สวัสดีปีใหม่ :(


     เรื่องรามของประสบการณ์จริงของจากสมาชิกพันทิปนาม TharaJF ที่เธอนั้นเจอ ..... ราวกับว่าเธอนั้นมีสัมผัสวิเศษมักจะพบเจอกับ วิญญาณบ่อยครั้ง ในรูปแบบทั้งดีและไม่ดี ขอขอบคุณสมาชิกพันทิปนาม TharaJF สำหรับเรื่องราวสยองขวัญไว้ ณ ที่นี้ด้วย

ใกล้จะผ่านพ้นปี 2560 แล้ว เพื่อน ๆ ก็คงมองหาสถานที่ท่องเที่ยวสำหรับปีใหม่นี้กันอยู่แน่เลย ปีใหม่แต่ละปีมักจะมีเรื่องราวให้เรา
ได้จดจำเป็นความทรงจำประทับใจให้เราได้นึกถึงในอีกปีถัดไป เช่นเดียวกับเหตุการณ์ที่เราและครอบครัวต้องเอ่ยถึงในทุกปี เช่นกัน
และนี่คือเหตุการณ์ครั้งแรกที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2557 ย่างเข้าปี 2558  นี่ก็จะย่างเข้าปีที่ 3 แล้วที่เหตุการณ์ในครั้งนั้นจะวนกลับมาให้นึกถึง

เทศกาลปีใหม่ในทุก ๆ ปี ครอบครัวเราจะกลับภาคเหนือ อำเภอที่เราอยู่ต้องวิ่งผ่านตัวเมืองเข้าไปอีกประมาณ 50 กิโลเมตร และเมื่อถึง
วันกลับพวกเราก็จะแวะค้างคืนที่ตัวเมืองก่อนหนึ่งคืนแล้วถึงจะกลับในวันรุ่งเช้า สถานที่ที่ไปพักในตัวเมืองก่อนกลับกรุงเทพฯ ก็คือ
บ้านเพื่อนสนิทของพ่อที่ชื่อ แม่ใจ ไม่รู้ว่าเป็นธรรมเนียมจากอะไร พ่อแม่จะสอนให้เราเรียกเพื่อนสนิทของพ่อแม่ว่าพ่อหรือแม่ด้วยเสมอ
เราจึงติดปากเรียกเพื่อนสนิทของพ่อแม่ว่าพ่อหรือแม่ทุกครั้ง ในทุก ๆ ปี พวกเราจะแวะค้างคืนที่บ้านแม่ใจก่อนหนึ่งคืน เพราะถือโอกาส
เพื่อนฝูงได้เจอกันปีละครั้งก็ช่วงเทศกาลนี่แหละ พวกเราออกเดินทางจากตัวอำเภอบ้านพ่อช่วงสายก็จะถึงในตัวเมืองเที่ยง ๆ และไป
ตะลอนไหว้พระเที่ยวรอบตัวเมือง ขับรถขึ้นดอยไปไหว้พระดูวิวเห็นทั้งเมือง รอตะวันตกดินก็แวะมาเดินเล่นถนนคนเดิน ดูผ้าไทย ผ้าซิ่น
ของใช้พื้นเมืองและตบท้ายด้วยการนั่งกินขันโตกบริเวณข่วงเมืองก่อนจะมุ่งหน้าเข้าที่พักของบ้านแม่ใจ (เหมือนรีวิวการท่องเที่ยวไงไม่รู้)
บ้านแม่ใจอยู่ในตัวเมืองจังหวัดเป็นบ้านชั้นเดียว 2 ห้องนอน มีลูกชาย 2 คน คนโตชื่อพี่ต้น แก่กว่าเราประมาณ 2 ปี คนเล็กชื่อน้องต่อ
แม่ใจมีสถานภาพโสด (หย่า) แม่ไวกับพี่ต้นอยู่ด้วยกันที่บ้าน ส่วนน้องต่อมาเรียนและทำงานอยู่ในกรุงเทพฯ จากนั้นเราก็จะแยกย้ายกัน
อาบน้ำ พ่อแม่ แม่ใจอาจจะนั่งดื่มพร้อมเปิดคาราโอเกะจากคอมพิวเตอร์เล็ก ๆ ร้องเพลงพอเป็นกระสัยก่อนจะแยกย้ายกันเข้านอนเพื่อ
เตรียมตัวเดินทางในเช้าวันรุ่งขึ้น สาวสาวสาว ประกอบไปด้วย แม่ แม่ใจ เรา จะนอนรวมกันบนเตียงในห้องหนึ่ง ส่วนพ่อก็จะนอนอีกห้อง
ข้างกันโดยมีห้องน้ำรวมที่เป็นห้องกั้นระหว่างสองห้องนอนนี้ เราว่าข้อเสียของห้องน้ำในตัวที่ใช้รวมกันสองห้องก็คือ หากมีใครทำธุระ
ตอนดึกในห้องน้ำ เราก็จะได้ยินเสียงกดน้ำ ถ้าเป็นเราเราจะนอนไม่หลับ แต่นี่เราเป็นแขกต่อให้กลางดึกห้องทางนู้นจะลุกมาเข้าห้องน้ำ
กดชักโครก แปรงฟันหรือไอกระแอม เราก็ไม่มีสิทธิ์บ่น ทำได้อย่างเดียวคือนอนฟังจนกว่าเสียงจะเงียบ

ครืด... เสียงกดชักโครกดังทำให้เราค่อย ๆ หรี่ตา แคว่ก! เสียงแปรงฟัน ทำให้เราลืมตานอนมองเพดาน เมื่อสายตาเริ่มปรับ
กับความมืดได้แล้วก็พอ ๆ กับเสียงเปิดก๊อกน้ำแล้วบ้วนปาก ตามด้วยด้วยเสียงของหล่นในห้องน้ำ คิดเอาไว้ว่าน่าจะเป็นแปรง
สีฟันหล่น จากนั้นก็เป็นเสียงเปิดประตูและปิดดังกึกเบา ๆ

“เฮ้อ ทำธุระเสร็จแล้วใช่ไหมเราจะนอนต่อแล้วนะ” หลังจากเสียงเงียบลงเราก็ค่อย ๆ หลับตากำลังจะเคลิ้ม ประตูห้องนอนที่เรา
นอนอยู่ค่อย ๆ เปิดแง้มออกพร้อมเสียงเบา ๆ ของประตู พร้อมกับเราที่ลืมตาขึ้นมาเห็นผู้ชายเดินเข้ามาในห้อง ตอนนี้เราไม่ได้
หรี่ตาแต่เราลืมตาเบิกโพลงจ้องผู้ชายคนนั้นเขม็งตั้งแต่เขาเข้าห้องมา ผู้ชายคนนั้นค่อย ๆ ขยับตัวมาใกล้เตียงที่เรานอนมากขึ้น
มากขึ้น จนกระทั่งหยุดอยู่ตรงหน้าเราที่นอนหงายอยู่ตรงกลางระหว่างแม่กับแม่ใจ “พี่ต้น!!!”  เราเรียกในใจ เพราะตอนนั้นมันตกใจ
มากกว่า ไม่กล้าเปล่งเสียงออกมา แต่ก็เหมือนพี่ต้นจะรู้ว่าเราเอ่ยถึงเขา เพราะเขาย่อตัวลงที่พื้นเหมือนจะหยิบอะไรบางอย่างแล้วก็
ค่อย ๆ ลุกขึ้นพร้อมสะบัดผ้าห่ม พรึ่บ!!! ผ้าห่มปลิวหล่นใส่ตัวเรามันล่วงหล่นคลุมทั้งหน้าทั้งตัวเราพร้อมเสียงประดูดังกึก เมื่อเราเอา
มือปัด ๆ ผ้าห่มให้ออกจากหน้าเราแล้ว พี่ต้นก็ไม่อยู่ในห้องซะแล้ว เราไม่แน่ใจว่าฝันหรือเรื่องจริงแต่เรารู้สึกตัวได้ค่อนข้างชัดเจนและ
รู้สึกตัววินาทีต่อวินาทีเลยทีเดียว เราหันมองรอบห้องแม่กับแม่ใจต่างคนต่างนอนตะแคงหันหลังคุดคู้ให้เราห่มผ้าคนละผืน คงมีแค่เรา
สินะที่เห็นพี่ต้นเข้ามาในห้องนี้เพื่อเอาผ้าห่มที่เราถีบออกกลับมาห่มให้เราเหมือนเดิม แล้วพรุ่งนี้เราจะกล้าเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังล่ะ
ยิ่งถ้าเล่าให้แม่ใจฟังก็คงไม่เชื่อ เพราะคงไม่มีแม่คนไหนจะเชื่อหรอกว่าลูกของตัวเองจะเข้ามาในห้องยามวิกาลและเข้ามาเพื่อวัตถุ
ประสงค์ใด? เช้าวันต่อมาหลังจากกินข้าวและเก็บกระเป๋าใส่รถเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาที่ต้องร่ำลากัน แม่ใจมีของฝากให้ขนขึ้นรถเต็ม
หลังรถเลย พวกเราร่ำลากันแล้วก็ต้องขอตัวเดินทางกลับ เรายกมือไหว้แม่ใจพร้อมเหลือบไปมองหน้าพี่ต้นที่กำลังมองและยิ้มให้เรา
อยู่มุมบ้าน ทุกคนร่ำลากันเรียบร้อยแล้วพร้อมเสียงของแม่ใจที่ตะโกนตามหลังรถมาว่า “ปีหน้าแวะมานอนที่บ้านอีกเน้อ จะคอยเน้อ”
เราได้แต่ยิ้มแหย ๆ ไม่กล้าเล่าให้ใครฟังเพราะกลัวว่าจะไม่มีใครเชื่อแล้วจะหาว่าเราปรักปรำ จะว่าไปแล้วพี่ต้นกับเรานี่ไม่ได้สนิทกันเลย
แค่รู้จักในนามว่านี่คือพี่ต้นนะ นี่คือเรานะ เพราะพี่ต้นไม่ได้อยู่ที่กรุงเทพฯ และจะได้เจอกันแค่ปีละครั้งเท่านั้นเอง

เราเก็บเรื่องนี้ไว้ไม่ปริปากเล่าให้ใครฟังจนเวลาล่วงเลยย่างเข้าสู่ปี 2559 ทุกอย่างก็มาบรรจบเหมือนเดิมพ่อนัดหมายแม่ใจเพื่อที่จะได้
พบเจอกันและค้างคืนที่บ้านอีกหนึ่งคืนก่อนกลับกรุงเทพฯ เหมือนเรากำลังฉายหนังซ้ำเลยค่ะ ทุกอย่างเหมือนเดิมเป๊ะ นัดเจอแม่ใจ
ข้างนอกแล้วไปตะลอนกิน เที่ยวรอบเมือง ส่วนพี่ต้นไม่ได้ไปด้วยนะคะ ปกติจะมีแต่แม่ใจที่ไปเที่ยวกับพวกเรา จากนั้นก็เข้าบ้านพูดคุย
อาบน้ำ นอน ที่สำคัญ นอนแบบเดิมเป๊ะ คือเรานอนตรงกลางผ้าห่มคนละผืน... เหมือนเดิม... และที่เหมือนเดิมไปกว่านั้นคือ เสียงที่ดัง
มาจากห้องน้ำก่อนที่ประตูห้องจะเปิดออกพร้อมพี่ต้นเดินเข้ามาแล้วสะบัดผ้าห่มให้ก่อนจะหายไป... อ้อ ต้องบอกว่าเราเป็นคนนอนดิ้น
เมื่อหลับแล้วถีบอะไรได้ถีบ ผ้าห่มไม่เคยอยู่กับตัวเลยสักครั้งเมื่อตื่นนอนและก็ไม่สามารถอธิบายให้คนอื่นฟังได้ด้วยว่า เราจะนอนถีบ
ผ้าห่มตอนไหนหรือไม่ถีบตอนไหน แต่พี่ต้นเนี่ยแกเดินเข้ามาหาเรา ถ้านับครั้งนี้ก็เป็นครั้งที่ 2 ที่เดินมาก้มหยิบผ้าห่มแล้วห่มให้เรา
และถ้าถามว่าทำไมเราไม่ร้องออกมาเสียงดัง ก็ตอนนั้นมันอึ้ง มันงง มันเลยร้องไม่ออก คล้าย ๆ ช๊อคปนสงสัยว่าเข้ามาทำไม เข้ามา
แค่เนี๊ยแล้วก็ออกไป คือต้องการอะไร มันงงมากกว่ากลัวว่าเขาจะมาทำมิดีมิร้าย และแล้วเหตุการณ์ก็ผ่านไปพร้อมเราที่มองหน้าพี่ต้น
แล้วยิ้มแหย ๆ ให้แก ก่อนจะที่แม่ใจจะเอ่ยประโยคเดิมออกมาว่า “ปีหน้าแวะมานอนที่บ้านอีกเน้อ จะคอยเน้อ”

นั่นล่ะค่ะเพื่อน ๆ และเมื่อย่างเข้าสู่ปี 2560 พวกเราจะไปไหนคะ ก็ไปบ้านแม่ใจคนงามเหมือนเดิมและไม่มีอะไรที่แตกต่าง
ไปจากเดิมเลยแม้สักกะนิสเดียวววว แล้วพี่ต้นล่ะคะ ก็มาเหมือนเดิมค่ะ เพิ่มเติมคือรูปแบบที่อ่อนโยนขึ้น เมื่อ 2 ปีที่แล้วพี่ต้น
จะสะบัดผ้าห่มคลุมเราทั้งตัว หัวเหอนี่ฟูปลิวตามแรงลมของการสะบัดผ้าเลย แต่ปีนี้พี่ต้นมาสุภาพมากขี้นอาจเพราะเราเองก็
ระมัดระวังตัวเวลานอนมากขึ้น โดยคืนนั้นเราขอห่มผ้าผืนเดียวกับแม่โดยห่มซ้อนกันสองผืน อั้นแน่... ห่มผ้าด้วยกันแบบนี้ถ้า
พี่ต้นเข้ามาทำแบบเดิมแม่ก็น่าจะรู้สึกตัวบ้างล่ะ เสียงประตูดังขึ้นเบา ๆ แต่เราก็ดันรู้สึกตัวง่ายซะงั้น พี่ต้นเดินเข้ามาหยุดที่
ปลายเท้าเราแล้วย่อตัวลงไปเหมือนหยิบอะไรบางอย่าง ของสิ่งนั้นก็คือ ผ้าห่มอีกผืนที่ (เราถีบออกหรือเปล่าไม่รู้) มันเป็น
ผืนที่ซ้อนอยู่ชั้นบนตัวของเรากับแม่ มันกองอยู่ที่ปลายเตียง แล้วพี่ต้นก็บรรจงโยนผ้าห่มจากปลายเตียง พรึ่บเบา ๆ อย่าง
เจนเทิล สุภาพและนุ่มนวล พี่ต้นโยนผ้าห่มให้มาคลุมตัวเราอาจจะด้วยไม่ได้โยนมาแรง ผ้าห่มจึงมาถึงแค่ครึ่งตัวพร้อมลม
โชยนิดหน่อย จังหวะที่ผ้าห่มมันถูกโยนมาหาเราก็เป็นจังหวะเดียวกับที่เราหลับตาคล้อยหลับไปพร้อมกัน ในใจคิดว่า

“อือ เอาเถอะพี่ต้นอยากทำไรก็ทำ”

รุ่งเช้าเราตัดสินใจเล่าให้ทุกคนฟังระหว่างทานข้าวเช้าก่อนเดินทางกลับ เมื่อฟังจบแม่ใจน้ำตาไหลและลุกเดินออกจากโต๊ะ
ไปหน้าประตูบ้านพร้อมเรียกชื่อพี่ต้นซ้ำหลาย ๆ ครั้ง เรารู้สึกแย่ที่ทำให้แม่ใจร้องไห้ แม่เราเดินไปหาแม่ใจที่ยืนมองหน้าพี่ต้น
แม่เราและแม่ใจยืนกอดกันร้องไห้ เราเองยิ่งรู้สึกแย่ที่เป็นต้นเหตุของเรื่องนี้ หากเราไม่เล่าและเก็บเป็นความลับไว้อีกสักปีจะ
เป็นไรไป ทำไมปากสว่างแบบนี้!!! เราโทษตัวเอง แม่ใจเดินกลับมาที่โต๊ะและบอกว่า

“ไม่เคยเชื่อเลยว่าต้นจะทำแบบนี้ แม่คิดว่าแม่รู้สึกไปเองคนเดียว ฮือ ฮือ ฮือ” แม่ใจร้องไห้ออกมา

“พี่ต้นหนูขอโทษที่ทำให้แม่ใจร้องไห้ แต่หนูอยากให้แม่ใจรู้ว่าพี่ต้นมาจริง ๆ หนูขอโทษ” เราพูดพร้อมเช็ดน้ำตา และรอจนกระทั่ง
สถานการณ์ทุกอย่างสงบลงก็ถึงเวลาที่ต้องร่ำลากันอย่างจริงจัง ก่อนออกจากบ้านเราไม่ลืมที่จะหันไปมองหน้าพี่ต้นที่ยังคงยืนอยู่
มุมหน้าบ้าน พี่ต้นยังคงยิ้มและมองเราอย่างไม่ละสายตา แต่ก็ไม่ได้มีทีท่าจะต่อว่าหรือโกรธเคืองเราเลย เราเอ่ยประโยคสุดท้าย
ก่อนก้าวขึ้นรถ "แล้วเจอกันใหม่ปีหน้านะคะพี่ต้น"

เมื่อ 4 ปีที่แล้วแม่ใจและพ่อพี่ต้นมีปากเสียงกันอย่างหนักเพราะพ่อไปมีเมียน้อย คืนนั้นทั้งคู่ทะเลาะกันหนักถึงขั้นลงไม้ลงมือ
พี่ต้นที่อาบน้ำอยู่ก็ได้ยินเสียงแม่ใจร้องไห้ จึงเปิดประตูห้องเข้ามาในห้องนอนของแม่ใจ แม่ใจไล่ให้พี่ต้นออกไป พี่ต้นไม่ออก
แต่เดินมุ่งหน้าตรงเข้าไปผลักอกพ่อ พร้อมชี้หน้าว่าให้หยุดตีแม่ไม่งั้นจะแจ้งตำรวจ พ่อไม่สนใจปัดมือพี่ต้นออกคว้าแขนแม่ใจ
ทำท่าจะตบ พี่ต้นวิ่งเข้ามาแทรกเอาหน้ารับมือแทน แม่ใจตะโกนด่าพ่อว่าให้พอได้แล้ว เลิกกันไปเลยจะได้จบ ๆ   
แม่ใจคว้าพี่ต้นเข้ามากอดทั้งคู่ร้องไห้ด้วยกัน พี่ต้นมองหน้าพ่ออย่างโกรธแค้น พ่อตะโกนด่าไม่หยุดแล้วหันไปหยิบปืนในกระเป๋า
ก่อนที่จะคว้าปืนแล้วเล็งมาทางแม่ใจพร้อมตะโกนด่าว่า “ถ้ายิ้มเลิกก็ตายกันไปข้าง!!!” พี่ต้นผลักแม่ใจออกแล้วกลายเป็นตัวเอง
ที่รับลูกกระสุนแทนแม่ใจ กระสุนเข้าหน้าผากพี่ต้นเต็ม ๆ หนึ่งนัด เลือดค่อย ๆ ไหลออกจากหน้าผากที่เป็นรูโบ๋มีเขม่าควันลอยออกมา
แม่ใจกรี๊ดสุดเสียงทันทีที่พี่ต้นล้มตึงหงายหลัง ตาพี่ต้นยังคงมองค้างอยู่แบบนั้นพร้อมเลือดที่ค่อย ๆ ไหลออกมานองที่พื้น แม่ใจ
ใช้มือที่สั่นเทาประคองหัวพี่ต้นขึ้นมาแล้วกอดแนบอกและตะเบ็งเสียงที่แหบพร่าเปล่งออกมาอย่างสั่นเครือ

“ต้น!!! ต้น!!! ต้น!!!!!!!!!!!!!”  ก่อนที่แม่ใจจะกรีดร้องออกมาสุดเสียงอีกครั้งเมื่อเลือดที่ไหลออกจากหัวพี่ต้นและเศษเนื้อเลอะเปรอะเปื้อนเสื้อแม่ใจ

“ต้นนนนนนนน!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”

รูปถ่ายสามคนแม่ลูก แม่ไว พี่ต้น น้องต่อ นั่งเรียงกันสามคนเอามือกอดคอกันยิ้มแฉ่งอยู่ในสวนดอกไม้ถูกถ่ายด้วยฝีมือของพ่อ
กรอบรูปบานใหญ่ถูกแขวนประดับไว้เมื่อแขกเข้ามาในบ้านก็จะเจอกับรอยยิ้มเล็ก ๆ กับดวงตาเป็นประกายคอยยิ้มต้อนรับแขก
ที่มาเยือนอย่างเป็นมิตร  “สวัสดีค่ะพี่ต้น ปีนี้เราจะเจอกันอีกแล้วนะคะ”

***เก็บความทรงจำของคุณไว้ไม่ว่าความทรงจำนั้นจะดีหรือร้ายเพียงใด นั่นหมายความว่าเรายังมีลมหายใจให้ได้มีชีวิตขับเคลื่อน
เพื่อสร้างความทรงจำในปีถัด ๆ ไป... รู้ไหมคะว่ามันทรมานแค่ไหนที่เราไม่สามารถสร้างความทรงจำกับคนที่เรารักได้อีก
มิตรภาพดี ๆ หากมีก็หยิบยื่นให้กัน สิ่งไม่ดีก็อย่าสร้างมันขึ้นมาบั่นทอนกำลังใจกันและกัน... สวัสดีปีใหม่ค่ะทุกคน

เรื่องจากพันทิป สวัสดีปีใหม่ :(
เรื่องโดย  TharaJF

ไม่มีความคิดเห็น