เด็กเร่ร่อน


    เรื่องประสบการณ์จริงสุดหลอนของสมาชิกพันทิปหมายเลข 3928237  ประวัติและการเดินทางของเขาที่พบกับเรื่องราวผจญภัยมากมาย  ขอขอบคุณเรื่องราวสยองขวัญไว้ ณ ที่นี้ด้วย

2544  ผมกลายเป็นเด็กเร่ร่อน
แม่กับพ่อผมแยกทางกัน  พ่อกลับบ้านเกิด  แม่ไปอยู่กรุงเทพ  ปล่อยผมไว้กับญาติผู้ใหญ่คนนึง  แล้วส่งเงินมาให้ทุกเดือน
แรกๆแม่ก็ส่งเงินมาทุกเดือน   ผมก็ได้รับการเลี้ยงดูอย่างปกติทั่วไป   แต่นานๆไป แม่เริ่มส่งบ้างไม่ส่งบ้าง  กลายเป็นนานๆส่ง
ผมกลายเป็นเหมือนส่วนเกินของครอบครัวที่เลี้ยงดู   จริงๆผมก็ไม่ได้งอมืองอเท้าขอข้าวเขากินฝ่ายเดียว
ผมออกรับจ้างทำงานทุกครั้งที่มีเวลาว่าง

บ้านนอกเป็นสังคมเกษตร  งานเกษตรทุกชนิดผมผ่านมาหมดแล้ว    ร่างกายผมแข็งแกร่งจากการทำงานอย่าหนักเกินเด็กวัยเดียวกัน
แต่ใจผมอ่อนแอ อย่างที่สุด    ทุกครั้งที่ถูกผู้มีพระคุณทุบตี  ผมต้องหนีไปนั่งรำพึงรำพันถึงแม่เสมอ  ว่าทำไมต้องเอาผมมาทิ้งไว้ที่นี่
ผมอยากเจอแม่  แต่ก็จนปัญญา  ผมร้องไห้คนเดียว  ชันเข่ากอดขา เอาหน้าวางบนหัวเข่า  มองมายังทิศใต้  เพราะผมรู้ว่าแม่อยู่ทางนั้น   ผมเคยเรียนวิชา สปช.    ผมรู้ว่าแม่อยู่กรุงเทพ  อยู่ลาดพร้าว  ผมอยากไปหาแม่  แต่ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน

จุดแตกหักมาถึง  ในช่วงปิดเทอม  หน้าร้อนของเดือน  เมษายน   ผมเรียนมัธยมต้นในโรงเรียนขยายโอกาส  ด้วยการเดินไปกลับวันละ7-8กิโลเพื่อให้ตัวเองได้เรียนหนังสือ  ผมกลับมาบ้าน  ผมหิว  มองหากับข้าวในตู้กับข้าวไม่มี  ผมไปในครัว  เห็นมีปลาหมอถูกขังไว้ในถังนับ10ตัว  ผมเลยจับออกมา2ตัว  ทุบหัวแล้วทอด  กำลังกินไม่ทันหมดจานแรก  ผู้มีพระคุณผมกลับมา   เขามองผม  ผมมองตอบ  เขาเห็นปลาหมอทอดในจานข้าว  เขาถามผม   “มืงเอาปลาจากไหนมาทอด”   ผมบอก “ปลาหมอในถัง”
แล้วผู้มีพระคุณผม  ก็โมโหเปิดฉากด่าผมเหมือนผมทำผิดมหันต์  เขาบอกปลานั้นของสามีเขาหามา  สามีเขายังไม่ได้กินเลย  ผมมากินก่อนได้ไง  เขาหยิบไม้กวาด กวาดบ้าน  หวดผมเหมือนหวดหมา  ผมยกแขนขึ้นปิดหน้า

ผมแค่หิว
ผมแค่ทอดปลากิน2ตัว
ผมแค่กินปลาก่อนผัวเขากิน
เท่านี้เองหรือที่ผมถูกหวดถูกตี ด่าทอไปถึงบุพการี
ผมรู้  ว่าเขามีบุญคุณที่เลี้ยงดูผมมาอย่างน้อยๆก็6ปี  ตั้งแต่แม่หายไป

เย็นนั้นผัวเขากลับบ้านมา  เห็นผมนั่งมีรอยแผลจากการถูกตี  เขาถามผมว่าไปโดนอะไรมา  ผมบอกว่าเมียเขาตีผม  เพราะผมไปเอาปลาในถังมาทอดกินก่อน  เขาไม่ว่าอะไรผม  ตกค่ำผมลงจากบ้านไปอาบน้ำ   ห้องน้ำอยู่แยกจากบ้าน  อาบเสร็จ เดินลอดใต้ถุนบ้าน
ได้ยินผู้มีพระคุณพูดกับผัวเขาถึงเรื่องที่ตีผม  ว่าผมไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ลามพาดไปถึงพ่อผมแม่ผมต่างๆนาๆ
เขาพูดเหมือนผมไม่เคยทำอะไรดีๆให้บ้านหลังนี้เลย  ผมรับจ้างได้เงินมา  ผมยกให้เขาหมด  ผมหาอะไรได้มา  ผมไม่เคยเก็บไว้กินคนเดียว  ผมเรียนดีได้ทุนการศึกษามา  เขาเดือดร้อน ผมรู้  ผมก็ไปโกหกครูผู้ถือบัญชีเงินฝากเพื่อเบิกเงินมาให้เขา
ผมน้อยใจกับคำพูดเหล่านั้น

ผมถามตัวเอง  ผมอยู่ที่นี่เพื่ออะไร  เพื่อรับใช้  และให้เขาตีเหมือนหมูหมาแบบนี้หรอ
ผมมองแขนตัวเอง  มองขาตัวเอง  ถามใจตัวเอง  มันควรถึงเวลาตัดสินใจหรือยัง
ผมควรไปจากที่นี่เสียที    ไปให้ไกล  ไปที่ไหนก็ได้
ผมอาจจะไม่ได้เรียน   ผมอาจจะไร้ใครดูแล  ไร้บ้านคุ้มหัว  และผมอาจจะตายเพราะความหิวโหย
แต่ผมตัดสินใจ..............เดินออกจากใต้ถุนบ้านในคืนนั้น
ผมไม่ได้เตรียมตัวอะไร  เป็นการตัดสินใจด้วยความน้อยใจล้วนๆ  คิดได้ตอนนั้น  ใจก็มุ่งมั่นแล้วว่า  ผมจะไป  ไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้
ผมเดินตามถนนไปเรื่อยๆ  ผมรู้ว่าถนนเส้นนี้ มุ่งหน้าลงกรุงเทพ  ผมเชื่อมั่นในขาตัวเอง  ผมจะเดินเรื่อยๆ หมดแรงผมจะพัก  มีแรงก็จะเดินต่อ
สักวันผมต้องถึงกรุงเทพ  ต้องได้พบแม่  ตอนนั้นผมคิดแค่นั้นจริงๆว่า  ถ้าไปถึงกรุงเทพ  ผมต้องได้เจอแม่
ผมไม่เคยรู้หรอก  ว่ากรุงเทพมันกว้างใหญ่แค่ไหน
ผมเคยเห็นในรูปถ่าย  มันก็มีตึกมีอาคาร   ใช่ ....ความคิดในมุมมองของคนบ้านนอกแบบผม  นั่นคือ ถ้าแค่ปรากฏในรูปถ่ายนั้น คือมันเล็กมากเลยกรุงเทพ   ผมคงจะพอหาแม่เจอแน่ๆ


ผมออกเดินๆๆ และเดินตลอดคืนนั้น  รถวิ่งผ่านผมไปตลอดทาง  เดินจนรู้สึกว่า  มันไกลกว่าทุกครั้งที่ผมเคยมา
ผมเดินจนไม่รู้เวลา   มันไม่มีอะไรในตัวผมนอกจากเสื้อผ้า และรองเท้าแตะ
ผมเดินๆๆๆๆ จากวันเป็นสองวัน  สองวันเป็นสาม  และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนขี้เกียจนับ
ผมอาศัยนอนตามศาลาข้างทางเป็นหลัก   หรือไม่ก็นอนตามวัดที่อยู่ข้างทาง  บางทีหาไม่ได้  ก็มุดตัวในพงหญ้า พุ่มไม้ก็เอา
เมื่อความหิวมาเยือน  หลักๆแล้วผมจะขโมยพืชผลที่เจอระหว่างทางกินประทังชีวิต
ได้ไม่ได้อะไร  ฝรั่งขี้นก  ตะขบลูกแดงๆที่ขึ้นข้างถนนก็ต่อชีวิตให้ผมได้

สภาพผมมอมแมมและอิดโรยขึ้นเรื่อยๆ  ผมนอนที่ศาลาผุๆพังๆข้างทางในคืนนึง  คิดฟุ้งไปต่างๆนาๆ
พวกเขาจะตามหาผมไหม
แม่ผมจะรู้หรือเปล่า  ว่าผมหายออกมา
พ่อผมกำลังทำอะไรอยู่
ตอนนั้นผมเดินมาไกล  ไกลจนไม่รู้แล้วว่าไกลจากพิษณุโลกแค่ไหน  แต่ผมเห็นป้ายข้างทางมาแล้ว  ว่าผมกำลังเข้าสู่พิจิตร
ตอนกลางวัน  ผมไม่เดินบนถนน เพราะมันร้อนจัด   ลงไปเดินลัดเลาะไปตามป่าข้างทางแต่ก็ยังยึดแนวถนนเพื่อบรรเทาความร้อน
ตอนนั้นร่างกายผมมันร่ำร้องว่าเหนื่อยเหลือเกิน ล้าเหลือเกิน
แต่ใจผมมีความมุ่งมั่น  ผมแค่อยากเจอแม่ผมเท่านั้น

ผมเดินเท้ามาจนถึงเมืองพิจิตร ด้วยการเดินอย่างหลบๆซ่อนๆ เพราะกลัวพวกผู้มีพระคุณจะตามมาจับตัวกลับไป
ผมอ่อนแรง และอ่อนล้าในค่ำคืนนึง  ของการเดินในพิจิตร  สองข้างทางมืดมิดและเปลี่ยว  เห็นต้นไม้โผล่โด่เด่เป็นกลุ่มอยู่กลางทุ่ง
สติผมตอนนั้นมันอยากจะดับเต็มที  แต่ยังหาจุดเหมาะๆที่จะหลับไม่ได้
เดินๆไปเจอป้ายชี้ทางให้เลี้ยวเข้าไปตามทาง  ผมมองตามเข้าไป  เห็นเป็นกลุ่มต้นไม้ตั้งอยู่  ลักษณะนี้ผมคิดว่าคงจะเป็นวัดอะไรสักอย่างแน่ๆ
ผมเดินลากขาป้อแป้ตามทางเข้าไป  เอาล่ะ  ขอนอนหน่อยเถอะนะตอนนี้
ผมเดินเข้าไปจนถึง  ข้างในมีแต่ต้นไม้  มีอาคารโล่งๆเหมือนเป็นศาลาขนาดใหญ่ตั้งอยู่
ผมมองหันไปดูจนรอบ   ก็ไม่เห็นอะไรอย่างอื่น

แต่ผมไม่คิดเยอะแล้ว  ผมหิว  ผมเหนื่อย  ผมล้าและง่วง  ผมลากตัวเองขึ้นไปบนศาลาหลังใหญ่นั้น
พื้นเป็นกระเบื้องสัมผัสเท้าเย็นดีพิลึก  ผมเลือกขดกายลงตรงมุมนึง  ยกมือกล่าวขออาศัยหลับนอน  แล้วหลับไปอย่างรวดเร็ว
รู้ตัวอีกที  มีเสียงดัง   ป๊อกๆๆๆๆๆ ผมปรือตาขึ้นมอง  ไฟบนศาลาสว่างไสว
ผมค่อยๆยันตัวเองให้ลุก
มีคนนั่งกันเต็มศาลา  เหมือนเขามางานบุญ  ผมสำรวจไปรอบๆ  นี่มันเหมือนศาลาการเปรียญสำหรับการประกอบพิธีสงฆ์แถวบ้านผมเลย  ผมมองออกไปด้านนอกศาลา  อ้าว..ท้องฟ้าก็ยังมืดอยู่เลย  พวกเขามาทำบุญอะไรกันตอนมืดๆแบบนี้
ผมขยับตัว  ตั้งใจจะลงจากศาลาอย่างเงียบๆ  เพราะอายตัวเองที่มานอนแอ้งแม้งหมดสภาพอยู่แบบนี้
เสียงนึงดังติดหลังมา

“อ้าว  จะไปไหนล่ะไอ่หนู  มานี่ก่อน”

ผมหันไปมอง ส่งยิ้มให้  ทุกคนหันมามองผม  มีทั้งเด็กยันคนชรา  ใครคนนึงในนั้นกวักมือเรียกผมให้เข้าไป
ผมเดินเข้าไปอย่างว่าง่าย  ประจันหน้ากันก็เป็นคุณยายแต่งชุดไปวัดธรรมดา  กำลังนั่งตำหมากอยู่ป่อกๆๆๆ  ผมบอกสวัสดีครับ
ยายไม่ถามที่ไปที่มาผมเลย  แต่ยื่นสำรับกับข้าว  ข้าวสวย และขนมหวานให้ผม  ผมมอง กลืนน้ำลาย  ยายบอกเอาสิ รออะไร  หิวไม่ใช่หรือ
กินเลย  มีเยอะ ไม่พอบอกได้
ผมไม่ลังเลแล้ว  ที่จะส่งอาหารพวกนั้นลงกระเพาะ  เป็นข้าวธรรมดา ที่แสนอร่อยเหลือเกิน  ผมกินเสร็จ  ยายส่งน้ำมาให้  ปิดท้าย
ผมกินไป ร้องไห้ไป  ยายบอกอย่าร้องไห้ไปเลย  ชีวิตทุกคนบนโลกล้วนมีกรรม  มีแรงรอดตายแล้วโตไปเป็นคนดีนะลูก
ผมพยักหน้าครับรับปาก

สักพัก  มีพระมาจากไหนไม่รู้  เดินเข้าศาลามาพร้อมตาลปัตร  4รูป  พวกท่าน  หันมาเหลือบมองผมนิดนึงทุกรูป  แล้วก็ไมได้สนใจอีก
เดินขึ้นไปนั่ง  ก่อนที่รูปแรกท่านจะซักถามลงมา  ว่าผมมาได้ยังไงไงล่ะนั่น
ยายผู้ใจดีพนมมือตอบไป  เด็กมันเดือดร้อนมาพักหลับนอน  คงไม่เป็นไรกระมัง
พระท่านพยักหน้า  ก่อนจะหยิบตาลปัตรมาตั้งขึ้นทั้ง4รูป  ไปไม่กลับ  หลับไม่ตื่น  ฟื้นไม่มี  หนีไม่พ้น  ผมจ้องอ่านก็รู้สึกประหลาดใจ  มันตาลปัตรสวดงานศพชัดๆ  แล้วผมมองไปก็ไม่เห็นว่าจะมีศพใคร
พระท่านหยิบตาลปัตรผิดหรือเปล่า  แต่ก็พนมมือนั่งเนียนไปด้วยไม่ได้ท้วงติง  บทสวดงานศพดังระงม  ทั้งๆที่ไม่ได้ใช้เครื่องขยายเสียง
นั่งๆพนมมือผมก็รู้สึกง่วง   ยายบอก  ง่วงนอนเลยก็ได้ลูก  อยู่ที่นี่ปลอดภัย
ผมฟุบลงไปทั้งที่พนมมือ  หลับไปอย่างสนิทตอนไหนไม่รู้ตัว

รู้สึกตัวอีกที  เพราะถูกเขย่าเรียก

“ไอ้หนู ตื่น  ตื่นๆๆ”

ผมลืมตา  คิดว่ายายปลุก  แต่มันเป็นเวลาเช้าแล้ว    มองเห็นคนยืนออกันเต็มด้านหน้า

“เห้ย ไอ้หนู  มืงมาจากไหนวะนั่น  เข้าไปนอนในศาลได้ไง  ออกมา”

ผมตกใจ  มองไปรอบตัว  นี่มันศาลอะไรสักอย่าง  สร้างด้วยปูน  ขนาดที่เด็กคนนึงจะนอนได้พอดี  ในศาลมีรูปตุ๊กตาปูนปั้นเต็มไปหมด  พวงมาลัยห้อยระโยงระยาง  ผมตกใจ พุ่งตัวออกไปจากตรงนั้นอย่างไว
ผมหมุนมองไปรอบๆตัวอย่างมึนงง
หลายๆคำถาม  ประดังเข้ามาเหมือนลำน้ำยมหน้าน้ำหลาก

มาจากไหน  เป็นใคร  มานอนในนี้ได้ไง  รู้ไม๊ว่าศาลนี้ชาวบ้านเขาเคารพ  ลบหลู่ไม่กลัวหรอ

ผมยกมือไหว้  พูดอธิบายทุกสิ่งตั้งแต่เริ่มเดินเข้ามา  และเล่าที่มาและความตั้งใจของผมว่าต้องการไปไหน
พวกเขาฮือฮา  ว่าผมเดินมาจากพิษณุโลกเพื่อจะไปกรุงเทพ  จนมาถึงพิจิตรได้  ไม่ธรรมดาจริงๆ  ผมบ้าหรือไง
ผมบอกผมจะไปหาแม่ที่กรุงเทพ  บางคนเขาเดินมาจับไหล่ผม

ไอ้หนูเอ๊ย  มืงไปถึงกรุงเทพ  มืงรู้หรอ  แม่มืงอยู่ตรงไหน  ผมบอก  แม่ผมอยู่ลาดพร้าว

เขาถาม  ผมเคยไปกรุงเทพหรือเปล่า
ผมบอก  ไม่เคยไป  นี่เป็นครั้งแรก  ที่มาไกลจากบ้านที่สุด
พวกเขาพูดให้ผมฟัง ว่ามันไม่ง่ายเลย  ที่จะตามหาแม่ผมในลาดพร้าว  ทั้งๆที่ไม่รู้จุดแน่ชัด  พวกเขาพาผมไปหาผู้ใหญ่บ้าน
เล่าพฤติการณ์ให้ฟัง  ผู้ใหญ่บ้าน  บังคับให้ผมอยู่กับแกก่อน  ว่าอย่าไปเลย  ทางมันไกล  และอันตรายสำหรับเด็กอย่างผม
แต่ผมยืนยันว่าผมอยากไปหาแม่เท่านั้น  ไม่อยากกลับไปอยู่กับผู้มีพระคุณ

ผมอยู่กับผู้ใหญ่บ้านที่พิจิตรคนนั้นประมาณ2วัน  ก็มีรถตำรวจวิ่งเข้ามา  เขาบอกเขามาจากพิษณุโลกเพื่อรับตัวผมกลับไป
ผมจะไม่ไปพิษณุโลก   พวกเขาบอกว่า  แม่ผมรออยู่ที่พิษณุโลก  ผมเลยยอมกลับไป
ผมเดินออกจากบ้านมาร่วม20วัน  กลายเป็นคนซูบผอมอิดโรย  แม้จะได้รับการอนุเคราะห์ชุดใหม่และได้อาบน้ำจากผู้ใหญ่บ้านแล้วก็ยังดูออก
ผมกลับมาเจอแม่ที่พิษณุโลก  แม่มารอผมที่โรงพัก  พอแม่เห็นผม  แม่ก็วิ่งมากอดผม
ผมร้องไห้  แม่ร้องไห้ กอดกันแน่น  ผู้มีพระคุณผมเขาก็อยู่

แม่ขอโทษที่ทิ้งผมไว้ทำให้ผมน้อยใจและออกจากบ้านไปแบบนี้

ผมไม่โทษแม่ ผมไม่โกรธ  ผมได้พยายามแล้ว  แม้จะเดินไม่ถึงกรุงเทพตามที่หวัง  แต่ผมก็ได้เจอแม่แล้ว
จากวันนั้นถึงวันนี้  ผมอยากกลับไป ก้มกราบศาลหลังนั้นที่พิจิตรสักครั้ง  แต่ผมก็จำไม่ได้แล้วว่า ศาลนั้นตั้งอยู่ตรงจุดไหนของพิจิตร  รู้แค่ว่าเป็นศาลเล็กๆขนาดพอให้เด็กนอนได้  อยู่ใกล้ถนน   ทุกวันนี้ชีวิตผมมีความสุขดีอยู่กับแม่ที่บ้านของแม่และพ่อบุญธรรม
ผมไม่มีอะไรมาก  แค่รู้สึกขอบคุณทุกครั้ง  ที่ได้นึกถึงเรื่องนี้  จะบอกว่าผมรอดตายมาได้  เพราะผีและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็คงไม่แปลก
ก็มีเพียงเท่านี้ที่จะขอเล่าให้ฟัง สวัสดีครับ...

เรื่องจากพันทิป เด็กเร่ร่อน
เรื่องโดย สมาชิกพันทิปหมายเลข 3928237 

ไม่มีความคิดเห็น