ไม่มีอะไรที่ได้มาอย่างฟรีๆ เพราะว่าโลกใบนี้ล้วนมีแต่เงื่อนไข
เรื่อง "ไม่มีอะไรที่ได้มาอย่างฟรีๆ เพราะว่าโลกใบนี้ล้วนมีแต่เงื่อนไข" ยังคงเป็นเรื่องราวต่อจากซีรี่ย์ของสมาชิกพันทิป Rabbitizz "คุณเคยเชื่อเรื่องคนตายแล้วฟื้นไม๊คะ"ขอขอบคุณประสบการณ์สยอง ไว้ ณ ที่นี้ด้วย
สวัสดีค่ะ เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ รบกวนใช้วิจารณญาณในการอ่าน อ่านอย่างมีสติ อ่านเพื่อความเพลิดเพลิน อ่านเพื่อความสนุกสนาน และ ขอความกรุณา หากคุณไม่เชื่อ เราขอร้องไห้คุณอ่านอย่างเงียบๆ และมีสติกันสักนิดนะคะโดยไม่มีการทานมาม่ากันในห้องนี้นะคะ หากเกิดเหตุการณ์ข้างต้น เราจะขอยุติการเล่าเรื่องทั้งหมดนะคะ
หวังว่าคงจะเข้าใจกันนะคะ
ขอบพระคุณมากค่ะ
เรื่องนี้เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับตัวเรา และ หลายๆบุคคล ซึ่งเราเองไม่มั่นใจว่า บุคคลที่เรียกกันว่ามี สัมผัสที่6 หรือ เซ๊นท์ เป็นเช่นเราไม๊นะคะ แต่สำหรับเราแล้ว ไม่มีอะไรในโลกที่ได้มาฟรีๆ แต่ก็ใช่ว่าจะต้องจ่ายในอัตรารูปแบบเงินเท่านั้น คงเข้าใจกันนะคะ (จขกท. ต้องบอกก่อนว่า เป็นพวกภาษาไทยนี่แย่ระดับ100 ยังไงก็ช่วยๆทำความเข้าใจสักนิดนึงนะคะ)
เข้าเรื่องเลยละกันเนอะ การที่ตัว จขกท. เองมีสัมผัสที่6 ซึ่งใครต่อใครมักจะบอกว่า ดีบ้าง อยากเป็นบ้าง อยากเห็นบ้าง แต่คุณรู้ไม๊สำหรับเรานั้น ไม่ได้มองว่ามันแย่ไปซะหมด กับการที่เราเห็นอะไรในตัวคนอื่น แต่มันก็แย่ ถ้าเราไปเห็นชะตากรรมของคนๆนั้น คนรอบข้าง คนรอบตัว ญาติพี่น้อง หรือ คนที่เรารัก ใช่ค่ะ.... บางเรื่องที่เราเตือนได้ เราก็จะเตือน แต่บางเรื่องที่เราเตือนไม่ได้มันจะทำให้เราเจ็บจนเจียนตายก็ว่าได้.....
เราเองเป็นคนที่มีสัมผัสแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร ซึ่งถ้าจะมาจับพลัดจับพลูเรียบเรียง เรามั่นใจว่าเราจำไม่ได้ แต่เราจำได้ว่า เราเห็นมาตั้งแต่เราจำความได้ก็ว่าได้ค่ะ ในช่วงวัยเด็ก เราเองก็ผ่านประสบการณ์ต่างๆนานา ที่มีแต่ผู้ใหญ่มาถามว่าเห็นคนนั้นไม๊ เห็นคนนี้ไม๊ ความใสซื่อในวัยเด็กก็จะตอบไปตามตรงๆว่าเห็นหรือไม่ สภาพมาแบบไหน อะไรยังไง จนกระทั่งเราเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ทำให้ตัวเองเกือบเอาชีวิตไม่รอดก็ว่าได้ จึงทำให้เราเข้าใจดีว่า เราไม่ควรเข้าไปยุ่งในบุพกรรมของคนอื่นให้มาก หากจะเตือนบางทีคิดแล้วคิดอีก......
ด้วยความที่เราเป็นลูกเจ๊ก....(ลูกคนจีนแท้)....โดยไม่มีเชื้อไทยเลย แม่เราเองก็ว่าเรา ว่าเป็นภาษาจีนนะคะ (ประมาณว่า ลื้อนะพูดอะไรไม่เป็นมงคลเอาซะเลย แล้ว ม๊าก็ยังว่าไม่จบ) ...... สักพักเราบอกรูปร่างลักษณะของรถได้ว่าเป็นคันไหนชนคนไหนบ้างเราก็บอกม๊าว่า ม๊าเชื่อหนูเหอะนะ ...... ม๊ายังไม่วายว่าเราต่อ สักพักเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นทั้งๆที่ม๊ายังว่าเราไม่จบ กลายเป็นนางเงียบกริ๊บ.....พี่สาวเราหันมองหน้าเรา และ ถามว่า มุง รุ ได้ ไง ฟระ???? เราทำได้เพียงส่ายหัวแบบ มึน งง
พอขากลับ ภาพนั้นยังติดตาอยู่ สรุปว่า มีใครสักคนได้สังเวยชีวิต ณ ที่ตรงนั้นเรียบร้อยค่ะ กลับไปถึงบ้าน รีบอาบน้ำให้ไว เข้าห้องพระ สวดมนต์ นั่งสมาธิ แผ่เมตตาให้เค้า
นั่นละค่ะ จุดเริ่มต้นที่เราพอจะจำได้แม่น นอกเหนือจากนั้นก็เป็นแค่ลางๆไป บางคนบอกว่าดีจัง ที่รู้ล่วงหน้า บางคนก็อยากจะได้จัง แต่สำหรับเรา กลับมองว่ามันคือ ความทุกข์ที่ไม่สามารถยื่นมือเข้าไปช่วยใครสักคนได้ ถึงแม้ว่าจะรู้จักหรือไม่ก็ตามค่ะ
สำหรับเรา ที่บ้านเราทุกๆคนล้วนจะมีเซ๊นท์ที่แตกต่างกันไป พ่อกับแม่เราก็จะมีแบบนึง พี่เราก็จะมีอีกแบบนึง เราก็จะมีแบบที่ไม่เหมือนใคร น้องเราก็เช่นกัน ต่างคนก็ต่างมีหน้าที่ภาระของตัวเอง แต่สำหรับ ลางสังหรณ์ ของเรา และ พี่เราจะคล้ายกันอย่างนึงว่า.........
......ใคร คือ ราย ต่อ ไป ของ คน ในบ้าน.......
ใช่ค่ะ คนหลายๆคนต่างตกใจกัน เรื่องมันเริ่มมาจากตอนนั้นเราเรียนอยู่ชั้นม.2 เราเองก็ใช้ชีวิตแบบ เด็กนร. ทั่วไป ไม่ได้หวือหวาอะไร (ไว้คราวหน้าจะเล่าเรื่องผีสมัยเรียนประถม และมัธยมนะคะ) แต่ถามว่าเราเองเห็นไม๊ เห็นค่ะ เห็นหมด ตั้งแต่ทหารสงครามโลก ยัน บุคคลที่รักโรงเรียน วันนั้นเราไปบ้างอากงอาม่า แล้วอยู่ดีๆ เราก็นั่งนิ่งอึ้งไป ภาพที่เราเห็น คือ เราอยู่ในงานศพ ใครสักคนนึง ที่เรารัก และ เค้าเป็นบุคคล คนแรก ที่ทำให้เรารู้จักคำว่า จากไปอย่างไม่มีวันกลับมา....
วันนั้นเรานั่งเล่นอยู่บ้านอากง-อาม่าเรา แต่เราไปนั่งบนบ้าน คุยเรื่อยเปื่อย กับ อากิ๋ม ของเรา อากิ๋มมองหน้าเราแบบว่า หลานอั๊วเปนไรไปฟร๊ะ !?! อาหมวย.... ลื้อตื่นอยู่ไม๊..... เราหันไปมองหน้ากิ๋ม....แบบมึนๆงงๆ....
เรา : อื้มๆ กิ๋ม ว่าไงนะ !?!
กิ๋ม : อ้าว....ลื้อไม่ได้ฟังที่อั๊วพูดมาหรอ!?!
เรา : ป่าวอ่ะ ..... แค่แปลกใจ !?!
กิ๋ม : ลื้อแปลกใจอะไรของลื้อ เดี๋ยวก็ดี เดี๋ยวก็เงียบ เอาซะกิ๋มนี่งง
เรา : กิ๋มๆ...ทำไมหมวยเห็นว่า หมวยไปอยู่ในงานศพเจ็กหล่ะ!?!
กิ๋ม : บ๊อหน่า ลื๊อก็คิดมากไปเอง.... นอนไม่พอม้าง
เรา : ด้วยความเป็นเด็ก ไม่ได้คิดอะไร ช่างมันเหอะ!!!
ช่วงเวลาก่อนหน้านั้น เราก็ลืมไปเลย จนช่วงที่เราเพิ่งจะเข้าม.ปลาย วันนั้นตอนเช้า ป๊ากำลังไปส่งเรา กับ พี่สาวที่โรงเรียน แต่แล้ว ก็มีสายเข้ามา ถามพี่สาวว่า เจ(นามสมมุตินะคะ) ป๊าอยู่ไม๊!?!
เจ้ก็เลยถามตั่วอึ้มไปว่า ป๊าขับรถอยู่ มีอะไรไม๊คะ
ตั่วอึ้ม : มี....ขอคุยกับป๊าเราหน่อย
เจ : ได้ค่ะ....สักครู่นะคะ
สักพักเจ้เราก็เอามือถือให้ป๊า..... เราก็ไม่รู้หรอกว่าเค้าคุยอะไรกันในตอนแรก แต่ที่แน่ๆคือ ป๊าเราตอนนั้นประครองสติดีมากที่สุดค่ะ......
จนเราเลิกเรียน.....ก่อนหน้านี้เรารู้สึกตะหงิดใจทำไมเราเห็น อา ของเรานะ!?! ความงุนงง สงสัย แล้วก็โทรหาป๊า......
เรา : ป๊า....อยู่ไหนคะ ???
ป๊า : เดี๋ยวเรา กับ เจ้ ไปบ้านตั่วโกวนะ
เรา : หืม??? ทำไมอ่ะ ไม่กลับบ้านหรอ
ป๊า : เอาน่ะ เดี๋ยวก็ไปถึงนั่นค่อยว่ากันนะ ป๊าเหนื่อย
เรา : อ่อ เคค่ะ เจอกันนะป๊า
ในเวลานั้น เริ่มจะตะหงิดใจมากกว่าเดิมอีก เกิดอะไรขึ้นนะ?? ทำไมรู้สึกแปลกๆ แล้วความรู้สึกก่อนหน้านี้ปี สองปี ที่ผ่านมา มันคืออะไร ความสูญเสียหรอ?? ไม่หรอก ในเวลานั้นยังโกหกตัวเองอยู่เลย...
พอเราไปถึงบ้านตั่วโกว.....ทุกๆอย่างคือคำตอบที่เรารู้เลย ว่าการสูญเสียคนที่รัก มันเป็นยังไง???
หากใครเคยติดตามกระทู้เรา จะเห็นว่าเราเล่าเรื่องเกี่ยวกับ อา ของเราที่เสียชีวิตไป ว่าเราสร้างกรรมยังไงกับท่านนะคะ
หลังจากที่เราถึงบ้าน ตั่วโกวแล้ว เราเห็นแกนั่งร้องไห้เหมือนคนบ้าคนนึง เราเลยเดินไปกอดเค้า เค้าบอกกับเราและเจว่า เจ็ก ตายแล้วนะ เราได้แต่ยืนนิ่ง คือ คนแรกในบ้านที่เราสูญเสียไป.... เราโกรธมาก เสียใจมาก ผิดหวังมาก แต่ก็เค้าจะไป เราก็ไปห้ามอะไรเค้าไม่ได้เช่นกัน
เมื่อเราไปถึงวัด แขกเหรื่อเริ่มมาในงานกันเยอะพอควร เรามัวแต่จัดเตรียม น้ำ อาหาร ไว้สำรองให้แขกที่มาร่วม ตอนแรกที่เรายืนดูรูป เจ็กเรา น้ำตาเราไหลไม่หยุด แล้วลมก็พัดมาแบบ เบาๆ เหมือนให้เรารู้ว่า เค้าอยู่นี่นะ แต่ตอนนั้นเราไม่ได้ใส่ใจเอง
จนวันเผาของเจ็กเรา เราโมโหมาก แต่เราก็ได้ยินคำพูดลอยๆ ตามมากับกระแสลมว่า ขอโทษนะ ฝากน้องด้วย เรายิ่งโกรธหนักขึ้นไปอีก จนชนิดที่ว่า เตาเข้าเมรุ เรายังด่าไม่หยุด เพราะทั้งรักและเสียใจ เมื่องานเจ็กเราเสร็จเรียบร้อย กลิ่นธูปและดอกไม้หอมตลบอบอวลไปหมด เราก็เลยหยุดร้อง และบอกว่าหนูจะเข้มแข็งให้ได้นะ
ผ่านไปไม่ถึงอาทิตย์ เราก็ไปเล่นกับลูกพี่ลูกน้องเรา ชื่อ พ. เป็นลูกของกิ๋มเราเนี่ยละค่ะ
พ. เรียกเราอยู่หลายรอบ เจ้ๆๆๆๆๆๆ วนไปวนมา เราก็ห๊ะ ไรอ่ะ!!! เจ้ พ.บอกว่า อะไรก็ไม่รู้เราจำไม่ได้ แต่เวลานั้น เรากลับเห็นบุคคลที่ 2 ที่เรารัก จะต้องจากไปอีก ซึ่งเราไม่รู้ว่านานแค่ไหน จวบจนผ่านไป 3ปี เราเข้ามหาลัย เพิ่งเข้าไปเรียนวันแรก
ม๊า : จ. กับ เจ บอกป๊านะ อี๊ไม่ไหวแล้ว
เรา : อื้ม.... รู้แล้ว ซึ่งก่อนหน้านี้ เจเล่าว่า ฟันหัก+ลางสังหรณ์ของเรา
ม๊า : แต่จ. ไม่ต้องมานะ ให้เจมาแทน ให้จ. (ตัวเรา) ดูแลน้องนะ ตอนนั้นน้องเราเด็กมาก คือ ห่างกัน เกือบ 10 ปีก้ว่าได้
เรา : ทำไมล่ะม๊า เมื่อวานก็ไปเยี่ยมอี๊อยู่ ทำไมไปไม่ได้ ม๊าบอก ไม่ต้องมาล่ะดีแล้ว เราจะแย่เอา
เราสวนกลับไปทันที มีอะไรที่มันจะแย่ไปกว่านี้หรอไง!?!
ม๊า.....ได้แต่นิ่ง และ ร้องไห้ จนเราต้องเงียบ หนูขอโทษค่ะ หนูแค่ซื้อของให้อี๊ไว้ ไม่รู้ว่าต้องเป็นวันนี้
ม๊า : ช่างเหอะ ให้ป๊ากับ เจ มาก็พอ
เรา : ค่ะ
สักพัก เจ ไปถึงรพ. บอกเราว่า อี๊ไปแล้วนะ พรุ่งนี้จะไปที่วัด......นี้นะ เราก็อืม... ดูแลน้องอยู่
น้อง : เจ้ๆๆ อี๊เสียละหรอ
เรา : อืม.....เสียใจไม๊
น้อง : ไม่นะ
เรา : ห๊ะ!!!! แกว่าะไรนะ เมื่อกี๊ชั้นฟังแล้วเพี้ยนๆ หรือแกพูดเพี้ยน!?!
น้อง : ก็จะเสียใจทำไม.....ก็อี๊มานี่ไง ชี้ไปที่หลังเรา
เรา : ค่อยๆ หันกลับไป !!!! แทบกระโดดกอดน้อง ไม่ใช่อะไร แอบตกใจเล็กน้อย
เรา และ น้อง : อยู่ในโหมดนิ่ง..... คือ น้อง งง ว่าอีเจ้ จะตกใจอะไรเนี่ย ทำตรูตกใจไปอีกคน
เรา: อี๊ ทุกคนอยู่รพ. นะ
อี๊ : พยักหน้า แล้วส่งยิ้มให้ สีหน้าอี๊ดูเศร้ามากในเวลานั้น
เรา : อี๊....กลับไปหาที่บ้านเถอะค่ะ เดี๋ยวหนูจะบอกม๊าให้นะคะ หากหนูกับน้อง ได้เคยล่วงเกินอะไรกับอี๊ ไม่ว่าจะทาง กาย วาจา หรือ ใจ หลานทั้งคู่ขอขมาอโหสิกรรม ต่ออี๊ด้วยนะคะ
อี๊ : เงียบ.....แล้วก็หายไป!!
เราพยามเรียบเรียงความรู้สึก คำพูด ทุกๆอย่างในอดีต มาเป็นคำอ่าน อาจจะช้าไปบ้าง ก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ
วันต่อมา เราก็ไปวัด.....ท่ามกลางความเสียใจบรรดา ญาติพี่น้อง เพื่อน หรือแม้กระทั่งหลานของตัวเอง
เราเองเป็นคนๆนึงในสมัยนั้นที่ไม่ชอบอาอี๊เอามาก เรียกได้ว่าเกลียด เคยพูดไปว่า ไปตายก็ดีแล้วอยู่ด้วยแล้วละอึดอัดมาก.... แต่เมื่อเราโตขึ้ความคิดก็เปลี่ยนใหม่ อะไรๆ ก็ดีขึ้น สัจธรรมเห็นได้มากขึ้น
ในวันที่ต้องเผาอี๊เรา ก็เป็นอีกเช่นเคยที่หลานรู้สึกผิดมาก ขออโหสิกรรมยังไง ถึงเค้าจะให้หรือไม่ก็ตาม แต่ว่าความรู้สึก มันไม่เคยจะจางหายไปเลยสักครั้ง จวบจนกระทั่งทุกๆวันนี้
พอเราลงจากเมรุ (ขอบอกก่อนนะคะ ว่าเราไม่มีการโยนหรือโมโห อี๊เลยสักนิด มีแต่เสียใจ และเสียใจ ที่เมื่อก่อนเราไม่เคยใส่ใจเค้า ไม่สนใจคำสอน อึดอัดกับการกระทำ แต่สิ่งที่อี๊สอนเราโดยไม่ต้องบอกคือความมีวินัย รักษาความสะอาด เป็นกุลสตรีที่เรียบร้อย
หลังจากที่เราลงจากเมรุ น้ำตาเรายังไหลไม่หมด จนกระทั่ง เราเป็นลมล้มพับไป ทุกๆคนตามหายาดมยาหม่องต่างๆนานๆ เพื่อดูแลเรา คำถามแรกจากอาม่า
หมวย : เห็นหยี่อี๊อ่ายหม่าย???
เรา : หึๆ ไม่นะ (คิดในใจ ม่าไม่ห่วงเราหรอ)
สักพัก ...... ภาพมันก็มา เราร้องไห้โฮ เป็นบ้าเป็นหลัง วิ่งหนีออกจากงาน ทั้งๆที่แขกเหรื่อยยังไม่ได้กลับเลย ม๊าวิ่งมาตาม เกิดอะไรขึ้น เราบอกว่าไม่มีอะไร หนูทำใจไม่ได้ แม่เราก็นั่งปลอบๆ สักพัก ขอตัวไปดูแขก
ตัวเราตอนนั้นเครียดมาก เลยหยิบบุหรี่มาสูบสักตัว (แต่มันไม่ดีนะคะ อย่าทำตามเน้อ)
ภาพต่อไปคือ คนที่แม่เรารักมากที่สุด เราขอไว้พรุ่งนี้มาเล่าต่อนะคะ ขอโทษด้วยนะคะ ที่ไม่ค่อยมาอัพเดทอะไรเลย
หลังจากงานของอี๊เรา....ผ่านไป เราเองก็กลับไปคุยกับอากิ๋มต่อ.....
กิ๋ม : หมวย....อั๊วรู้นะว่าลื้อเห็นอะไรอีกแล้วใช่ไม๊!?!
เรา : อื้ม.... กิ๋ม หนูจะทำไงดีต่อจากนี้ หนูหวังว่าจะไม่ได้เป็นอย่างที่หนูเห็นนะ
กิ๋ม : แล้วหมวยเห็นอะไรล่ะ บอกกิ๋มได้ไม๊!?!
เรา.....ในเวลา นาที นั้น นิ่ง ไม่กล้วพูด เพราะภาพที่เราเห็นคือ เราเองไม่แน่ใจว่าใครกันแน่ คนนึงก็คือ ป้าที่เลี้ยงเรามาตั้งแต่เกิด
และ อีก 1 คน คือ อาม่า ของ แม่เรา......
กิ๋ม หนูจะทำยังไงดี กิ๋มช่วยหนูหน่อย กิ๋มได้แค่บอกไปว่า ไม่มีไรหรอก อีกนานไม๊!?!
เราก็บอกไปตามตรง อีกไม่กี่ปี ประมาณ 5-6ปีได้ แต่เรากลัว กลัวแม่ทำใจไม่ได้ กลัวเราจะทำใจไม่ได้ กลัวทุกๆอย่าง แต่ชะตามันก็กำหนดไว้แล้วว่าต่อไป จะเป็นอย่างไร...... เราทำได้แต่ ถอนหายใจยาวๆ
เวลาล่วงเลยผ่านมา เราได้ไปตรวจร่างกายป้าเรา และเราก็จับสาเหตุโรคได้ โดยไม่กล้าบอกใคร แต่ป้าเราบอกว่า อย่าบอกนะเป็นอะไร ยังอยากเห็นหลานทุกๆคนรับปริญญาให้หมด....เราก็อื้ม ตั่วโกวไม่เป็นไรหรอก เชื่อหนูสิ รอปีหน้าก่อนนะ หนูก็รับใบที่2 แล้ว ต้องมานะ ตั่วโกวก็สัญญากับเรา....คราวนี้ภาพ มันขึ้นมาอีกให้เราเห็นว่า บุคคล2 คนนั้นคือใคร เรา เงียบ น้ำตาคลอ คนๆนั้นคือ อาม่าเราเอง
เราควรจะบอกแม่ไม๊ ควรจะทำไงนะ....จนกระทั่ง ปลายปี 58 อาม่าเข้ารพ. กระทันหัน ทุกๆคนก็เป็นห่วงท่าน แต่ก็ยังกลับมาพักรักษาตัวที่บ้านได้.... เราก็โล่งใจไปเปราะนึง.....แต่พอคิดที่ไร ก็จะมีอะไรที่ไม่ทำให้เราหวั่นๆทุกๆครั้ง นั้นคือ ผู้ชาย นุ่งกระโจงเบนเข้ามา บอกเราว่า ทำใจเสียเถิดนะ กระนั้นก็ตาม เกิดแก่เจ็บตาย คือธรรมชาติของมนุษย์ ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ช้าหรือเร็ว เรานิ่งน้ำตาไหลพรากๆ
ถัดมาประมาณเดือนกรกฎาคม อาม่าเข้ารพ และหมอให้แอดมิท คราวนี้ แอทมิทที ยาวเลย หมอไม่ให้กลับ เหตุผลคือ โรคหลายๆอย่างรุมเร้า จนกระทั่งวันพี่สาวเรา ความรู้สึกคือ จะไปหรอ อย่านะ หนูขอ วันนี้วันเกิดเจ้ อีก 3วันวันเกิดหนู อย่าเป็นไรไปเลยนะคะ
วันเกิดเราต้องไปฉลองที่รพ. อาม่าเวลานั้นพูดไม่ไหว นอนก็หอบนั่งก็ไม่ได้ กินก็ไม่ลง ให้อาหารทางสายยางอย่างเดียว.... เราเศร้ามากนะ เวลานั้น
ผ่านมาไม่ถึงอาทิตย์ วันนั้นอี๊มาบอกเราว่า อี๊ช่วยอะไรม่าไม่ได้แล้วนะ อี๊จะไปรับม่านะ เรากราบขอร้อง อ้อนวอนอี๊ ว่าอย่าเลย สงสารม่า สงสารแม่หนูด้วย อี๊บอกกับเราแค่ว่า ลื้อต้องเข้าใจนะ อยากให้ม่าอยู่สภาพแบบนี้หรอไง ทั้งๆที่ลื้อก็เห็นแล้วว่าร่างนั้นว่างเปล่า จิตม่าออกมาแล้ว ลื้อจะให้ไปรั้งทำไม สงสารร่างไม๊ สงสารแม่เราจริงๆหรอ.... คืนนั้น เราอัดยานอนหลับไป เพื่อไม่อยากรับรู้อะไรทั้งสิ้น ก่อนที่เราจะนอน เจ้มาบอกเราว่า ฝันว่าฟันหักแล้วนะ เราร้องไห้หนักมาก หนักจนต้องอัดยานอนหลับให้หลับ จนกระทั้งบ่าย2 กว่า ป๊า โทรมาปลุกเรา ถามว่า อยู่ไหน ม่าไม่ไหวแล้ว นะ เราลุกขึ้นมาบอกป๊าว่า อื้ม เดี๋ยวอาบน้ำไปรับศพแก ป๊าบอกว่าใครบอกเรา เราบอกว่าอี๊ ป๊าเราบอกว่าไหวไม๊ เราไหวไม่ไหว ก็ต้องไหวเนอะ เราขับรถมาคนเดียวสภาพที่เสียใจมาก แต่ก็ถึงรพ. ได้ปลอดภัย เดินขึ้นไปบนห้องที่ม่าอยู่ สภาพม่าคือ เหมือนคนนอนหลับไปเลย เราค่อยโล่ง เพราะแม่กะกิ๋ม บอกมาว่าให้ฟังเสียงสวดมนต์ตามนะ และม่าเราก็ไปอย่างสงบ...
เพื่อนๆเราต่างเป็นห่วงเรามาก เพราะเพิ่งวันเกิดเราก็ไปจัดงานที่รพ. ผ่านวันเกิดไม่กี่วันก็มาจัดงานศพต่อ
ระหว่างเรารับแขก ภาพก็ขึ้นมาอีก แต่ตอนนี้เราปลงเสียละ
สุดท้ายนี้ เราเองอยากจะเตือนใครๆหลายๆคนที่คิดว่าอยากมีสัมผัสพิเศษ อยากรู้ อยากเห็น อยากได้ เราบอกได้คำเดียว เราเป็นคนนึงที่ไม่อยากมี และ ไม่อยากได้ ถ้าเลือกได้ ขอเป็นคนที่ไม่รับรู้เช่นคนธรรมดาทั่วๆไปดีกว่า
ขอบพระคุณมากค่ะ
เรื่องจากพันทิป เรื่องเล่าโลกหลังความตาย
เรื่องโดย สมาชิกพันทิป Rabbitizz
Post a Comment