ยัยน้ำเพื่อนรัก!!!
เชื่อว่าหลายคนคงเคยเล่น "ผีถ้วยแก้ว"มากั้นบ้าง ขึ้นอยู่กับว่าประสบการณ์ของใครสยองกว่ากัน จากประสบการณ์จริงของจากสมาชิกพันทิปนาม TharaJF ขอขอบคุณสมาชิกพันทิปนาม TharaJF สำหรับเรื่องราวสยองขวัญไว้ ณ ที่นี้ด้วย
ประสบการณ์ชีวิต ขอเรียบเรียงผ่านตัวอักษรที่ผ่านการระลึกถึง นึกคิด เรียบเรียง รวบรวมเรื่องราวของคนสองคน เรา และ น้ำ
เพื่อนวัยเยาว์ที่มีไมตรีจิตรต่อกันมายาวนาน ใครเคยเล่นผีถ้วยแก้วบ้างคะ? เกินครึ่งของคนที่อ่านอยู่นี้เราเชื่อว่าเคยเล่นแน่นอน
และเราก็เป็นหนึ่งในนั้น บางครั้งเราสามารถพิสูจน์ได้จากเหตุการณ์หลังจากนั้นว่าสิ่งที่เราลองดีมันมีจริง หรือบางครั้งอาจเป็น
เพียงแค่เรามโนไปเอง...
……………………………………………………………
บ่ายแก่ ๆ ของวิชาพละศึกษา ณ โรงเรียนประถมใจกลางเมืองกรุงแห่งหนึ่ง เราพร้อมเพื่อนนักเรียนนุ่งกางเกงวอร์มสีดำกำลังเล่น
กระโดดหนังยางหลังจากครูปล่อยให้พักครึ่ง ก่อนที่จะมีการฝึกสอนตีลังกาม้วนหน้าม้วนหลังตามหลักสูตร ในกลุ่มของเพื่อนจะต้อง
มีคนหนึ่งที่เป็นหัวโจกแทบจะทุกเรื่องไม่ว่าจะกิน เล่น ลอกการบ้านหรืออะไรก็แล้วแต่ “น้ำ” เด็กผู้หญิงตัวใหญ่ที่สุดในกลุ่มถูกตั้ง
ให้เป็นหัวหน้ากลุ่มไปโดยปริยาย พวกเราวิเคราะห์จากน้ำหนัก รูปร่างและความสูง เธอจึงเหมาะสมที่สุดในการเป็นผู้นำพวกเรา
“ไม่อยากเรียนแล้ว เราว่าเราม้วนตัวไม่ไหวแน่เลย” น้ำเริ่มบ่นในขณะที่เธอกำลังถือหนังยางที่ถูกมัดต่อเป็นเส้นยาวแนบอยู่กับหู
“ไม่ยากหรอกน่า ลองทำดูเดี๋ยวครูก็สอน” เราที่ยืนจับอยู่อีกฝั่งตะโกนบอก
“แล้วถ้าเราตีลังกาไม่พ้น ครูจะดุเราไหม” น้ำบ่นต่อ
“จะเอายังไงล่ะ เดี๋ยวครูก็เป่านกหวีดเรียกแล้วนะ” เพื่อนอีกคนที่กระโดดข้ามหนังยางแม่หูไปอีกฝั่งจนหน้าเกือบคะมำกับพื้นพูดขึ้น
“เราแกล้งป่วยได้ไหม นะนะ เราป่วยนะ ฝากบอกครูด้วย” น้ำพูดจบแล้วปล่อยมือออกจากหนังยางที่จับแนบกับหูอย่างรวดเร็ว
หนังยางที่ถูกยืดจนตึงเมื่อมีการปล่อยจากที่ยึดเหนี่ยวของอีกฝั่งมันก็เด้งกลับมาดีดใส่อีกฝั่งอย่างรุนแรงทันที!!!
ค่ะ มันดีดกลับมาใส่หน้าเราเต็ม ๆ โดนเข้าที่เบ้าตา ฉะนั้น ความเจ็บปวดคงไม่ต้องพูดถึง เสียงดังเปรี๊ยะ!!! เราร้องโอ๊ย!!!
แล้วก้มหน้าเอามือจับตาไว้พร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาแบบไม่รู้ตัว
“ตายแล้ววววว เป็นยังไงบ้าง เล่นอะไรกันทำไมไม่ดูเพื่อนเลย ห๊ะ!!!” ครูที่เดินมาเห็นเหตุการณ์รีบวิ่งเข้ามาหาเรา
“ไม่ต้องตีลังกามันแล้ว ไปเลยยัยน้ำ พาเพื่อนไปที่ห้องพยาบาลเดี๋ยวนี้” ครูเอ็ดน้ำพร้อมสั่งให้พาเราไปที่ห้องพยาบาล
ระหว่างที่น้ำเดินประคองเราไปที่ห้องพยาบาล เราก็บอกให้น้ำไปเรียนเถอะเดี๋ยวเราเดินไปเองได้ แต่น้ำก็ยังยืนยันว่าจะ
ไปส่งเราให้ได้ น้ำบอกให้เราเดินจับตาไว้แบบนั้นแหละไม่ต้องปล่อย ครูจะได้ให้นอนพักจนเลิกเรียน หึ... เราก็ต้องจับตา
เราไว้อยู่แล้วสิ หนังยางดีดเข้าเบ้าตาซะขนาดนั้น!!! หลังจากครูประจำห้องพยาบาลตรวจตาและเช็คความเรียบร้อยเสร็จ
ก็ถามเราว่าจะกลับไปเรียนพละต่อหรือจะนอนพัก เราซึ่งยังไม่ทันตอบ น้ำก็พูดแทรกขึ้นมา “นอนพักเถอะ เผื่อตาบอด
จะได้ช่วยทัน นะนะ” น้ำทำหน้าตาเว้าวอน เราจึงจำยอมขอนอนพักทั้งที่ใจจริงเราอยากไปตีลังกาก็ตาม นักเรียนสองคน
ที่คนหนึ่งป่วยตาเกือบบอด กับอีกคนหนึ่งที่อยากจะป่วย นอนอยู่บนเตียงข้าง ๆ กันในห้องพยาบาลที่ปิดไฟ เปิดแค่
หน้าต่างเอาไว้รับลมและพอให้แสงลอดเข้ามาในห้องบนอาคารไม้ชั้น 2 ที่ตั้งอยู่หลังสุดของโรงเรียน เวลาผ่านไปได้สักพัก
ความเงียบก็เข้ามาครอบงำ บรรยากาศแบบนี้คงหนีไม่พ้นการเล่าเรื่องผี การเล่าเรื่องผีในห้องเรียน ห้องสมุด โรงอาหาร
หรือแม้แต่กระทั่งห้องพยาบาลที่แสนเงียบสงบแบบนี้เป็นอะไรที่ป๊อบมากในหมู่นักเรียน พวกเราสลับกันเล่าเรื่องผีที่ฮิต
ของแต่ละโรงเรียน จนกระทั่งมาถึงเรื่องของโรงเรียนเรา “จุ๊ จุ๊ อย่าเอ็ดไป เรื่องของโรงเรียนเราเหตุการณ์มันเกิดขึ้นที่นี่”
น้ำเอ็ดเรา “จริงสินะ จะว่าไปก็คิดถึงครูเนอะ…”
ครูที่เราเอ่ยถึงชื่อครูพร ครูพรเป็นครูใหม่ที่ย้ายเข้ามาสอนระหว่างภาคเรียนแทนครูคนเก่าที่ลาออกไป ครูที่เข้ามาใหม่
ระหว่างภาคเรียนก็ต้องทำหน้าที่สอนต่อจากครูคนเก่าที่สอนค้างไว้ กิจกรรม การบ้าน จิปาถะก็ต้องมาสั่งต่อหรือเปลี่ยน
ใหม่ก็ตามแต่ ครูพรเป็นสาวใต้หน้าคม ผิวเข้ม ผมดำสั้นหยักศก พูดจาเสียงดัง บางครั้งก็เหมือนดุ แต่จริง ๆ แล้วไม่ดุ
ก็แค่เป็นคนพูดจาเสียงดังเท่านั้นเอง แต่ด้วยบุคลิกของครูทำให้เด็กนักเรียนบางคนไม่ชอบ และก็อาจจะมีต่อต้านบ้าง
ครั้งหนึ่ง เราเคยเห็นครูพรตรวจสมุดการบ้านและเงยหน้ามองนักเรียนในห้องและก้มหน้าดูการบ้าน และก็เงยหน้าขึ้นมอง
สลับกันแบบนี้ ก่อนครูพรจะลุกขึ้นแล้วเอาแปรงลบกระดานเคาะกระดานดำจนฝุ่นชอล์คคลุ้ง ทุกคนสะดุ้งและเงียบเสียงทันที
ครูพรหยิบสมุดการบ้านเล่มหนึ่งขึ้นมาชูขึ้นแล้วบอกว่าใครคิดว่าเป็นเจ้าของสมุดเล่มนี้ขอให้รอเจอครูที่ห้องหลักเลิกเรียน
นักเรียนทุกคนต่างหันมามองหน้ากันแล้วเริ่มซุบซิบว่านั่นน่ะสมุดของใคร? แต่เด็กก็คือเด็กค่ะ เมื่อเรียนเสร็จถึงเวลากลับบ้าน
ทุกคนก็ลืมกันหมดแล้วว่าระหว่างคาบเกิดอะไรขึ้น เว้นเสียแต่คนที่เป็นเจ้าของสมุดเล่มนั้นที่ไม่น่าจะลืม...
เวลาผ่านไปจนจะครบเทอมที่ครูพรมาสอน ครูพรก็ได้แจ้งว่าจบเทอมนี้เปิดมาครูจะไปสอนวิชาอื่นนะ เราและเพื่อนบางส่วน
ต่างเสียใจที่เปิดเทอมมาจะไม่ได้เรียนกับครูพร เพราะถึงแม้ครูพรจะเป็นคนเสียงดังแต่ครูก็ใจดี (สำหรับเรา) เพื่อนบางส่วน
ก็แอบเฮกันนิด ๆ ที่จะได้ไม่ต้องเจอครูพรอีก ความคาดหวังของนักเรียนที่ไม่ชอบครูพร นอกจากบุคลิกของครูพรที่ดูดุแล้ว
ส่วนหนึ่งก็มาจากการที่บางคนรักและผูกพันธ์กับครูคนเก่า เมื่อมีอีกคนแทนที่ก็ไม่เปิดใจยอมรับ แต่ก็นั่นล่ะค่ะ เด็กบางคนคิดได้
เด็กบางคนก็คิดไม่ได้ จุดเปลี่ยนของเหตุการณ์เกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อวันสอบวันสุดท้ายเสร็จสิ้น ครูพรเอ่ยชื่อนักเรียนคนหนึ่งเพื่อขอ
ให้นั่งรอก่อน หลังจากทุกคนออกจากห้องแล้วก็เหลือแต่ครูพรและนักเรียนคนนั้น เอ๊ะ แล้วเรารู้ได้ยังไงว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ยัยน้ำ
หัวหน้าแก๊งค์นี่สิ อยากรู้อยากเห็นระคนสงสัยว่านักเรียนคนนั้นจะใช่คนเดียวกันกับเจ้าของสมุดการบ้านวันนั้นหรือเปล่า จึงได้
ชวนเราและสหายท่านหนึ่งนั่งเล่นหมากเก็บอยู่นอกห้อง หูก็เงี่ยฟัง มือก็โยนโซ่หมากเก็บไป ไม่ทันไร ครูพรชะโงกหน้าออกมา
ส่งยิ้มให้แล้วเอื้อมมือคว้าประตูปิดปัง!!!
“โธ่ หมดกัน เลยไม่รู้เลยว่าคุยเรื่องอะไร” น้ำบ่น
“จะไปอยากรู้ทำไมน้ำ ไม่ใช่เรื่องของเรา” สหายท่านหนึ่งกล่าว
“ก็มันน่าสงสัย ชอบทำตัวเป็นเด็กมีปัญหา สงสัยโดนครูพรตีแน่” น้ำพูดพร้อมเบะปาก
พวกเราสามคนเงี่ยหูฟัง “โอ๊ย ไม่สะใจเลย ฟังใกล้ ๆ เลยแล้วกัน” น้ำพูดแล้วลุกขึ้นเดินไปเอาหูแนบประตู สหายท่านหนึ่งมองหน้าเรา
แล้วเดินไปเอาหูแนบเช่นกัน ส่วนเรา... ก็ทำเหมือนกัน แหะ แหะ พวกเราได้ยินเสียงไม่ชัดนัก มีแต่เสียงครูพรที่พูด ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียง
ดังโครม!!! แล้วประตูก็ผลักออกมา พรึ่บ!!! พวกเราสามคนหน้าเหวอตั้งตัวไม่ทันได้แต่เซถลาถอยหลังออกมา นักเรียนคนนั้นวิ่งออกจาก
ห้องโดยไม่สนใจพวกเรา ทิ้งไว้แต่ครูพรที่ยืนนิ่งมองดูโต๊ะเรียนขนาดนั่งได้สองคนล้มอยู่บนพื้น ตายละหว่า...โดนครูพรดุแน่เลยที่มาแอบฟัง
เอาไงดี จะถอยแล้วหยิบรองเท้าวิ่งลงบันได หรือจะยืนนิ่ง ๆ รอจนครูพรเรียก พวกเรายืนสงบนิ่งอยู่หน้าห้องโดยไม่ไหวติง ครูพรก็เช่นกัน...
“ค่อย ๆ ถอย แล้ววิ่งลงข้างล่างไปเจอกันใต้ตึกเลยนะ” ยัยน้ำกระซิบ พวกเราจึงค่อย ๆ ขยับเท้าหมายว่าจะถอยออกมาเงียบ ๆ
แล้วค่อยสปีดลงบันได “ครูพยายามแล้ว ทำเต็มที่แล้ว...” เสียงครูพรที่เล็ดลอดออกมาในขณะที่ตัวเองก็ยังยืนนิ่งอยู่กับที่
ครูพรก้าวออกมาจากจุดเดิมแล้วก้มลงคว้าโต๊ะที่ล้มอยู่ตรงหน้าแล้วหันมามองพวกเรา “พวกเธอมาก็ดีแล้ว ช่วยครูเก็บหน่อยสิ”
“นี่ เห็นครูพรเช็ดน้ำตาไหม?” น้ำถามขณะที่ลงมานั่งรอพ่อมารับอยู่ใต้ตึก
“อื้อ เห็นสิ ครูน่าสงสารจัง”
“ยัยนั่นน่ะ คอยดูนะ จะแก้แค้นให้ครูพร” น้ำกำมือตัวเองแล้วยกขึ้นเหมือนชกลม
“แต่เราก็ไม่รู้นี่ว่าเขาทำอะไรกัน จะแก้แค้นให้ครูยังไงล่ะ” เราถาม น้ำจึงสวนว่า “เออ นั่นสิ ไม่รู้เหมือนกันเนอะ พูดไปงั้นแหละ”
นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายที่ครูพรพูดกับพวกเรา แต่ก็ไม่ได้คิดว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่พวกเราจะได้เจอครูพร
………………………………………………………………………..
น้ำผลีผลามลุกขึ้นนั่งบนเตียงห้องพยาบาลก่อนจะชักชวนให้เล่นอะไรบางอย่าง เราส่ายหน้าปฏิเสธ แต่น้ำก็ดึงดันที่จะเล่นให้ได้
พร้อมบอกว่าวันเสาร์นี้ที่มาเรียนพิเศษที่โรงเรียนน้ำจะเอาของที่ว่านั่นมาด้วยแล้วเรามาเล่นกัน เมื่อถึงวันเสาร์จะมีนักเรียนบางกลุ่ม
ที่มาเรียนพิเศษวิชาเฉพาะที่โรงเรียน บรรยากาศไม่ได้ครึกครื้นมากนัก เพราะเปิดให้เรียนเฉพาะแค่ป.6 ติวเข้มก่อนสอบขึ้นม.1
เมื่อเรียนเสร็จแล้วน้ำชักชวนเราและสหายท่านหนึ่งวิ่งกุลีกุจออ้อมมาทางด้านหลังสุดของโรงเรียน มุ่งหน้าไปที่อาคารไม้ 2 ชั้น
วิ่งขึ้นบันไดแล้วพุ่งไปห้องที่สุดท้ายของชั้นนั่นคือ ห้องพยาบาล “โอ๊ย ห้องล๊อค!!!” น้ำพูดหลังจากวิ่งมาถึงหน้าห้องเป็นคนแรก
“เอางี้ เล่นมันหน้าห้องเลย” ว่าแล้วน้ำก็คว้ากระดาษทรงสี่เหลี่ยมจตุรัสพับครึ่งออกมากาง เราและสหายท่านหนึ่งต่างตะลึงงัน
กับกระดาษแผ่นนี้ มันมีทั้งตัวอักษร ก ไก่ ถึง ฮ นกฮูก มีสระ ที่สำคัญ มีบ้านให้พักอีกด้วย
“น้ำ ทำไมวาดหลังใหญ่จัง” สหายท่านหนึ่งถามพร้อมชี้ไปที่ตรงกลางกระดาษ บ้านที่วาดถูกแต่งแต้มสีสันมีหน้าต่างและปล่องไฟ
อยู่บนหลังคา
“เอ้า ก็ต้องหลังใหญ่สิจะได้ไม่อึดอัด” น้ำพูดพร้อมเอามือชี้ ๆ
จากนั้นน้ำก็หยิบเอาแก้วน้ำสีใสออกมาแล้วบอกว่าเราเคยเล่นมาก่อนกับพี่แถวบ้าน เราจะอัญเชิญวิญญานครูพรมาที่นี่แล้วใครอยาก
จะถามอะไรก็ตามใจ น้ำหยิบกระดาษแผ่นเล็ก ๆ ที่พับไว้ในกระเป๋าเสื้อด้านหน้าออกมาแล้วท่อง พวกเราก็พนมมือตาม จากนั้น
น้ำบอกว่าถ้าแก้วเลื่อนนั่นคือครูพรมา แล้วถ้าจะให้ครูพรพักเราก็เชิญเข้าบ้านซะ แต่ห้ามเอามือออกจากแก้วจนกว่าครูพรจะไปหยุดที่
คำว่าออกนะ เข้าใจใหม๊?!!! นี่คือสิ่งที่น้ำบอก เราก็ปฏิบัติตามน้ำแต่โดยดี ด้วยความที่เราไม่เคยเล่นและไม่ได้คาดคิดว่าสิ่งที่น้ำบอก
จะเป็นเรื่องจริง
“มาหรือยังคะ ครู?”
“ครูมาหรือยังคะ ครู?”
“ครูๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”
พอเถอะน้ำ เราว่าครูไม่มาหรอก เลิกเล่นเถอะเราอยากกลับแล้ว สหายท่านหนึ่งกล่าวพร้อมทั้งเอามือออกจากแก้วทันที
“เราบอกว่าอย่าเพิ่งเอามือออกไง เอามาจิ้มที่เดิมเร็ว” น้ำบอก “ไม่เอา ไม่เอา กลับแล้ว เลิก” สหายท่านหนึ่งพูดจบ
ก็ลุกขึ้นเดินออกไปทันที เรามองหน้าน้ำ กลืนน้ำลายเอื๊อกถามว่าจะเอายังไงต่อ น้ำยังยืนยันที่จะเล่นต่อและก็ยังไม่หยุด
เรียกชื่อครู นิ้วชี้ทั้งสองนิ้วยังคงแตะอยู่ที่ก้นแก้วที่ไม่ขยับเขยื้อนไปทิศทางใด ไม่กี่อึดใจ แก้วเริ่มขยับออกจากบ้าน
เราก้มมองแก้วแล้วเงยหน้ามองน้ำทันที แก้วค่อย ๆ เลื่อนตัวอย่างช้า ๆ ไปยังตัวอักษร ม... และเปลี่ยนทิศไปสระ อา...
“มา” น้ำออกเสียง แก้วเลื่อนไปสระตัวต่อไป แ... ล้... ว... “แล้ว” ...มาแล้ว!!!...
เรามองจ้องไปที่น้ำ น้ำหน้าถอดสีอย่างเห็นได้ชัด “น้ำเลื่อนหรือเปล่า?” เราถาม “เปล่านะ เราเปล่า” น้ำปฏิเสธ
“ถามเลยสิ ถามครูเลยสิ” น้ำเร่งเรา ซึ่งเราก็ไม่รู้จะถามอะไรเพราะก็ยังคิดอยู่ตลอดว่าเป็นไปไม่ได้แน่ ๆ
น้ำจึงเป็นฝ่ายชิงถามซะเอง “ถ้าใช่ครูพร ครูเคยสอนวิชาอะไรพวกหนูคะ” แก้วค่อย ๆ เลื่อนไปตามตัวอักษรซึ่ง
เป็นวิชาที่ครูพรสอนจริง “นั่นไง ครูพรจริง ๆ ด้วย” น้ำยิ้มไม่หุบปาก กระหยิ่มว่ามีฝีมือในการเรียกวิญญาน
“ครูพรเป็นอะไรตายคะ?” น้ำถาม แก้วเลื่อนไปตามตัวอักษรได้คำตอบว่า ผูกคอตาย “นั่นไง ตอบตรงเป๊ะเลย” น้ำบอก
แต่เอ๊ะ ข่าวครูพรผูกคอตาย ครู นักเรียน ผู้ปกครองก็รู้กันหมดแหละ เรายังไม่ปักใจเชื่อว่าแก้วเลื่อนได้จะเป็นเพราะครูพร
เราเงียบไปชั่วขณะเพื่อปล่อยให้ยัยน้ำได้สนุกกับการสื่อสารโต้ตอบกับวิญญาณ แก้วก็เลื่อนตอบคำถามของยัยน้ำไปทีละข้อ
ทีละข้อ จนเราถามว่า “ครูพรจำวันที่หนูลืมเอาเงินมาโรงเรียนได้ไหมคะ ครูพูดอะไรกับหนูคะ?” เรามองไปที่แก้ว
สลับกับมองหน้าน้ำ และมองไปที่แก้วอีกครั้ง แก้วนิ่งไม่ไหวติง...
ยัยน้ำ เธอหลอกชั้นไม่ได้หรอกนะมุขตื้น ๆ หลอกผีถ้วยแก้วของเธอน่ะ หึ หึ...
ครืดดด.... แก้วเริ่มขยับและเลื่อนตัวออกจากบ้านพัก ครืดดด
“น้ำเลื่อนแก้วหรอ?” เราถาม
“เปล่านะ เราเปล่า ตัวเองเลื่อนหรอ” น้ำถามเรากลับ เราจึงตอบปฏิเสธไปว่าไม่ได้เลื่อน และระหว่างที่แก้วกำลังเลื่อนนั้น
น้ำจ้องตาเราเขม็งและพยายามถามซ้ำว่าเราได้เลื่อนแก้วหรือไม่ เมื่อเรายังคงยืนยันชัดเจนว่าเราไม่ได้เป็นคนเลื่อน
น้ำจึงเริ่มออกอาการ “เราไม่อยากเล่นแล้ว เราอยากกลับบ้าน” น้ำเอ่ย แต่แก้วก็ยังคงเลื่อนต่อไปและไปหยุดที่ตัวอักษร
ทีละตัวช้าช้า ทีละช่อง ทีละช่อง ก่อนที่เราจะพยักหน้าให้น้ำรู้ว่าคำตอบนั้นถูกต้อง
“ฮือ เราอยากกลับบ้าน เราไม่อยากเล่นแล้ว” น้ำเริ่มร้องไห้ออกมาแต่นิ้วชี้ของเราทั้งสองคนยังคงแตะอยู่ที่ก้นแก้วเหมือนเดิม
เสียงแก้วที่เคลื่อนตัวช้า ๆ แต่หนักแน่น ทำให้ได้ยินเสียงลากของแก้วและแผ่นกระดาษที่วางไว้กับพื้นไม้อย่างชัดเจน
น้ำเริ่มร้องไห้ออกมาหนักกว่าเก่าปากก็พร่ำบอกว่าจะกลับบ้าน เสียงแก้วที่ลากไปหยุดที่ตัวอักษรแต่ละช่องและเสียงร้อง
ของน้ำนั้นน่ารำคาญหนำซ้ำยังทำให้เราประสาทเสียจนเริ่มระแวงและเสียวสันหลัง จึงบอกให้น้ำหยุดร้องและเอานิ้วออกจากแก้วซะ
จากนั้นน้ำหน้าเริ่มถอดสีเพราะแก้วเริ่มหมุนเป็นวงกลม เราและน้ำต่างก็จ้องไปที่แก้วอย่างไม่ละสายตาพลางสลับมองหน้ากันเอง
ครืดครืดครืด!!!
จากแก้วที่หมุนช้า ๆ เริ่มเปลี่ยนเป็นหมุนเร็วขึ้นแรงขึ้น แล้วทันใดนั้นยัยน้ำก็ตะโกนออกมา "พอแล้ววววววววววววว" และผลักแก้วกระเด็น
ออกมาทางเรา แก้วกระเด็นมาโดนขาเราที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามแล้วเอียงล้ม ตอนนั้นแม้จะไม่เชื่อว่าวิญญาณครูพรมีจริงหรือไม่ แต่สถานการณ์
ณ ตอนนั้นมันลุ้น ระทึก ตื่นเต้น ระแวงอย่างบอกไม่ถูก เมื่อน้ำผลักแก้วมาโดนขาเราจนล้ม เราและน้ำก็วงแตกกระเจิงกระโดดโหยงแล้วร้อง
แหกปาก “อ๊ากกกกกกกกกกกกก” แย่งกันวิ่งลงบันไดหน้าตั้ง ตอนนั้นคิดในใจว่าวิญญาณครูพรที่อยู่ในแก้วจะต้องลอยออกมาเหมือนยักษ์ในตะเกียงของอาละดินแน่เลย แบบนั่งขดตัวอยู่แล้วพอแก้วล้มก็เป็นควันลอยฟุ้ง ๆ เมื่อพวกเราวิ่งไปจนถึงใต้ตึกหน้าสติจึงเริ่มกลับมา เมื่อคิดได้
ดังนั้นก็ยังแปลกใจว่าสรุปแล้วแก้วมันเลื่อนได้อย่างไร?
………………………………………………………………………..
ครูพรไม่สามารถเข้าถึงจิตใจเด็กนักเรียนคนหนึ่งได้ แม้จะพยายามเข้าหาแต่เด็กนักเรียนคนนั้นก็ไม่มีทีท่าจะเปิดใจและยอมรับในตัวครู
วันที่ครูพรเรียกเด็กคนนั้นคุยส่วนตัวครั้งแรก เพราะสมุดการบ้านเล่มนั้นถูกดินสอขีดเขียนทับชื่อของครู การที่ครูให้เด็กคัดชื่อนามสกุล
ของตนเอง เจตนาเพื่อให้เด็กสะกดชื่อครูให้ถูกต้องและจดจำครูได้ในวิธีของตน แต่มันกลับกลายเป็นการบีบบังคับในสิ่งที่เด็กคนนั้น
ไม่ยอมรับ ครูพรรายงานผู้ปกครองถึงพฤติกรรมของเด็กจึงทำให้เด็กคนนั้นถูกทำโทษจากผู้ปกครอง นิสัยแข็งกระด้างก้าวร้าวก็ทวีคูณ
มากขึ้นทุกครั้งในเวลาที่ครูมาสอน ทำให้ครูพรต้องปรึกษาอาจารย์ใหญ่แก้ปัญหาโดยการสลับไปสอนวัยอื่นแทน ก่อนการปิดภาคเรียน
ครูพรอยากปรับความเข้าใจกับเด็กแต่เหตุการณ์กลับรุนแรงขึ้นกว่าเดิม เด็กคนนั้นไม่รับฟังจ้องหน้าครู ครูจึงเอ็ดไปว่า
“อย่ามากิริยาแบบนี้กับครูนะ!!!”
จึงทำให้เด็กคนนั้นกัดฟันตนเองอีกทั้งยังกำหมัดแน่นก่อนที่จะผลักโต๊ะเรียนไปทางครูพรแล้ววิ่งออกมา ครูพรปรึกษาอาจารย์ใหญ่อีกครั้ง
พร้อมตีอกตัวเองว่าเป็นครูที่แย่ คาดหวังกับการเป็นครูมาตลอดชีวิต แต่เมื่อไม่สามารถสอนศิษย์ได้เพียงแม้แต่หนึ่งก็เสมือนตนไม่ประสบ
ความสำเร็จในชีวิตไม่เหมาะที่จะเป็นครูอีกต่อไป... แม้ไม่มีใครรู้ว่าเหตุผลหรือมูลเหตุจูงใจที่ทำให้ครูพรเลือกจะจบชีวิตตนเองนั้นเป็นเพราะ
อะไร แต่งานทำบุญโรงเรียนประจำปียังคงมีศิษย์รุ่นเดิมที่เคยเรียนกับครูพรมาทำบุญเพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้ครูเสมอ บางคนอาจมอง
เป็นเรื่องเล็กไม่น่าจะต้องทำร้ายตัวเองแบบนี้ แต่เมื่อเสี้ยวหนึ่งของวัยทำงานที่เราได้เคยทำหน้าที่เป็นแม่พิมพ์ทำให้รู้ว่าหน้าที่นี้เหนื่อยนัก
นอกจากความรู้ที่พึงจะมีแล้วนั้นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือความเสียสละและการอุทิศตนนั่นเอง.
………………………………………………………………………..
“ถามจริงน้ำเป็นคนเลื่อนแก้วหรือเปล่า” เราถามน้ำขณะที่พวกเรานั่งใต้ตึกหน้าหลังจากวิ่งออกมาจากหน้าห้องพยาบาล น้ำนิ่งเงียบ
“นั่นไง เราว่าแล้วเชียว ครูพรที่ไหนจะมาเลื่อนแก้วแบบนี้... แล้วน้ำรู้ได้ยังไงว่าครูพรพูดอะไรกับเรา” น้ำส่ายหัวแทนการตอบคำถาม
แล้วเงียบไปชั่วอึดใจ ก่อนจะเอามือทั้งสองข้างยกขึ้นมาถูหน้าตัวเองขึ้นลงแรง ๆ แล้วบอกว่า
“อย่าโกรธเรานะแต่เราไม่รู้หรอก เพราะเราเลื่อนแก้วเฉพาะตอนที่เราเป็นคนถามน่ะ!!!”
.
.
.
-ยัยน้ำเพื่อนรักเล่นเราซะแล้ว!!!- จบแล้วค่า
เรื่องจากพันทิป ยัยน้ำเพื่อนรัก!!!
เรื่องโดย TharaJF
Post a Comment