ตำนานสมบัติอาถรรพ์ บนเทือกเขาบรรทัด พัทลุง-ตรัง
เรื่องราวจากสมาชิกพันทิปหมายเลข 3341624 สาวสวยจากพัทลุง นักเล่าจากแดนทักษิณผู้มีสัมผัสสยอง มีเรื่องราวความสยองจากภาคใต้ มากมายโปรดติดตามผลงานและเรื่อง "ตำนานสมบัติอาถรรพ์ บนเทือกเขาบรรทัด พัทลุง-ตรัง" ขอขอบคุณเรื่องราวสยองไว ฌ ที่นี้ด้วย
มันเป็นเรื่องเล่า ตั้งแต่สมัยเรายังไม่เกิด แล้วตอนนั้นก็เป็นสมัยที่ปู่ของเรา ยังมีเรี่ยวแรงเดินเหินได้สะดวกสบาย ร่างกายยังไม่โทรม มันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้าเหตุการณ์ ผีนางมโนราห์หน้าขาวอาละวาด เราก็ฟังพ่อเล่ามาอีกที
หมู่บ้านที่เราอยู่ ตั้งอยู่กลางหุบเขา มีภูเขาแทบจะล้อมรอบทุกด้าน และด้านหนึ่งนั้น ติดกับเทือกเขาบรรทัดอันสูงใหญ่ ที่แบ่งภาคใต้ออกเป็น2ฝั่ง วิถีชีวิตในยุคนั้น ถ้าไม่ทำสวนยาง ก็เข้าป่าล่าสัตว์แลกข้าวกิน
สมัยนั้นป่าบรรทัดที่กั้นพัทลุง-ตรัง มีสัตว์ป่าชุกชุม ปู่ของเราเลยยังไม่ได้ลงหลักทำสวนยาง เข้าป่าหาของป่า พวกไม้กฤษณา น้ำผึ้งเดือน5 พวกนี้จะมีราคาดี แต่จะมีอยู่ช่วงหนึ่ง ที่เกิดเหตุการณ์มี ผกค.(ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์) เกิดขึ้น เป็น ผกค.ฝั่งพัทลุง พอถูกทางการกวาดล้างหนัก ก็พากันถอยร่นข้ามมาฝั่งตรัง จนเมื่อสิ้นสุดยุค ผกค. จำนวนมากเสียชีวิตและยอมแพ้
แต่ก็มีข่าวลือแพร่ในหมู่บ้านของเรา เพราะมี ผกค.คนหนึ่ง หนีมาขออาศัยในหมู่บ้าน เขานั้นได้รับบาดเจ็บมา ตอนนอนรักษาได้เพ้อพร่ำบอกเอาไว้ว่า ในป่าลึกของเทือกเขานั้น ห่างจากหมู่บ้านของเราไปประมาณ1วันเดินเท้า จะมีถ้ำลับของ ผกค. ที่ขุดขึ้น ใช้เป็นที่เก็บข้าวของ ทุนทรัพย์ พวกเงิน และทองเป็นลังๆ เขาได้เล่าเพื่อตอบแทนคนในหมู่บ้าน ที่ให้ที่พักแก่เขา เพราะเขาคิดว่าตัวเองคงจะไม่รอด อยากให้ชาวบ้านพากันไปค้นหาเอา
ปู่ของเราก็ได้อยู่ในตอนนั้นด้วย แต่ว่า ผกค.คนนั้นดันรอดตาย แล้วเดินทางออกจากหมู่บ้านไปมอบตัว ร่วมเป็นผู้พัฒนาชาติไทย พอเหตุการณ์ผ่านไป2ปี เขาคนนั้นได้กลับมาที่หมู่บ้านของเรา พาเพื่อนมาด้วยอีก2คน พร้อมมาชักชวนคนในหมู่บ้านได้คนไปอีก5-6คน ปู่เราก็ถูกมาชวน แต่ปู่ไม่เอาด้วย เพราะไม่ได้สนใจในทรัพย์สินพวกนั้น
พวกเค้าก็ไปกันเอง ปู่ว่า หายกันไปร่วม7วันก็ยังไม่กลับออกมา พวกลูกเมียญาติพี่น้องของคนในหมู่บ้านที่ร่วมเดินทางไปด้วยก็กังวลใจ ร้อนใจ ขอให้ผู้ใหญ่บ้านช่วย ผู้ใหญ่บ้านก็มาหาปู่ เพราะรู้ว่าปู่ เป็นคนมีวิชาเดินป่า เข้าป่าหาของป่าบ่อย พอปู่เห็นว่าชาวบ้านเดือดร้อน ก็เลยรับปากออกร่วมเดินทางกับกลุ่มผู้ใหญ่บ้าน แกะรอยเข้าป่า ไปกัน6คนรวมปู่
ปู่นั้นเป็นคนที่สะกดรอยเก่ง ปู่ใช้เวลาร่วม3วัน ก็พากลุ่มคนที่ค้นหา ไปจนเจอถ้ำลับของ ผกค.ที่ว่าอย่างยากลำบาก เพราะทางเดินในป่ามันไม่ได้เดินสบายเหมือนเดินปิคนิกตามสถานที่ท่องเที่ยว แต่ปู่ว่าพอเข้าไปทุกคนก็ต้องชะงักหมด เพราะในถ้ำ มีแต่กลิ่นคาวเลือดและเหม็นเน่าโชยออกมา ถ้ำนั้น เป็นถ้ำที่ถูกขุดเจาะเข้าไปในหินของภูเขา ปากถ้ำพอจะสว่าง แต่ด้านในมืด อับทึบ
ตรงด้านหน้าก็รกมาก เพราะมีการเอาพวกรากไม้ และเถาวัลย์ป่ามาอำพรางไว้ มีเก้าอี้และโต๊ะทำจากไม้ท่อนๆวางอยู่หน้าถ้ำ ในความเลือนลางๆของปากถ้ำ มีร่าง ร่างนึง การแต่งตัวเหมือนชาวบ้าน นอนคว่ำหน้า ที่ด้านหลังมีมีดปักอยู่ที่ก้านคอ ทุกคนก็กรูเข้าไปมุง ปู่เป็นคน จับศพคนแรก พบว่า เป็นศพลุงจิ้ง คนในหมู่บ้าน ที่ตาม อดีต ผกค.คนนั้นมา
สภาพศพลุงจิ้งนั้น ปู่ว่า เหมือนกำลังพยายามวิ่งหนีอะไรบางอย่างออกมาจากด้านใน ดูได้จากสภาพศพคือ คงถอดรองเท้าทิ้งไปเพื่อจะวิ่งได้เต็มที่ แต่ก็โดนมีดเล่มนั้น ปักที่ก้านคออย่างแรง จนทะลุลูกกระเดือกออกมา แล้วลุงจิ้งก็คงล้มลงขาดใจตายที่ตรงนั้น สภาพศพคือบวมอืดและเน่าเหม็นมาก มีรอยกัดแทะจนแหว่งไปบางส่วน จนบางคนพากันออกไปยืนอ้วกหน้าถ้ำ
ปู่ว่า ลุงจิ้งนั้น ถูกชวนมาแทนปู่ เพราะเป็นคนมีวิชาอาคมอยู่บ้าง แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นเก่งเท่าปู่ พอปู่ไม่ร่วมทางมา ผกค.คนนั้นเลยสอบถามคนในหมู่บ้าน จนไปได้ลุงจิ้งแทน ซึ่งตอนนั้น ปู่ก็ไม่รู้สาเหตุหรอกว่า ทำไมถึงต้องเอาคนมีวิชาอาคมมาด้วย ก็แค่กลับมาเอาทองของพวกตัวเอง
พอปู่สำรวจศพลุงจิ้ง พบว่าในย่ามประจำตัวแก มีทองแท่งเล็กๆอยู่4แท่ง จับออกมากระทบแสงไฟฉายแวววาว ปู่ส่งให้ทุกคนจับดู ทุกคนก็ลืมกลิ่นเหม็นเน่า มายืนจับทองคำแท่งเล่นกันหมด
"ไอ๊ย๊ะ ทองคำเบอะนิ มีจริงกันหล่าว"
"เอาพรือละพ่อ อิเข้าไปแลม้าย ข้างใน"
ตอนนั้นปู่เสนอทุกคนว่า อย่าเลย ตายกันหมดแล้วล่ะ ตาจิ้งคงเป็นคนสุดท้ายที่รอดอยู่ตอนนั้น และพยายามวิ่งหนี แต่ก็ไม่รอดอยู่ดี เลยมานอนตายตรงนี้เป็นคนสุดท้าย ปู่ชวนทุกคนกลับหมู่บ้าน เพื่อไปส่งข่าวญาติพี่น้องของพวกเค้า
"แล้วศพพี่น้องโหม๋เราเอาพรือพ่อ อิปล่อยเน่าคาถ้ำพันนี้เหอ"
"แล้วแต่โหม๋ซู้ต่ะ ว่าอิช่วยกันแบกศพหลบบ้านม้าย แต่กูม้ายแบกฮ้าน เดินเองกูยังเอื่อยเล้ย"
คนหนุ่ม4คนก็มองหน้ากัน แล้วมองไปที่ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ใหญ่บ้านเองแกก็ครุ่นคิดหนักอยู่พักใหญ่ๆ อาจจะเพราะใจนึงก็อยากทำตามคำพูดปู่ เพราะการจะแบกศพที่ตายมาน่าจะหลายวันโทงๆกลางป่า เพื่อกลับไปให้ญาติในหมู่บ้านได้ดู มันก็หนักหนาพอดู
6คน ต่อ6ศพ ที่น่าจะตายหมดแล้ว กับการหามออกจากป่า เป็นอะไรที่ไม่น่าทำอย่างยิ่ง ครั้นจะออกไปตามคนมาหาม ก็จะเป็นการยุ่งยากเสียเปล่าๆ เสียเวลาทำมาหากิน
ลุงผู้ใหญ่บ้านเลยเสนอ
"เอาพันนี้ต่ะ เราช่วยกันหาศพโหม๋บ้านเรา ออกมาเผาหน้าถ้ำ ให้ฉ๊าด แล้วเอากระดูกมันหลบดีม้าย ญาติพี่น้องมันได้เอาไปทำพิธี"
ทุกๆคนเห็นด้วย ว่าควรปักหลักเผาศพคนของหมู่บ้านที่หน้าถ้ำให้หมดก่อน แล้วเอากระดูกกลับไปบำเพ็ญกุศลศพ ก็เลยพากันไปปักหลักห่างจากปากถ้ำที่ว่า ประมาณ100เมตร ปู่บอกว่า ในความรู้สึกของปู่นั้น มีความกังวลใจอยู่ลึกๆ แต่ปู่ไม่รู้จะบอกคนอื่นๆยังไง กลัวคนอื่นๆจะหาว่าปู่ขี้ขลาดเกินไปและไม่รักพี่น้องร่วมหมู่บ้าน
ทุกคนช่วยกันตัดไม้ และใบไม้บริเวณนั้น มาสร้างเป็นเพิงพักกันน้ำค้าง ใกล้กองหินใหญ่ ตรงนั้นมีต้นเหรียง ต้นใหญ่ขึ้นอยู่ วางข้าวของเอาไว้ แล้วก็ช่วยกันหาไม้แห้งเท่าที่จะหาได้ มาก่อกองฟอนเผาศพตาจิ้ง ที่ใกล้ๆหน้าถ้ำเป็นศพแรก กว่าไฟจะกินเนื้อเน่าๆของศพจนหมดก็ย่ำค่ำ ก็พักกินข้าวกัน แต่กลืนกันไม่ค่อยจะลง เพราะกลิ่นเผาศพมันอวล แล้วภาพตอนศพโดนไฟเผา มันก็ติดตา ก็เลยกินได้แค่คนละนิดละหน่อย
น้ำท่าก็ไม่ได้อาบกัน เพราะลำธารเล็กๆสายนึงนั้นอยู่ไกลจากจุดนั้นพอสมควร ก่อนนอน ปู่ก็ทำพิธีขออนุญาตเจ้าป่าเจ้าเขาเจ้าที่ ผีเจ้าถิ่นเพื่อนอนที่นั่น ทุกคนนอนในเพิ่งไม้สดชั่วคราว ผลัดกันนอนและผลัดกันตื่นมาดูรอบๆ โชคดีที่ช่วงนั้น ไม่ใช่หน้าฝน ก็เลยไม่มีปัญหาอะไรเรื่องฝนตก
ปู่ว่าในช่วงที่ปู่หลับนั้น ปู่ก็ฝัน ฝันว่า มีผู้ชายตัวสีแดง ร่างใหญ่มาก เดินเข้ามาหาปู่ หน้าตานั้นนิ่งๆ แต่มีหนวดเคราสีขาวล้วนเข้ามาถามไถ่พอจับใจความได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่หลักๆคือ
"โหม๋ซู้ อย่าเที่ยวไปหยิบเอาทอง เอาคำ ทรัพย์สิน ในถ้ำนั้นนะ เดี๋ยวอิหาว่าฉ้านม้ายเตือน นี้ฉ้านมาเตือน เพราะเห็นว่าโหม๋ซู้ มีความเคารพยำเกรงให้ฉ้านนะ"
พอบอกเท่านั้น คนร่างแดงในฝัน ก็เดินหายเข้าป่าไป แต่ว่าปู่ก็ไม่ได้ตื่นหรืออะไร แต่ยังฝันต่อไปอีกว่า พอเว้นช่วงจากฝันเห็นคนร่างใหญ่สีแดงมาเตือนแล้ว ก็ยังฝันอีกว่า ตัวเองนั้นเดินไปที่ถ้ำนั้นคนเดียว พอเดินไปถึงปากถ้ำ ก็พบผู้ชายคนนึงยืนดักอยู่ที่ปากถ้ำ หน้าตาเค้าดุมาก และดูไม่พอใจที่ปู่เดินเข้ามา ในฝันเค้าขู่ปู่ว่า
"ฉ้านไม่ว่า ที่เติ้น อีพากันมาเอาศพโหม๋ซู้ในถ้ำไปเผา แต่ฉ้านขอเตือนเติ้นไว้ก่อนนะ ว่าห้ามเอาไอ้ไหรไปแม้แต่ชิ้นเดียว ไม่งั้นโหม๋ฉ้าน อีตามฆ่าคนเอาไปให้ฉาด จำคำฉ้านที่บอกไว้ให้ดี"
..... ... เมื่อตื่นมาตอนเช้า ปู่เล่าเรื่องความฝันให้ทุกคนฟัง และเตือนทุกคนว่าอย่าไปหยิบฉวยอะไรในถ้ำนั้นมาเป็นของตัวเอง เพราะเจ้าของเค้าหวง และวิญญาณแรงมาก แถมไม่ได้มีแค่ดวงเดียว พอทำธุระส่วนตัวกันเสร็จแล้ว ปู่ก็เป็นคนไปทำพิธีเก็บอัฐิตาจิ้งใส่ผ้าที่ตัดมาจากผ้าขาวม้า เพราะไม่ได้เตรียมอะไรมา
........ ทุกคืนยืนสงบนิ่งไว้อาลัย มีดเล่มที่ปักก้านคอตาจิ้งจนตายนั้น ปู่จับดู เห็นมีอักขระอาคมก็เลยรู้ว่า มันเป็นมีดของตาจิ้งเอง ไม่ใช่ของใคร มีดตัวเอง ปักคอตัวเอง ปู่เดาเรื่องราวไม่ได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในวันนั้น ปู่ยื่นมีดเล่มนั้นให้ผู้ใหญ่บ้านถือไว้ แล้วบอกให้ผู้ใหญ่บ้านกับ คนหนุ่มอีกคนรอด้านนอก ส่วนปู่กับคนหนุ่มอีก4คนจะเข้าไปดูด้านใน ปู่ถามความสมัครใจว่าใครอยากเข้าไปบ้าง ขอคนที่มีความพร้อม เพราะข้างใน มันคงจะมีสภาพน่าสะอิดสะเอียนมากแน่ๆ เพราะกลิ่นที่โชยออกมามันฟ้อง
พอตกลงกันได้แล้ว ปู่ก็สั่งผู้ใหญ่บ้านไว้ว่า
"ถ้าโหม๋ฉ้าน ไม่หลบออกมา ภายใน1 ชม.กลับไปแจ้งข่าวคนในหมู่บ้านได้เลย แล้วไม่ต้องพากันมาตามหาอีก"
..... ....ปู่ก็เป็นคนนำคนหนุ่มทั้ง4คนเข้าไป ถ้ำนั้น ไม่ได้กว้างอะไรมากมาย แค่พอให้คน2คนเดินคู่กันเข้าไปได้ ผนังถ้ำก็แห้ง และไม่มีความเรียบ เพราะน่าจะเป็นการใช้คนขุด ทุกคนช่วยกันสาดไฟฉายเพื่อดู
ยิ่งเดินเข้าไปลึก ยิ่งอึดอัด มีข้าวของเก่าๆวางอยู่บ้างตามพื้น กลิ่นเหม็นเน่ารุนแรงปนสาบสางก็โชยออกมาไม่หยุด จนคนนึง บ่นออกมาว่า
"เหม็นอิตายโหง"
..... ....ทุกคนต้องเอาผ้าขาวม้าตัวเองขึ้นปิดจมูก แล้วปู่ก็เจอห้อง ที่มีลักษณะกว้าง มีอุปกรณ์ข้าวของเครื่องใช้วางเต็มไปหมด ทุกชิ้นมีฝุ่นเกาะเต็ม บางชิ้นเหมือนมีรอยมือคนจับเมื่อไม่นานมานี้ ก็น่าจะเป็นรอยมือของกลุ่มคนที่มาก่อนหน้านี้นี่แหละ
ปู่กวาดไฟฉายดูไปรอบห้อง เห็นมีปล่องเล็กๆ เจาะขึ้นไป ในหลายๆด้านทางด้านบน น่าจะเป็นรูระบายอากาศของถ้ำ ในถ้ำมีเครื่องสนิมเขลอะ ที่น่าจะเป็นเครื่องปั่นไฟตั้งอยู่ด้วย เพราะเห็นมีสายไฟเก่าๆเชื่อมออกมาจากเครื่องนั้น หลอดไฟก็ยังมีอยู่ ทุกคนช่วยกันส่องไฟ แต่ไม่ยอมแตกกลุ่ม ปู่เห็นยังมีทางไปต่อ เลยเดินนำเข้าไป
........พอเข้าไปถึง แสงไฟกระทบ ก็พบความสยดสยอง ศพทุกศพ นอนตายขึ้นอืดส่งกลิ่นเหม็นตลบอบอวลภายในถ้ำ จนบางคนต้องยืนอ้วก ฝูงแมลงเกาะศพ กระจายหึ่ง เมื่อปู่เข้าใกล้ ปู่เดินไปสำรวจที่ศพแต่ละศพ
ศพหนึ่ง แต่งตัวเป็นเอกลักษณ์ที่ปู่จำได้ว่า คืออดีต ผกค.คนนั้น ที่เป็นคนมาชวนทุกคนกลับมาเอาสมบัติ นอนคว่ำหน้าขึ้นอืด ในมือขวากำปืนพก ปลอกกระสุนตกเกลื่อนห้อง ที่ขมับขวา มีรอยเจาะของกระสุน ส่วนศพอื่นๆนั้น บางศพถูกยิง บางศพมีรอยมีดปาดคอ
ในห้องนั้น มีลังไม้ลังเหล็กตั้งอยู่หลายหลัง ลังนึงมีรอยเปิดฝาทิ้งไว้ มีทองคำบางส่วนกระจายอยู่ที่พื้น
.... ปู่เข้าไปดู ทุกคนร้อง หูววว เพราะไม่เคยเห็นทองคำแท่งมากขนาดนี้ ปู่บอกว่า บนทองมีภาษาที่ไม่น่าใช่ภาษาไทย ประทับอยู่ ปู่ก็ไม่รู้ว่ามันคือภาษาอะไร เพราะปู่ไม่คุ้นชิน ถ้าเป็น บาลี สันสกฤต อันนี้ปู่ถนัด
คนอื่นๆก็ไปเปิดดูลังอื่นๆที่ตั้งอยู่ ในนั้นมีทั้งทอง เงิน อาวุธ อาหารกระป๋อง เต็มไปหมด ปู่ได้แต่พร่ำบอกทุกคนว่า
"โหม๋มืงอย่าเที่ยวลักหยบ หยิบของเค้าไปฮ้าน ไม่งั้นอิได้นอนตายเหมือนโหม๋นี้และ"
.....ทุกคนก็รับทราบ พอเห็นความสยองที่อยู่ตรงหน้าแล้ว ก็ไม่มีใครกล้าคว้าเอาไป ปู่เป็นคนสำรวจศพ ก็พบคนของหมู่บ้านอีก4ศพ ก่อนจะหันหน้าไปถามคนหนุ่มที่มาด้วยกัน ด้วยความสงสัย
"เออ นี้ตอนมันมา มีใครรู้หม้าย ว่าคนบ้านเรามากันกี่คนแน่"
"มากัน6คนนิสาว่า รวมโหม๋ประอื่น3 รวมทั้งเพ9คน..พ่อ"
"อืม ศพไอ้จิ้ง นอนอยู่หน้าถ้ำ ในนี้มีอีก7 เป็นคนบ้านเรา4 แล้วหายไปไหน1วะ"
คนอื่นๆก็ช่วยกันนับและพยายามหา แต่ก็หาอีกศพไม่เจอจริงๆ แต่คนหนุ่มคนนึงที่แยกออกไปด้านหลังหลัง ก็ร้องลั่นตกใจวิ่งตีนแตกออกมา
"เห้ยๆๆๆๆโว้ยๆๆๆๆๆ"
"เห้ยๆ ไอ่ไหรมืง เป็นไหร"
"และเอาต่ะ ที่พิ้นประหลัง ลังฮั้น"
....ปู่เดินไปส่องไฟดู ก็พบว่า มีโครงกระดูกคน ลักษณะเก่าแล้ว นอนกองอยู่ที่พื้นแบบทับกันไปมาหลายโครง กระดูกและหัวกะโหลกเป็นท่อนๆแลขาวโพลน มีเศษดินเกาะ แต่อีกโครงหนึ่ง นั่งพิงผนังถ้ำอยู่ ข้างตัวมีปืนกลตกอยู่ แล้วบนศพที่นั่งนั้น ก็มีมีดสั้นคาอยู่ที่ซี่โครง ปู่ไม่อาจเดาเหตุการณ์ได้ จึงได้แต่ทำการขนศพเพื่อนบ้านที่นอนตายอืดที่พบ4ร่างนั้นออกไปเผานอกถ้ำ
เป็นการเผา4ศพในคราวเดียว ต้องขนฟืนกันเหนื่อยหนัก เพราะการจะเผาให้หมด ต้องใช้ไม้ค่อนข้างเยอะ เรียกว่าไม้แห้งบริเวณนั้น ไม่มีเหลือสักต้นเดียว เพราะโดนขนมาเผาศพจนเรียบ
......ปู่บอกกับผู้ใหญ่บ้านว่า อีกศพหาไม่พบ ไม่แน่ว่าอาจจะหนีรอดออกไปได้ ตกลงคืนนั้นก็ต้องนอนตรงนั้นอีกคืน เพราะกว่าจะเผาศพได้หมดทั้ง4ศพ ก็กินเวลาหมดวัน
ส่วนศพพวกที่เหลือนั้น ปู่ไม่นำพา ปล่อยให้เน่าคาถ้ำไป
คืนนั้น ทุกคนเลยนอนที่เพิงไม้สดนั้นอีกคืน ตกดึก ขณะที่ปู่กำลังนั่งเคลิ้มๆที่โคนต้นเหรียงใหญ่ด้วยความเพลิน ปู่ก็ได้ยินเสียงลอยลมมา
"ฮืออออออออออออออออออออออออออออ"
....ปู่เหงี่ยหูฟัง ก็ยังได้ยินเสียง "ฮืออออออออออออ"ลากยาวลอยมา ปู่หันไปมองยังจุดที่เผาศพ ที่ยังมีถ่านแดงๆวับๆแวมๆอยู่ ปู่ก็เห็นว่ามีเงา4เงากำลังนั่งร้องไห้อยู่ส่งเสียงน่าเวทนา
พอปู่จ้องมองนานๆเข้า เงาที่ว่า ก็เหมือนจะพากันเดินตรงมาที่ปู่
ปู่บอกว่า ปู่ไม่ได้กลัวพวกนั้น แต่ปู่กลัวคนที่นอนอยู่ตื่นขึ้นมาเห็นแล้วจะขวัญผวา ปู่เลยตะโกนไปเบาๆว่า
"พรือล่ะ ม้ายต้องเข้ามา ตอเช้าอิพาหลบไปหาญาติ รอนั้นแนะ โหม๋นี้มันอีขลาดเอา"
......แล้วเงาเหล่านั้น ก็พากันเดินกลับไปที่เดิมแล้วก็หายไป ปู่ว่าไม่รู้ว่ามันร้องไห้เสียใจที่ตาย หรือดีใจที่มีคนมาพากลับ แต่คงน่าจะดีใจมากกว่า เพราะปู่ว่า ถ้าคนตายโหง ไม่มีคนเชิญวิญญาณ ก็จะไปไหนไม่ได้ ต้องเฝ้าตรงนั้นไปอดๆอยากๆ จนกว่าจะสิ้นกรรม
ยิ่งดึกน้ำค้างลง อากาศเย็นและหนาว ปู่นั่งหาวอยู่ข้างกองไฟใต้ต้นเหรียงใหญ่คนเดียว เหลียวมองไปรอบทิศตลอด ได้ยินเสียงหมาป่าหมาไนหอนแว่วๆมาแต่ไกล เสียงสัตว์หากินกลางคืนก็ดังสลับ ยอดไม้โดนลมพัดเสียงดังซ่าๆ
.....ปู่หลับไปอีกคำรบ และจบด้วยการฝันอีกครา ในฝันปู่เห็นผู้ชายตัวเเดงหนวดเคราสีขาวร่างใหญ่คนเดิม เดินมาหา ข้างๆกันนั้น เป็นผู้ชายที่ชื่อบ่าวกริช ซึ่งร่วมขบวนมาเอาสมบัติ และเป็นคนที่ไม่พบศพในถ้ำเดินตามมาด้วย พอมาถึง บ่าวกริชก็นั่งคุกเข่าลงข้างๆ ชายร่างแดงก็พูดออกมาว่า
"เอานี่ มาพามันหลบกัน กูพามันมาส่ง"
....แล้วชายร่างแดงก็เดินผ่านไปอีกด้าน ในฝันนั้นปู่ถามบ่าวกริชที่นั่งคุกเข่าร้องไห้อยู่ไปมากมาย ซึ่งพอตื่นมาปู่ก็จำไม่ได้ รู้แค่ว่าคุยกันเยอะมาก แต่หลักๆคือ บ่าวกริชได้เล่าให้ฟังว่าเข้าไปในถ้ำแล้วมีคนถูกผีเข้าลงมือฆ่าทุกคนทิ้ง ตัวเองกับตาจิ้งวิ่งหนีออกมาได้ ได้ทองติดตัวมาคนละ3-4แท่ง แต่ตาจิ้งนั้นแก่กว่า เลยวิ่งตามบ่าวกริชไม่ทัน บ่าวกริชหลุดออกจากถ้ำได้ก็วิ่งไม่เหลียวหลัง รู้ตัวอีกทีคือวิ่งหนีไปไกล จนไม่เห็นใครตามมา
.......บ่าวกริชไม่ใช่คนชำนาญป่า ก็เดินเร่ร่อนตะโกนขอความช่วยเหลือไปเรื่อยๆ จนเหนื่อย นอนก็นอนไม่ค่อยได้ เพราะไม่มีอุปกรณ์อำนวยช่วยอะไรเลยนอกจากตัวเปล่าๆกับเสื้อผ้า และทองคำ3แท่งในกระเป๋า เดินออกไปได้ราวๆ2คืน ก็ผลัดตกหลุมที่อยู่กลางป่าตรงไหนสักที่ในป่านี้ หลุมนั้นทั้งลึกและแคบ ตัวเองจะขยับไปทางไหนก็ไม่ได้ ได้แต่ร้องไห้ก่อนจะตายอย่างทรมานในหลุมปล่องที่ว่า พอตายถึงได้ขึ้นมายืนอยู่ที่ปากปล่อง แต่ก็ไม่รู้จะไปทางไหนเหมือนเดิม จนเจอคนร่างใหญ่ตัวแดงผ่านมา จึงยกมือไหว้ขอความช่วยเหลือ
"เขาก็กรุณาให้เดินตามมาด้วย แล้วบอกว่า พวกของผมตามมาช่วย อยู่ที่ปากถ้ำ ก้เลยตามเค้ามา"
.....นี่คือเหตุการณ์คร่าวๆของการฝัน ที่ปู่พอจะเรียบเรียงได้ เพราะฝันไม่ใช่นิมิต การจะทำอะไรตามใจคิด จึงทำไม่ได้สะดวก ความฝันมันโดดไปโดดมา บางครั้งมันก็เลือนตา ปู่รู้แล้วว่า วิญญาณบ่าวกริชมาอยู่แถวนั้นแล้ว พอเช้า ปู่ก็ทำพิธีเก็บอัฐิคนที่เหลือทุกคน พร้อมกับทำพิธีเชิญดวงวิญญาณของทุกคนกลับบ้านด้วยกัน ในส่วนศพของบ่าวกริชนั้น คงไม่ต้องไปเสียเวลาตามหา เพราะถ้าตก ลงไปในปล่องลึกกลางป่า ก็จนปัญญาที่จะเอาขึ้นมา
.....ก่อนจะกลับออกมาจากตรงนั้น ปู่ยังมีความรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ เพราะสัมผัสได้ถึงความอึดอัดบางอย่าง แผ่ออกมาจากในถ้ำนั้น
ปู่ให้ทุกคนช่วยกันพรางปากถ้ำ ด้วยวัสดุธรรมชาติทุกอย่างที่พอจะหาได้ เอามากองปิดปากถ้ำไว้ อย่างน้อยๆก้ป้องกันเอาไว้เผื่อในอนาคตมีชาวบ้านผ่านมาหาของป่าทางนี้แล้วจะได้ไม่เห็นปากถ้ำ
ปู่นั้นมีความสามารถในการผูกหุ่นพยนต์อาคม (ดังที่เคยผูกหุ่นไว้สู้กับกองทัพผีมโนราห์ในเรื่องเล่ามโนราห์หน้าขาวนั้น) ปู่เลยจัดการ เอาผงกระดูกจากทั้ง5ศพของชาวบ้านนั่นแหล่ะ เป็นวัตถุดิบ ปั้นเข้ากับดินเหนียว ก่อนจะเสกคาถากำกับ
เอาหุ่นพยนต์ตั้งไว้ใต้ต้นเหรียง ให้หันหน้าไปทางปากถ้ำ
........ปู่พาทุกคนเดินกลับบ้าน ปู่เป็นคนนำทาง เดินบ้าง หยุดพักบ้าง เนื้อตัวเหม็นอบอวล เพราะไม่ได้อาบน้ำ แต่ละคนเลยอยู่ในสภาพมอมแมม ปู่เป็นคนเก็บอัฐิของของชาวหมู่บ้านที่เสียชีวิตไว้ในย่าม นอกจากนี้ ปู่ยังเก็บเอาผงขี้เถ้าจากเชิงตะกอนเผาศพติดมาด้วย
........ปู่ว่า ก็ไม่ได้ตั้งใจจะเก็บติดมาด้วยหรอก แต่มีความรู้สึกสังหรณ์ในใจแบบบอกไม่ถูก เลยเอามาด้วยไปงั้นๆ แต่มันก็เกิดความประหลาดขึ้น เพราะมีหลายต่อหลายครั้ง ที่ปู่พาทุกคนเดินวนกลับมาทางเดิม จนพวกคนหนุ่มๆตกใจ
"พ่อเฒ่า นี้มันทางเดิมเบอะนิ"
"เออว่ะ ไอ้ไหร้วะ กูว่ากูไม่พลาดแล้วนะ"
......พ่อบอกเราว่า การเดินวนกลับมาที่เดิมในครั้งนั้น ปู่บอกพ่อไว้ว่า เป็นครั้งแรกในชีวิตของปู่เลยก็ว่าได้ นับตั้งแต่เติบใหญ่มา ที่เดินหลงป่า แต่ปู่ก็พยายามพาทุกคนเดินไปข้างหน้าได้ทุกครั้ง แต่ก็เสียเวลาไปมาก
ป่าในภาคใต้นั้น มักจะเป็นป่าดิบชื้น มีความรกเรื้อสูงในถิ่นที่ไม่ค่อยมีคนผ่านไป ไม่ใช่ป่าที่เหมาะจะไปเดินเล่นนานๆ ปู่พาทุกคนเดินมาถึงจุดที่มีลำธารเล็กๆ ก็ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว เพราะอยู่ในป่ามันเลยมืดไวกว่าปกติ เลยพาทุกคนไปตั้งจุดนอนใกล้ๆธารน้ำเล็กๆนั้น เพื่อให้ทุกคนได้อาบน้ำกัน
......ปู่ไปเจอด้านหนึ่งมีลักษณะเป็นเวิ้งถ้ำเล็กๆ ก็เลยพากันไปนอนตรงนั้น ก่อไฟตั้งไว้ด้านหน้า หุงหาอาหารแบ่งกันกิน พูดคุยกันเรื่อยเปื่อย ปู่รู้ทุกคนเหนื่อย และอยากกลับถึงบ้านไวๆ ปู่พูดให้กำลังใจทุกๆคน ผู้ใหญ่บ้านก็ขอบคุณปู่ ที่ร่วมเดินทางมาด้วย ไม่งั้นก็คงหมดท่าหมดปัญญาตามหาจนเจอแบบนี้
ก่อนนอนคืนนั้น ปู่ทำพิธีกั้นเขตอาคมไว้รอบปากถ้ำ
"พ่อเฒ่า อีทำพิธีกั้นอาคมทำไหร่อ่ะ"
"ขอสักหิดสักหุยและน่า ม้ายทำกะพรือโฉ้แปลกๆไม่บายใจนิ"
......คนหนุ่มๆนั้นสนใจในเรื่อง วิชาอาคมของปู่มาก หลายๆคนในหมู่บ้าน รับรู้ว่าปู่มีดีด้านนี้ เพราะเป็นศิษย์สำนักวัดเขาอ้อ ตัวปู่นั้นเต็มไปด้วยอัขระเลขยันต์ ที่ได้รับการสักโดยตรงมาจากสำนักวัดเขาอ้อ
.....ในย่ามของปู่ จะมีเครื่องราง ของขลังอยู่ ที่แม้แต่พ่อเองก็ไม่เคยได้เห็น พ่อบอกว่า ถ้าปู่ไม่เอาออกมาให้ดู ใครก็ไม่กล้าไปยุ่งแม้แต่พ่อ
......ปู่นั้นเป็นคนใจดี แต่ถ้าไปยุ่งกับย่ามส่วนตัว ปู่จะโกรธมากๆ พ่อบอกว่า ปู่เป็นคนอยู่ยงคงกระพันด้วย เพราะเคยเข้าพิธีอาบน้ำว่านมาแล้ว ที่พ่อกล้าพูด เพราะพ่อเคยเห็นมาแล้วเมื่อครั้งนึงพ่อไปกับปู่แล้วเจอโจรดักปล้นกลางทาง ปู่สู้แล้วถูกโจรเอาดาบยาวฟันเข้าเต็มกลางหลังขาดแต่เสื้อกับมีรอยช้ำของคมดาบแต่ไม่เข้าเนื้อ
โจรมากัน2คน แล้วตอนนั้นพ่อก็ยังเด็ก โจรฟันปู่ไม่เข้าก็ตกใจพากันวิ่งหนีไป
......ปู่เคยบอกไว้ว่า วิชาอะไรพวกนี้ จะขลังมากขลังน้อย ก็แล้วแต่การปฏิบัติตัวและจิตของแต่ละคน ปู่นั้น บอกไว้เสมอว่า ในรุ่นของปู่ที่ได้เรียนวิชาเหล่านี้มานั้น ปู่เป็นคนที่ด้อยที่สุด เมื่อเทียบกับเพื่อนอีก2คน ที่อยู่พัทลุง และอีกคนที่ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหน
(เพื่อนชาวพัทลุงคนนั้นของปู่คือคนที่มาช่วยปราบผีมโนราห์ในเรื่องเล่ามโนราห์หน้าขาวนั่นเอง)
.....วิชาถนัดของปู่นั้นคือ การเสกหุ่นพยนต์ ซึ่งพ่อเคยขอให้ปู่สอนให้ แต่สุดท้ายปู่ก็ไม่เคยสอนอะไรพ่อเลย ปู่บอกว่า ตอนแกดั้นด้นไปเรียนมา ได้รับปากพระอาจารย์ไว้แล้วว่า จะไม่ถ่ายทอดให้ลูกหลานคนใด เพราะถ้าใครอยากได้จริงๆ ก็ต้องเดินทางไปขอเรียนเอง (ปัจจุบันสำนักวัดเขาอ้อไม่มีเหลือผู้ที่จะถ่ายทอดได้อีกแล้ว คนสุดท้ายของสายเขาอ้อที่พอจะถ่ายทอดวิชาให้ลูกศิษย์อื่นได้ก็คือ ท่านพระอาจารย์นำ วัดดอนศาลา ที่ท่านมรณะภาพไปแล้ว)
.....คืนนั้นทุกคนก็หลับกันไปด้วยความเพลีย ใครตื่นก็ลุกมาเขี่ยกองไฟและเพิ่มฟืนเป็นครั้งคราว ปู่นั้นหลับสนิทไป แต่ก็รู้สึกมีใครมาสะกิด
"พ่อ พ่อ พ่อ ตื่นๆ"
ปู่ปรือตาขึ้นมอง ปู่บอกว่าเป็นวิญญาณของบ่าวกริช คนที่ตกปล่องลึกตายแล้วมีชายร่างแดงพามาส่งนั่นเอง ปู่ก็ส่งกระแสจิตไปถาม เพราะบ่าวกริช เป็นวิญญาณ ไม่มีกายเนื้อ เลยไม่สามารถพูดคุยกันได้ตามปกติ ก็ส่งคำพูดผ่านทางการนึกคิดไปหา
"พรือ บ่าวกริช มีไหร"
"หุ่นพยนต์ที่พ่อตั้งให้เฝ้าไว้หน้าถ้ำ แพ้เค้าแล้ว เค้าเยอะกว่า แข็งแรงกว่า เค้ากำลังพากันมาทางนี้ ฉ้านหลบก่อนนะ ฉ้านช่วยไหรไม่ได้ เท่าแต่มาเตือน"
.....ปู่นั้นหนักใจไม่น้อย คิดไม่ตกว่า ทำไมวิญญาณในถ้ำยังจะตามมาอีกตามที่บ่าวกริชมาเตือน ปู่ตัดสินใจปลุกทุกคน แล้วแจกตะกรุด ให้คล้องข้อมือ ทุกคนก็งงๆแต่ก็รับไปคล้องแต่โดยดีแล้วหลับต่อ ความวิเวกวังเวงปกคลุม เสียงจิ้งหรีดหริ่งเรไรระรัวไปทั่วราวป่ายามดึก ลมพัดมา ดัง วู้ววววววววว วู้วววววววว ซ่าาาาาาาาาาาา
ปู่หยิบมีดอาคม ที่แทบจะไม่เคยเอาออกมาจากย่าม ที่ปลายด้ามสลักรูปฤาษีออกมาพนมมือท่องคาถา ก่อนจะปักลงบนพื้นดินไว้ด้านหน้าถ้ำ นั่งรออยู่พักเดียว ก็มีเสียงดัง "ตุ๊บ" ลงมาตรงกลางลานดินหน้าเพิงถ้ำ
"เอาของคืนไป"
......เสียงปริศนาดังแว่บมาในสมองของปู่ ที่หล่นมาคือหัวของหุ่นพยนต์ที่ปู่ปลุกเสกตั้งไว้เฝ้าหน้าถ้ำด้วยความสังหรณ์ส่วนตัวนั่นแล่ะ
หุ่นพยนต์คงสู้กับพวกผี ผกค.ในถ้ำจนพ่ายแพ้เลยถูกตัดหัวมาโยนทิ้งไว้แบบนี้เพื่อเยาะเย้ยปู่
.....ปู่หันไปมองที่ด้านนอกระยะแสงกองไฟ ปรากฏเงาคนหลายคนยืนอยู่ พวกนั้นได้แต่ยืนขู่อยู่ด้านนอกวงอาคม ไม่กล้าฝ่าเข้ามา และถึงจะฝ่าเข้ามาได้ ก็ต้องเจอกับมีดอาคมของปู่รออยู่อีก
ปู่บอกว่าตอนนั้นปู่ก็ไม่มั่นใจเท่าไหร่ว่าจะสู้ได้ แต่ก็ทำใจดีสู้ผี เขม็งเกลียวกลับไป เงาผีตนหน้านั้น ในมือเหมือนจะถือดาบคล้ายดาบซามูไรอยู่ นั่นทำให้ปู่แปลกใจไม่น้อย ในขณะที่เงาด้านหลังที่ตามๆกันมา ยืนอยู่นิ่งๆเหมือนรอคำสั่ง ปู่ถามออกไปทางความคิด
"ต้องการอะไรถึงตามมา"
"ชีวิตพวกของมืงในกลุ่ม1คน ถ้าไม่ขวาง กูก็จะเข้าไปเอาชีวิตมันแล้วไป แต่ถ้าขวาง กูจะฆ่าทุกคน"
"กูไม่ให้ พวกนี้กูพามา อยากลองดีก็เข้ามาดู"
....ผีถ้ำ ตัวที่สื่อสารกับปู่ เหมือนจะไม่กลัวปู่ ปู่รับรู้ได้ถึงรังสีอำมหิตที่รุนแรงออกมาจากวิญญาณและคำเจรจา ผีตนนั้นทำท่าจะง้างดาบจะตะลุยฝ่าเขตอาคมเข้ามา ปู่เลยปล่อยควายธนูออกไปสู้ ควายธนูนั้นแข็งแกร่งกว่าหุ่นพยนต์ ปู่ว่า ควายธนูก็ออกไปไล่ขวิดพวกผีกลุ่มนั้นเสียงลั่นป่าเหมือนเสียงต้นไม้หัก จนทุกคนที่หลับอยู่สะดุ้งตกใจตื่น
เ....รื่องปู่ปล่อยควายธนูสู้ผีนี้ เป็นที่เลื่องลือไปทั่วหมู่บ้าน เพราะมีคนเห็นและสัมผัสด้วยหูตัวเองมาแล้วในคืนนั้นเอากลับมาเล่าให้คนในหมู่บ้านฟัง เสียงการสู้กันป่าแตกดังอยู่นานก็สงบไป ควายธนูพุ่งกลับมาหาปู่ ตัวแค่นิดเดียวเป็นควายธนูที่ทำจากสำริดผสมมวลสารหลายอย่าง (พ่อไมไ่ด้แจกแจงว่ามีอะไรบ้าง)
......เสียงร้องโอดโอยอันโหยหวน ดังไกลออกไปจากเขตพัก แล้วเงียบไปในที่สุด ตอนนั้นทุกคนหลับไม่ลงแล้ว เพราะเห็นปาฏิหาริย์อาคมของจริงเต็มๆตา เรื่องเล่าอันนี้ เหมือนนิยายประจำบ้าน ที่พ่อชอบเล่าให้เราฟังก่อนนอนเสมอเวลาก่อนนอน แล้วเรานอนชี้รูปปู่ที่แขวนบนขื่อบ้าน
.....ปู่พาทุกคนพร้อมเถ้ากระดูกคนที่ไปตายกลับมาสู่หมู่บ้านได้สำเร็จ เว้นศพของบ่าวกริช ที่คงจะเน่าอยู่ในปล่องบนป่าตรงไหนสักที่ ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครไปพบ ปู่ได้แต่บอกญาติพี่น้องของบ่าวกริชว่า เอาศพมาไม่ได้ เชิญมาแต่วิญญาณ เป็นการพบกันอีกครั้งที่มีแต่ความเศร้า
.......อัฐิของทั้ง5คน ถูกพาไปทำพิธีสวดและบรรจุไว้ที่วัด
เหตุการณ์คืนมาเป็นปกติสุขอีกครั้ง ปู่ขอให้ทุกๆคนที่ร่วมเดินทางไปช่วยกันโกหกคนอื่นๆว่าไม่มีสมบัติใดๆของ ผกค.ทั้งนั้น มีแต่ผีเฝ้าถ้ำเต็มไปหมด ใครขึ้นป่าไปเจอถ้ำที่มีต้นเหรียงใหญ่อยู่ใกล้ๆอย่าเข้าไปเด็ดขาด
เรื่องเล่าอาถรรพ์สมบัติ ผกค.บนเขาบรรทัดจึงจบลงแค่ตรงนี้
แต่...............................
.......................บ่าวไข่ คนหนุ่มที่ร่วมเดินทางไปกับปู่ ถูกพบนอนตายกลายเป็นศพหัวขาด อยู่กลางทุ่งขณะออกไปส่องกบ ในวันหนึ่ง สภาพศพน่ากลัว แววตาของบ่าวไข่เหลือกลาน คล้ายกลัวอย่างหนักก่อนที่ศีรษะจะถูกฟันขาดภายในทีเดียว เพราะดูจากแผลที่ปรากฏมันบ่งชัด ปู่ได้ไปดูศพบ่าวไข่ด้วย ใกล้ๆศพบ่าวไข่ ปรากฏ ทองคำแท่ง จารึกอักษรที่ปู่ไม่รู้จักตกอยู่1แท่ง ปู่ยืนกัดฟันเสียใจ
ปู่รู้ดีว่าใครทำ ในขณะที่ชาวบ้านมาดูศพแล้วโจษจันกันไปต่างๆนาๆ
....มีเสียงหนึ่งของชาวบ้านดังแว่วมา .....
"นี้มันทองคำแท่งโหม๋ญี่ปุ่นเบอะนิ ไอ้ไข่เอามาแต่ไหนหล่าว"
.................................จบค่ะ..........................................
เรื่องจากพันทิป ตำนานสมบัติอาถรรพ์ บนเทือกเขาบรรทัด พัทลุง-ตรัง
เรื่องโดย สมาชิกพันทิปหมายเลข 3341624
Post a Comment