พิธีกรรมสยองขวัญ ตอน 2


      "GHost Detective File" เป็นผลงานซีรี่ย์สยองขวัญจากสมาชิกพันทิปนาม นาคาแห่งการพิธี ได้ดำนินมาถึงซี่ซั่นที่ 2 หากใครพลาด ซี่ซั่น 1เหงา โดยซีซั่นที่ 2 "พิธีกรรมสยองขวัญ" มีทั้งหมด 24 ตอนเราจึงรวบรวมได้แบ่งเป็น 3 ช่วง ขอขอบคุณเรื่องราวสยองไว้ ณ ที่นี้ด้วย

ทันทีที่พ่อแม่ของเอิร์นหนุ่มเคราะห์ร้ายลากลับ โดยที่มีความหวังขึ้นมาจากการที่ฟังการวิเคราะห์ แล้วยังบอกอีกด้วยว่าจะช่วยเต็มที่ในทุกๆเรื่อง มันทำให้ภูถึงกับทรุดเพราะรู้แก่ใจว่าอะไรเป็นอะไร

"พวกนายช่วยฉันหน่อยสิ"ภูพูดพึมำหวังว่าจะมีใครฟังบ้าง แต่ก็เหมือนไม่มีใครได้ยินจนภูต้องพูดซ้ำๆอย่างนั้น

"นี่นายเป็นอะไร เรื่องมันก็กระจ่างแล้วไม่ใช่เหรอ" ดาวตอบด้วยความรำคาญ แต่เมื่อเะอดูจากสีหน้าที่เหมือนหมดแรงของภูเธอจึงอดแปลกใจไม่ได้

"บอกตรงๆนะถึงข้อสันนิฐานนั้น จะตรงกับความจริง แต่นอกจากหลักฐานที่ปรากฏ เราไม่มีรู้อะไรเลย แล้วฉันก็ไม่ใช่หมอผีแล้วจะกำจัดอสุรกายนั้นได้อย่างไร"ภูพูด ทำให้หมอเจี๊ยบ ผู้กองต้อม และครูพิลาวรรณต้องเข้ามาฟัง

"แต่คดีที่บ้านพี่แก้ม นายก็จัดการได้ไม่ใช่เหรอไง" ดาวย้อนเรื่องคดีของโหน่ง แต่ภูก้ได้แต่ส่ายหน้า

"ที่ผ่านมาฉันทำแต่คดี ตั้งสมมติฐาน หาหลักฐานเชิงประจักษ์ ไปต่อสู้ในศาล ส่วนคดีที่บ้านพี่แก้ม มันก็แค่บังเอิญว่าเป็นกุมารทอง ฉันเลยจัดการได้"พอภูพูดก็ทำให้ทุกคนใจคอไม่ค่อยดี ซึ่งเรื่องนี้หมอเจี๊ยบกับผู้กองต้อมก็เข้าใจ

"งั้นหมายความว่าเราหมดหวังอย่างนั้นเหรอคะ" ครูพิลาวรรณถามแต่ภุก็ได้แต่ส่ายหัวอีก

"ไม่ใช่แบบนั้นหรอกครับ แต่หลักฐานที่เรามี นำมาแค่ข้อสันนิฐาน และต่อให้มันจริง มันก็ยังไม่พอที่จะนำให้เราไปจัดการอสุรกายตัวนั้นได้ และต่อให้เรารู้เรื่องทั้งหมด แต่ถ้ามันเป็นสิ่งที่จัดการไม่ได้เช่นว่ามันเป็นอสุรกายที่สิงสู่ในที่นั้นแต่เดิม เราก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี เพราะเราก็ไม่ใช่หมอผี"คำตอบของภูทำให้ทุกคนท้อไปตามๆกัน แต่ทว่าดาวก็ยังไม่ยอมแพ้

"ต่อให้เป็นแบบนั้นจริง แต่ถ้านักสืบยอมแพ้ทุกอย่างก็จบไม่ใช่หรือไง" ดาวพูดออกมากลางวงสนทนา จนทำให้ภุหลุดขำ หาว่าดาวไปจำคำพูดจากการ์ตูนมาพูด ทำให้ทุกคนหัวเราะตาม

"เอาล่ะๆ ยังไงมันก็ลองซักตั้งล่ะนะ งั้นเริ่มจากวิญยาณที่ตึกเรียนเป็นไง"ภูเสนอและถามความเห็นทุกคน ซึ่งทุกคนก็เห็นด้วย

"ก็จริงนะแล้วนายจะสืบต่อยังไงล่ะ"หมอเจี๊ยบถาม แต่ดูเหมือนว่าภูจะมีวิธีในใจแล้ว

"ยังจำ7เรื่องลึกลับได้มั้ย เรื่องที่ครูพิลาวรรณบอกว่ารู้เฉพาะแต่พวกครูเท่านั้นน่ะ"

"งั้นนายหมายความว่าจะให้ฉันไปนอนยังงั้นเหรอ" เหมือนดาวจะรู้ตัวว่าภูจะใช้วิธีนี้ เพราะเรื่องที่ครูเท่านั้นรู้คือ ห้ามนอนค้างในโรงเรียน

"ใช่ แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงคิวเธอ" ภูบอกไปแบบนั้นทำให้ดาวงง เพราะเธอเป็นผู้สัมผัสวิญยาณ สามารถติดต่อกับวิญญาณได้ในขณะหลับ

"ทำไมล่ะ" ดาวถามภูขึ้นมา แต่คราวนี้ หมอเจี๊ยบชิงตอบแทน

"ก็เพราะดาวเป็นผู้สัมผัสวิญญาณยังไงล่ะ ซึ่งถ้าอยากรู้ว่าทำไมถึงห้ามข้าง ก็ต้องลองกับคนธรรมดาไม่ใช่เหรอ" พอหมอเจี๊ยบพูด ทุกคนกันหันไปมองผู้กองต้อม คนธรรมดาและเป็นผู้ที่กลัวผีเป็นชีวิตจิตใจ

"ไม่นะ พวกนาย วันนี้ฉันต้องขึ้นเวรนะ" ผู้กองต้อมรีบปัดว่าวันนี้ขึ้นเวร แต่ทุกคนก็ไม่เชื่อ จน ผู้กองต้อมต้องกดตารางเข้าเวรจากโทรสัพท์ให้ดู

"จริงแฮะ รอดตัวไปนะนาย" หมอเจี๊ยบซึ่งหยิบโทรัพท์มาดูก็พอรู้ว่าแหนตัวเองพูดจริง วึ่งในใจผู้กองต้อมคงรู้สึกขอบคุณที่ติดเข้าเวรวันนี้พอดี

"ถ้าแบบนั้นฉันขออาสาเองค่ะ" ครูพิลาวรรณ ยกมืออาสา

....................................................

ตอนดึกในโรงเรียน หน้าตึกเรียน ภูจัดแจงเซตอุปกรณ์ต่างๆไว้ในรถตู้รวมทั้งแอร์แบบพกพตัวเล็ก เพราะเขารู้ดีว่าต้องอยู่ในรถทั้งคืน เมื่อนานนัก หลังจากที่ครูพิลาวรรณกลับบ้านไปเตรียมตัว ซึ่งการเตรียมตัวของครูพิลาวรรณนั้นบ่งบอกได้ว่าเธอคือคุรหนุในตระกูลผู้ดีเก่า เธอใส่ชุดนานแขนยาวขายาวสีชมพูลายหมีน้อย มีฝูกปิกนิกหมอนข้าง หมอนใบโต ตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ และมุ้งแบบครอบที่พึ่งซื้อมาเพราะยังไม่ได้ดึงป้ายราคาบอก จนภูไม่นึกว่าครูที่อายุ20ปลายๆจะเด็กได้ขนาดนี้

"จะให้เริ่มเลยมั้ยคะ" ครูพิลาวรรณถาม แต่ภุก็ได้แต่อมยิ้มแล้วบอกว่าจะเริ่มเลยก็ได้ แต่ด้วยชุดเครื่องนอนที่พะรุงพะรัง ทำให้ภู ดาวและหมอเจี๊ยบ ต้องช่วยแบกของขึ้นตึกเพื่อไปส่งครุพิลาวรรณ

ห้องที่ต้องไปนอนคือห้องเรียนห้อง601 เพราะเป็นห้องที่เกิดเหตุ และอุปกณ์ที่ได้ติดตั้งไว้แล้วในห้องนี้ทำให้พวกภูไม่ต้องติดตั้งอุปกรณ์ใหม่ ซึ่งครูพิลาวรรณเลือกพื้นตรงหน้าห้องเรียนเป็นที่นอน และที่สำคัญ ภูไม่ลืมที่จะให้เธอติดเครื่องวัดอัตราการเต็มของหัวใจไว้ให้เผื่อเกิดอะไรขึ้น จะได้ขึ้นมาช่วยได้ทัน และยังติดไมค์ไว้กับตัวเธอเพื่อที่ว่าหากเธอฝันแล้วละเมอ หรือมีการติดต่อกัน พวกภูที่อยู่ในรถจะได้ยิน

"พร้อมแล้วนะครับ"ภุถาม ซึ่งครูพิลาวรรณก็บอกว่าพร้อมแล้วยกมือทำท่าโอเค

ทั้งสามคนเดินออกจากห้องไป ปล่อยให้ครูพิลาวรรณอยู่คนเดียว เธอเอนตัวนอนในทันที พยายามหลับให้เร็วที่สุด เพื่อที่ว่าเธอจะได้ไม่ต้องเจอเหตุการณ์แปลกๆที่มันอาจจะเกิดขึ้นตอนที่เธอตื่นอยู่

ทั้งสามคนเดินลงมาโดยไม่พูดอะไร เพราะภูให้สัญญาณไว้ว่าห้ามพูด เพราะไม่รู้ว่าวิญยาณในตึกนี้จะได้ยินอะไรบ้าง เพราะอย่างน้อยพวกนี้ก็เคยเป็นคนมาก่อน

พอถึงรถภูติดต่อไปเช็คความพร้อมกับครูพิลาวรรณอีกครั้ง แต่ไม่มีสัญยาณตอบ เหมือนว่าเธอได้หลับไปแล้ว ซึ่งทำให้ทั้งสามคน ได้เริ่มแผนการในทันที

...................................................

(ที่นี่ที่ไหนนะ) บรรยากาศรอบตัวมันช่างดูคุ้นๆสำหรับเธอ มันคือโรงเรียนนรินทร์ปกเกล้า ที่มีสภาพไม่แตกต่างไปจากเดิมมากนัก นักเรียนยังนั่งเรียนคาบโฮมรูมอยู่บนตึกเรียน ครูพิลาวรรณ รู้สึกตัวว่าเธอกำลังนั่งเรียนอยู่ที่ห้อง601

(ทำไมถึงรู้สึกคุ้นเคยจังเลย) เหมือนคาบโฮมรูมจะจบลง นักเรียนทุกคนต่างแยกย้ายกันออกจากห้อง ครูพิลาวรรณได้เดินตามออกไป แต่มีแขนเรียวยาวฉุดแขนเธอไว้จนเธอหันไปมอง และภาพที่เธอเห็นนั้นทำให้เธอรู้สึกไม่เชื่อสายตา

เธอกำลังมองเห็นตัวเอง

ครูพิลาวรรณซึ่งตอนนั้นเป็นนักเรียนม.6กำลังจับแขนเธอไว้

"ไปด้วยกันนะกระซู่" เธอจำเสียง จำคำพูดของตัวเองได้ และที่สำคัญ เธอจำชื่อนั้นได้....กระซู่

เธอถูกตัวของเธอเองที่ในตอนนั้นเป็นนักเรียนจูงมืออย่างอ่อนโยนลงจากตึก ครูพิลาวรรณในวัยนักเรียน ชวนเธอคุยเรื่องต่างๆอย่างสนุกสนาน ซึ่งตัวเธอเองตอนนี้ก็คุยตอบแต่ดูเหมือนว่าตัวเธออีกคนจะไม่ได้ยิน จนดูเหมือนว่าตัวเธอในตอนนั้นกำลังพูดคนเดียว

เธอทั้งคู่เดินไปที่หอประชุมของโรงเรียน ซึ่งเก้าอี้สำหรับนั่งซึ่งปกติจะวางอยู่เต็มห้อง แต่ตอนนี้มันถูกวางซ้อนๆกันรอบ และกลางโถงหอประชุมมีโต๊ะตัวใหญ่อยู่ตัวหนึ่ง และในห้องนั้นเด็กทั้งม.6 มารวมอยู่กันเต็ม

"สวัสดีครับน้องๆ วันนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่น้องม.6ในปีนี้จะต้องผ่านพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ของโรงเรียนเรา" รุ่นพี่ที่จบไปเมื่อปีที่แล้ว ยืนพูดอยู่บนเวที และก็มีพี่คนอื่นๆในรุ่นเดียวกันที่จบไปแล้วยืนกันเต็มไปหมด

"พิธีกรรมนี้เป็นความลับ จนกว่าจะถึงวันนี้สำหรับน้องม.6ทุกๆคน เป็นพิธีกรรมที่ให้น้องๆม.6แคล้วคลาดปลอดภัย สำหรับการเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย ดังนั้นพิธีกรรมนี้จึงสำคัญ พอพูดจบ ก็มีรุ่นพี่ที่จบไปแล้วกระชากครูพิลาวรรณออกมาจากแขนของตัวเองที่ยังเป็นนักเรียน เธอกรีดร้องด้วยความตกใจ แต่ตัวเธอในวัยเด้ก แม้จะพยายามเข้าไปห้ามแต่ก็ถูกยื้อไว้จากเพื่อนคนอื่น จนเธอเห็นตัวเองในวัยนักเรียนร้องไห้

เธอถุกนำตัววางลงกับโต๊ะที่อยู่กลางห้องประชุม ครูพิลาวรรณในตอนนี้พยายามใช้แรงทั้งหมดลุกขึ้นแต่ก็ทำไม่ได้ ร่างกายมันไม่ขยับตาม

"ขอให้น้องๆทุกคนแสดงความอาลัยต่อเพื่อนคนพิเศษของน้องๆเป็นครั้งสุดท้ายนะครับ เพื่อนคนพิเศษของน้องคือผู้เสียสละ รับเคราะห์ทั้งหมดเพื่อให้น้องปลอดภัย" หลังจากนั้นเพื่อนๆทุกคนในชั้นปี ก็นำดอกมิละดอกเล็กๆมาวางรอบๆตัวเธอ ครูพิลาวรรณร้องตะโกนอย่างสุดเสียงแต่เหมือนไม่มีใครได้ยินเธอ เพื่อนบางคนมีสีหน้าเศร้า บางคนถึงกับร้องไห้ แต่ก็มีหลายคนที่ทำหน้าเฉยๆเหมือนไม่รู้สึกอะไร บางคนยังหัวเราะขำขันต่อพิธีกรรมนี้ด้วยซ้ำ

จนคนสุดท้ายที่นำดอกไม้มาวางไว้อาลัย ก็คือตัวเธอเองในตอนนั้น ข้างๆมีรุ่นพี่เดินประกบมาสองคน เมื่อเธอในวัยเรียนวางดอกไม้เสร็จ รุ่นพี่คนหนึ่งก็ยื่นๆมีเก่าๆมาให้เะอในตอนนั้นเล่มหนึ่ง และตัวเธอที่กำลังนอนมองอยู่ก็เหมือนจะจำอะไรได้ขึ้นมา แต่มันไม่ทันแล้ว

สิ้นเสียงสัญญาณจากรุ่นพี่ ครูพิลาวรรณวัยเรียนก็แทงตัวเธอเองที่นอนอยู่บนเตียง แผลแรกที่แขนขวา มาแขนซ้าย จากนั้นก็ขาทั้งสองข้าง เะอกรีดร้องอย่างเจ็บปวด เลือดนั้นไหลออกมาจากแผล และแผลสุดท้าย ที่มันทำให้เธอเจ็บปวด มีดถูกแทงลงมายังหัวใจ จนเลือดทะลักออกมา เธอเจ็บเจียนขาดใจ มันคือความเจ็บปวดที่ทำให้อยากตาย แต่เธอก้ไม่ตาย คราบน้ำตา เสียงกรีดร้อง เธอแปร่งออกมาอย่างสุดเสียง แต่ไม่มีใครรู้หรือได้ยิน เธอเห็นใบหน้าของเธอในวัยเรียนดูเศร้า เต็มไปด้วยคราบน้ำตา

"ขอโทษด้วยนะ กระซุ่" เสียงขอโทษที่แผ่วเบาและเศร้าสร้อย มันทำให้เธอเองน้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว

เสียงกรีดร้องของครูพิลาวรรณ ที่ผ่านไมค์ตัวเล้กที่ติดไว้ประกอบกับอัตราการเต้นของหัวใจที่สูงผิดปกติ ทำให้ภูตัดสินใจลงมาจากรถตู้แล้ววิ่งขึ้นตึกในทันที ซึ่งดาวกับหมอเจี๊ยบก็วิ่งตามมาติดๆ

ชั่วครู่เดียวทั้งสามก็มาถึงห้อง601ที่ครุพิลาวรรณนอนอยู่ เมื่อภูมาถึง ครูพิลาวรรณก็ลุกตื่นโดยทันที ทั้งเหงื่อและน้ำตาก็ไหลโทรม ใบหน้าของครูสาวซีดเผือด และปากเรียวสวยนั้นสั่นเทาเพราะความกลัว เธอโผเข้าซบภู ชายหนุ่มเพียงคนเดียวที่อยู่ตรงหน้าโดยทันทีพร้อมกับร้องไห้สะอึกสะอื้น

ทั้งสามช่วยประคองครูพิลาวรรณลงมาพักด้านในรถตู้โดยมีหมอเจี๊ยบคอยดูอาการอย่างใกล้ชิด

"อัตราการเต้นของหัวใจเมื่อกี้น่ากลัวมาก บางคนอาจจะถึงขั้นหัวใจวายได้เลยนะ" หมอเจี๊ยบบอกถึงอาการของครูพิลาวรรณซึ่งตอนนี้กำลังนั่งสงบสติอารมย์ในรถอยู่

"ดูท่าแล้วคืนนี้คงถามอะไรไม่ได้แน่ๆ"ดาวพูดเมื่อเห็นสภาพของครูพิลาวรรณ

"แต่อย่างน้อยเราก้ได้รู้ว่าเรื่องลึกลับเรื่องนั้นเป็นจริง"ภูพูดพลางแหงนหน้ามองขึ้นไปบนตัวตึก

"จากนี้เราจะเอาไงต่อดี"หมอเจี๊ยบถามภู เพราะดูจากสภาพ คงปล่อยให้ครูพิลาวรรณกลับบ้านเองไม่ได้แน่ๆ ซึ่งภูและดาวก้เห็นพ้องกันว่า คืนนี้ต้องไปตั้งหลักที่บ้านดาวก่อน ส่วนของกับรถของครู พรุ่งนี้ค่อยว่ากันทีหลัง

พอถึงบ้านดาว วันนั้นพ่อของดาวต้องไปอยู่ยาม ทำให้ดาวไม่ต้องตอบคำถามกับพ่อมากมายนัก พออาการของครูพิลาวรรณค่อยดีขึ้น หมอเจี๊ยบจึงให้ยานอนหลับกับเธอไป จากนั้นทั้งสามคนก็มานั่งคุยกันถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

"เห็นสภาพแล้วไม่อยากเชื่อจริงๆว่าจะแรงขนาดนี้ ดาวพี่เชื่อเลยว่าโรงเรียนเธอเฮี้ยนจริง"หมอเจี๊ยบหันมาพูดกับดาว ส่วนดาวก็ยิ้มเหมือนยอมรับ

"พี่เจี๊ยบแล้วอย่างอาการของครูพิลาวรรณนี่อันตรายมากเลยเหรอคะ"ดาวถามหมอเจี๊ยบ แต่ภูก็ดันหัวเราะขึ้นมา

"อันตรายสิ อย่างตอนเธอ ที่ฉันไปช่วยได้ก็เพราะการเต้นของหัวใจนี่แหละ แต่ประเด็นคือเราไม่รู้ว่า มันเกิดจากฝันหรือว่าโดนวิญญาณทำร้ายตรงๆเหมือนของเธอหรือเปล่า"ภูอธิบายให้ดาวฟัง จนเธออดเป็นห่วงครูพิลาวรรณไม่ได้

"ยังไงซะพวกเธอก็นอนพักเอาแรงบ้างเถอะ ว่าแต่พี่เจี๊ยบพรุ่งนี้ไม่เปิดคลีนิคเหรอ"

"ยังอ่ะ พ่อแม่ยังไม่กลับ อีกอย่างฉันก็อยากเคลียร์เรื่องนี้ให้จบก่อน บอกตามตรงนะ ฉันก็พลาดเองแหละที่ไม่ถามครูเค้าก่อน เกิดครูพิลาวรรณเป็นโรคหัวใจ หรือโรคประจำตัวอะไรแล้วตายขึ้นมา มันจะแย่ไปกว่านี้นะ"จากที่หมอเจี๊ยบพูด ก็ทำให้ภูและดาวได้คิด บางที่งานที่พวกเค้าทำ มันอาจจะดูไร้สาระ แต่มันก็เสี่ยงต่ออันตรายได้ทุกเมื่อ

...................................................

รุ่งเช้า เมื่อพ่อของดาวกลับมาก้เห็นภูนั่งทำงานอยู่ ทั้งสองคนจึงทักทายกัน ก่อนที่คุณพ่อจะขอตัวเข้านอน จากนั้นอีกพักใหญ่ ดาวก็ตื่นและยังเห็นภูนั่งทำงานอยู่

"นี่นายได้นอนมั้ยเนี้ย"ดาวทักภูจากนั้นก็หาวใส่หน้าไปทีหนึ่ง

"นอนแล้ว แต่มันยังมีเรื่องคาใจเลยตื่นมาก่อน แล้วก็อีกอย่างนะ"ภูหันมาจ้องห้าดาวพร้อมกับสีหน้าจริงจัง จนดาวต้องทำสีหน้าจริงจังตอบโต้

"คราวหน้าคราวหลังถ้าจะหาวใส่หน้าใครบกวนไปแปลงฟันก่อนนะ และนี่คือความแตกต่าง" ว่าแต่ถูกก็อ้าปากพ่นลมหายใจใส่หน้าดาวไปเต็ม จนเด็กสาวร้องยี้แล้ววิ่งไปแปลงฟันเป็นการด่วน

จากนั้นอีกไม่นานครูพิลาวรรณก็ตื่นตามมาอีกคน

"อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณภู ตื่นเช้าจังเลยนะคะ" ครุพิลาวรรณกล่าวทักทาย ด้วยใบหน้าสดใสซึ่งดีขึ้นกว่าเมื่อคืน

"อรุณสวัสดิ์ครับ แล้วคุณครูดีขึ้นแล้วเหรอครับ" ภูถาม แต่ครูพิลาวรรณก็ทำหน้างงใส่ๆ

"เมื่อคืนเหรอคะ เหมือนฉันจะจำไม่ค่อยได้นะคะ รู้แต่ว่าเมื่อคืนฉันฝัน มันน่ากลัวมาก จากนั้นฉันก็เหมือนเบลอๆจะอะไรไม่ได้อีก จนตื่นมาเนี้ยแหละค่ะ"ครูพิลาวรรณเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับเธอให้ภูฟัง แต่ดูเหมือนว่าเธอจะมีความสุขที่ได้คุยกับภู ที่บทสนทนา มีเสียงหัวเราะอย่างมีความสุข จนดาวที่แอบดูอยู่ห่างๆยังรู้สึกหมั่นไส้

(อีตาบ้านั่นทีกับเราไล่ไปแปลงฟัน แต่พอเจอครูน่ารักๆเข้าหน่อย ก็ออกลายเลย ครูพิลาวรรณเค้าก็ไม่เห็นแปลงฟันเหมือนกันแหนะ) ดาวบ่นอยู่ในใจพร้อมทำหน้านิ่วคิ้วขมวด

............................................

เมื่อแอบฟังบทสนทนาอันหวานแหวนจนควันออกหู ดาวจึงชิ่งไปทำอาหาร ซึ่งเหมือนว่าเธอจะทำอาหารหนัก เพราะดาวเล่นสับปังตอโป๊กๆลั่นบ้าน เหมือนจงใจให้ใครบางคนได้ยินมากกว่าทำอาหาร เพราะอาหารเช้าในวันนี้คือข้าวสวย ไข่ดาว กับแกงจืดที่จืดสนิทจนหารสอื่นใดนอกจากความจืดแทบไม่ได้

และแม้มันจะจืดยังไง สำหรับหมอเจี๊ยบมันก็ดีกว่านาฬิกาปลุกเสมอ เธอเดินตามกลิ่นออกมาจากห้องนอนของดาว ด้วยผมเผ้ากระเซิง มานั่งโต๊ะอาหารทันที ที่สำคัญหมอเจี๊ยบก็ยังไม่แปลงฟันเหมือนกัน

"ดาวนี่ทำแกงอะไรเนี้ยไม่มีรสชาตเลย" ภูบ่นหลังจากซดแกงจืดไปช้อนแรก

"อ้าวนึกว่าจะหวานจนไม่ต้องปรุงซะอีก" ดาวค้อนใส่ แต่หมอเจี๊ยบก็ยังซดโฮกๆ ไม่ไว้หน้า ครูพิลาวรรณที่มานั่งทานด้วยเลย

"ทานๆไปนายจะบ่นอะไรเนี้ย" ว่าแล้วหมอเจี๊ยบก็ซดแกงจืดโอกๆพร้อมกับสวาปามไข่ดาวไปอีกสองใบ

"พี่กินก็มีรสชาตดิ นี่เล่นไม่แปลงฟันแล้วมาทานข้าวนี่.."ยังไม่ทันพูดจบภูก้โดนหมอเจี๊ยบตบหัวเข้าให้ ซึ่งครูพิลาวรรณที่ทานแบบผู้ดีเก่ายังอดขำไม่ได้

"พวกคุณๆนี่สนิทกันจังเลยนะคะ ขนาดตอนทานเข้ายังเล่นกันเลย" ครูพิลาวรรณพูดชมจนภูต้องสงบเงี่ยมมากขึ้น แต่ดาวก็ยิ่งหมั่นไส้ภูมากขึ้นตามไปด้วย

หลังจากทานอะไรกันเสร็จ ดาวก็เจ็บจานมาล้างด้วยเสียงดังโครมครามเหมือนเดิม และหมอเจี๊ยบก้ได้ฤฏษ์ไปล้างหน้าแปลงฟันซะที

..................................

บนรถตู้ขณะที่ทั้งสี่คนมาเก็บของที่โรงเรียน ภุก้ได้เล่าข้อมูลที่ไปค้นเจอมา ให้ทุกคนฟัง

"เมื่อคืนฉันลองเค้าเว็บของโรงเรียนมา แล้วเจออะไรที่น่าสนใจด้วยล่ะ"ภูพูด แต่เหมือนจะมีคนตั้งใจฟังอยู่แค่ครูพิลาวรรณคนเดียว

ที่ภูไปเจอก็คือประวัติโรงเรียน ก่อนสงครามโลกครั้งที่2ไม่กี่ปี หลวงนรินทร์ปกเกล้าได้มอบที่ดินของตระกูลท่านย่านชานเมืองซึ่งก็คือที่ดินโรงเรียนปัจจุบัน ให้แก่รัฐบาลเพื่อสร้างเป็นโรงเรียนดังนั้นโรงเรียนจึงตั้งชื่อตามคุณหลวงว่า โรงเรียนนรินทร์ปกเกล้า ต่อมาเมื่อโรงเรียนมีนักเรียนมากขึ้น ทางโรงเรียนจึงจัดซื้อที่ดินเพิ่มเพื่อสร้างตึกเพิ่ม ซึ่งนั่นก็คือตึกเรียนที่เกิดเรื่องนั่นเอง

"เดี๋ยวนะคะหมายความที่ตึกเรียนก้ไม่ใช่ที่ดินเดิมของตระกูลดิฉันเหรอคะ" ครูพิลาวรรณถามซึ่งเธอก้เพิ่งรู้เรื่องนี้เหมือนกัน

"ถ้าอย่างงั้นก้หมายความว่าผีที่ตึกเรียนก็ไม่เกี่ยวกับปีศาจกินคนของโรงเรียนใช่มั้ยล่ะ"หมอเจี๊ยบพูดออกมาจากที่นั่งด้านหลัง

"มันก็เป็นไปได้นะ แต่อีกนัยหนึ่งก็อาจจะไม่เกี่ยวกันก็ได้ เพราะเราก็ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับที่ดินของโรงเรียนเหมือนกัน "ภูพูด

"แต่อย่างน้อย เราก็รู้แล้วว่า1ใน7เรื่องลึกลับที่ว่าห้ามนอนที่โรงเรียนเป็นจริง"ดาวพูด ซึ่งทุกคนก้เห็นด้วย แต่ครูพิลาวรรณกับพูดเสริมอะไรขึ้นมา

"ไม่ใช่แค่เรื่องนี้นะคะ แต่เรื่องพิธีกรรมต่ออายุนั่น ก็เป็นจริง เพราะในฝันของฉัน มันคือเหตุการณ์ที่ฉันเคยทำมาก่อน" เมื่อครูพิลาวรรณพูดทุกคนในรถก้เงียบ

"มันไม่ใช่แค่พิธีกรรมต่ออายุหรอกค่ะ มันคือพิธีกรรมที่เด็ก ม.6ทุกคนจะเค้าร่วม ก่อนจะมีการสอบเข้ามหาวิทยาลัยในปีนั้น เราเรียกกันว่า พิธีปัจฉิมลับ"

"พิธีปัจฉิมลับเหรอคะ" ดาวทวนคำที่ครุพิลาวรรณพูดขึ้นมา

"ใช่จ้ะ ในฟันเมื่อคืน ครุฝันว่าตัวเองถูกสังเวย และคนที่ต้องแทงผู้สังเวย ก็คือประธานรุ่นซึ่งก็คือฉันในตอนนั้น"ครูพิลาวรรณอธิบาย

"แต่ที่ครูฝันน่ะ ครูไม่ได้เป็นตัวเอง แต่ครุเป็นคนที่โดนสังเวย ในฝันคือเป็นกระซู่"

"กระซู่...แรดเหรอคะ" หมอเจี๊ยบถาม จนภูที่ทำหน้านิ่งถึงกับหลุดขำ

"เปล่าหรอกค่ะคุณหมอ กระซู่ คือชื่อที่เราตั้งให้เพื่อนคนพิเศษ แต่ละรุ่นเราก็จะตั้งต่างๆกันไป แต่ต้องห้ามเหมือนชื่อใครคนใดคนหนึ่งในรุ่น และรุ่นฉันตั้งชื่อว่ากระซุ่ค่ะ" ครุพิลาวรรณอธิบายให้ทุกคนเข้าใจ แต่คราวนี้ดาวนั่งนิ่งด้วยความตกใจ

"อย่าบอกนะคะว่า กระซุ่ที่ว่าคือตีกตาที่พวกเราเรียกว่าเพื่อนคนพิเศษน่ะ"ดาวถามด้วยความตกใจ ซึ่งครุพิลาวรรณก็บอกว่าใช่

"ถ้าอย่างนั้นในตึกเรียนก็คือผีตุ๊กตาสินะ" คำพูดของภูทำให้ครูพิลาวรรณและดาวรู้สึกกลัว

(หมายความว่าที่ผ่านมาเราเป็นเพื่อนกับผีอย่างนั้นเหรอ)

.....................................................

"พอจะเล่ารายละเอียดเรื่องพิธีกรรมนั้นให้พวกเราฟังหน่อยได้มั้ยครับ" ภูถามครูพิลาวรรณขณที่ทั้งสี่คนกำลังทานอาหารที่ร้านฟาสท์ฟูดซึ่งครูพิลาวรรณขอเป็นเจ้ามือเนื่องจากต้องการขอบคุณที่ภูขึ้นไปช่วยเธอเมื่อคืน  แต่เหมือนว่าเธอจะลังเล เพราะดาวก็นั่งฟังอยู่ด้วย ซึ่งหากว่ากันตามธรรมเนียม ดาวที่อยู่ ม.5ยังไม่สมควรรับรู้รายละเอียดของพิธีกรรมก่อน

"ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ แต่ดิฉันไม่สามารถบอกได้จริงๆค่ะ"ครูพิลาวรรณก้มหน้าเงียบ คงเป็นเพราะในฐานะศิษย์เก่าของโรงเรียนวึ่งเธอค่อนข้างที่จะยึดถือพอสมควรทำให้เธอลำบากใจเป็นอย่างมาก

"คุณครูครับ อันที่จริงผมก็เข้าใจนะว่าคุณครูไม่อยากบอก อาจจะเป็นเพราะเรื่องประเพณีปฏิบัติของรุ่นทำให้ไม่สามารถบอกคนนอกหรือคนที่ไม่สมควรู้ได้ แต่บางที่ข้อมูลที่ครูปิดเอาไว้ มันอาจจะเปิดโปงเรื่องลึกลับทั้งหมดจนถึงคดีนี้ก็ได้นะครับ" ภูพยายามข้อร้อง แม้แต่ดาวที่ถึงกับบอกว่าเธอจะไม่ขออยู่ฟังก้ได้ แต่มันก็ทำได้แค่ให้ครูพิลาวรรณลังเลมากขึ้น

"คุณครูรู้ประวัติของตุ๊กตามั้ยคะ" จู่ๆหมอเจี๊ยบก็ตั้งคำถามนี้กับครูพิลาวรรณ ซึ่งแน่นอนว่าครูพิลาวรรณไม่รู้ หมอเจี๊ยบจึงเล่าเกี่ยวกับตุ๊กตาให้ฟัง

อันที่จริงแรกเริ่มในหลายวัฒนธรรม ตุ๊กตาโดยเฉพาะตุ๊กตามนุษย์ไม่ได้ถูกใช้เป็นของเล่น หากแต่ใช้ในพิธีกรรม เกี่ยวกับพ่อมดหมอผี เช่นตุ๊กตาวูดู หรือตุ๊กตาเสียกบาล ซึ่งตุ๊กตารูปร่างมนุษย์จะถูกใช้แทนตัวเจ้าของ ไม่ว่าจะทำร้าย หรือให้ตุ๊กตาถูกทำร้ายแทนตัวเอง ในวัฒนธรรมตะวันออกอย่างเช่นญี่ปุ่น ตุ๊กตามนุษย์ หากยิ่งเหมือนหรือได้รับการปฏิบัติแบบมนุษย์จะยิ่งมีพลัง จนอาจจะมีวิญญาณมาเข้าสิงได้

"ซึ่งฟังจากความฝันของคุณครู ดูเหมือนว่าตุ๊กตาที่ชื่อกระซู่ จะมีวิญญาณแล้วด้วย ซึ่งบางทีเค้าอาจอาฆาตแค้นคุณครูก็ได้นะครับ"ภูพูดกึ่งขู่ ซึ่งเหมือนจะได้ผลขึ้นมาบ้าง

"แต่ครูก็เล่าความฝันให้พวกเราฟังไม่ใช่เหรอคะ แล้วทำไมจะเล่าทั้งหมดไม่ได้ล่ะ"คำพูดของดาวเหมือนจะจี้ใจครูพิลาวรรณจะเธอเผลอหลุดปากออกมาพร้อมน้ำเสียงสะอื้น

"ตอนนั้นน่ะ....ตอนนั้นครูรู้สึกผิด..ครูรู้สึกผิดที่ทำกับกระซู่ ที่ครูเล่าไป ครูคิดว่าอย่างน้อยครูจะได้บอกความรู้สึกของกระซู่เมื่อตอนนั้น...ซึ่งอาจจะเป็นความรู้สึกที่เค้าอยากบอกทุกคนมาตลอดก็ได้"คำพูดของครูพิลาวรรณ ทำให้ดาวนึกถึงกุ๋กกู๋ เพื่อนคนพิเศษของตัวเอง ซึ่งวันข้างหน้ากุ๋กกู๋ของเธออาจจะมีชะตากรรมไม่ต่างจากกระซู่ของครูพิลาวรรณก้ได้

"กุ๋กกู๋ เพื่อนคนพิเศษของรุ่นหนูก็เคยมาเข้าฝันเพื่อนหนูให้มาบอกถึงอันตราย ซึ่งหนูก็ไม่อยากให้เธอต้องมารับจุดจบที่โหดร้ายแบบนั้นหรอกค่ะ"ดาวพูดออกมาทั้งน้ำตา ครูพิลาวรรณนิ่งอยู่ซักพักก่อนจะเล่าเรื่องทั้งหมดทั้งน้ำตา

"พวกเราน่ะ ช่วยกันเย็บตุ๊กตาขึ้นมาตอนเข้าค่ายก่อนเรียนม.4 พวกรุ่นพี่ก็บอกเราว่าให้ปฏิบัติกับตุ๊กตาให้เหมือนเพื่อนคนหนึ่ง โดยเปลี่ยนเวรกันดูแล เอากลับบ้าน คนละ1วันสลับหมุนเวียนกันไป และฉันก็ได้รับเลือกเป็นประธานรุ่นประกอบกับที่ฉันชอบตุ๊กตา เวลามีเพื่อนคนไหนไม่ยอมเอาตุ๊กตาไปดูแล ฉันก็จะรับอาสา ซึ่งตุ๊กตานั้นก็คือกระซู่ค่ะ และจนถึงม.6 ในพิธีปัจฉิมลับ มันก็อย่างที่ฉันได้เล่าไปในความฝันนั่นแหละค่ะ" ครูพิลาวรรรก็เงียบไปซักพักเหมือนว่าเธอยังลังเลอยู่

"จากนั้น...จากนั้น.พวกเราก้เผากระซู่และดอกไม้ทั้งหมดเป็นเถ้า แล้วก็โปรยลงไปในสระน้ำกลางโรงเรียนค่ะ" พอพูดจบเธอก็ร้องไห้โฮ จนคนในร้านหันมามอง ทำให้ดาวต้องเข้าไปปลอบและเช้ดน้ำตา ซึ่งที่เธอร้องไห้ก็คงเพราะตอนนี้เธอรู้ว่า ในบริเวณโรงเรียนมีปีศาจอสุรกายสิงสู่

"ผมพอจะเข้าใจแล้ว หมายความว่าต้นคิดของพิธีกรรมนี้คงต้องการให้สังเวยวิญญาณที่สิงสู่กับตุ๊กตา แทนเด็กนักเรียนของโรงเรียนนี้ ซึ่งพิธีทั้งหมดมันก็บอกชัดอยู่แล้ว แต่ผมยังติดใจเรื่องเดียว นั่นคือ พิธีกรรมนี้ รวมไปถึงเรื่องลึกลับอื่น มันถูกเล่าตั้งแต่เมื่อไหร่กันแน่" ภูตั้งข้อสงสัย ปริศนาเริ่มคลายไปทีละเปราะ 1ในเรื่องลึกลับ พิธีปัจฉิมลับ ได้เปิดเผยเบื้องหลังของมันออกมาแล้ว

"พ่อ..พ่อของฉันเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนนี้ค่ะ ไม่แน่ว่าท่านอาจจะรู้ก้ได้ค่ะ" ครูพิลาวรรณได้บอกออกมาทั้งน้ำตา จากนั้นเธอก็ขอตัวกลับบ้านไปหาพ่อของเธอ เผื่อพ่อของเธอจะสามารถบอกเรื่องที่เคยรู้เกี่ยวกับโรงเรียนนี้ขึ้นมาได้

..............................

ที่โรงเรียน ช่วงบ่ายแก่ๆ หน้าตึกรับรอง ภู ดาวและหมอเจี๊ยบ วางแผนที่จะเข้าไปตรวจสอบอีกครั้ง ว่าเรื่องลึกลับเรื่องผู้หญิงชุดไทยที่ตึกรับรองจะมีเค้าความจริงหรือไม่ โดยทั้งสามได้ขอยืมกุญแจมาจากครูพิลาวรรณเพื่อเปิดตึก

ดาวเข้าไปในรถตู้เพื่อเตรียมดูอุปกรณ์ต่างๆที่ติดตั้งไว้ในตึกว่าพร้อมหรือไม่ ส่วนภูกำลังนัดแนะกับหมอเจี๊ยบอยู่หน้าตึก

"พี่เจี๊ยบคราวนี้ผมต้องขอพึ่งพี่แล้วล่ะ"ภูขอให้หมอเจี๊ยบเข้าไปในตึกรับรองพี่ใช้ความสามารถของผู้สัมผัสวิญญาณ ตรวจหาวิญญาณที่สิงอยู่ในตึกนั้น

"มันจะได้ผลจริงเหรอภู พี่ไม่ค่อยแน่ใจนะ "หมอเจี๊ยบบ่ายเบี่ยงส่วนหนึ่งก็เพราะเธอกลัวด้วยนั่นแหละ

"พี่ผมรู้นะว่าพี่กลัว แต่ในเมื่อมันไม่ยอมแสดงอะไรเลยผ่านกล้องกับไมค์ เราก็ต้องจับมันด้วยสิ่งเหนือธรรมชาติเท่านั้นแหละ" ซึ่งดูเหมือนหมอเจี๊ยบจะเข้าใจแต่เธอก็ยังกลัวอยู่ดี เธอจึงขอเวลาทำใจซักพัก

"แล้วก้พี่น่าจะพอแยกวิญญาณตัวอื่นกับผู้หญิงชุดไทยออกนะ ถ้าเจอ รู้ถึงความรู้สึกน้นพี่ก็ส่งสัญญาณมาผมจะเข้าไปรับ" ภูบอกเงื่อนไขไป หมอเจี๊ยบพยักหน้า จากนั้นภูก้เดินขึ้นรถไป

"นี่นาย ฉันขอถามอะไรหน่อยสิ" จู่ๆดาวก็ถามภูขึ้นมา สีหน้าและแววตาดูจริงจังปนเศร้า จนภูสังเกตได้ จนเขาใช้คำพูดที่มีน้ำเสียงอ่อนลง

"มีอะไรเหรอ" น้ำเสียงที่นุ่มนวลดูอบอุ่นของภู ทำให้ดาวเริ่มที่จะเอ่ยถามออกมา

"ถ้าฉัน ตกอยู่ในอันตราย แบบครูพิลาวรรณเมื่อคืน นายจะมาช่วยฉันมั้ย"ดาวถาม อันที่จริงเธอก็รู้อยู่แล้วว่าภูต้องมาช่วย แต่เธอรู้สึกว่าในตอนนั้นภูดูจะเป็นห่วงครูพิลาวรรณมากซะจนเธอกังวลใจ

ในตอนนั้นเธอเองรู้สึกหวั่นๆใจ เมื่อเห็นสายตาที่ภูแสดงออกตอนที่วิ่งขึ้นไปช่วยครุพิลาวรรณ

"อืม" เสียงเบาๆที่ดูอบอุ่น แม้มันจะเบา แต่ความเงียบในรถจนได้ยินแม้แต่เสียงลมหายใจ คำว่าอืม คำเดียว มันคำไปถึงหัวใจ พร้อมกับความลังเล

(ตาบ้านี่ จะเห็นเราสำคัญแบบนั้นรึเปล่านะ)

...................................

ในตึกรับรองทันทีที่หมอเจี๊ยบเดินเข้าไป บรรยากาศภายในดูสงบนิ่ง จนหมอเจี๊ยบรู้สึกได้ มันนิ่งเกินไป จนดูเหมือนไม่มีสิ่งใดอยู่เลย

(หรือว่าจะไม่มีผีอยู่จริงๆ) หมอเจี๊ยบคิด และเมื่อเธอกำลังจะเดินกลับออกมา แต่ทันใดนั้น

(อะไรน่ะ) เธอสัมผัสได้ถึงความกลัว แต่มันไม่ชัดเจน มันแผ่วเบา จนเหมือนว่าเะอจะคิดไปเองหรือเปล่า

(มันชักแหม่งๆละสิ) ความกลัว การร้องขอ ความรู้สึกนี้หมอเจี๊ยบรู้สึกมาเป็นพักๆ แต่มันเบา มันบอกไม่ถูก เธอจึงตัดสินใจเดินหา โดยการหลับตา

เพราะการที่เธอหลับตา มันทำให้เธอรับความรู้สึกได้ดีมากขึ้น
หมอเจี๊ยบค่อยๆใช้มือคลำ จากผนังสู่ผนัง ไปสู่ประตู ผ่านไปยังอีกห้องหนึ่ง ตามความรู้สึกที่แผ่วเบานั้นไป

(ใกล้แล้ว) เธอค่อยๆคลำไป จากผนังของห้องซักห้อง เธอหลับตาคลำตามความรู้สึกนั้นไป

"ช่วยด้วย" คราวนี้มันไม่ใช่เพียงความรู้สึก เธอได้ยินเสียงขอความช่วยเหลือที่แผ่วเบา เธอคลำตาเสียงนั้น ความเรียบของผนัง เธอคลำไปจนถึงเสาต้นหนึ่ง

"ช่วยด้วย ช่วยฉันด้วย" น้ำเสียงนั้นชัดแจ้งเมื่อเธอสัมผัสกับเสา ความรู้สึกหวาดกลัวที่แผ่วเบานั้นค่อยๆหายไป มีเพียงความโล่งใจ และความหวังอย่างแรงกล้า หมอเจี๊ยบค่อยๆลืมตาขึ้นมาเพราะเหมือนว่าเธอจะเจอต้นตอของความรู้สึกนั้นแล้ว

เสียงกรีดร้องแผดดังมาจากตึกรับรองและไมค์ที่ติดไว้กับตัว ภูกับดาวรีบวิ่งตามเสียงไปทันที

ก่อนจะกรีดร้องและสลบลงไป ภาพสุดท้ายที่หมอเจี๊ยบเห็น

ใบหน้าของผู้หญิงคนหนึ่งที่โผล่ออกมาจากเสาต้นนั้น ผิวที่ขาวซีด ดวงตาของเธอแดงก่ำ คราบเลือดแห้งกรังที่ไหลออกมาจากดวงตาอันชวนขนลุก


ใบหน้านั้นมีเลือดสดๆไหลออกจากตา แขนเรียวซีดข้างหนึ่งโผล่อกกมาจากเสา มันพยายามคว้าตัวของหมอเจี๊ยบไว้ก่อนที่เธอจะสลบไป

"ช่วยฉันด้วย...."

"หยุด....ที"

..............................................

ทันทีที่ได้ยินเสียงกรี๊ดของหมอเจี๊ยบ ภูและดาวก็รีบวิ่งเข้าไปในตึกรับรองเพื่อเข้าไปช่วย แล้วก็พบหมอเจี๊ยบนอนสลบอยู่บริเวณทางเดิน ภูจึงอุ้มหมอเจี๊ยบออกมาอย่างทุลักทุเล โดยที่ดาวคอยช่วยอยู่ใกล้ๆ

หลังจากปฐมพยาบาลทั้งบีบนวด หรือเอายาดมมาให้ดม ซักพักเมื่อหมอเจี๊ยบได้สติจึงคว้ายาดมมาอุดจมูกตัวเอง จากนั้นจึงพยุงตัวเองเพื่อนั่ง

"ภู พี่เจี๊ยบฟื้นแล้ว"ดาวตะโกนบอกภูที่กำลังสำรวจความเรียบร้อย ในตัวตึกอยู่

พอตั้งสติได้ซักพัก หมอเจี๊ยบจึงออกมาจากหลังรถตู้เพื่อยืดเส้นยืดสาย ซึ่งภูที่กำลังปิดประตูตึกก็ออกมาพอดี

"ไงพี่ ฟื้นแล้วเหรอ" ภูทักไปแบบนั้นเมื่อเห็นหมอเจี๊ยบดีขึ้นแล้ว

"แค่นี้ไม่เท่าไหร่หรอก แค่ตกใจเฉยๆ" จริงที่ว่าตกใจดูภูจะไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่า หมอเจี๊ยบไปเจออะไรมา แต่พอจะเอ่ยปากถาม หมอเจี๊ยบก็ยกมือขึ้นมาบอกว่าห้ามพูด

"ยังไม่สะดวกเล่าตอนนี้ เก็บของซะ เดี๋ยวค่อยคุยในรถ" ระหว่างนั้นเสียงโทรศัพท์ของภูก็ดังขึ้น เขาจึงขอตัวไปรับโทรศัพท์จากนั้นไม่นานพอคุยเสร็จ ภูจึงเดินมาบอกทุกคนที่นั่งรออยู่ในรถแล้วว่า พ่อของครูพิลาวรรณเชิญทั้งสามคนไปคุยด้วยที่บ้าน เกี่ยวกับเรื่องที่ที่พ่อของครูทราบสมัยที่เป็นนักเรียน

และดูเหมือนว่าหมอเจี๊ยบจะเห็นดีเห็นงามด้วย จึงบังคับภูให้ไปในทันที โดยไม่สนว่าตัวเองเพิ่งเป็นลมมา

.................................................

บ้านของครูพิลาวรรณเป็นบ้านเรือนไทยประยุกต์ ซึ่งเมื่อดูจากบ้านก็บอกได้ว่าต้องเป็นตระกูลผู้ดีเก่า เพราะจากตัวบ้าน ขนาด และทำเล กลางเมืองแบบนี้ ถ้าไม่รวยมากก็คงเป็นมรดกตกทอดมา

ที่เรือนหลังใหญ่ แม่บ้านของบ้านที่เหมือนจะถอดแบบมาจากละครไทยเป๊ะๆทั้งเสื้อผ้าหน้าผม ที่มวยผม ใส่ชุดสีขาว และผ้าถุง ซึ่งยิ่งตอกย้ำไปอีกว่าเป็นบ้านผู้ดีเก่าแน่ๆ ยิ่งกิริยาท่าทางตอนเสิร์ฟน้ำ สาวใช้ก็ยังคลานเข่ามาเสิร์ฟอีกต่างหาก จนทำให้ทั้งสามทำตัวไม่ถูกกันเลยทีเดียว

"เป็นคุณหนูจริงๆด้วยสินะ" หมอเจี๊ยบแอบกระซิบดาวที่นั่งอยู่ข้างๆ ส่วนดาวเองก้ไม่นึกไม่ฝันว่าบ้านผู้ดีแบบในละครจะมีจริงๆ ในขณะที่ภูเองก็สอดส่ายสายตาไปทั่วบริเวณบ้าน ตามวิสัยสอดรู้สอดเห็นของนักสืบ

ไม่นานนัก ครูพิลาวรรณก็เดินมาพร้อมกับคุณพ่อของเธอ เป็นชายมีอายุท่าทางใจดี แต่ก็ดูภูมิฐานอยู่เหมือนกัน

"สวัสดีครับ/ค่ะ" ทั้งสามคนยกมือไหว้ ส่วนคุณพ่อก็ยกมือรับไหว้ตามธรรมเนียม

"พ่อได้ฟังเรื่องจากหนูวรรณหมดแล้วล่ะ ขอบใจนะที่ช่วยลูกสาวพ่อไว้"

"ไม่เป็นไรครับ ทางนี้ต่างหากที่ต้องขอโทษที่ให้ครูเค้าไปทำอะไรเสี่ยงแบบนั้น ภูตอบ ซึ่งก็ทำให้คุณพ่อหัวเราะขึ้นมา

"พ่อก็เค้าใจ ปกติพออยู่โรงเรียนยัยหนูก็ทำตัวเข้มมาตลอด ทั้งๆอยู่กับบ้านก็เป็นคุณหนูแท้ๆ" คุณพ่อเผาลูกสาวตัวเองให้ทั้งสามฟัง จนทำให้ครูพิลาวรรณที่นั่งอยู่ข้างๆต้องก้มหน้าด้วยความอาย

"แต่เห็นยัยหนูบอกว่าอยากรู้เกี่ยวกับเรื่องลึกลับของโรงเรียนยังงั้นเหรอ"

"ค่ะ คือพวกหนูอยากรู้ว่าเรื่องเล่านี้มันเล่ามาตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะค่ะ" ดาวพูด ซึ่งทางฝั่งคุณพ่อก็ทำท่าเหมือนนึกอยู่ซักพัก แต่แล้วก็ตอบออกมาด้วยคำตอบที่ทำให้ทุกประหลาดใจ

"คือพ่อก็ไม่รู้เหมือนกันนะ" คำตอบของคุณพ่อทำให้ทุกคนหลุดคำว่า "อ้าว" มาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย

"ฮ่าๆๆๆ คือพ่อก็ไม่รู้ว่ามันเริ่มตอนไหนเหมือนกันนะ แต่สมัยพ่อเรียน มันก็มีเรื่องเล่าแบบอยู่อยู่แล้วล่ะ พิธีปัจฉิมลับนั่นก็ด้วย รุ่นพ่อรู้สึกจะชื่อ จอห์น แรงเยอร์ อะไรนี่แหละ" คุณพ่อปล่อยมุกทำให้ทุกคนเงิบกันเป็นแถบ

"จอห์น แรงเยอร์ ตั้งแบบนั้นก้ได้ด้วยเหรอคะ" ดาวถาม ซึ่งคุณพ่อก็ตอบอย่างอารมย์ดีว่า

"ก็ใช่สิ เขาห้ามตั้งชื่อซ้ำกับเพื่อนในรุ่นใช่มั้ยล่ะ อีกอย่างรุ่นพ่อก็ไม่มีฝรั่งซักคน จะตั้ง ชื่อฝรั่งก็ไม่ผิดกติกาใช่มั้ย แต่รุ่นของหนูวรรณเนี้ย ตอนเอามาที่บ้านพ่อกลั้นขำแทบตาย นึกว่าลูกเอาแรดมาที่บ้านซะอีก" ครูพิลาวรรณก็ก้มหน้าด้วยความอายอีกที่พ่อของเธอขุดเรื่องเก่าๆมาเผาอีกแล้ว

ก็ก็ใช่ว่าคุณพ่อจะปล่อยมุกเป็นอย่างเดียว แต่เรื่องที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจก็คือ คุณพ่อบอกว่าแม้ว่าในสมัยของคุณพ่อ จะมี7เรื่องลึกลับเหมือนตอนนี้ แต่ตึกเรียน ที่ครูพิลาวรรณเกิดเรื่องนั้นยังไม่มี เข้าใจว่าตึกนั้นสร้างมาตอนหลัง หลังจากที่โรงเรียนซื้อที่ดินมาสร้างตึกเพิ่มเติมได้แล้ว

"รุ่นพ่อน่ะ ตึกเรือนหมายถึง ตึกที่พวกลูกๆใช้เดินเรียนวิชาต่างๆนั่นแหละ" คำพูดของคุรพ่อทำให้ภูคิดขึ้นมาได้ทันที

"ถ้าอย่างนั้นหมายความว่า ตึกเรียนที่พวกเราเรียนอยู่ ไม่ใช่ตึกเรียนเดียวกับตึกเรียนในสมัยคุณพ่ออย่างนั้นสินะครับ" คุณพ่อพยักหน้า จนทำให้ภูคิดหนักว่าแนวทางสืบสวนของตัวเองนั้นมาถูกทางหรือเปล่า

"เดี๋ยวก่อนนะคะ อันที่จริงพวกหนูเดี๋ยวนี้ รู้แค่6เรื่องเท่านั้น แต่ครูพิลาวรรณบอกว่าเรื่องที่7 ที่ว่าห้ามนอนโรงเรียนนั้นมีแค่ครูที่รู้ แต่ทำไมรุ่นคุณพ่อถึงมีเรื่องนี้ด้วยล่ะคะ" ดาวหลังจากนั่งคิดอยู่นานจึงถามคำถามนี้ไป เพราะหากนักเรียนรู้แค่6เรื่อง แล้วคุณพ่อของครูดาวก็ไม่ได้เป็นครูของโรงเรียนนี้ ตามที่ครูดาวบอกว่าพ่อของเธอ เป็นข้าราชการ วึ่งก็ถือว่าแปลกที่ทำไมจู่ๆเรื่องนี้ถึงหายไป

"เพราะมีคนตายยังไงล่ะ" ครูพิลาวรรณชิงตอยแทน เมื่อคุณพ่อของเธอ จู่ๆก็ทำหน้าเศร้าาๆเมื่อได้ยินคำถามนี้

เมื่อได้ยินว่าคนตาย วงสนทนาก็เงียบไปพักหนึ่ง

"ใช่ สมัยนั้นพ่อตอนเรียนชั้นมศ.5 ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดของโรงเรียน ก็มีรุ่นน้อง มศ.4 ที่มาลองของ แอบมานอนที่โรงเรียน จากนั้นรุ่งเช้าเค้าก็ตาย" คำพูดของคุณพ่อ ดูเศร้าแปลกๆ และยิ่งเมื่อรู้ว่าคนที่ตายก็คือน้องชายของคุณพ่อหรือคุณอาของครูพิลาวรรณเอง ก็ทำให้คุรพ่อถึงกับหลั่งน้ำตา

"หลังจากนั้นทางโรงเรียนจึงขอให้ปิดเรื่องนี้ไว้ไม่ให้นักเรียนแต่ละรุ่นรู้ จะรู้ก็เพียงแค่ ครูเท่านั้น ทำให้เรื่องที่นักเรียนรู้ มีแค่6เรื่องเท่านั้นค่ะ" ครูพิลาวรรณพูดแทน เพราะพ่อของเธอคงไม่สามารถพูดต่อได้แล้ว แต่พ่อของครูพิลาวรรณก็ยกมือบอกว่าไม่เป็นไรแล้ว

"จริงๆ บ้านหลังนี้เป็นของตระกูลภรรยาคุณปู่หลวงนรินทรืปกเกล้า แต่ที่ดินที่คุณปู่บริจาคให้เป็นโรงเรียนคือที่ดินเดิมของตระกูลท่าน ส่วนรายระเอียดมากกว่านี้น่ะ นอกจากคุณพ่อที่เสียไปแล้วก็น่าจะมีคุณลุงหลงที่อยู่บ้านข้างๆเท่านั้นแหละที่พอจะทราบ" คำบอกของคุณพ่อทำให้ทั้งสามดูจะมีหวังในการหาเบาะแสมากขึ้น

"แต่ตอนนี้คุณลุงเค้าเจ็บออดๆแอดๆต้องเข้าโรงพยาบาลบ่อยๆ ยังไงถ้าเค้าอยู่บ้านจะฝากให้ยัยหนูบอกไปก็แล้วกันนะ"

...................................................

หลังจากการพูดคุยจบลง ทางครูพิลาวรรณก็ชวนทั้งสามทานข้าวเย็นด้วยกัน ซึ่งทั้งสามคนดูจะตกใจมากที่รู้ว่าแม่บ้านคนแรกที่พวกเค้าเจอคือแม่ของครูพิลาวรรณนั้นเอง และตามคาด หมอเจี๊ยบก็ฟาดเรียบกับอาหารไทยสูตรชาววังจนแทบคลานกลับเหมือนเดิม ซึ่งเมื่อภูไปส่งหมอเจี๊ยบที่บ้าน เขาก็มาส่งดาวที่บ้าน

เมื่อกลับมาถึง เธอจึงอาบน้ำและเข้านอนในทันที แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น

"ฮัลโหลดาวแกว่างรึเปล่า"

"มีอะไรเหรอมล กำลังจะนอน แต่พอคุยได้" มลเพื่อของเธอโทรมา

"นี่ก็ใกล้สอบแล้ว ฉันก็เลยว่าจะชวนแกติวหนังสือน่ะ" มลรีบพูดเข้าประเด็น

"ช่วงนี้ที่ทำงานพิเศษก็ยุ่งๆด้วยสิ แต่ถ้าปลีกตัวด้วยค่อยไปติวด้วยกันนะ"

"งั้นเหรอ" มลพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนผิดหวัง

"แล้วแกชวนมิ้นมันรึยังล่ะ"

"ยังเลย ยัยนั้นน่ะคงว่างแหละ แต่ฉันชวนแก ก็ไม่รู้ว่าแฟนแกจะว่าอะไรมั้ย" เมื่อได้ยินมลพูดว่าแฟน ดาวถึงกับตาสว่างเลยทันที

"ใครแฟนฉันยะ" ดาวถามย้อนไป

"ก็คนที่หล่อ สมาร์ทๆ เหมือนดารา ที่มาหาแกที่ห้องพยาบาลนั่นไง" มลพูดด้วยน้ำเสียงแอบเศร้า

"จะบ้าเหรอ อีตานั่นแค่เจ้านาย ตอนนี้ฉันยังไม่คิดเรื่องนั้นหรอก" ดาวแก้ตัว

"งั้นเหรอ เห็นพวกแกสนิทกันก็นึกว่าคบกันซะอีก" มลรู้สึกโล่งใจที่ได้ยินดาวปฏิเสธ

"เออ ยังไงแกก็ชวนมิ้นมันด้วยล่ะ แค่นี้ก่อนนะฉันง่วงมาก"

"ราตรีสวัสดิ์นะ" มลกดวางสาย

เธอยกมือถือขึ้นมาดูภาพพักหน้าจอ พรางเอามืออีกข้างลูบหน้าจอโทรศัพท์อย่างนุ่มนวล

"ฝันดีนะคะ ดาวที่รัก"

รูปในโทรศัพท์เป็นรูปดาวกับมลกอดคอกันในวันกีฬาสี รอยยิ้มของทั้งสองในรูปนั้น ทำให้มลน้ำตาไหลโยไม่รู้รู้ตัว เพราะเธอก็ไม่รู้ว่าจะเก็บความรักที่เกินเพื่อนแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน

.........................................................
เช้าวันจันทร์ 1สัปดาห์ก่อนสอบ วันนี้ดาวมาโรงเรียนแต่เช้าผิดกับอาทิตย์ก่อนที่มีจอมตื่นสายมาค้างด้วย ทำให้วันนี้เธอรู้สึกเหมือนกลับมาเป็นนักเรียนดีเด่นอีกครั้งหนึ่ง รอยยิ้ม สายตาที่นักเรียนคนอื่นๆที่เห็นเธอปั่นจักรยานมาโรงเรียนในวันนี้

มันมากเกินไปรึเปล่า

รถเก๋งสีดำคันหรูจอดอยู่หน้าโรงเรียน พร้อมกับชายหนุ่มรูปหล่อ ที่กำลังยืนพิงรถของตัวเอง ประหนึ่งว่าเท่ห์เต็มที

(อีตาบ้านั้นมาทำอะไรหน้าโรงเรียนเนี้ย)

ดาวรีบปรี้เข้าไปหาภูทันที เพราะว่าเขามารอเธอหน้าโรงเรียนแบบเป็นจุดสนใจมากเกินไป

"นี่นายมาทำอะไรที่นี่ยะ" ดาวขึ้นเสียงใส่ ด้วยอารมย์โกรธปนเขิน ที่สายตานักเรียนคนอื่นๆมองมา

"พอดีเมื่อวานลืมของน่ะ" ภูยืนถุงผ้าให้ดาว

"อะไรเนี้ย" แต่เธอก็หยิบแล้วเปิดดู

"วันนี้ ฉันต้องไปคุยกับปู่หลง คนที่คุณพ่อของครูพิลาวรรณบอกว่ารู้จักเรื่องราวของโรงเรียนเมื่อวานน่ะ ฉันก็เลยวานเธอช่วยไปเปลี่ยนแบต กล้องที่ติดไว้ให้หน่อย" ภูบอกเหตุผลของตัวเอง นั่นทำให้ดาวมีท่าทีอ่อนลง

"ก็ได้ แล้วจะให้เปลี่ยนยังไงล่ะ"

"หาโอกาศไปเปลี่ยนตอนที่ยังไม่เลิกเรียน ส่วนของตึกรับรอง ฉันเปลี่ยนตั้งแต่เมื่อวานแล้ว" ถึงภูจะบอกแบบนั้น แต่เมื่อดาวลองนับดูมันก็เยอะอยู่ดี

"เดี๋ยวนะ ถ้าฉันโดนแบบพี่เจี๊ยบเมื่อวานจะทำไง" ดาวถามเพราะนึกถึงเรื่องที่หมอเจี๊ยบโดนผีหลอกที่ตึกรับรอง จนทำให้เธอแอบหวั่นๆ

"อย่างเธอนี่ใครจะทำอะไร ถ้ากลัวมากก็หลอกใครให้ไปเป็นเพื่อนซักคนก็ได้" ดาวถึงกับหัวเสียแล้วสะบัดหน้าเดินเข้าโรงเรียนไป

"ระวังตัวด้วยนะ" ดาวถึงกับชะงักครู่หนึ่ง เพื่อฟังให้แน่ใจว่าเสียงที่แผ่วเบานั้นเป็นเพราะเะอหูแว่วไปเองหรือเปล่า แต่เมื่อเธอหันมา ภูก็ขับรถออกไปแล้ว สายตาของดาวดูผิดหวังลึกๆ อาจจะเป็นเพราะเธอคาดหวังว่าภูจะเป็นห่วงเธอบ้าง

และเช่นเดียวกับสายตาอีกคู่หนึ่ง ที่เห็นดาวคุยกับชายหนุ่มที่เธอบอกว่าไม่คิดอะไรด้วยท่าทางพ่อแง่แม่.งอนสุดฤทธิ์ มลชักไม่แน่ใจในความสัมพันธ์ที่ดาวบอกไว้ แต่ก้ได้แต่เก็บมันไว้ข้างใน ก่อนที่จะเดินเข้าไปทักทาย

เพื่อนสนิทของเธอ

......................................

ในตอนบ่าย ที่ล็อบบี้ของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ภูยืนรอครูพิลาวรรณ ซึ่งเะอเป็นคนนัดภูมาคุยกับปู่หลง คนใกล้ชิดปู่ของเธอ ที่น่าจะรู้เรื่องในตระกูลนรินทร์ปกเกล้าที่เหลืออยู่ ไม่นานนัก ครูพิลาวรรณก็มาถึงพร้อมกับกระเช้ารังนก ทั้งสองคนทักทายกันตามปกติ แต่ก็คงจะมีแต่ครูพิลาวรรณเท่านั้นที่รู้สึกว่าตัวเองไม่ปกติ เพราะหลังจากที่ภูไปช่วยเธอในเหตุการณ์ที่เธอไปนอนที่ตึกเรียน เธอก็เริ่มรู้สึกแปลกๆกับภูอย่างบอกไม่ถูก ทำให้วันนี้เธอแต่งตัวมาอย่างพิถีพิถันเป็นพิเศษ

ที่ห้องพิเศษห้องหนึ่งของแผนกอายุรกรรม ลูกหลานของปู่หลงคนสนิทของครอบครัวนรินทร์ปกเกล้าให้การตอนรับครูพิลาวรรณเป็นอย่างดี จนภูรู้สึกแปลกใจซ้ำยังได้ยินคุณป้าคนหนึ่งซึ่งเป็นลูกของปู่หลงเรียกเธอว่าคุณหนูด้วย

หลังจากทักทายปราศรัยกันพอสมควร ครูพิลาวรรณจึงแจ้งว่าอยากถามเกี่ยวกับที่ดินของตระกูลเธอที่ปู่หลงน่าจะรู้ ซึ่งเมื่อรู้แบบนั้นคุณปู่จึงให้ลูกหลานที่เฝ้าไข้ออกไปก่อน ทำให้ในห้องเหลือแ่ปู่ ภู และครูพิลาวรรณสามคน

ภูไม่ได้บอกถึงสาเหตุที่มาถาม เพราะเขาต้องการให้คนรู้เรื่องในโรงเรียนน้อยที่สุดด้วยเหตุผลหลายๆอย่าง และเพื่อให้ไม่เป็นที่น่าสงสัยภูต้องรับสมอ้างว่าเป็นแฟนกับครูพิลาวรรณ คุณหนูของตระกูล เพื่อให้มีเหตุผลมากพอที่จะอยู่ฟังเรื่องของตระกูลนี้ด้วย

จากที่ปู่หลงเล่า พ่อของปู่นั้นเป็นข้าเก่าของคุณหลวงนรินทร์ปกเกล้า ทำให้ปู่และลุกของคุณหลวง หรือก็คือปู่ของครูพิลาวรรณนั้นเล่นด้วยกันมาตั้งแต่เล็กๆ อันที่จริงครอบครัวของคุรหลวงนั้นเป็นครูดนตรี ซึ่งพี่ชายของคุณหลวงนั้นได้สืบทอดวิชาดนตรีจากผู้เป็นพ่อ จนได้รับบรรดาศักดิ์เป็นท่านขุน ส่วนคุณหลวงนั้นเป็นลูกชายคนเล็ก ได้ศึกษาที่โรงเรียนกฏหมายของกระทรวงยุติธรรม ประกอบกับได้แต่งงานกับบุตรีของผู้หลักผู้ใหญ่ในกระทรวง จึงมาลงหลักปักฐานที่บ้านที่ครูพิลาวรรณอยู่ในปัจจุบัน ครั้นผลัดแผ่นดินและเกิดเศรษฐกิจตกต่ำ พี่ชายของคุณหลวงถูกดุล ทำให้ตั้งแต่นั้นความสัมพันธ์ระหว่างคุณหลวงกับพี่ชายต่างห่างเหิญ เพราะคุณหลวงเจริญในหน้าที่การงานในขณะที่พี่ชายต้องให้ออกจากราชการมากินสมบัติเก่าที่พอมี

จนกระทั่งพี่ชายของคุณหลวงเสีย ประกอบกับท่านขุนไม่มีลูก ทำให้ที่ดินตกเป็นกรรมสิทธิ์ของคุณหลวง แต่เนื่องจากขณะนั้นบ้านเดิมอยู่ห่างไกล คุณหลวงจึงปล่อยทิ้งไว้ จวบจนเปลี่ยนแปลงการปกครอง รัฐบาลสมัยนั้นได้ขอรับบริจาคที่ดินไปสร้างโรงเรียน คุณหลวงจึงยกที่ดินของตระกูลให้ ทำให้โรงเรียนได้รับชื่อตามผู้บริจาคคือ โรงเรียนนรินทร์ปกเกล้า แต่พอพยายามถามถึงเรื่องแปลกๆต่างๆคุณปู่ก็บอกว่าไม่รู้หรือจำไม่ค่อยได้ ทำให้ครูพิลาวรรณและภูถึงกับจนปัญญาเพราะคิดว่าคุรปู่คงไม่ทราบจริงๆ

"ได้ยินว่าคุณพ่อมีน้องชายเหรอครับ" จู่ๆภูก็ถามเรื่องนี้ ซึ่งแม่แต่ครูพิลาวรรณก็นึกไม่ถึง

"เรื่องนั้นสินะ" เหมือนว่าคุรปู่จะทราบ ซึ่งเรื่องนี้แม้แต่ครูพิลาวรรณก้ไม่ทราบ เพราะพ่อของเธอก็ไม่อยากพูดเรื่องนี้

"รู้สึกว่าจะมีข่าวลือแปลกๆเกี่ยวกับโรงเรียนนะ ว่าห้ามไปนอนค้างหรืออะไรนี่แหละ คุณหนูเล็กตอนนั้นเค้าก็อยากพิสูจน์ จึงแอบไปค้างที่โรงเรียน ตอนนั้นที่บ้านตามหากันวุ่นวาย กว่าจะเจอศพก็สามวันแล้ว"

"ขนาดนั้นเลยเหรอคะ"ครูพิลาวรรณถึงกับตกใจที่ได้ยิน

"ใช่แล้วล่ะ ศพลอยในสระน้ำ สภาพแทบจำไม่ได้เลย เนื้อตัวยุ่ยหมดแล้ว ทำให้คุณผู้หญิงถึงกับเป็นลมไปเลย จากนั้นมา ก้ไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้อีกเลย จากนั้นโรงเรียนก็ได้ปิดข่าวลือเรื่องห้ามนอนค้างในโรงเรียนให้นักเรียนรู้ ป้องกันไม่ให้มีคนมาลองของอีก" เรื่องเล่าของปู่ทำให้ภูรู้สึกถึงจุดเกี่ยวข้องบางอย่าง แต่เขาก็ยังไม่อยากพูดอะไรออกมา

"มีตัวเงินตัวทองด้วยเหรอครับ" ภูสงสัย

"มีสิ เมื่อก่อนแถวนั้นเป็นท้องไร่ท้องสวนนะ จะมีมันก็ไม่แปลกหรอก" คุณปู่ตอบ

ก่อนจะลากลับ ปู่หลงยังบอกภูอีกว่าถ้าวันไหนคุณปู่ออกจากโรงพยาบาล อยากให้ภูลองไปเยี่ยมปู่ที่บ้านอีกที

"คุณครูว่ามันแปลกๆรึเปล่าครับ" ภูถามครูพิลาวรรณขณะที่ทั้งคู่กำลังรอลิฟท์อยู่

"อะไรเหรอคะ"ครูพิลาวรรณถาม ซึ่งภูก็ยังลังเลอยู่ที่จะบอกเพราะว่าไม่รู้ว่าครุพิลาวรรณจะเข้าใจหรือเปล่า

"ไม่คิดว่ามันจะบังเอิญไปหน่อยเหรอครับ ที่สองคดี เวลาห่างกันหลายปี ก็พบศพในสภาพที่ไม่ต่างกันเลย " ข้อสงสัยของภูทำให้ครูพิลาวรรณเริ่มรู้สึกกลัว

...........................................

ก่อนเลิกเรียน ดาววิ่งวุ่นไปเปลี่ยนแบตกล้องตามสถานที่ต่างๆ แม้จะไม่ครบเพราะบางที่ก็ไม่อยากเข้าไปจริงๆเช่นบริเวณต้นไทร จนดาวแทบจะขาลาก

"ดาว วันนี้แกว่างรึเปล่า" ดาวแหงนหน้ามาขณะที่กำลังฟุบโต๊ะอยู่

"มลแกเองเหรอมีอะไร" ดาวตอบด้วยท่าทางเพลียๆ

"ก็ที่บอกว่าจะไปติวกันไง" มลทวงสัญยา ซึ่งดาวก็นั่งนึกซักพักก็นึกได้ว่าเมื่อคืนได้บอกมลไปแบบนั้นจริงๆ

"แล้วมิ้นล่ะ" ไม่ทันที่มลจะตอบมิ้นก็เดินเข้ามาพอดี

"วันนี้ฉันไม่ว่างน่ะ แกไปติวกันสองคนก่อนละกัน" คำพูดของมิ้นทำให้มลรู้สึกแปลกใจ เพราะมลยังไม่ได้ชวนมิ้นเลย

"ใช่ๆมิ้นมันไม่ว่างน่ะ วันนี้เราคงไปติวกันสองคนล่ะนะ" มลพูดจากตะกุกตะกัก ซึ่งมิ้นก็เดินจากไปอย่างรวดเร็ว

"อืมๆ ไง ถ้าจะไปข้างนอก แกก็ไปรับฉันด้วยล่ะ" คำตอบของดาวทำให้มลยิ้มขึ้นมา แต่รอยยิ้มก็อยู่ได้ไม่นาน

"น้องอิงดาว พี่ขอคุยอะไรด้วยหน่อยได้มั้ยคะ" เสียงของนักเรียนสาวท่าทางน่ารักเรียกดาวอยู่หน้าประตู

"นั่นพี่อุ๊ใช่มั้ยคะ" ดาวไม่เชื่อสายตาตัวเอง เมื่ออุ๊เหยื่อคนหนึ่งในคดี ที่ต้องพักที่โรงพยาบาลเป็นสัปดาห์ ตอนนั้นกลับมาเรียนแล้ว และตอนนี้ยังขอคุยเรื่องอะไรบางอย่างกับเธออีก

เมื่อเห็นดาวลุกไปหารุ่นพี่ที่มาเรียกดาว มลถึงกับยืนนิ่งและกำมือแน่นโดยไม่รู้ตัว ส่วนมิ้นที่ดูอย่างห่าง ก็เบือนหน้าแล้วกลับบ้านในทันที

................................................

"พี่ต้องขอโทษด้วยนะ  ที่ต้องเรียกน้องอิงดาวมาคุยแบบนี้" อุ๊พูดหลังจากที่เรียกดาวออกมาคุยที่ระเบียง ซึ่งดาวก็ยังแปลกใจไม่หายที่อุ๊ออกจากโรงพยาบาลมาแล้ว

"ว่าแต่พี่อุ๊มีอะไรรึเปล่าคะ" ดาวถาม แต่อุ๊ก็ยืนนิ่งซักครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจพูดออกมา

"ไม่รู้ว่าวันนี้น้องอิงดาวว่างรึเปล่า แต่พี่มีเรื่องที่อยากจะคุยเกี่ยวกับเรื่องนั่นน่ะ" ดาวพอจะรู้ความหมาย แต่วันนี้เธอมีนัดติวหนังสือกับมลแล้ว แต่ก่อนที่เธอจะปฏิเสธไป แต่อุ๊ก็ได้พูดบางอย่างออกที่ทำให้ดาวต้องเปลี่ยนใจ

"พ่อแม่พี่เอิร์นเล่าเรื่องให้พี่ฟังหมดแล้ว แต่พี่มีเรื่องที่ไม่ได้บอกใคร อยากบอกให้น้องอิงดาวรู้"

ดาวเดินเข้าไปห้องเพื่อที่จะขอโทษมล ที่วันนี้เธอคงไปติวด้วยไม่ได้แล้ว ซึ่งมลก็เหมือนจะเข้าใจว่าเป็นเรื่องงาน แต่ดาวก้ขอโทษไม่หยุด จนมลบอกว่าเอาไว้ไปค้างที่บ้านมลได้ช่วยกันติวทั้งคืน และเมื่อรู้ว่าเพื่อนของเธอไม่ติดใจอะไร ดาวก็รู้สึกดีขึ้นก่อนจะบอกลา เพื่อไปคุยธุระที่อุ๊ตั้งใจจะบอก

..............................

ในตอนค่ำหลังจากนัดกับอุ๊แล้ว ดาวกลับบ้านเพื่อเตรียมตัวเพราะว่าอุ๊บอกว่าจะมารับเธอไปคุยด้วย และทันทีที่ถึงเวลานัด อีก็ขับรถมารับเธอ โดยบอกว่าจะพาไปเลี้ยงขอบคุณและจะได้คุยเรื่องที่เธออยากจะบอกดาวด้วย

อุ๊พาดาวมาทานร้านอาหารฝรั่งเศสสุดหรูที่โรงแรมระดับห้าดาว เพียงแค่เลี้ยวรถเข้าไปก็ทำให้ดาวถึงกับประหม่า เพราะเธอก็แต่งตัวไม่ได้หรุหราอะไร เผลอๆบริกรจะให้ให้เข้าร้านเอาง่ายๆ ทำให้ตอนเดินด้วยกัน ด้วยรูปร่างสูงโปร่งของเธอก้เหมือนจะหดเล็กลงจนอุ๊สังเกตได้และหัวเราะเอาด้วยความไร้เดียงสาของดาวเอง

"เอาน่าน้องอิงดาวมาเถอะ" อุ๊เดินลากดาวเข้ามาในร้านจนได้ และพนักงานต้อนรับตรงประตูก็โค้งคำนับให้เธอทั้งสอง และเมื่อเห็นแบบนั้นดาวก็โค้งตอบ

"พาเพื่อนมาทานอาหารเหรอครับคุณหนู" พนักงานต้อนรับคนหนึ่งเรียกอุ๊ว่าคุณหนู

(คุณหนูเหรอ) ดาวแปลกใจที่พนักงานตอนรับพูดกับอุ๊แบบนั้น

"ทำตัวตามสบายนะน้องอิงดาวร้านนี้น่ะเป็นของที่บ้านพี่เอง อยากทานอะไรสั่งได้เลยนะ" ถึงอุ๊จะบอกไปแบบนั้นแต่คนอย่างดาวก็ไม่รู้จักอาหารฝรั่งเศสเลย

พอนั่งโต๊ะที่ทางร้านจัดไว้ให้ ดาวพยายามสังเกตท่าทางของอุ๊ว่าต้องทำอย่างไรบ้าง

"น้องอิงดาวจะทานอะไรเหรอคะ" อุ๊ถาม แต่ดาวก็ไม่รู้จักอาหารในเมนูซักอย่าง ก่อนจะหลับหูหลับตาสั่งไป จนทั้งอุ๊ทั้งบริกรต้องหลุดขำ

"ขอเฟรนช์ฟรายด์ก็แล้วกันค่ะ"

ด้วยความไร้เดียงสาจนสังเกตได้ทำให้อุ๊ต้องสั่งอาหารแทนดาว

ผ่านไปซักพัก อาหารที่อุ๊สั่งไปก็ทยอยยกมา ถูกปากบ้างไม่ถูกปากบ้าง ดาวก็ทานๆไปตามที่อุ๊ทาน

"น้องอิงดาวนึกยังไงสั่งเฟรนช์ฟรายด์ที่ร้านอาหารฝรั่งเศสล่ะคะ" เพื่อผ่อนคลายบรรยากาศอุ๊เลยถามแกมหยอกดาว ซึ่งดาวก็เขินอายจนหน้าแดงที่เผลอปล่อยไก่ไป

"ก็ดาวไม่รู้จักอาหารฝรั่งเศสเลย ก็คิดว่าเฟรนข์ฟรายด์เป็นอาหารฝรั่งเศสเลยสั่งไปน่ะค่ะ" คำตอบของดาวทำให้อุ๊อมยิ้ม แต่ซักพักอุ๊ก็พูดคำๆหนึ่งออกมา

"น้องอิงดาวเชื่อเรื่องผีรึเปล่าคะ"คำถามของอุ๊ทำให้ดาวหยุดทาน เธอตอบคำเดียวว่าเชื่อจากนั้นท่าทีของอุ๊ก็เปลี่ยนไป

"พี่ต้องขอโทษด้วยนะที่หลอกน้องอิงดาวว่ามีเรื่องที่บอกใครไม่ได้ จริงๆมันก็เป็นเรื่องเห็นแก่ตัวของพี่เอง" น้ำตาของอุ๊ค่อยไหลริน แม้จะรู้ว่าถูกหลอกแต่ดาวก็เข้าใจดี

"พ่อแม่พี่ พ่อแม่พี่เอิร์นเล่าเรื่องของน้องอิงดาวกับกลุ่มนักสืบที่มาช่วย พี่ขอบคุณนะ แต่พี่ก็ให้อภัยตัวเองไม่ได้อยู่ดี" ดาวพยายามจะปลบใจ แต่อุ๊ก็ยังร้องไห้ต่อ

"พี่รู้ว่าน้องอิงดาวลำบากใจ แต่ว่า...พี่ก็แค่อยากระบาย" ดาวรับรู้ เธอทั้งปลอบโยน ทั้งรับฟัง จนอุ๊ค่อยดีขึ้น เธอเล่าอะไรหลายๆอย่างเกี่ยวกับเอิร์นแฟนของเธอ จนดาวรู้สึกอิจฉาลึกๆในความรักของคนทั้งสอง

อุ๊ลูกคุณหนูเอาแต่ใจ ต้องพ่ายแพ้ให้กับเอิร์น รุ่นพี่ร่วมโรงเรียน ทั้งสองคบกันตั้งแต่อุ๊อยู่ม.4 จนเอิร์นเข้าเรียนมหาลัย อุ๊ตัดสินใจที่จะสอบเข้ามหาลัยเดียวกับแฟนของเธอให้ได้ และหนึ่งอาทิตยืก่อนหน้านี้ เธอรบเร้าให้แฟนเธอมาส่งเพื่อมาเอาสมุดโน๊ดที่ลืมไว้ ไม่นึกไม่ฝันว่านั้นจะเป็นเหตุให้แฟนของเธอต้องจากไปอย่างสยดสยอง

"ขอโทษนะคะ คือหนูมีเรื่องอยากจะถามซักหน่อยได้มั้ยคะ" ดาวถามหลังจากที่อุ๊ระบายเรรื่องของเธอให้ฟัง

"มีอะไรเหรอคะ"

"พี่อุ๊กับพี่เอิร์นที่เสียไป รู้เรื่อง7เรื่องลึกลับของโรงเรียนเรารึเปล่าคะ ถึงได้กล้าไปโรงเรียนตอนกลางคืนแบบนั้น"คำถามของดาวนั้น อุ๊ตอบได้ในทันทีว่าทราบ แต่ตอนนั้นพวกเธอคิดว่าเป็นแค่เรื่องเล่าให้คนกลัวมากกว่าจะถือเป็นจริงจัง ถึงแม้ว่าเธอจะกลัวๆในตอนนั้นก็ตาม

"แล้วในฝันตอนที่สลบอยู่ นอกจากที่พี่เอิร์นมาเข้าฝัน พี่อุ๊ไม่ได้เห็นอย่างอื่นเลยเหรอคะ" ดาวถามเกี่ยวกับความฝัน เพราะเธอคิดว่ามันแปลกๆที่อุ๊จะไม่ฝันไปในทางเดียวกับที่ครูพิลาวรรณเจอ

"ไม่นะ หลักจากที่พี่เอิร์นมาเข้าฝัน พี่ก็ไม่ได้ฝันถึงเรื่องอื่นเลย ว่าแต่น้องอิงดาวมีเรื่องอะไรเหรอ" ดาวเงียบไปซักพัก ก่อนจะยิงคำถามอีกคำถามหนึ่ง

"อืม แล้วพิธีปัจฉิมลับล่ะคะ" ดาวถามเกี่ยวกับพิธีกรรมที่ปรากฏในความฝันของครูพิลาวรรณ

"พิธีปัจฉิมลับ...คืออะไรเหรอ" เหมือนว่าอุ๊จะไม่รู้จักหรืออีกนัยหนึ่งคือ ม.6รุ่นนี้ยังไม่ได้ประกอบพิธีนี้ขึ้นมา

(หมายความว่ารูปแบบของคนที่ไปนอนที่ตึกเรียนไม่ได้มีความฝันรูปแบบเดียวกันสินะ)

หลังจากทานอาหารเสร็จ อุ๊ก็ขอบคุณดาวที่เสียเวลามาฟังเธอระบาย แม้ว่าลึกๆแล้วอุ๊จะยังลืมแฟนของเธอไม่ได้ แต่ดาวก็หวังว่าหากปิดคดีนี้ได้ สภาพจิตใจอุ๊จะต้องดีขึ้นแน่ๆ

เมื่อกลับถึงบ้าน ดาวก็ส่งไลน์เพื่อเล่าเรื่องที่เธอคุยกับอุ๊เพื่อเล่าให้ทุกคนฟัง ซึ่งเธอก็เสนอว่าเธออยากพิสูจน์เรื่องที่ตึกเรียนอีกครั้ง แต่ทุกคนก็ไม่เห็นด้วยเพราะห่วงเรื่องความปลอดภัย อีกทั้งข้อมูลใหม่จากปู่หลงที่ได้มานั้น น่าจะเกี่ยวข้องกับคดีนี้มากกว่า ทำให้ตอนนี้สมควรที่จะพุ่งเป้าไปที่ส่วนอาคารอื่นๆของโรงเรียนที่เคยเป็นตึกเรียนมาก่อนมากกว่า

................................

"นี่ไอ้ทิวมันยังไม่มาอีกเหรอวะ" ชายวัยรุ่นคนหนึ่งพูด ขระที่กำลังนั่งล้อมวงคุยกับเพื่อนๆอยู่ที่บ้านหลังหนึ่ง

"นั่นดิ มันบอกว่า มีคนให้มันไปจับปลาที่สระโรงเรียนมากินกัน ไปจับตั้งแต่เย็นแล้ว ตอนนี้โทรไปก็ไม่รับ"กลุ่มเพื่อนบ่นถึงเพื่อนที่ชื่อทิว ก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับเพราะคิดว่าเพื่อนที่ชื่อทิวคงชิ้งกลับบ้านไปแล้ว
..............................................

ปลาในถุงตายข่ายค่อยๆดิ้นหมดแรงตายไปทีละตัวๆ

ไม่ต่างจากร่างๆหนึ่งที่พยายามขัดขืนจนหมดแรง

ปลาตัวแล้วตัวเล่าถูกฉีกกระชากอย่างหิวกระหาย

ชายคนนั้นก็มีสภาพไม่ต่างกัน
..............................................

"ขอโทษที่ต้องเรียกทุกคนมาวันนี้นะครับ" ภู ผู้กองต้อม ครูพิลาวรรณ หรือแม้แต่ดาว ต่างก็ถูก ผอ.เรียกมาหาถึงห้องทำงานตั้งแต่เช้า วันนี้ดาวรู้สึกหงุดหงิดแปลกๆตั้งแต่เห็นภูมารอรับเธอถึงบ้านเพื่อไปโรงเรียนโดยไม่ได้พูดอะไร ก่อนจะมารู้ตอนมาถึงโรงเรียนว่า ผอ.นัดคุย

และอีกคนที่อยู่ในห้องผอ.ด้วยนั่นก็คือ อุ๊ เธอมาเป็นตัวแทนของพ่อแม่ของผู้เสียชีวิตและพ่อแม่ของเธอเอง

"ก่อนอื่นผมอยากให้ทุกคนดูอะไรนี่หน่อยนะครับ" ผอ.เปิดทีวีในห้องทำงานของตัวเองให้ทุกคนดู เป็นภาพจากกล้องวีดีโอ ด้วยมุมกล้องเหมือนว่าจะเป็นการแอบถ่าย ในภาพมีเด็กนักเรียนของโรงเรียน ทำท่าทางลับล่อๆ จากนั้นเค้าก็เดินลงไปในสระน้ำพร้อมกับสุ่มที่เตรียมมาเพื่อจับปลาในสระ ผ่านไปประมารสิบกว่านาทีจนได้ปลาจนพอใจ นักเรียนคนนั้นจึงขึ้นจากสระแล้วจากไป ภาพที่ ผอ.เอาให้ดูก็หยุดอยู่นั้น พร้อมกับข้อสงสัยในหัวดาวว่า ผอ.เรียกทุกคนมาดูเพื่ออะไร

"ไม่ใช่แค่พวกคุณหรอกนะ ที่ติดกล้องไว้ ผมก็ติดกล้องเหมือนกัน จะกระทั่งได้หลักฐานที่จะพิสูจน์เรื่องลึกลับไร้สาระ ว่าที่ปลาหายไปเพราะคนมาจับไม่ใช่ผีเผอที่ไหน และอาจจะรวมไปถึง ที่เด็กคนนั้นตายก็อาจจะเพราะอุบัติเหตุก้ได้" ผอ.พุดด้วยท่าทางยิ้มเยาะ ทำให้ดาวรู้สึกหนักใจ เมื่อเธอหันไปมองครูพิลาวรรณที่นั่งข้างๆก็มีสีหน้ากังวลไม่แพ้กัน แต่ผิดกับภูและผู้กองต้อมที่ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย

"แล้วตกลงว่าผอ.ต้องการสื่อถึงอะไรเหรอครับ" ภูถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่แสดงออกถึงอาการแปลกใจแต่อย่างใด

แต่มันก็ทำให้ผอ.รู้สึกหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด

"ก็หมายความว่าที่พวกคุณมาสืบสวนบ้าบออะไรนั่นมันลวงโลกยังไงล่ะ เป็นแค่อุบัติเหตุแม้ๆแจ่เอาเรื่องผีไร้สาระมาผูกซะจนเป็นเรื่องราวใหญ่โต" ผอ.พูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว จนดาวรู้สึกตกใจ ยิ่งครูพิลาวรรณกับอุ๊ที่มานั่งฟังด้วยแล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึงเพราะพวกเธอนั่งเงียบไม่พูดไม่จาอะไรทั้งสิ้น

"ถึงเป็นแบบนั้น ก้ไม่ได้หมายความว่าเรื่องจะจบนะครับ" จากนั้นภูก็เปิดโทรศัพท์เพื่อเอาสำเนาสัญญามาอ่านให้ทุกคนฟัง

"และในสัญญาตอนท้ายบอกว่าหากผลการสืบสวนของผู้รับจ้างได้ข้อสรุปเป็นที่ยอมรับจากผู้จ้าง ข้าพเจ้าในฐานะ ผู้อำนวยการโรงเรียนนรินทร์ปกเกล้า ยินดีที่จะชำระค่าจ้างแทนผู้ว่างแก่ผู้รับจ้างเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น ห้าแสนบาทถ้วน....." เมื่อภูอ่านสัญญาทั้งหมดให้ทุกฟังเข้าก็หันมาถามผอ. อีกครั้งเรื่องสัญญา ซึ่งทีนี้ ผอ.ถึงกับหน้าถอดสี และยิ่งภูหันไปถาม อุ๊ซึ่งถือว่าเป็นตัวแทนของพ่อแม่เธอและผู้เสียชีวิตในฐานะผู้ว่าจ้าง คำตอบของอุ๊ก็ยิ่งทำให้ ผอ.ไม่พอใจเมื่อเธอบอกว่า เธอจะรอผลการสืบสวนจากฝ่ายภูเท่านั้น

"หวังว่า ผอ.จะอดทนรอฟังคำตอบจากฝั่งเราได้นะครับ" ผู้กองต้อมพูดกึ่งเยาะเย้ย เพราะเค้ารู้เหตุผลที่ผอ.ต้อง "ดิ้น" ขนาดนี้

ทุกหมดขอตัวกลับปล่อยให้ ผอ.ยืนเงิบอยู่คนเดียวในห้อง อุ๋ขอตัวกลับไปเรียนในคาบแรกต่อ ส่วนดาว เหมือนว่าภูกับผู้กองต้อมจะมีเรื่องที่จะต้องบอกให้เธอกับครูพิลาวรรณรู้ ทั้งสี่คนจึงมาหามุมเงียบๆคุยกัน

"พวกเราสองคนมีเรื่องที่ปิดพวกเธอไว้ ซึ่งแม้แต่เจี๊ยบก็ไม่ทราบ" ผู้กองต้อมเปิดประเด็น ซึ่งจากสีหน้าของผู้กองต้อมมันคงเป็นเรื่องขอขาดบาดตายมาก

"จริงๆแล้วน่ะ ฉันได้รับการขอร้องจากคนรู้จักให้มาช่วยสืบเรื่องการทุจริตของ ผอ.โรงเรียนนี้เรื่องรับใต้โต๊ะเพื่อให้เด้กเข้าเรียน ฉันจึงไปขอร้องภูให้ช่วยอีกแรง แต่ดันเกิดเรื่องนี้ขึ้นก่อน"ผู้กองต้อมอธิบายเรื่องทั้งหมด ทำเอาดาวถึงกับอึ้งไป แต่ครูพิลาวรรณเหมือนจะพอรู้เรื่องนี้อยู่บ้างการการนินทาในหมู่ครูของโรงเรียน

"พอเกิดเรื่องขึ้น ฉันก็เลยได้โอกาสเปิดโปง ผอ. โดยการที่บีบให้เค้าต้องจ่ายเงินจำนวนห้าแสนเพื่อเป็นหลักฐานว่าเค้าร่ำรวยอย่างผิดปกติ" เมื่อภูอธิบาน สีหน้าของเค้ารู้สึกผิดมากกับการที่ต้องใช้เหตุการตายของคนๆหนึ่งเพื่อเป็นเครื่องมือในการจับคนทุจริต

"และตอนนี้ทางเบื้องบนก้ได้จับตาดูเรื่องนี้เป็นพิเศษเพราะว่าเรื่องมีมูล ทำให้เมื่อถึงเวลาขึ้นมา ผอ.คงเอาเงินออกมาจ่ายไม่ถนัดนัก ดังนั้นหากเรื่องนี้จบลง เงินห้าแสนบาทจากนกต่อที่เรากันไว้เป็นพยานจะถูกส่งให้ ผอ.เพื่อจ่ายให้ภู จากนั้นเราก็จะมีหลักฐานจากเงินสินบนที่ผอ.เรียกรับ เพื่อเปิดโปงทุจริตของโรงเรียนนี้" จากที่ผู้กองต้อมเล่ามาทั้งหมด ลึกๆแล้วดาวก็ไม่พอใจแผนการของภุเหมือนกัน แต่เรื่องที่เธอเพิ่งรู้อย่างเรื่องทุจริต มันก็ซับซ้อนเกินกว่าที่เธอจะตัดสินว่าภูเป็นฝ่ายฉวยโอกาสได้เหมือนกัน

"และโชคดีที่ฟ้าเข้าข้างเรา เหมือน ผอ.จะร้อนตัวจนถึงกับต้องให้หรืออาจจะจ้างนักเรียนตัวเองมาสร้างหลักฐานเท็จแบบนั้น ซึ่งถ้าเะอจะดูออก เหมือนว่าเด็กคนนั้นจะมองกล้องบ่อยๆอย่างไม่เป็นธรรมชาติ ทำให้รู้ทันทีว่ามันคือการสร้างหลักฐานปลอม ทีนี้หากไขคดีได้ มันก้เหลือทางเดียวคือ ผอ.ต้องจ่ายเงิน" คำพูดของภูทำให้ดาวที่แม้จะไม่พอใจที่มันดูเห็นก็ตัวแต่ก็อดชื่นชมความเหนือชั้นของอีตาคนนี้ไม่ได้

"หมายความว่า ทั้งฉันทั้งอิงดาว ก็ไม่ควรพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกไปสินะคะ"ครูดาวเหมือนะรู้สึกอะไรบางอย่างกับเรื่องนี้ มันเป็นความรู้สึกเหมือนอะไรบางอย่างของเธอที่มีความสำคัญได้พังทลายลงไป

มันคือ"ศรัทธา"

.......................................................

ระหว่างเดินทางกลับ ครูพิลาวรรรเดินมาส่งภูกับผู้กองต้อมที่หน้าโรงเรียน แต่เมื่อเดินผ่านห้องปกครอง ทั้งสามคนก็เห็นอะไรที่ผิดปกติ มีตำรวจมาที่ห้องปกครอง

"มีอะไรกันเหรอคะ" ครูพิลาวรรณเดินเข้าไปถามด้านใน ก็เจอกับตำรวจสองนาย พาป้าคนหนึ่งที่ร้องห่มร้องไห้ มาติดต่อครูฝ่ายปกครอง

"คือมีเด็กชั้นม.6โรงเรียนเราออกจากบ้านตอนเย็นแล้วหายตัวไปน่ะ แม่เค้าก็แจ้งความ ก็ตามหากันทั่ว จนตำวจพบรถมอเตอร์ไซด์ ของเด็กจอดไว้ที่หลังโรงเรียน เลยพาแม่เค้ามานี่แหละ"ครูฝ่ายปกครองตอบพร้อมกับยื่นรูปเด็กคนนั้นให้ดู

"นี่มัน..."ครูพิลาวรรณอุทานด้วยความตกใจ จนภูและผู้กองต้อมต้องเข้ามาดู มันเป็นรูปเด็กที่ไปจับปลาในกล้องวงจรปิดที่ ผอ.เพิ่งให้เธอดู

"มีอะไรกันเหรอ" พอผู้กองต้อมเข้ามา ตำรวจที่มาจาก สน.เดียวกันก็ทำความเคารพผู้กอง

"มีคนแจ้งความว่าลูกหายไปครับผม พอเรามาตรวจสอบก็เจอรถเด็กจอดอยู่หลังโรงเรียน เราก็เลยมาสอบถามทางโรงเรียนครับ" นายดาบคนนั้นยื่นรูปเด็กชายให้ผู้กองต้อม มันเป็นรูปเด็กชายคนเดียวกับที่มาจับปลาเมื่อตอนเย็น

"เหมือนผมจะมีหลักฐานนะครับว่าเค้าหายไปไหน" ภูเข้ามาเปิด ภาพจากกล้องที่ฝ่ายตัวเองติดไว้ให้ ตำรวจกับผู้ปกครองของเด็กดู เวลาประมาณเกือบหกโมงเย็น เด็กคนนั้นมาจับปลาที่สระจริง จากนั้นเมื่อเค้าจับปลาเสร็จกเดินออกไป

แม่ของเด็กถึงกับร้องไห้ ซึ่งหากเด็กไม่กลับมาเอารถที่จอดไว้ หรือออกไปที่ไหน ก็หมายความว่าเด็กคนนั้นยังอยู่ในโรงเรียนนี้

แต่เสียดายที่ทางโรงเรียนก้ไม่มีกล้องวงจรปิดเลยนอกจากกล้องของภู แต่ก็ไม่มีกล้องตัวไหนจะจับภาพได้ว่าเค้าหายไปไหน ซึ่งอาจจะเพราะกล้องแต่ละตัวนำไปติดไว้ตามอาคาร ซึ่งไม่ว่ายังไงก้ไม่เห็นความเคลื่อนไหวใดๆเลยจนกระทั่ง

ขณะที่กำลังจะปิดแทปเลตที่เปิดภาพจากกล้องให้ทุกคนดู ณ เวลาปัจจุบัน ที่บริเวณต้นไทรหลังโรงเรียน ภูเห็นบางอย่างเคลื่อนไหวในพงหญ้า

มันเป็นภาพตัวเงินตัวทองกำลังรุมทึ้งอะไรบางอย่าง

.............................................
สภาพศพของนายทิวเมฆ นักเรียนชั้นม.6ที่หายตัวไป เป็นแผลเหวอะหวะไม่มีชิ้นดี ข้างๆศพมีตัวเงินตัวทองกัดเทะอยู่2ตัว สภาพที่เห็นทำให้ผู้เป็นแม่ถึงกับเป็นลม ทั้งตำรวจ เจ้าหน้าที่มูลนิธิ ต่างมากันเต็มบริเวณที่เกิดเหตุที่ต้นไทรหลังโรงเรียน นักเรียนทั้งโรงเรียนถูกไล่เข้าห้องกันทั้งหมด จนเกิดข่าวลือแปลกๆแพร่กระจายด้วยเวลาอันรวดเร็ว โดยเฉพาะชั้นม.6 การตายของทิวเมฆ ถูกเชื่อมโยงกับ7เรื่องลึกลับของโรงเรียน

หมอเจี๊ยบถูกเรียกตัวมาเพื่อตรวจสอบสภาพศพในที่เกิดเหตุจากนั้น จึงนำร่างไปไว้ที่โรงพยาบาลเพื่อรอการชันสูตรอย่างละเอียดต่อไป

"ดูจากสภาพ เหมือนกับคราวก่อนเป๊ะเลย ต่างกันแค่ว่ารายนี้โดนรุมทึ้งมากกว่า"หมอเจี๊ยบแอบกระซิบภู ในขณะที่ภูก็ยังคิดไม่ตกถึงเรื่องที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะไม่รู้ว่า ผอ.จะใช้เหตุการณ์นี้อ้างยกเลิกสัญญาหรือไม่

"ยังไงเดี๋ยวผมจะให้ดาวเค้าตรวจกล้องดูอีกที เพราะผมว่ามันแปลกๆ ทั้งเรื่องศพที่จู่ๆก็โผล่มา และตัวเงินตัวทองที่เข้ามาแทะสพในโรงเรียนได้"ภูบอกหมอเจี๊ยบ ในขณะที่ผู้กองต้อมแยกไปสอบปากคำกลุ่มเพื่อนๆของผู้ตาย

"แต่จากคำให้การของครูท่านอื่นๆ ด้านหลังโรงเรียนก็เป็นสวนผลไม้ของชาวบ้าน ไม่แปลกที่จะมีตัวเงินตัวทองหลุดเข้ามานะ" หมอเจี๊ยบบอก แต่ถึงอย่างนั้นทั้งเจ้าตัวและภูต่างก็รู้ดีว่าเท่าที่เก็บภาพภายในโรงเรียนมา ก็ไม่เคยที่จะเจอสิ่งมีชีวิตอื่นใดเลย

"ยังไงก็ฝากพี่ตรวจให้ละเอียดด้วยนะ ระหว่างนี้ผมจะลองหาประวัติเก่าๆของโรงเรียนดู ส่วนแม่ผู้ตายผมว่าพี่ต้อมคงรับมือไหว"พอคุยจบภูก้ปลีกตัวออกมาจากจุดเกิดเหตุ แล้วตรงไปหาครูพิลาวรรณที่กำลังสอบถามนักเรียนเพื่อนของผู้ตายอยู่กับผู้กองต้อมในห้องปกครองทันที

.............................................

จากการสอบถามกลุ่มเพื่อนของผู้ตายได้ความว่า เมื่อวาน ทิว ผู้ตายได้บอกกลับกลุ่มเพื่อนว่ามีคนจ้างให้เค้าไปจับปลาในสระของโรงเรียนมากินกัน โดยที่ไม่ทราบชื่อคนจ้าง แต่พอถึงเวลานัดกลับไม่พบผู้ตายมาตามนัดที่บ้านเพื่อนคนหนึ่ง ทุกคนจึงแยกย้ายกันกลับ ในตอนเช้าวันนี้ผู้ตายก็ไม่ได้มาโรงเรียน จนกระทั่งเกิดเรื่องขึ้น สวนรถมอเตอรืไซด์นั้น ยามของโรงเรียนเจอจอดอยู่ตรงประตูหลังในตอนเช้า จึงแจ้งไปที่ตำรวจเพราะกลัวว่าเป็นรถที่ขโมยมา

ซึ่งจากคำให้การพวกภูก้รู้ทันทีว่าเป็นฝีมือของ ผอ.ที่จ้างผู้ตายมาจับปลา เพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของภู โดยมีการติดกล้องถ่ายไว้ แต่ก้เกิดเรื่องไม่คาดคิดเพราะว่าเด็กคนนั้นได้ตายอย่างน่าสยดสยอง

"ทีนี้เราจะเอาไงกันต่อไปดีล่ะ"ผู้กองต้อมพูดขึ้นมา เพราะว่าเหตุที่เกิดขึ้นใหม่ กับเรื่องเก่ายังหาหลักฐานอะไรเพิ่มเติมยังไม่ได้ แต่จู่ๆภูก็พูดอะไรบางอย่างขึ้นมา

"คิดว่ามันแปลกๆมั้ย เกิดเรื่องแต่ละครั้ง ก็เกี่ยวกับสระน้ำตลอด อาของครูพิลาวรรณ มานอนที่โรงเรียน แต่หายไปพบศพที่สระน้ำ คดีก่อน คนก็หายไป พบศพที่สระน้ำ มาคราวนี้แม้ไม่เจอศพที่สระน้ำ แต่ก็เพราะไปจับปลาสระ"ข้อสังเกตของภูทำให้ทุกคนคิดตาม

"นั่นสิ คราวนี้ ถ้าผีเป็นคนร้ายมันเหมือนจะเป็นการเบี่ยงประเด็น คนร้ายักจะสร้างหลักฐานเท็จเพื่อไม่ให้สาวไปถึงตัว แสดงว่าสระน้ำนั่นต้องมีอะไรแน่ๆ"ขอสันนิฐานของผู้กองต้อนั้นตรงใจกับภู แต่มันติดอยู่ว่า การขุดลอกสระคราวก่อน ก็ไม่เจออะไรผิดปกติเลย

"เดี๋ยวนะคะ ไม่คิดเหรอว่า เรื่องลึกลับที่ว่าปลาจะค่อยๆหายไปในสระนั่นจะเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย" เป็นข้อคิดเห็นที่น่าสนใจของครูพิลาวรรณมันทำให้ภูเหมือนกระจ่างมากขึ้น

ถ้าการหายไปของปลาไม่ได้มาจากคน แต่เป็นปีศาจในสระ โดยสร้างเงื่อนไขที่ว่าสัตว์หรืออะไรในสระจะถูกกิน ดังนั้นทั้งสามคดี ต่างก็เข้าเงื่อนไขทั้งหมด แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีหลักฐานอื่นที่จะสนับสนุนแนวคิดนี้ได้เลย

"ครูพิลาวรรณครับ ถ้ายังไง ครูพอจะช่วยผมหาข้อมูลหรือหลักฐานที่จะเล่าเรื่องราวของโรงเรียนนี้ให้มากกว่านี้หน่อยได้มั้ยครับ" ภูขอร้องครูพิลาวรรณพร้อมกับกุมมือแน่น จนครูถึงกับหน้าแดง ก่อนจะตอบตกลงอย่างเขินอาย

...............................

หลักจากเกิดเรื่อง ภูได้ส่งข้อความที่ขอให้ดาวตรวจสอบหลักฐานจากกล้อง เธอใช้เวลาทั้งวัน จนพบจุดผิดปกติอยู่2อย่าง คือ ตอนเย็นผู้ตายมาเอาสุ่มจากส่วนแสดงวัฒนธรรมจากเรือนไทยที่เป็นห้องนาฏศิลป์ ส่วนอีกจุดคือจุดเกิดเหตุที่จู่ๆในตอนเช้าก็มีศพโผล่ขึ้นมาจากพงหญ้าบริเวณต้นไทรหลังโรงเรียน ซึ่งดาวก็รายงานภูไปตามนั้น แต่ก็ไม่มีอะไรคืบหน้ามากนัก จนต้องรอผลชันสูตรจากหมอเจี๊ยบอย่างเดียว

"ดาววันนี้แกว่างไปติวหนังสือกับฉันมั้ย" มลมาถามเพราะดาวได้รับปากไว้ว่าจะไปติวหนังสือกับเธอ แต่ก็ติดธุระ วันนี้เธอเลยมาถามอีกครั้ง

"นั่นดิ วันนี้ฉันก็จะไปนะ" มิ้นก็เข้ามาหาอีกคน จนคราวนี้ดาวไม่กล้าปฏิเสธ

"ก็ได้ๆ พวกแกนี่ล่ะก้ ไม่ีฉันติวก็น่าจะสอบกันได้นะ" คำตอบของดาวทำให้ลยิ้มจะแก้มปริ

"งั้นวันนี้ไปติวกันที่บ้านฉันนะ" มลชวนเพื่อนๆของเธอ แต่ก็เหือนเหตุการที่ซ้ำรอย อุ๊ ก็าหาดาวที่ห้องอีกครั้ง

คราวนี้มลเปลี่ยนสีหน้าแทบไ่ทันเหือนเห็นดาวออกไปหาอุ๊ที่นอกห้อง

"น้องอิงดาว พี่มีเรื่องที่คิดว่าน้องอิงดาวควรรู้นะ"อุ๊พูดอย่างร้อนรน ซึ่งดาวคิดว่าเป็นเรื่องสำคัญแน่ๆ

อุ๊จึงบอกดาวว่า ตอนนี้ม.6ลือกันว่าสาเหตุที่มีนักเรียนม.6(ทิวเมฆ)ตายนั้น คงเกี่ยวกับ7เรื่องลึกลับแน่ๆ แต่ในรุ่นก็ไ่มีใครรู้ว่าต้องทำอะไรยังไง แต่นั่นก็ทำให้ดาวเป็นกังวล เพราะเธอรู้ ขั้นตอน รายละเอียดของพิธีกรรมทั้งหมด ดังนั้นหากทาง ม.6จะยืนยันที่จะทำพิธีนี้จริงก็ต้องรอรุ่นพี่ที่จบไปาทำให้ แต่ถึงแบบนั้นดาวก็วางใจไม่ได้อยู่ดี เพราะเอิร์นก็เป็นรุ่นที่เพิ่งจบไป ซึ่งหากเรื่องนี้ถึงหู รุ่นก่อน ไม่ช้าก็เร็ว พิธีปัจฉิมลับคงเกิดขึ้นแน่ๆ

"ยังไงถ้ามีอะไรคืบหน้าพี่อุ๊ติดต่อดาวได้เลยนะคะ" ดาวให้เบอร์ติดต่องานของเธอให้กับอุ๊ ซึ่งลที่เห็นเหตุการณ์ว่าดาวเอาเบอร์มือถือเครื่องใหม่ของเธอให้รุ่นพี่.6 มันทำให้เธอรู้สึกอิจฉาลึกๆ

..................................

ห้องชันสูตร หมอเจี๊ยบที่กำลังผ่า และเก็บรายละเอียด ศพของทิวเมฆเหยื่อเคราะห์ร้ายอยู่ แม้ว่าคราวนี้เธอจะอยู่กับศพสองแต่สอง แต่เช่นเดียวกับเคสของเอิร์น เธอไม่สามารถสัมผัสได้ถึงวิญญาณผู้เสียชีวิตเลย และหลักฐานที่น่าสนใจมากกว่านั้น รอยเปื้อนบนเสื้อผ้า และเศษดินในเล็บมือศพ ไม่เหมือนกับดินที่บริเวณต้นไทร เมื่อนำมาวิเคราะห์ ทั้งรอยเปื้อน และดินที่เล็บาจากแหล่งเดียวกัน

เป็นดินโคลนเลน

หมายความว่าน่าจะเป็นดินจาก

สระน้ำกลางโรงเรียน

....................................................
เนื่องจากเรื่องของทิวเมฆนักเรียนผู้เคราะห์ร้าย วันนี้ ทั้งห้าคนนัดกันที่บ้านของดาวในตอนเย็น มีเพียงดาวเจ้าของบ้านเท่านั้นที่บอกว่าจะตามมาสมทบทีหลังเพราะต้องไปติวหนังสือกับเพื่อน

ครูพิลาวรรณหอบเอาหนังสือกองใหญ่มาจากส่วนจัดแสดงของโรงเรียนที่ตึกรับรอง หนังสือพวกนี้เป็นหนังสือครบรอบของโรงเรียนในปีต่างๆ ที่ทางโรงเรียนเก็บเอาไว้ ซึ่งครูพิลาวรรณคิดว่าน่าจะประโยชน์ในการสืบหาข้อมูลอยู่บ้าง

ประมาณหกโมงเย็น ภู ครูพิลาวรรณ หมอเจี๊ยบและผู้กองต้อมก็มาถึง ข้อมูลที่หมอเจี๊ยบชันสูตรพบ ถูกบอกให้ทุกคนรับรู้ก่อนที่ผลชันสูตรอย่างเป็นทางการจะออกมาเสียอีก ซึ่งแม้แต่ดาวก็ได้รับข้อมูลจากทางไลน์

จากผลการชันสูตรของหมอเจี๊ยบที่น่าสนใจนั้นอยู่ที่รอยเปื้อนของโคลนที่ติดตามเสื้อผ้า นิ้วและเล็บของศพมากกว่า ซึ่งหมายความว่านอกจากการจับปลาแล้ว ผู้ตายต้องมาทำอะไรที่สระอีกครั้ง แต่ภาพเหล่านั้นกลับไม่ปรากฏที่กล้อง

"แต่เจ้าปีศาจนั่นก็ทิ้งช่องโหว่เบ่อเร่อเลยนะ" ภูพูด ทำให้ครูพิลาวรรณที่ตามความคิดภูไม่ทันถามว่าช่องโหว่อะไร

จากการอธิบายของภูช่องโหว่ที่ว่าหมายถึงการใช้อำนาจของปีศาจบิดเบือนมิติ ที่กล้องจะจับภาพได้ คล้ายกับกรณีที่เกิดขึ้นในร้านพี่แก้มที่วิญญาณใช้อำนาจบิดเบือนมิติทำให้ร่างของเด็กหายไป

"แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น ทางตำรวจก็ต้องสูบน้ำเพื่อหาหลักฐานเพิ่มนะ ถ้าผลชันสูตรอย่างเป็นทางการออกมา" ตำพูดของผู้กองต้อมนั้นยิ่งทำให้ครูพิลาวรรณดูมีความหวังขึ้น แต่ยังไงซะก็ยังไม่มีใครรู้ถึง "ตัวการ" ที่อยู่เบื้องหลัง

.......................................

"ดาวมีอะไรน่ะเห็นดูแต่โทรศัพท์ตั้งนานแล้ว" มลถามขณะที่กำลังติวอยู่ เพราะเห็นดาวก้มอ่านข้อความทางไลน์บ่อยๆ

"ยัยดาวมันทำงานพิเศษนะ ที่เราลากมันมาก็ไม่รู้ว่าจะรบกวนรึเปล่า"มิ้นพูด แต่เมื่อหันไปมองหน้ามล สีหน้าของเธอก็เหมือนจะรู้สึกผิดขึ้นมา

"ไม่เป็นไรๆ พวกแกไม่ต้องคิดมาก รีบติวกันเถอะ ยังไงซะเดี๋ยวฉันก็กลับไปทำงานต่อเองแหละ" ดาวยิ้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น อันที่จริงก็เพราะระดับนักเรียนดีเด่นอย่างดาว การลองทำแบบฝึกหัดต่างๆมันไม่ต้องใช้เวลามากเหมือนเพื่อนอีกสองคนของเธอ แต่ไปๆมาๆบรรยากาศการติวก็เหมือนว่าดาวมานั่งเล่นโทรศัพท์ เพื่อเฝ้าเพื่อนทั้งสองทำแบบฝึกหัดมากกว่า

"นี่ดาวข้อนี่แกสอนฉันหน่อยได้มั้ย" มลเอาโจทย์ข้อที่เธอไม่เข้าใจให้ดาวช่วยสอน แต่แม้จะเป็นนักเรียนดีเด่น การการสอนการบ้านของดาวนั้นอยู่ในระดับที่แย่มาก การอธิบายของดาวนั้นก็มีแต่ตัวดาวเองนั่นแหละที่เข้าใจ ซึ่งทำให้มลเหมือนไม่ได้อะไรขึ้นมา แต่ก็ดูเหมือนว่ามลจะไม่แคร์ เพราะเธอกำลังมีความสุขที่ได้เลื่อนมานั่งๆข้างดาว โดยมีแต่มิ้นที่มองผ่านแว่นด้วยสีหน้าเรียบเฉย

"ไหนลองทำให้ดูซิ" ดาวเปิดโอกาสให้มลทำบ้าง แต่ใบหน้ายิ้มแย้มกลับซีดเป็นไก่ต้มเพราะเธอก็ยังไม่เข้าใจเหมือนเดิม ซึ่งมลก็ก้มหน้าก้มตางมอยู่นานจนท้อ

"มันจะอะไรกันนักกันหนา"มิ้นเปลี่ยนมาสอนมลบ้าง คำธิบายของมิ้นทำให้มลเข้าใจและทำโจทย์ข้อนี้ได้ ดาวที่เห็นเหตุการทุกอย่างก็ถึงกับเอ่ยคำที่ทำให้มลใจแป่วขึ้นมา

"มิ้นมันก็สอนแกได้นะ ทำไมไม่ติวกับมิ้นดูล่ะ" แม้ดาวจะพูดโดยไม่นึกอะไร แต่ในใจของมลกลับเกิดอาการน้อยเนื้อต่ำใจ

"แกไม่อยากติวกับฉันแล้วเหรอ"คำพุดของมลดูจะเสียใจมากจนดาวต้องไปปลอบ เพราะรู้ดีว่าเพื่อนของเธอคนนี้ขี้แยเพียงใด

.................................................

"ทุกคนมาดูนี่ซิ" หมอเจี๊ยบเรียกทุกคนมาดูรูปจากหนังสืออนุสรณ์เล่มหนึ่ง มันเป็นรูปเก่าๆแต่คำบรรยายใต้รูปบอกว่าเป็นภาพถ่ายของโรงเรียนก่อนสร้าง

ภาพนั้นเป็นภาพเรือนไทยขนาดใหญ่ อยู่กลางพงหญ้าที่รก ไม่ห่างกันมากก็มีสระน้ำอยู่ตรงหน้าบ้านเลย สระน้ำนั้นก็คือสระกลางโรงเรียนในปัจจุบัน

บทความนี้บอกว่า เป็นที่ดินเดิมของหลวงนรินทร์ปกเกล้าที่ได้มอบไว้ให้รัฐบาลสร้างโรงเรียน และบ้านเรือนไทยหลังใหญ่ก็ถูกรื้อเอาไม้มาสร้างอาคารเรียนในยุคแรก และอาคารรับรองซึ่งใช้เป็นห้องพักครูในขณะนั้น ซึ่งเสาเอกของบ้านต้นใหญ่ที่ไม่สามารถย้ายได้ ถูกใช้เป็นแกนเสาเอกของเรือนรับรองนั่นเอง

"หมายความว่าผีที่ฉันเจอคือผีบ้านผีเรือนของบ้านยังงั้นเหรอ" หมอเจี๊ยบรู้สึกขนลุกเมื่อรู้ว่าผีที่เธอเจอนั้นมีที่มายังไง

"มันก็น่าจะใช่นะ แต่ถ้าจากที่เล่า มันต้องมีอะไรที่ใหญ่กว่าผีบ้านผีเรือน แต่มันจะเป็นไปได้เหรอ" ภูตั้งข้อสังเกต เพราะอันที่จริงผีบ้านผีเรือนถือว่าเป็นเทพ ดังนั้นคงแปลกมากหากจะโดนปีศาจควบคุมอีกที

"หรือว่านั่นไม่ใช่ผีบ้านผีเรือนกัน"ผู้กองต้อมตั้งข้อสังเกต แม้ท่าทีของภูกับหมอเจี๊ยบจะแบ่งรับแบ่งสู้กับแนวคิดนี้แต่มันก็อาจจะมีส่วนจริงไม่น้อย

"ทุกคนดูนี่สิคะ"ครูพิลาวรรณยื่นหนังสือีกเล่มหนึ่งให้ทุกคนอ่าน เนื้อความบอกว่าเมื่อนักเรียนเพิ่มขึ้น จึงมีการสร้างอาคารใหม่เพิ่ม ดังนั้นไม้บางส่วนจึงถูกรื้อจากอาคารเรียนเดิม ไปใช้เป็นส่วนประกอบต่างๆของอาคารเรียนใหม่

"อันนี้ก็น่าสนใจนะ" ภูให้ดูบทความเกี่ยวกับห้องนาฏศิลป์ อาคารเรือนไทยนั้นถูกสร้างโดยเอาเรือนไทยหลังเดิมเป็นแบบ และที่สำคัญ ได้มีการเอาเครื่องมือเครื่องใช้โบราณของบ้านรวมถึงเครื่องดนตรีเดิมมาเก็บไว้

"แต่ถึงแบบนั้น ผมก็ว่ามีเรื่องน่าแปลกอย่างนึงนะ"ภูตั้งข้อสังเกต หลังจากที่เห็นภาพถ่ายเก่าๆของโรงเรียนทั้งก่อนและหลังที่จะมาเป็นโรงเรียน

พื้นที่นี้เอาน้ำกินน้ำใช้มาจากไหนกัน

มันจะเป็นข้อสังเกตเล็กๆ แต่ก็ไม่ควรมองข้าม ภูว่าอย่างนั้น เพราะแม้จะใกล้เรือกสวน แต่ก็ไกลจากแม่น้ำลำคลอง ดังนั้นน้ำกินน้ำใช้ต้องมาจากบ่อน้ำอย่างเดียว ซึ่งครูพิลาวรรณบอกว่าบ่อน้ำของโรงเรียนเพิ่งขุดตอนที่เป็นโรงเรียนแล้วเท่านั้น

"จะคิดมากทำไม ก็เอาจากน้ำในสระนั้นไม่ได้เหรอ" ผู้กองต้อมตอบ แต่ก้โดนหมอเจี๊ยบตบหัวไปทีนึง

"นี่คิดแล้วเหรอ น้ำในสระ มันไม่สะอาดพอหรอกนะ อีกอย่างสังคมไทย ถ้าไม่เอาน้ำจากแม่น้ำ ก็ต้องขุดบ่อน้ำเท่านั้น" แต่พอพูดไปแบบนั้นแล้วหมอเจี๊ยบก้ฉุกคิดขึ้นมาได้เหมือนภู

(จริงสิมันไม่มีบ่อน้ำนี่นา)

"บ่อน้ำ มันสำคัยกับเรื่องนี้ยังไงเหรอคะ"ครูพิลาวรรณถาม เพราะเธอก็ไม่คิดว่ามันจะเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไง

"สำคัญสิครับ ในเมื่อเรายังหาตัวการที่เกิดเรื่องไม่ได้ แต่สิ่งที่ควรมีกลับไม่มี คนไทยสมัยก่อนเคารพบ่อน้ำมาก หากมีการขุดขึ้นมาใช้แล้ว แต่มีการกลบฝัง ถือว่าเป็นอาเพทร้ายแรง ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่ามันจะเกี่ยวกันมั้ย แต่ถ้ามันเกี่ยวกับการถมบ่อน้ำจริงๆมันก็มีความเป็นไปได้ ที่เจ้าที่ที่ปกปักรักษาบ่อน้ำ จะโกรธจนกลายเป็นปีศาจฆ่าคนไป" ข้อสันนิฐานของภู ทำให้ครูพิลาวรรณกลับจนขนลุก ปริศนาดำมืดยิ่งกว่าที่ผ่านๆมา ซ้ำหากมันเกี่ยวจริงก็ยากที่จะหาร่องรอยของบ่อน้ำเก่าที่หายไป

....................................

"ขอบใจนะแกที่มาส่ง"ดาวขอบคุณมลที่มาส่งเธอถึงบ้าน

พวกภูมารอรับดาวถึงหน้าบ้าน สีหน้าของดาวที่มลมองเห็น มีแต่ความสดใสยิ้มแย้ม กับการหัวเราะเล่นหัว ด่าว่าบ้างที่โดนภูแซว และเมื่อมาย้อนมองดูท่าทางของดาวตอนที่ไปติวกับเธอ มันช่างต่างกันลิบลับ

(ดาว แกไม่เคยรักฉันเลยเหรอ)

มลกำเกียร์รถจนแน่น ก่อนที่จะเลี้ยวรถกลับบ้านไปทั้งน้ำตา

...................................

พอกลับมาถึงบ้าน ดาวก็ถูกลากตัวเข้าบ้านทันที

ภูบ่นดาวพอเป็นพิธี จากนั้นก็เล่าเกี่ยวกับข้อมูลที่ค้นเจอให้ดาวฟังอีกครั้ง

"ก็พอเข้าใจแล้วล่ะนะแต่ที่นายว่าแบบนั้นไม่ด่วนสรุปไปหน่อยเหรอ" ดาวแย้งข้อสันนิฐานของภูเกี่ยวกับการถมบ่อน้ำ แต่พอก็ไม่ค่อยแน่ใจนัก

"แล้วสมมติว่ามีการถมจริงแล้วจะถมเพื่ออะไร อีกอย่างนะสมัยนั้นมันไม่มีรถขนดินที่จะโทรเรียกมาถมอะไรซักย่างก็ทำได้น่ะ" ดาวเสนอความเห็นซึ่งตรงจุดนี้ทำให้ภูคิดอย่างหนัก

"เดี๋ยวนะคะ ถ้าขุดสระมาถมล่ะ" ครูพิลาวรรณตั้งข้อสังเกต มันได้ผล ภูเหมื่อนจะกระจ้างในประเด็นนี้ทันที

"ใช่ ขุดสระ จากนั้นเอาดินไปถมบ่อ" ภูพูด

"แล้ววัตถุประสงค์ล่ะ คงไม่ใช่แค่จะถมบ่อน้ำเพื่อให้เกิดอาเพทหรอกนะ" หมอเจี๊ยบตั้งข้อสงสัย ซึ่งในลักษณะนี้ ทุกคนก็มีความเห็นไปในทางเดียวกันว่า จะต้องมีการถมบ่อเพื่อฟังอะไรซักอย่าง

"ถ้าขุดสระเพื่อถมบ่อ แล้วเราจะอธิบาย เรื่องปีศาจในสระได้ยังไงล่ะ" ดาวพูด ซึ่งจากที่เธอบอก หากยังแก้ข้อสงสัยตรงจุดนี้ไม่ได้ คดีนี้คงไม่สามารถไปต่อได้

จู่ๆภูก็เดินไปเขียนแผนภาพบนบอร์ดที่ภูเอามาด้วย ภูวาดแผนที่ส่วนต่างๆของโรงเรียนในปัจจุบันอย่างคร่าวๆพร้อมกับเขียนถึง7เรื่องลึกลับที่เกี่ยวข้องกับสถานที่ต่างๆในโรงเรียน

ตรงสระน้ำ หากไม่นับเรื่องที่ว่าปลาที่นำมาปล่อยไว้จะหายไป มันยังรวมไปถึงคดีที่มีคนตายอย่างน้อย3ราย ซึ่งล้วนเกี่ยวกับสระน้ำทั้งนั้น

ตึกเรียน เรื่องที่ว่ามีวิญญาณสิงสู่อยู่ ตรงจุดนี้พวกภูพิสูจน์แล้วว่าจริง แต่วิญญาณที่เจอนั้นน่าจะเป็นวิญญาณของตุ๊กตาที่ผ่านพิธีปัจฉิมลับมาแล้ว และที่สำคัญ เรื่องเล่านี้มีมาก่อนที่จะมีการซื้อและสร้างตึกเรียนใหม่ ซึ่งเป็นไปได้ว่า ตึกอื่นๆที่เคยเป็นตึกเรียนมาก่อนก็คงมีเรื่องทำนองนี้เหมือนกัน เพียงแต่ว่าจะเป็นวิญยาณประเภทไหนเท่านั้น

ที่ตึกรับรอง จากที่หมอเจี๊ยบเข้าไปตรวจสอบก็เจอวิญญาณในเสาหลักมาขอความช่วยเหลือ แต่ตรงจุดนี้ยังไม่ยืนยันว่านี่จะเป็นวิญญาณชุดไทยอย่างที่เล่า และยังมีวิญญาณอื่นอีกหรือไม่

อาคารนาฏศิลป์ แม้จะไม่มีการพบปรากฏการทางวิญญาณ แต่ด้วยหลักฐานที่ว่า เครื่องดนตรีและเครื่องมือต่างที่อยู่ในอาคารนี้ล้วนมาจากของเก่าของบ้านตระกูลคุณหลวง

ต้นไทรผีสิง แม้จะไม่เจอปรากฏการณ์ทางวิญญาณ แต่หลักฐานทั้งตะปูที่ปักตรึงรอบๆ น่าจะหมายถึงการตรึงวิญญาณไว้ไม่ให้ไปไหน หรือทำร้ายใคร

"จากที่เขียนมาทั้งหมดมีใครจะเสริมอะไรมั้ย" ไม่มีคำตอบจากคนอื่น ภูจึงเริ่มอธิบายต่อ

"นี่เป็นสมมติฐานนะ หากมีปีศาจ ที่มีพลัง มีอำนาจ ควบคุม ที่ดินนี้ไว้ ลองดูนี่นะ"ภูจึงลากเส้นโยงส่วนต่างๆในแผนภาพ

"ถ้าปลาที่หายไป สัตว์ที่ไม่มีเหลือในโรงเรียน รวมถึงศพที่ถูกฆ่าเป็นฝีมือของปีศาจตัวนี้ ดังนั้นเรื่องสระก็เคลียร์"ภูอธิบาย

"งั้นวิญญาณที่ขอความช่วยเหลือฉันที่ตึกเรียน ก็หมายถึงช่วยจากปีศาจตัวนี้สินะ"หมอเจี๊ยบพูดถึงเหตุการณ์ที่เธอเจอ ถ้าด้วยเหตุผลนี้ เรื่องที่ตึกรับรองก็เคลียร์

"ส่วนพิธีปัจฉิมลับอะไรนั่น ก็คงเป็นการแก้เคล็ดเรื่องสังเวยชีวิตมนุษย์สินะ"ข้อคิดเห็นของผู้กองต้อมนั้นทุกคนเห็นด้วย ซึ่งประเด็นเรื่องพิธีก็น่าจะเคลียร์

"ถ้าอย่างนั้นมันก็ตอบได้แล้วใช่มั้ยคะว่า ห้ามนอนในโรงเรียนตอนกลางคืนเพราะปีศาจจะมาจับกิน แล้วเรื่องวิญญาณในตึกเรียน ก็คงเพราะวิญญาณตุ๊กตาที่ผ่านพิธีปัจฉิมลับ หนีอำนาจของปีศาจมาสิงสู่ที่ตึกใหม่ใช่มั้ยคะ" ครูพิลาวรรณพูด ซึ่งจุดนี้ก็เคลียร์

"และหากวิญญาณในห้องนาฏศิลป์มีจริง ก็คงอยู่ใต้อำนาจปีศาจนั่นเรียบร้อยแล้ว"ดาวพูด ซึ่งก็หมายความว่า จะเหลือบ่อน้ำที่หายไปกับต้นไทรผีสิงเท่านั้น

"หากปีศาจนั้นเกียวข้องกับต้นไทร จึงมีการผนึกมันไว้ และถ้าต้นไทรคือตัวตนของปีศาจล่ะ แล้วบ่อน้ำที่หายไปจะเกี่ยวข้องยังไง"ข้อสันนิฐานนี้ทำให้ทุกอย่างมาถึงทางตันอีกครั้ง ซึ่งทำให้ทุกคนคิดหนัก

"แต่ถ้าบ่อน้ำไม่เกี่ยวอะไรเลย"จู่ๆดาวก็ฉุกคิดขึ้นมาได้  ซึ่งทุกคนก็ตั้งใจฟัง

"สมมตินะถ้า ที่ดินนี้ที่คุณหลวงได้มา แล้วมีของมีค่าติดมาด้วย แล้วคุณหลวงไม่เอาไปล่ะ อาจจะเพราะกลัวปีศาจที่ว่านั่นเลยฝังไว้ในบ่อน้ำ จากนั้นก็ขุดสระเพื่อเอาดินมาถม แบบนี้มันก็ไม่เกี่ยวกับบ่อน้ำที่หายไปแล้วใช่มั้ย"ข้อเสนอของดาวนั้นพอจะมีเค้า ที่ทำให้ทุกคนเชื่อ ดังนั้นภูจึงสรุปว่าการสืบสวนต่อไปนี้ให้ดำเนินตามแนวนี้เอาไว้ก่อน

เมื่อหาข้อสรุปได้ทุกคนจึงแยกย้ายกันหลับ เหลือแค่หมอเจี๊ยบที่วันนี้ขอตัวนอนบ้านดาวอีกวันเพราะเธอขี้เกียจขับรถ

........................................

เช้าวันต่อมา ดาวมาโณงเรียนตามปกติ แต่วันนี้มลเพื่อนของเธอไม่มาโรงเรียน ด้วยความเป็นห่วงเธอจึงถามมิ้นเพื่อนสนิทในกลุ่มอีกคนหนึ่ง

"มิ้นวันนี้มลมันไม่มาเรียนเหรอ" ดาวเข้าไปถามขณะที่มิ้นกำลังจัดหนังสือเพื่อเรียนคาบต่อไปอยู่

"อืม เห็นว่าไม่สบายนะ" มิ้นตอบ แต่ดาวไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ เพราะเมื่อคืนตอนที่มลมาส่งเธอก็ดูดีๆอยู่ ไม่มีเค้าว่าจะป่วยเลย

"แต่ที่พวกเราติวกันก็ไม่เห็นว่ามลมันมันจะไม่สบายเลยนะ ฉันว่ามันต้องมีอะไรแน่ๆ" ดาวพยายามซัก จนมิ้นวางหนังสือบนโต๊ะแรงๆดังโครม

"ทีงี้ทำมาเป็นห่วงมัน เมื่อคืนไม่เห็นแกจะห่วงมันอย่างนี้เลย"คำตอบของมิ้นทำให้ดาวถึงกับจุก เมื่อลองนึกๆดูมันก้เป็นอย่างที่มิ้นว่าเหมือนกัน

"ฉันรู้ว่าแกยุ่งกับงานพิเศษ ฉันเข้าใจ แต่มลน่ะ ฉันไม่รู้ว่ามันจะเข้าใจหรือเปล่า ช่วงนี้แกแปลกๆไปนะ" มิ้นพูดด้วยน้ำเสียงห่วงใยซึ่งดาวก็รับฟังอย่างโดยดี

"มลมันโทรบอกฉันเมื่อเช้าว่ามันปวดหัวไม่ค่อยสบายเลยฝากฉันมาลา ฉันก็เค้าใจนะว่ามันอาจจะคิดมากเรื่องแก ยังไงแกก็มีเหตุผล เอาไว้แกลองหาโอกาสคุยแล้วขอโทษมันดีๆก็แล้วกัน"ดาวพยักหน้ารับคำสั่งสอนจากมิ้นเพื่อนของเธอ

"ว่าแต่แกเหอะ แกไม่โกรธฉันนะ" ดาวถาม ซึ่งมิ้นก็ยิ้มและส่ายหน้า ทำให้ดาวขอบใจมิ้นแล้วโผกอดไปหนึ่งทีจนมิ้นร้องห้าม

"พอๆแกจะมากอดฉันอะไรเนี้ย หายใจไม่ออก"มิ้นตบหลังดาวเป็นสัญญาณว่าให้ปล่อยได้แล้ว

"ขอบใจมากนะแก แกเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉันจริงๆ ฉันรักแกว่ะ" คำว่าฉันรักแกทำให้มิ้นเผลอหน้าแดงโดยไม่รู้ตัวก่อนจะผลักดาวออกไป ซึ่งทั้งคู่ก็ยิ้มให้กัน

"น้องอิงดาวเกิดเรื่องแล้ว" จู่ๆ อุ๊ก็มาเรียกดาวถึงในห้อง ซึ่งดาวก็รีบวิ่งออกไปหาทันที

"มีอะไรเหรอคะพี่อุ๊" ดาวถามเมื่อเห็นอุ๊หอบขนาดนั้นคงมีเรื่องสำคัญแน่ๆ

"วันนี้...วันนี้ม.6จะทำพิธีปัจฉิมลับกันแล้ว" เมื่อได้ยินว่าปัจฉิมลับ ดาวถึงกับตกใจ คนแรกที่เธอนึกถึงก็คือครูพิลาวรรณ

(ต้องหยุดพิธีนี้ให้ได้ ก่อนจะสายเกินไป)

............................................

ติดตามตอนต่อไป  พิธีกรรมสยองขวัญ ตอน จบ


เรื่องจากพันทิป  พิธีกรรมสยองขวัญ
เรื่องโดย  นาคาแห่งการพิธี

ไม่มีความคิดเห็น