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ

เธอกำลังจะเดินผ่านหน้าผมไป สายลมอ่อนๆ ที่พัดมามันทำให้เส้นผมของเธอพลิ้วไหวลอยผ่านที่หน้าของผม แต่ทว่าเส้นผมของ

เธอในวันนี้มันกลับส่งกลิ่นที่เหม็นสาบดังซากศพอย่างรุนแรงจนผมแทบอยากจะเบือนหน้าหนี ทำไมช่วงเวลานี้มันช่างแสนที่จะ

ยาวนานเหลือเกินกว่าที่เธอจะเดินผ่านพ้นไป

เมื่อเธอเดินผ่านไป กลิ่นเหม็นนั้นยังคงล่องลอยอยู่รอบๆ ตัวผม หญิงสาวที่ผมเห็นในวันนี้มันช่างแตกต่างจากวันนั้นมันทำให้ผมรู้สึก

กลัวกับการที่เคยหลงรักเธอไปเสียแล้ว

ผมได้แต่ยืนมองดูเธอที่กำลังจะเดินลงบันไดดาดฟ้า แต่แล้วโลกของผมก็กลับมาสว่างอีกครั้งเมื่อประตูดาดฟ้าถูกเปิดออก มีคนกำลังเดินขึ้นมา มันเป็นเพื่อนของผมเองสองคนกำลังเดินขึ้นมา แล้วทั้งสองคนนั้นก็ได้เดินผ่านหญิงสาวคนดังกล่าว แต่ก็หน้าแปลก
ที่ดูเหมือนทั้งสองคนทำยังกับว่าจะมองไม่เห็นผู้หญิงคนนั้น

นอกจากผมแล้วที่ขึ้นมาบนดาดฟ้า ก็ยังมีเพื่อนอีกสองคน ที่ชอบขึ้นมาสูบบุหรี่และพูดคุยกันบนนี้

เรามักจะขึ้นมาในช่วงเวลาเย็นๆ หลังเลิกงาน เพื่อนทั้งสองคนต่างก็ทำงานในตัวตึกแห่งนี้ แต่พวกเราเป็นเพื่อนกันก็จริง

แต่เราก็ไม่ได้สนิทอะไรกันมากมายจนต้องไปรู้ลึกในเรื่องส่วนตัวของแต่ละคน พวกเราเป็นแค่เพียง เพื่อนสนิทบนแท็งก์น้ำ

เมื่อเพื่อนทั้งสองขึ้นมาบนแท็งก์น้ำได้เราทั้งสามคนต่างก็พูดคุยกันไปถึงเรื่องต่างๆ นานา มากมาย แต่ผมก็ไม่มีจังหวะ

ที่อยากจะเล่าถึงเรื่องราวแปลกๆ ของหญิงสาวที่ผมเจอ ให้กับพวกเขาได้ฟัง

นพ ก็ยังถามถึงแผนการท่องเที่ยวช่วงสงกรานต์

ยุทธ ก็บอกเล่าถึงแผ่นการพักผ่อนในช่วงสงกรานต์

จนเวลาผ่านไปสักพัก นพก็ขอตัวกลับไปก่อน ผมยืนมองดูนพที่กำลังเดินจากไป โบกไม้โบกมือเป็นการสั่งลา

ในตอนนี้ก็เหลือแค่เพียงแค่ผมกับยุทธที่ยังอยู่พูดคุยกันต่อ



“ชัยเป็นไงวันนี้นายขึ้นมา ได้เจอกับสาวแม่บ้านคนสวยที่นายพูดถึงอยู่บ่อยๆ อีกไหม เอาจริงๆ เลยนะเราขึ้นมาบนนี้บ่อยๆ

หรือในตัวตึกเอง เราก็ยังไม่เคยเจอแม่สาวคนนั้นของนายเลย”

“จะบ้าหรอยุทธเมื่อตะกี้ นายก็เพิ่งเดินผ่านเธอไปเองอย่า.... อย่า... มาอำเราเลย”

ในจังหวะนั้นเองผมจึงได้มีโอกาสเล่าเรื่องแปลกๆ ของการที่ได้พบเจอกับผู้หญิงคนนั้นให้ยุทธฟัง

เมื่อยุทธได้ฟังเขาก็รู้สึกแปลกๆ กับพฤติกรรมและท่าที่แปลกๆ ของผู้หญิงคนดังกล่าว

“แต่เอาจริงๆ เราไม่เห็นผู้หญิงคนนั้น ของนายเดินผ่านเราไปเลยนะ”

ผมเริ่มรู้สึกแปลกใจเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ก็ยังไงก็ยังคงไม่เชื่อว่ายุทธจะมองไม่เห็นเธอ

เราทั้งสองยังคงพูดกันต่ออีกสักพักก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับ

“สูบบุหรี่มวนนี้หมดแล้วเรากลับกันดีกว่า เริ่มจะมืดมากแล้ว”

ยุทธพูดออกมาพร้อมกับพ่นควัน กลิ่นควันบุหรี่มันเริ่มจะจางหายไป แต่กลิ่นที่เหม็นสาบมันเริ่มกลับเข้ามาแทนที่

“ยุทธได้กลิ่น เหม็นๆ อะไรไหม กลิ่นเหม็นสาบ เหม็นเหมือนกับเส้นผมของผู้หญิงคนนั้นที่เราเล่านายให้ฟัง”

“อืม......ใช่เหม็นจริงๆ ด้วย กลิ่นมันมาจากไหนกัน”

ผมกับยุทธเริ่มสงสัยที่มาของกลิ่นจึงได้พยายามสูดดมกลิ่นไปรอบตัวเพื่อหาที่มาของกลิ่นนั้น

“นี้ไงชัย เราว่ากลิ่นมันมาจากใต้แท็งก์น้ำ บางทีมันอาจจะมีตัวอะไรเข้าไปตายอยู่ข้างในนั้นก็ได้ เราไปกันเถอะอย่าไปสนใจเลยมัน

ไม่ใช่เรื่องอะไรของเรา”

“ยุทธดูนี้สิ...........ฝาแท็งก์น้ำทำไมมันมีกลอนล็อกเอาไว้แบบนี้ด้วย ปกติฝาแท็งก์น้ำมันไม่น่าจะต้องมีกลอนล็อกเอาไว้นะ เราว่าจะ

ลองเปิดออกดูข้างในกันดีกว่า จะได้รู้ว่าข้างในมีตัวอะไรที่ส่งกลิ่นเหม็นออกมา”

ผมค่อยๆ ก้มเปิดสลักล็อกของฝาแท็งก์ออกมา เมื่อเปิดออกมาได้กลิ่นที่ทั้งเหม็นอับเหม็นสาบมันยิ่งลอยออกมาชัดเจนเราทั้ง

ต่างสองต้องเบือนหน้าหนีให้กับกลิ่นเหม็นสาบนั้น

“ไปดีกว่าชัย ไม่มีอะไรหรอก กลิ่นมันมาจากก้นแท็งก์นั้นเราก็รู้กันแล้วนิ”

“ใช่ยุทธกลิ่นเหม็นนั้นอยู่ในแท็งก์ แต่ไอ้กลิ่นเหม็นสาบที่ว่านี้เราคุ้นกับมันมาก”

“กลิ่นเหม็นสาบเส้นผมของผู้หญิงที่นายมองเห็นได้แค่คนเดียวนะหรอ เราว่านายน่าจะหลงใหลและฝังใจอะไรกับผู้หญิงคนนั้นมาก

เลยนะชัย”

ดูเหมือนน้ำเสียงของยุทธจะเริ่มไม่ค่อยพออกพอใจสักเท่าไหร่กับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในตอนนี้

ผมไม่ได้สนใจในท่าที่และนำเสียงของยุทธมากนัก ผมกลับสนใจสิ่งที่อยู่ภายในแท็งก์นั้นเสียมากกว่า ผมค่อยๆ โน้มตัวก้มลงมองไป

ทางฝาแท็งก์แต่มันก็มืดมากเกินกว่าที่จะมองเห็นอะไรได้ แต่แล้วเจ้ากรรมด้วยการที่พยายามก้มลงมองมากเกินไปโดยไม่ทันระวัง

บัตรพนักงานที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อของผมก็ร่วงหล่นลงเข้าไปในแท็งก์น้ำนั้นซะแล้ว

“อ่าวซวยเข้าให้แล้วว่ะยุทธ บัตรพนักงานของเราร่วงลงไปในแท็งก์เอาไงดีว่ะนี่”

“ฮึ ฮี นั้นไงเราบอกนายแล้วให้ไปกันดีกว่า ทีนี้งานเข้าเลยจนได้ ช่างบัตรนั่นเถอะมันหายไปแล้วทำเอาใหม่ก็น่าจะได้อยู่นะ”

“ไม่ยุทธเราต้องใช้บัตรสแกนตอนเข้าออกเวลาทำงาน ถ้าทำบัตรใหม่เราต้องเสียค่าทำบัตรหลายตังค์แน่ๆ เดี๋ยวเราลงไปเก็บบัตร

นั้นขึ้นเอามาดีกว่า แล้วจะได้ดูที่มาของกลิ่นนั้นด้วยว่าในแท็งก์มันมีตัวอะไรกันแน่ที่ส่งกลิ่นเหม็นออกมา”

“นายจะลงไป แล้วขึ้นมาได้ยังไง เอาอย่างงี้เดี๋ยวเรากลับไปเอาบันไดที่แผนกช่างมาให้แล้วค่อยหย่อนบันไดลงไปจะดีกว่านะ”

“บันได นายเอาบันไดมาจากแผนกช่างได้ด้วยหรอ ดีจริงๆ ขอบใจนายมาก เอาไว้หลังสงกรานต์กลับมาแล้วเราจะเลี้ยงของอร่อยๆ

นายเองยุทธ”



“ฮึ ฮึ ฮึ เอามาได้สิ ทำไมฉันจะเอามันมาไม่ได้ละ ก็ฉันทำงานเป็นช่างที่ดูแลตัวตึกนี้ไง”

ยุทธตอบกลับมาด้วยน้ำเสียที่เรียบและเย็นชา

ตัวผมเองก็เพิ่งรู้ว่ายุทธนั้นทำงานเป็นช่างที่ดูแลในตึก เนื่องด้วยเพราะการแต่งกายของยุทธมันไม่เหมือนกับช่างทั่วไป ยุทธแต่งตัวดู

เหมือนกับพนักงานออฟฟิศ อีกทั้งเสื้อผ้าที่เขาใส่ยังดูสะอาดสะอ้านประณีตเป็นระเบียบเรียบร้อย

ผมรอยุทธอยู่พักใหญ่แล้วยุทธก็เดินขึ้นมาพร้อมกับบันได

แต่ผมก็ไม่ได้ทันสังเกตหรอกว่าที่บันไดมีกี่ขั้นและจะสูงพอที่ลงไปข้างล่างได้หรือไม่ แล้วยุทธก็เอาบันไดหย่อนลงไปที่ฝาแท็งก์

ผมก็จึงค่อยๆ ปีนบันไดลงไปในแท็งก์ได้จนถึงบริเวณสะโพก

“เฮ้ยชัย เราลืมหยิบไฟฉายมา นายเอามือถือมาด้วยรึเปล่า เอามือถือมาเปิดแสงไฟไว้สักหน่อยสิเวลาลงไปแล้วจะได้มองเห็น

ระหว่างที่เดินลงบันได”

จริงอย่างที่ยุทธบอกผมลืมไปเลยถ้าลงไปข้างล่างแล้วมันจะมืดอาจจะมองอะไรไม่เห็น ผมจึงละมือข้างหนึ่งจากการที่จับบันไดไป

หยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมา แล้วชูขึ้นมาให้ยุทธดูก่อนที่จะเปิดแสงไฟจากมือถือ แล้วค่อยๆ ลงบันไดต่อไปทีละก้าว

“เฮ้ย ชัย นายเอามือถือมาให้เราก่อนดีกว่าเดี๋ยวเราส่องไฟให้นายจากด้านบนน่าจะดีกว่านะเกิดถ้าระหว่างที่นายลงบันไดไปแล้วถือ

มือถือลงไปด้วยหลุดร่วงหล่นลงไปอีกเดี๋ยวมันจะเสียหายเอาได้นะ”

ก็จริงของยุทธ เพราะถ้าการที่ต้องลงบันไดแล้วมือข้างหนึ่งจับโทรศัพท์ และต้องใช้มือเพียงข้างเดียวจับประคองราวบันไดมันคงไม่

สะดวกแน่

“เอา ยุทธ ขอบใจมากนะ ที่เอาบันไดมาให้”

ผมยื่นโทรศัพท์ให้ยุทธแล้วก็ค่อยๆ ไต่บันไดลงไป จนตอนนี้ตัวผมทั้งตัวได้เข้ามาอยู่ภายในแท็งก์น้ำแล้ว ซึ่งข้างในนี้มันทั้งเหม็นอับ

เหม็นสาบมาก ยิ่งกว่าตอนที่อยู่ข้างบนผมอยากจะรีบออกไปจากที่ตรงนี้ให้เร็วที่สุด

ผมจึงลงบันไดเร็วขึ้นไปอีกโดยไม่ทันระวังในขณะที่กำลังเอาขาข้างหนึ่งทิ้งน้ำหนักเท้าเพื่อก้าวลงไป แต่มันกลับว่างเปล่า มันไม่มีขั้น

บันไดเสี้ยววินาทีนั้นเอง

ปั๊ง...........................

เสียงอะไรดังมาจากด้านบน

“เฮ้ยยยย ชัย ชัย”

เสียงร้องของยุทธตะโกนลั่นออกมา ผมรีบเงยหน้ากลับขึ้นไปมองข้างบน ดวงตาของผมก็ไปปะทะกับแสงแฟลตจากมือถือ ตาของ

ผมก็พร่ามัวจนผมเผลอปล่อยมือข้างหนึ่งมาบังที่หน้า จังหวะนั้นเองมันทำให้ผมเสียหลัก ร่วงลงมาจากบันได ล้มลงจนศีรษะ

กระแทกเขากับพื้นอย่างจัง หลังจากนั้นโลกของผมมันก็มืดดับสนิทไป

.................................................................



ใช่แล้วตอนนี้เรานอนจมอยู่ในก้นแท็งก์น้ำที่แสนเหม็น

ผมนอนอ้าปากหายใจอย่างรวยริน ความเจ็บปวดและความบอบช้ำทางร่างกายมันไม่สามารถส่งผลต่อความรู้สึกได้อีกแล้ว

ตอนนี้ มีแต่เพียงความอึดอัดของการที่ไม่มีอากาศหายใจในปอด มันช่างทรมานเสียเหลือเกิน

ผมหายใจได้อย่างช้าๆ ช้าลงและช้าลง สิ่งสุดท้ายในชีวิตของผมตอนนี้ที่อยากจะได้อีกสักครั้ง นั้นคือ อากาศที่มีกลิ่นหอมๆ

จากเส้นผมของหญิงสาวคนนั้นมาใช้ต่อลมหายใจ

แต่กลับกันในความเป็นจริงอากาศที่ใช้หายใจอยู่ มันมีแต่ กลิ่นเหม็นสาบจากเส้นผมของใครก็ไม่รู้ที่ติดมือของผม


สิ่งหนึ่งสิ่งเดียวที่จะหวังได้ในชีวิต ก่อนลมลมหายใจสุดท้ายจะหมดไป

ผมได้แต่หวังว่าจะมีใครสักคน ใครสักคน ที่ขึ้นมาบนดาดฟ้า ขึ้นมาเจอกับแท็งก์น้ำเก่าๆ ที่ตั้งอยู่ แล้วอยากให้เขา

ได้ลองเปิดฝาแท็งก์ดู

เพื่อว่าบางทีมันอาจจะทำให้ คุณได้เจอกับผมอยู่ในนั้นก็ได้

------------------------
ติดตาม SIDE STORY ภาคต่อ ที่มีเรื่องราวเชื่อมโยงกันได้ในเรื่อง ตอน4 กลิ่นแรก (SIDE STORY กลิ่นในที่แคบ)


ซีรี่ กลิ่นในที่แคบ
ตอน1 กลิ่นในที่แคบ 
ตอน2 ไม่กลัวผีบ้างหรอ (Side Story กลิ่นในที่แคบ)
ตอน3 บัตรพนักงาน (SIDE STORY กลิ่นในที่แคบ)
ตอน4 กลิ่นแรก (SIDE STORY กลิ่นในที่แคบ)

เรื่องจากพันทิป กลิ่นในที่แคบ ตอนที่2 บัตรพนักงาน
เรื่องโดย macneto

ไม่มีความคิดเห็น