ผู้กลับมา
เมื่อตอนที่ผมยังเด็ก ผมอาศัยอยู่กับพ่อแม่ เป็นบ้านหลังเล็กๆกลางป่าใหญ่ภายในอาณาเขตของป่าภูหินร่องกล้า บ้าน..หลังคามุงด้วยตับหญ้าคา สานฝาบ้านด้วยใบตองตึงเสริมไม้ไผ่ผ่าซีก เป็นการอยู่อาศัยที่ไกลสิ่งอำนวยความสะดวก และแยกออกไปโดดเดี่ยวจากหมู่บ้านค่อนข้างเยอะ ทว่าละแวกนั้นก็ยังพอมีบ้านคนที่มาหักล้างถางพงจับจองที่ทำกินตั้งอยู่บ้างในระยะเดินไม่เหนื่อย และก็มีเข้ามาเรื่อยๆ เพราะรัฐบาลยุคนั้นสนับสนุนให้ประชาชนถางป่าจับจองที่ดินทำกิน เพื่อเพิ่มผลผลิต
การอาศัยอยู่ในป่า ไม่ได้ทำให้ผมขาดการศึกษาแต่อย่างใด ผมยังเดินตามคันนาตอนเช้ามืดเพื่อไปโรงเรียนในหมู่บ้านได้
ครอบครัวพ่อแม่ผม ทำไร่ข้าวโพด และปลูกข้าวไว้กิน
เงินทองมีความจำเป็นแค่เล็กน้อย เพื่อใช้ซื้อของบางอย่างที่ไม่สามารถหาได้จากป่าเท่านั้น
เวลาว่าง พ่อกับแม่ จะเอาใบกระทอน มาต้มทำน้ำกระทอนไว้ปรุงอาหารแทนผงชูรส
ขนมหวานที่หรูที่สุดของผมคือ ข้าวเหนียวจิ้มนมข้นหวานตรามะลิ ที่พ่อจะซื้อมาให้จากในหมู่บ้าน 1กระป๋องกินได้ครึ่งเดือน
อาหารที่ผมจะได้กินเป็นประจำ มักจะมาจากป่า ไม่ก็ทุ่งนาใกล้ๆบ้าน ทั้งหน่อไม้ ผักหวาน ดอกกระเจียว ปลา กบ ปู เห็ดไค เห็ดเผาะ เห็ดระโงก รวมไปถึงลูกฮวกและแย้ ผลไม้ ก็มักจะเป็นผลไม้ป่า เช่น ลูกเล็บแมวเปรี้ยวๆหวานๆ มันแกวป่า ผลไม้สีแดงลูกเล็กๆออกลูกเป็นพวงๆ กับผลไม้สีเหลือง ต้นเตี้ยเรี่ยดิน และผลไม้ที่ต้นคล้ายต้นปาล์มขนาดเล็ก ที่ผลสุกเหมือนลูกหมากมีความหวานคล้ายๆ อินทผาลัม แต่เล็กกว่ามาก ซึ่งผมก็จำไม่ได้ว่ามันชื่อลูกอะไร เหล่านี้ล้วนเป็นวิถีชีวิตประจำวัน ก็วนกินไปแบบนี้เพราะไม่ค่อยจะมีตัง ในยุคที่ทองคำบาทละ2-3พันบาท และการจะซื้อเทปของทอม ดันดี มาฟังสักตลับ เป็นอะไรที่ยากเกินไปเพราะมันแพง
ช่วงเวลานั้น เป็นช่วงเวลาของการตื่นที่ดินแถบนั้น คนจนมีแรงก็พากันเข้ามาถางจับจอง คนรวยกกว่าก็ตามมาขอซื้อ บางคนก็ขาย แต่บางคนก็ปักหลักทำมาหากินกลายเป็นคนที่นี่ไปเลย ในช่วงนั้นเอง ความโดดเดี่ยวของบ้านผมก็ถูกทำลายลง เพราะมีชายหญิงคู่หนึ่ง เข้ามาปลูกบ้านอยู่ใกล้ๆกับบ้านผม ไกลออกไปประมาณ300เมตร แต่เป็นบ้านที่ค่อนข้างจะดีกว่าบ้านผมอยู่มาก เพราะทำด้วยไม้เลื่อยใหม่ทั้งหลัง
ตอนเขาเริ่มมาตั้งบ้าน เขาก็พากันแวะมาฝากเนื้อฝากตัวกับพ่อแม่ผม เพราะเป็นคนที่อยู่มาก่อน
ผู้ชาย รูปร่างสันทัด แต่ไม่ได้ตัวใหญ่ เข้ามายกมือไหว้พ่อกับแม่ผมแนะนำตัวบอกให้รู้ว่าชื่อบ่าว
ฝ่ายหญิง เป็นผู้หญิงรูปร่างหน้าตาดี ผิวคล้ำ แต่มีความสวยคมผิดแผกจากคนบ้านผม ที่จะดั้งแหมบๆเสียมาก ผมเรียกเธอว่าพี่นาง
ทั้งคู่เป็นผัวเมียพึ่งได้ผูกข้อมือกัน อพยพมาแต่ด่านซ้าย จ.เลย เพื่อมาตั้งรกรากที่นี่ เพราะพ่อของพี่บ่าวยกที่ดินตรงนั้นให้มาทำมาหากิน
การผูกมิตร เป็นไปด้วยดี น้ำใจไมตรีระหว่างครอบครัวผม กับครอบครัวพี่บ่าวเริ่มต้น
พี่บ่าวลงมือทำเกษตรในที่ดินรอบบ้าน ป่าที่ผมเคยไปเดินเล่น ถูกโค่นจนราบ เหลือไว้เพียงเล็กน้อยในต้นไม้ที่ใหญ่เกินไป
ไร่มันสำปะหลังมาแทนที่
รอบๆบ้านพี่บ่าว จึงรายล้อมไปด้วยมันสำปะหลัง และข้าวโพดแป้ง
ส่วนตัวผมนั้น เวลาพ่อกับแม่ ต้องไปในไร่ข้าวโพด ที่อยู่ไกลจากบ้าน แม่มักจะทิ้งผมไว้ที่บ้านคนเดียว
ผมก็เลยชอบเข้าไปเดินเล่นในไร่มันสำปะหลังของพี่บ่าวกับพี่นาง แล้วมันก็เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมได้เห็นผู้ใหญ่ทำอะไรกัน เพราะการได้ยินเสียงแปลกๆดังจากบนบ้าน เลยปีนบันไดขึ้นไปแอบดู ผมถูกจับได้ เพราะพี่บ่าวเห็นผม พวกเขาไม่ว่าอะไร เพราะตอนนั้นผมก็เป็นแค่เด็ก ที่ไม่รู้เรื่องอะไรแบบนี้ ยังถามแบบซื่อๆของผมไป เขาก็พากันหัวเราะโกหกผม ว่าเขาทะเลาะกันพี่บ่าวเลยสั่งสอนพี่นาง และผมก็เชื่อตามนั้นจริงๆ จากวันนั้นมา ผมมักจะแวะไปบ้านพี่บ่าวกับพี่นาง เพราะพี่บ่าว หากินเก่ง ชอบชวนผมไปจับปู จับปลาไหล เก็บผักหวานมาทำอาหาร ตกเย็นพ่อแม่ผมกลับมา พี่นางก็จะเอากับข้าวมาให้พ่อแม่ผม แล้วชมผมให้พ่อแม่ฟังว่า ผมเป็นคนไปช่วยพี่บ่าวเลยได้ของมาทำอาหารกิน
พี่บ่าวพี่นางเป็นคนใจดี หลังการปลูกมัน ก็มีเวลาว่างเยอะ ผมเลยมีโอกาสไปนู่นไปนี่กับพี่บ่าวทั้งป่าและทุ่งนา บางครั้งพี่นางก็ไปด้วย จนเวลาผ่านไป1ปีราวๆนั้น ผมขึ้น ป.2 พี่บ่าวติดทหาร ต้องไปเป็นทหาร พี่บ่าวแวะมาฝากพี่นางกับแม่และพ่อผม พ่อผมบอกว่า ทำไมไม่ให้อินางกลับไปอยู่กับญาติๆที่ด่านซ้ายก่อนล่ะ มาอยู่แถวนี้ผู้หญิงคนเดียวมันอันตราย
พี่บ่าวบอก ให้พี่นางกลับไปไม่ได้ เพราะที่ต้องมาอยู่ที่นี่เพื่อหนีภัยบางอย่างมาเหมือนกัน ถ้าพี่นางกลับไป ก็มีอันตราย
(มารู้ตอนหลังว่า มีลูกผู้มีอิทธิพลคนหนึ่งพยายามจะฉุดพี่นางทำเมียพอไม่ได้ก็ขู่จะทำร้ายและฆ่าพี่นางเลยต้องพากันหนีมา)
พี่บ่าวไปเป็นทหาร พี่นางอยู่คนเดียว เวลาว่างๆพี่นางก็จะแวะมาหาแม่ผม มานั่งคุยปรับทุกข์และสุขกัน ตัวผมนั้นก็ยังหมั่นไปหาพี่นางเหมือนเดิม ช่วยพี่นางปลูกผัก เลี้ยงไก่ เลี้ยงหมาไว้เป็นเพื่อนคลายเหงา พี่บ่าวเมื่อเสร็จจากฝึก ก็จะกลับมาบ้านพร้อมของฝากเยอะแยะ
ผมก็ได้รับอานิสงส์ไปด้วย ช่วงนั้น เริ่มมีคนพากันเข้ามาตั้งบ้าน ลึกเข้าไปในป่าด้านใน กลายเป็นชุมชนประมาณ10หลังคาเรือน
เริ่มมีพ่อค้าหัวใสจากในหมู่บ้าน เอาขนมหวานใส่ตะกร้า มัดติดท้ายมอเตอร์ไซค์ เข้ามาขายถึงในนี้ และแกก็รับฝากซื้อของจากในหมู่บ้านด้วย ในตอนนั้น พวกผู้ชายที่เข้ามาอยู่ใหม่ในกลุ่มบ้านด้านใน พอเห็นพี่นางอยู่คนเดียว ก็พากันมาจีบ รวมทั้งพ่อค้าขนมหวานคนนั้นด้วย
แต่พี่นางก็จะยิ้มๆ และบอกกับทุกคนไปว่า แต่งงานแล้ว ผัวไปทหาร ไม่นานก็กลับมา บางคนพอรู้และถูกพี่นางปฏิเสธ เขาก็ไม่มาวุ่นวายอีก แต่มีอยู่คนหนึ่ง เหมือนแกจะเอาพี่นางให้ได้ เข้าตำราเป็นชู้ก็ยอม หมั่นมาหาพี่นางเสมอๆ พี่นางก็จะขอให้กลับบ้านไป แต่เขาก็ดื้อมานั่งชวนคุย คอยช่วยพี่นางทำนู่นทำนี่ หลายหนพี่นางต้องหนีมาขอนอนที่บ้านผม เพราะกลัวไม่ปลอดภัย แต่การจะมานอนบ้านผมบ่อยๆ ก็ดูไม่เหมาะ คนจะนินทาเอาได้ แม่เลยให้ผมนี่แล่ะ ไปนอนเป็นเพื่อนพี่นาง ผมก็เลยได้ประจันหน้ากับผู้ชายคนนั้นเสมอ ดูเขาก็ขัดใจ ที่มาหาพี่นางแล้วเจอผมนั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋อเป็นก้างอยู่ ผู้ชายคนนั้นก็เลยเริ่มหายหน้าไป เพราะรู้ตัวแล้วว่า พยายามจะเป็นชู้เท่าไหร่ก็คงไม่สำเร็จ
พอเขาหายไป เหตุการณ์เป็นปกติ ผมไม่ต้องไปนอนเป็นเพื่อนพี่นางอีก
เวลาผ่านไป คืนนึง ฝนตกหนัก ทั้งคืน เช้ามา ผมไปช่วยพ่อกับแม่ในไร่ เพราะดินอ่อน แม่จะลงข้าวโพดใหม่ จนเย็นเรากลับบ้านด้วยการเดินเท้าไปตามทางดินนุ่มๆ พอถึงบ้านตกค่ำ พ่อชวนผมไปส่องกบในทุ่งด้านล่าง เราเดินผ่านออกไปทางบ้านพี่นาง ผมถือข้อง คอยตามพ่อ ได้กบได้ปู ก็จับใส่ บางครั้งปลามันขึ้นมาเล่นน้ำตามทางน้ำไหล พ่อก็ดักจับ กบและอึ่งนั้น บริเวณรอยต่อของชายป่าและนา จะชุมสุด
เสียงอึ่งอ่าง เขียดกบระงมแข่งกัน อากาศเย็นด้วยฝนและความมืด
พ่อส่องไฟฉายติดศีรษะไปมา ตรงไหนมีเสียงกบดังมา เราจะไปตรงนั้น จนเดินถลำเข้าไปในไร่มันของพี่นาง ที่มันกินบริเวณการปลูกมาจนถึงเขตทุ่งนา กบบางตัวมันก็ขึ้นมาบนนี้ อยู่ๆพ่อก็หยุดยืนนิ่ง
ผมถามพ่อ ว่ามีอะไรพ่อ
พ่อฉายไฟเข้าไปในจุดที่มันยังเป็นป่า เต็มไปด้วยต้นไบตองตึงและไม้ป่าหลายชนิด ซึ่งมันรก และเป็นเขตที่ดินของคนอื่น ไม่ใช่ของพี่นาง
พ่อบอก “เหมือนมีคนยืนอยู่”
พ่อลดไฟลงกับพื้น แล้วส่องไปใหม่ ผมมองตาม ไม่เห็นอะไรนอกจากต้นไม้ที่เปียกชื้นน้ำฝน
“ไม่เห็นมีอะไรเลยพ่อ”
“เท้าใครวะ” พ่อพูดขึ้นเหมือนบอกตัวเอง
ผมเพ่งมองดีๆ เห้ย ฝ่าเท้าคนจริงๆ โผล่ออกมาแค่ส่วนนิ้วก้อยกับนิ้วนาง ฝ่าเท้าพ้นออกมาจากโคนต้นไม้เล็กน้อย
พ่อผมนั้น แม่บอกเป็นคนขี้กลัวผีมากๆ แต่เมื่อเห็นว่าเป็นฝ่าเท้าคนจริงๆ พ่อก็บอกให้ผมเดินนำหน้าเข้าไปดู ส่วนพ่อจะส่องไฟตามหลัง
ผมก็เดินเข้าไป พอใกล้ถึงพ่อไม่เดินตามมา แต่สั่งให้ผมเดินเข้าไปดู ก็เห็นๆอยู่นะว่ามันเท้าคนแน่ๆ ผมเลยเข้าไปชะโงกเกาะต้นไม้ดู
ในจุดนั้นมันรกมากๆ เป็นจุดหาเห็ดที่ผมกับแม่เคยมาหาบ่อยๆ ผมมองเข้าไปมันเป็นร่างของคน แต่มันก็มืดจนดูไม่ออกว่าใครมานอนตรงนี้ เพราะต้นไม้บังแสงไฟฉาย
ผมตะโกนบอก “พ่อๆ มีคนนอนตรงนี้ มาดูหน่อย”
พ่อเดินตามเข้ามา ส่องไฟ ภาพที่ปรากฏทำให้พ่อร้องลั่น ส่วนตัวผมนั้นตกใจกลัวสุดขีด
เป็นพี่นาง ที่นอนหงาย 2มือยกไปค้างเกร็งอยู่ใกล้ๆใบหน้าตัวเอง ดวงตาค้างหลับตาไม่สนิท ท่าทางเหมือนกลัวอะไรสุดขีด
พ่อผมยืนเลิกลั่ก ผมนั้นก็ยืนเรียก พี่นาง พี่นางอยู่อย่างนั้นไม่หยุดด้วยเสียงดัง
พ่อผมบอกไปๆกลับบ้านกันก่อน ผมก็รีบเดินตามพ่อกลับ เพราะกลัวเหมือนกัน มาถึงบ้าน ผมนั่งร้องไห้ พ่อบอกให้แม่รู้ ว่าจะเอาไงดี แม่ใช้ให้พ่อเดินเข้าไปในหมู่บ้าน ไปแจ้งผู้ใหญ่บ้านก่อน พ่อบอกไว้เช้าก่อนได้ไม๊ เพราะตอนนี้มันมืด ทางมันไกล
แม่รู้ว่าพ่อกลัวผี เลยไม่กล้าไป จึงบอกพ่อว่า แล้วจะให้ปล่อยศพพี่นางไว้แบบนั้นหรอ แม่ให้พ่อเอาผมไปเป็นเพื่อน
พ่อเลยยอมไป ผมกับพ่อก็กึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้าหมู่บ้าน เส้นทางนั้น มันก็เดินเฉียดเข้าไปใกล้จุดที่ศพพี่นางวางอยู่ไม่ไกลเลย
ตอนไม่รู้ เราก็เดินวนหากบอยู่ตั้งนานไม่คิดอะไร พอรู้ว่า มีศพพี่นางอยู่ตรงนั้น เราก็พากันกลัว
ผมกับพ่อไปถึงบ้านผู้ใหญ่ ในหมู่บ้าน ตะโกนเรียกอยู่นาน ผู้ใหญ่บ้านงัวเงียลุกมาเปิดบ้าน ถามพ่อมีอะไร
พ่อแจ้งไป ว่ามีคนตายอยู่ในป่าแถวบ้าน เหมือนจะถูกฆ่า ช่วยไปดูหน่อย
ผู้ใหญ่ซักใครตาย ตายยังไง พ่อบอกคนบ้านข้างๆ ตายยังไงไม่รู้ แต่ไปส่องกบ เจอโผล่มาให้เห็นแค่เท้าเสี้ยวนึงเลยเข้าไปเจอ
ผู้ใหญ่บ้านบอกให้พ่อกลับบ้านไปก่อน เพราะตอนนี้ดึกมากแล้ว จะทำอะไรคงไม่สะดวก ไว้เช้าๆผู้ใหญ่จะพาตำรวจเข้าไปดู
ผมกับพ่อเลยกลับมาบ้านก่อน
พอเดินเข้าไปเฉียดจุดที่เจอศพพี่นาง พ่อก็พาผมกึ่งวิ่งจนถึงบ้าน พอเข้าบ้านได้ พ่อก็บอกแม่ตามว่า
แม่สงสารพี่นาง เลยชวนพ่อจะเอาผ้าห่มไปคลุมศพไว้ก่อนกันอุจาด
พ่อก็ไป ผมก็ไม่กล้าอยู่บ้านรอ เลยขอไปด้วย แม่หิ้วผ้าห่มไปด้วยหนึ่งผืน เป็นผ้าห่มสีเทาๆที่เขาเอามาแจกฤดูหนาว
พอไปถึง พ่อส่องไฟฉายไปตรงจุดที่เห็นฝ่าเท้าโผล่ออกมาให้เห็นครั้งแรก
แต่หนนี้กลับไม่มีฝ่าเท้า พ่อส่ายไฟฉายไปหลายจุด เพราะไม่มั่นใจว่าใช่หรือเปล่า ต้นไม้ตอนกลางคืนมันก็คล้ายๆกันด้วย
ก็ยังไม่เห็นฝ่าเท้าพี่นาง จนแม่ดูหงุดหงิด ว่า...ไหน
ผมเองก็เป็นคนที่ร่วมเห็นฝ่าเท้าด้วย ก็บอกแม่ว่า โผล่ออกมาจากต้นใบตองตึงต้นนึงจริงๆ ผมจำได้เลยชี้บอกแม่ว่าต้นนั้น เพราะผมเป็นคนเดินเที่ยวเล่นอยู่แถบนี้มากกว่าพ่อ แต่น่าแปลกที่หนนี้ไม่มีฝ่าเท้า ผมเดินนำหน้าพ่อเข้าไป พ่อเดินตามส่องไฟ
พอพ้นเหลี่ยมต้นไม้ เข้าไปในป่ารกๆ พบร่างพี่นางนอนแข็งอยู่ เพียงแต่ครั้งนี้ ทำเอาพ่อยืนนิ่ง
พ่อถามผมว่า เมื่อกี้ศพพี่นางนอนอยู่ตรงนี้ เท้าโผล่ออกไปในไร่มันใช่หรือเปล่า
ผมบอกพ่อว่าใช่
พ่อว่า แล้วตอนนี้ทำไมมาอยู่ตรงนี้ พ่อยกมือไหว้บอ ก “อิน้องนางเอ๊ย ไปที่ชอบที่ชอบนะ อย่าหลอกอ้ายเด้อ”
แม่ไม่สนใจพ่อ แล้วลงไปนั่งคุกเข่าร้องไห้ข้างๆศพ แสดงอารมณ์เสียใจเต็มที่ ปนสาปแช่งคนที่ทำ เพราะดูจากลักษณะศพแล้ว ไม่ใช่การเสียชีวิตปกติแน่นอน ที่คอมีรอยเขียวช้ำเหมือนถูกบีบแล้ว พวกมดและสัตว์เล็กๆเช่นกิ้งกือ เริ่มขึ้นมาไต่ แม่เอาผ้าห่มคลุมร่างพี่นางไว้
พอเช้า พวกผู้ใหญ่บ้านและตำรวจก็ขับรถเข้ามาจอดแถวบ้านพี่นาง พ่อกับแม่รออยู่แล้วก็เดินเข้าไปหา ผมก็เข้าไปด้วย
พวกเขาก็ให้พ่อพาไปดู พวกเขาเข้าไปทำอะไรศพบ้างผมไม่รู้ เพราะคนมาเยอะ เด็กอย่างผมเลยถูกกันไว้ด้านนอก
ได้ยินแต่เสียงคนคุยกันด้านในงึมๆงัมๆ พ่อกับแม่ถูกเรียกไปสอบสวน แต่ก็ไม่มีอะไรต่อ
พวกเขาเอาศพพี่นางขึ้นรถหายไป
พอพวกเขาไปหมดแล้ว แม่ก็เดินร้องไห้ ไปปิดประตูบ้านให้มิดชิด
ทั้งหมาและไก่เดินว่อน เพราะมันคงหิว แม่เป็นคนไปคอยเอาข้าวและน้ำให้หมาพี่นาง2ตัว
แม่เคยพยายามจะเอามันสองตัวมาเลี้ยงไว้บ้าน เพราะปล่อยไว้ก็ไม่มีใครดูแล แถมแม่ต้องเป็นคนเอาข้าวไปให้แค่คนเดียว
ใช้พ่อ หัวเด็ดเท้าขาดยังไง พ่อก็ไม่ยอมไป เพราะกลัว ส่วนผมนั้นก็กล้าๆกลัว วิ่งๆไปทำข้าวหกหมด จนหมาอดกิน
แม่เคยพยายามเอาหมาพี่นางมาผูกไว้กับเสาบ้าน เพื่อจะให้มันชินและอยู่ที่นี่ มันคุ้นกับเราทั้งบ้านก็จริง
แต่มันก็จะพยายามกัดเชือกไนล่อนสีเขียวจนขาดแล้ววิ่งกลับไปนอนเฝ้าบ้านพี่นางเสมอ
ผมไม่ค่อยรู้เรื่องราวของคดีมากนัก
แต่แอบได้ยินพ่อคุยกับแม่ ถึงเรื่องนี้ว่า
พี่นางถูกข่มขืนแล้วฆ่าด้วยการบีบคอจนขาดอากาศหายใจตาย แต่ใครทำ อันนี้ยังตามสืบกันอยู่
พวกที่ถูกเรียกไปสอบสวนคือพวกชายหนุ่มที่เคยมาติดพันพี่นางและพยายามตามจีบ
ยิ่งคนที่มาเฝ้าพี่นางบ่อยๆนั้น ถูกเค้นหนักเป็นพิเศษ เพราะพ่อผมให้การไปว่า ชายคนนั้นมาติดพันพี่นางมากที่สุด
แต่ก็ยังขาดหลักฐานที่มากพอจะจับใครได้ จึงต้องปล่อยไปทั้งหมด
มันกลายเป็นความดำมืด ว่าใครเป็นคนข่มขืนแล้วฆ่าพี่นางทิ้ง ศพของพี่นาง พวกญาติๆมาจากด่านซ้าย จัดการตามพิธีเอาศพพี่นางฝังไว้ในป่าช้าของหมู่บ้านผม เพราะไม่อยากเสียค่าใช้จ่ายเคลื่อนย้ายศพกลับบ้านที่ จ.เลย และต้องการรอให้จับคนฆ่าได้ก่อนจึงจะขุดขึ้นมาเผา
ในยุคนั้น พื้นที่ยังมีมาก เมรุเผาศพในวัดยังไม่มี สวดศพเสร็จก็ช่วยกันหามมัดด้วยผ้าขาวไปฝังเลย แล้วป่าช้าที่ว่า มันก็อยู่ลึกเข้ามาในป่า
ไกลหมู่บ้าน แต่ใกล้บ้านผม เดินลัดไปแค่..อมลูกอมละลายหมดเม็ด
ป่าช้าบ้านผมนั้น มันคือป่าช้าจริงๆ เพราะตั้งอยู่ในป่า เขาเรียกกันติดปากว่า เกาะปลงสังขาร มันตั้งอยู่กลางป่ารกในลักษณะเหมือนเป็นเกาะกลางทะเล เป็นจุดที่คนหาของป่า ไม่กล้าเฉียดเข้าไปใกล้แม้แต่ตอนกลางวัน ถึงตรงนั้นจะมีเห็ดขึ้นเต็มพื้นที่ก็ตาม ผมเคยตามพ่อไปที่นั่นครั้งนึง เห็นเห็ดป่านานาชนิดขึ้นเต็มไปหมด แถมต้นไม้ก็ต้นใหญ่ๆทั้งนั้น คงเพราะไม่มีใครกล้าแตะ มีศาลไม้หลังคาสังกะสีตั้งอยู่ด้านหน้าทางเข้า แลดูน่ากลัวมาก มีหลุมศพเยอะจนผมนับไม่ถูก ทั้งเก่าและใหม่
ตั้งแต่พี่นางตายไป บ้านหลังนั้นถูกปิด พืชผลถูกปล่อยทิ้ง สัตว์พวกไก่ มันอยู่ได้ เพราะมันคุ้ยเขียหากินของมันเอง แต่หมา2ตัวนั้น
มันยังคงซื่อสัตย์ไม่เปลี่ยน นอนเฝ้าใต้ถุนบ้าน ใครผ่านไปผ่านมา มันก็จะเห่าเสมอ แล้วก็กลับไปนอน
แม่สงสาร และไม่อยากเดินไปเดินกลับเพื่อเอาข้าวไปให้ เลยจัดการเอาโซ่มาผูกมันไว้กับเสาเรือน หนนี้ตั้งใจจะให้มันอยู่ที่นี่ให้ได้
เจอโซ่แบบนี้ มันไม่มีทางกัดขาดแน่นอน
ตกกลางคืน อยู่ๆพวกมันก็พากันเห่า บุๆ บุ๊ๆ แล้วเริ่มเห่ากรรโชกประสานเสียงกันขึ้น
หมาผมเองก็มีอยู่แล้ว1ตัว มันก็ร่วมเห่าด้วย
พ่อตื่นและตวาดเสียงลงไป เพราะหนวกหู ให้หมาเงียบ
แต่แปบเดียวมันก็หอน บรู๊วววววววววววววววๆๆๆ
พ่อคงโมโห เลยลุกคงจะลงไปเตะหมา แต่พอไปถึงประตู พ่อก็ถอยกลับลงมานอนคลุมโปง
แม่ถาม ทำไมไม่ลงไปห้ามหมาล่ะ
พ่อบอก "อินางมา" เบาๆ
พอเช้า พ่อเล่าให้แม่ฟังว่า เมื่อคืนตอนหมาหอน แล้วพ่อเดินไปที่ประตู จะลงไปเตะหมา
ประตูบ้านมันเป็นแค่ไม้แผ่น เอามาตีประกอบ เลยมีช่องมองเห็นข้างนอกได้ พ่อว่า เห็นพี่นางมายืนอยู่หน้าบ้าน
แสงจันทร์ส่องให้เห็นลางๆ ว่าพี่นางแน่นอน มาในชุดวันที่พบศพเลย พ่อเลยถอยมานอน
คืนต่อมาดึกสงัดแล้ว หมาสองตัวใต้ถุนบ้าน ก็ บุๆๆๆทำท่าจะเห่า
แต่สักพัก ก็เปลี่ยนเป็นเสียงครางดัง งื๊ดๆๆหงิงๆๆ เสียงโซ่กระทบกันดังกริ๊งๆ เหมือนมันจะแกว่งหาง
ผมตื่น ผมได้ยิน ผมสงสัยว่าใครมา ทำไมหมาดีใจ
ปกติแล้ว สองตัวนี้ นอกจากผม พี่บ่าว พี่นาง และแม่แล้ว คนอื่นๆมันเห่าหมด แม้แต่พ่อผม
ในใจผมตอนนั้น คิดว่าพี่บ่าวมาหรือเปล่า
ผมเลยค่อยๆลุกขึ้นคลานไปดูที่ประตู
ผมเห็นหมา2ตัววิ่งออกไปจากบ้าน มุ่งไปทางบ้านพี่นาง ผมเห็นหลังไวๆในความมืดว่า มีเงาคนกำลังเดินออกไปจากบ้านนำหน้าหมา
เช้ามา แม่ก็บ่นว่า ใครมันมาปลดโซ่ปล่อยหมา ผมเล่าให้แม่ฟัง แม่รำพึงเบาๆ "นางเอ้ย พี่จะเลี้ยงให้ อย่ามาเอาไปเลยมันจะอดตาย"
วันนึง เกลอของพ่อ มาจากในหมู่บ้าน
เกลอคนนี้ แกไปทำงานก่อสร้างอยู่กรุงเทพ กลับมาเที่ยวเล่นในหมู่บ้านจนค่ำ ก็นึกถึงพ่อ แกเลยแบกไหอุ กับสาโท
เดินจากหมู่บ้านมุ่งมาหาพ่อ มาถึงก็มาโหวกเหวกเรียกพ่อผม
พ่อก็ตั้งวงดื่มกัน2คนที่แคร่ใต้ถุนบ้าน
ผมกับแม่ก็นั่งอยู่ด้วย เพราะเกลอพ่อมีของมาฝากหลายอย่าง
ผมได้รถของเล่น ก็นั่งเล่น และแอบกินกับแกล้มไป แม่ก็นั่งคุยด้วยถึงเรื่องการทำมาหากินต่างๆ
พอเมากันได้ที่ เกลอของพ่อก็พูดขึ้นมาว่า
"เออ เมื่อกี้ เดินผ่านบ้านหลังนั้นมา (ชี้ไปทางบ้านพี่นาง) บ้านใครวะ"
"อ๋อ เขาพึ่งมาอยู่ เป็นเจ้าของที่"
"เอ้อ เก่งจัง เป็นผู้หญิงแท้ๆ มาปลูกบ้านอยู่ในนี้ได้คนเดียว" พ่อกับแม่ถึงกับหยุดกึกและเงียบไป ก่อนจะถามต่อ
"ห๊ะ ผู้หญิงไหน"
"ก็เมื่อกี้กูเดินแบกเหล้าผ่านมา กูเห็นมีผู้หญิงเปิดหน้าต่างไฟในบ้านสว่าง ยืนมองกู ยิ้มให้กูด้วย สวยๆคมๆคล้ำๆ"
"ชิโผย" พ่อถึงกับเสียงหลง และชะเง้อมองไปทางบ้านพี่นาง ก็เห็นอยู่ไกลๆว่ามันมืดสนิท เกลอพ่อหันไปมองตาม ถามว่า อะไร
"ไม่มีอะไรหรอก บ้านหลังนั้นน่ะผัวเขาไปทหาร เขาเลยอยู่คนเดียว มืงอย่าไปยุ่งเขาแล้วกัน" พ่อโกหกเกลอ
ผมมองหน้าแม่ แม่มองหน้าผม ผมทำท่าจะถาม แม่ทำนิ้วจุ๊ปาก ผมเลยเงียบ
คืนนั้นเกลอพ่อนอนที่บ้าน พอเช้าเขาก็กลับไป
แม่ก็พูดกับพ่อว่า พี่นางคงไม่สงบ เพราะยังจับคนร้ายไม่ได้ และอาจจะมีห่วงบางอย่างเลยยังมาปรากฏตัวให้คนอื่นเห็นแบบนี้
พ่อว่า ถ้าพี่นางแค้นมาก ก็คงตามไปแก้แค้นคนที่ทำแน่ๆถ้ามาแบบนี้ แต่คงรออะไรอยู่
ตั้งแต่แม่รู้ว่าพี่นางไม่ได้ไปสู่สุขคติ และยังอยู่ที่บ้านหลังนั้น แม่ก็ซื้อพวกขนมหวานจากลุงที่ขับมอเตอร์ไซค์ขายตอนเช้า ไปตั้งเซ่นที่บันไดบ้านพี่นางทุกวัน เพื่อไม่ให้พี่นางอด และหมาก็จะได้กินด้วย แม่เพียรเอาข้าวไปให้หมา2ตัว
จนกระทั่งวันนึง พี่บ่าวกลับมาจากทหาร และมาที่บ้านผม
ตอนนั้นพ่อกับแม่ผมไปในไร่ เหลือผมคนเดียว พี่บ่าวดูนิ่งๆ นัยตาแดงเหมือนคนร้องไห้
พี่บ่าวซักถามผมเกี่ยวกับเรื่องที่ผมกับพ่อเจอศพพี่นางในริมป่า ข้างไร่มัน
ผมเล่าให้ฟังทั้งหมด พี่บ่าวน้ำตาแตกร้องไห้น่าสงสารเมื่อผมเล่าให้ฟังอย่างซื่อๆไม่เติมแต่ง
ได้ยินแต่เสียง อ้ายขอโทษ อ้ายขอโทษ...รำพึงรำพันถึงพี่นางงึมงำ
ผมทำอะไรไม่ถูก เพราะไม่เคยเห็นพี่บ่าวร้องไห้แบบนี้
พี่บ่าวคงรู้เรื่องพี่นางมาก่อนแล้วแน่ๆ พี่บ่าวถามผมว่า ป่าช้าที่ฝังพี่นางไว้ไปทางไหน ผมรู้จักไม๊
ผมบอก ผมรู้
พี่บ่าวบอก ช่วยพาเขาไปหน่อย
ผมก็พาไปอย่างว่าง่าย พี่บ่าวสะพายเป้เดินตามหลังผม มาเงียบๆพร้อมหมาอีก2ตัว ที่ตอนนี้มันซูบผอมลง
ผมพาพี่บ่าวเดินตัดลัดป่าไปตามทางที่จำได้ เพราะเคยมากับพ่อจนไปถึงถนนดินที่ตัดเข้ามาในป่า ตรงไปป่าช้า
พี่บ่าวไม่ค่อยพูด เอาแต่เดินตามผมมา ผมเองก็ไม่รู้หรอก ว่าหลุมไหนที่เขาฝังพี่นาง
ผมเองก็กลัวๆ เพราะศพทั้งนั้นที่นอนอยู่ พี่บ่าวบอกว่า ช่วยแกมองหาหน่อย หลุมไหนที่ดูใหม่ที่สุด
ผมก็เดินแยกช่วยมองหา ไปเจอหลุมนึง ลักษณะเหมือนถูกขุดขึ้นไม่นาน
ผมตะโกนบอกพี่บ่าว พี่บ่าวเดินมา พร้อมจอบเก่าๆอันนึง ซึ่งคงเป็นจอบประจำป่าช้า
พี่บ่าวยืนพิจารณาไปรอบตัว แล้วแกก็ง้างจอบ ขุดเอาขุดเอา ผมถอยหลังมา ด้วยความตกใจและกลัว แต่ก็ไม่กล้าหนีไปไหน ยืนรอ
พี่บ่าวโกยดินในหลุมกระจายออกเหมือนขุดหนู ผมไม่กล้าเข้าไปดู ผมกลัว
สักพัก ผมเห็นพี่บ่าวหยุดขุด แล้วทรุดลงไปคุกเข่า กองดินบังจนเห็นพี่บ่าวแค่ช่วงเอวขึ้นมา
พี่บ่าวร้อง ฮื้ออๆๆๆๆๆฮืออๆๆๆๆๆๆๆๆ เสียงดังมากปานจะขาดใจ แล้วก้มหายไปจากสายตา
ผมเขยิบเข้าไปทีละนิด ชะเง้อมอง เพราะอยากเห็นว่าพี่บ่าวทำอะไร
พอพ้นเนินดินไปได้ ก็เห็นพี่บ่าวนั่งกอดศพที่กำลังเน่าเหม็น ส่งกลิ่นเหม็นอบอวลไปทั่วบริเวณจนผมอยากจะอ้วก
กลิ่นปลาร้าในไหยังไม่ได้เท่านี้เลย
แถมประคองขึ้นมาไว้ที่อก แล้วก็ร้องไห้ จูบหน้าผาก หอมแก้มไปด้วย น่าเวทนา
ผม สะอึกในลำคอเบาๆว่า หึยยยย...
พี่บ่าวกอดศพพี่นางในหลุมอยู่นานอย่างไม่รังเกียจ แต่ผมสะอิดสะเอียน จนต้องถอยมานั่งไกลๆเพื่อทำใจ
จนเห็นพี่บ่าวลุกขึ้นยืน ปาดน้ำตา แล้วเริ่มกลบหลุม ผมจึงเข้าไปช่วยหาไม้โกยดินลงไป
ผมรู้ว่าพี่บ่าวกำลังเสียใจ เลยไม่ได้ซักถามอะไร คราบดิน คราบหนองจากศพ เปรอะอยู่ที่ตัวพี่บ่าว กลิ่นไม่จางลง
พอกลบเสร็จ พี่บ่าวเอาธูปออกมาจุด1ดอก หมากพลู ดอกไม้ วางลงบนหลุม
แล้วก็ท่องคาถาอะไรสักอย่าง ซึ่งผมไม่เคยได้ยิน จำได้แต่ประโยคที่เป็นภาษาไทยว่า
"กรรมใดใครมันก่อ กรรมนั้นขอให้สนองคืน"
แล้วพี่บ่าวก็ชวนผมกลับ พอมาถึงบ้าน พ่อกับแม่ผมก็อยู่ที่บ้านกำลังร้อนใจพอดีเพราะผมหายไป
พี่บ่าวเข้ามาคุยกับพ่อแม่ผม ผมแยกออกมา เพราะเหม็นกลิ่นติดตัวพี่บ่าว
แล้วพี่บ่าวก็กลับไปที่บ้าน พอไป ผมได้ยินพ่อกับแม่คุยกันว่า
"บ่าวมันทำแบบนี้ ไม่นานก็คงรู้ตัวคนร้าย"
ผมไม่รู้หรอกตอนนั้น ว่าหมายถึงอะไร การขุดศพขึ้นมากอด แล้วจุดธูปท่องคาถา จะจับคนร้ายที่ฆ่าพี่นางได้ยังไง
พี่บ่าวกลับไปอยู่ที่บ้านหลังนั้นก็ต้องไป เพราะต้องกลับไปเป็นทหารต่อ
พี่บ่าวมาฝากหมากับแม่ ควักเงินเป็นค่าข้าวหมา แม่รับไว้ แล้วพี่บ่าวก็ไป
สุดท้ายตำรวจก็ตามจับคนร้ายไม่ได้ เพราะสอบเค้นผู้ชายที่อยู่ละแวกนั้นทั้งหมด ตรวจร่างกายแล้วก็ไม่พบอะไรผิดสังเกตุ
พ่อว่า คนร้ายก็คงลอยตัวสบายใจ ใช้ชีวิตไปตามเดิม พี่นางก็คงต้องตายไปเปล่าๆแบบนี้ แม่ว่าแล้วแต่เวรแต่กรรม
ตำรวจยังทำอะไรไม่ได้
...แต่สายๆของวันนึง ก็มีรถตำรวจวิ่งเข้าไปในกลุ่มบ้านที่อยู่ลึกเข้าไปด้านใน กลับออกมาพร้อมรถมอเตอร์ไซค์บนกระบะท้าย1คัน
พ่อหายไปฟังข่าวมา ก็มาเล่าให้แม่ฟังว่า พ่อค้าขายขนมหวานที่ขับมอเตอร์ไซค์มาขายทุกเช้า ไม่รู้แกไปทำอิท่าไหน ขับรถเสียหลัก คนไปทาง รถไปทาง ตัวคนขับ กระเด็นจากรถ พุ่งตกใส่..ตอไม้ไผ่ข้างทาง เสียบทะลุคอพอดิบพอดี แล้วที่เรียกเสียงฮือฮาคือ
มีผ้าเก่าๆมาจากไหนไม่รู้ เกี่ยวติดอยู่กับต้นไม้ มีเศษคราบเลือดคราบหนองเกรอะกรังเหม็นมาก แม่บอกพ่อ หรือว่า....
พ่อก็ว่า ใช่แน่ๆ คนที่ข่มขืนพี่นางแล้วฆ่า คงเป็นพ่อค้าขายขนมหวานนี้แน่นอน สำหรับพ่อกับแม่แล้วเชื่อแบบนั้น
เพราะตอนที่พี่บ่าวมาคุยกับพ่อแม่ด้วยสภาพมีกลิ่นเหม็นติดตัวในวันนั้น พี่บ่าวก็บอกกับพ่อและแม่ตรงๆว่า เขารู้ข่าวเรื่องพี่นางโดนข่มขืนฆ่า
มาตั้งแต่ตอนอยู่ที่ค่ายแล้ว เพราะญาติไปบอก เขาเสียใจไม่เป็นอันทำอะไร อยากกลับมาแต่มาไม่ได้
พี่บ่าวแค้นคนที่ทำและอยากมาตามสืบจะฆ่าล้างกัน พอหัวหน้าพี่บ่าวรู้ ก็เป็นคนแนะนำคาถาปลุกผีตายโหงให้พี่บ่าว
พี่บ่าวเลยมาทำ แบบที่ผมได้เห็นมานั่นเอง ในทางคดี ทุกวันนี้ ก็ยังไม่มีใครจับฆาตกรได้หรอกครับ
แต่ผมมั่นใจจากสิ่งที่เห็นมาแล้วว่า ฆาตกรน่ะถูกจัดการไปเรียบร้อย ผมก็มีเรื่องเล่าเพียงเท่านี้สู่กันฟัง สวัสดีครับ
เรื่องจากพันทิป ผู้กลับมา
เรื่องโดย สมาชิกพันทิปหมายเลข 3928237
Post a Comment