ซ่อนหา..ย
เรื่องประสบการณ์จริงสุดหลอนของสมาชิกพันทิปหมายเลข 3928237 ประวัติและการเดินทางของเขาที่พบกับเรื่องราวผจญภัยมากมาย เล่าเรื่องได้เป็นลำดับ สำนวนดีมาก อ่านแล้วสนุก เรื่องตื่นเต้น ขอขอบคุณเรื่องราวสยองขวัญไว้ ณ ที่นี้ด้วย
วัดเอ่ย…วัดโบสถ์…ปลูกข้าวโพด สาลี…ลูกเขยตกยาก…แม่ยายก็พรากลูกสาวหนี …ส่วนข้าวโพดสาลี …ป่านฉะนี้ก็โรยรา…
2537-2538 ยุคหนังขายยาครองใจมหาชน ปุถุชนผู้คลุกคลีอยู่กับยาถ่ายพยาธิ และยาน๊อกซี่ ตรารูปนักบินอวกาศบนแผง
ช่วงนั้น พ่อกับแม่พาผม เดินทางไปที่ อ.วัดโบสถ์ ตามคำชวนของญาติ ด้วยข้าวโพดแป้งที่ปลูกกำลังสุกได้ที่ และญาติคนนั้น ก็ต้องการกำลังในการหักเก็บ จ้างพี่จ้างน้องดีกว่าไปจ้างคนอื่น เขาถือว่าแบบนั้น อีกทั้งหากทำงานกับญาติเสร็จ ก็อาจได้รับจ้างทำงานของรายอื่นเก็บเงินได้ต่อไป กว่าจะกลับบ้านก็อาจจะได้ทองใส่สักเส้นสองเส้นแล้ว
ผมไปอยู่กับญาติคนนั้น รู้สึกมีความสุข เพราะมีเด็กวัยเดียวกันเป็นเพื่อนเล่นมาก ผิดจากตอนอยู่บ้านที่มีแค่หมาเป็นเพื่อน
พ่อกับแม่ไปทำงานในไร่ข้าวโพด แรกๆผมก็ตามไปด้วย
แต่พอเริ่มรู้จักเด็กๆละแวกนั้น ผมก็เริ่มติดเล่นอยู่แถวบ้านญาติ ไม่ตามพ่อกับแม่ไปแล้ว พ่อกับแม่ก็ไม่ว่าอะไร ดีเสียอีก
เด็กๆจับกลุ่มเล่นกันทั้งชายหญิง
บางครั้งก็เล่น พ่อ แม่ ลูก พ่วงเล่นหม้อข้าวหม้อแกง และผมมักได้บทเป็นควาย ให้คนรับบทพ่อกับแม่ขี่
บางครั้งก็เล่นโดดยาง และผมมักต้องเป็นคนยืนถือยาง เพราะโดดไม่ค่อยเป็น
บางครั้งก็ดีดลูกแก้วหลุมกินลูกแก้ว หรือดีดยางวงกินยางกัน ฮาร์ดคอร์หน่อย ก็คือการขุดหลุมทอยเหรียญประกบกินเงินกัน
การละเล่นของเรา วนไปในแต่ละวัน แล้วแต่คนนำจะคิด แต่ที่เราชอบมากๆคือการเล่นซ่อนหา มันเป็นอะไรที่สนุกและไม่ต้องคิดเยอะ
เพียงแต่กำหนดขอบเขตกันเองว่าห้ามออกพ้นจากเขตไหน ความสนุกมันอยู่ตรงที่ คนซ่อนต้องพยายามหาที่ซ่อนที่คนหาไม่สามารถหาเจอ
และการย่องมาแตะตัวคนหา พร้อมคำว่า “โป้ง”
คนๆนั้นจะกลายเป็นฮีโร่ เพราะคนหาต้องไปเริ่มหาใหม่ และคนที่ถูกหาเจอไปก่อน ก็จะได้โอกาสคิดหาที่ซ่อนอีกครั้ง
เมื่อข้าวโพดของญาติหมด พ่อกับแม่ก็ยังอยู่ต่อ เพื่อรับจ้างเจ้าอื่นทำงานต่อไป มันเป็นช่วงเก็บเกี่ยวทั้งเจ้าของไร่ และคนรับจ้าง
พอเช้ามา แม่ก็จะยื่นแบงค์10สีน้ำตาลให้ผมไว้กินขนม แล้วก็ไปทำงาน ผมกินข้าวเสร็จก็ออกไปนั่งรอที่ศาลาหมู่บ้าน เพื่อนๆก็จะทยอยมา
แล้วก็เล่นกัน ชีวิตของเด็กๆวนไปเพียงเท่านี้ในแต่ละวัน
บ่ายๆของวันหนึ่ง มีรถแห่ วิ่งเข้ามาในหมู่บ้าน ประกาศให้รู้ว่า คืนพรุ่งนี้ จะมีการฉายหนัง ที่ทุ่งนาด้านนอกหมู่บ้าน
พวกเด็กๆอย่างผม จะพากันหยุดเล่นและยืนมอง รถคันนั้น มองป้ายข้างรถแล้วกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ
หนังฉาย บ้านผีปอบ จะมาฉาย
ยุคนี้ คนอาจจะไม่ค่อยอิน กับการวิ่งหนีผีปอบลงโอ่งเท่าไหร่
แต่ยุคของผมนั้น เป็นฉากที่ประทับใจสุดๆของหนังบ้านผีปอบตระกูลป้าหยิบ
การมีหนังมาฉาย มันหมายถึง จะมีของกินมากมายที่มาขายในงาน และการไปตั้งฉายกลางทุ่งนาที่พึ่งเก็บเกี่ยวไปด้วยเคียวจากแรงงานคน
อันมีแต่ตอข้าวตั้งโด่เด่ มันมีเสน่ห์และเหมาะสมต่อการเล่นของเด็กๆก่อนหนังฉายจริงๆ
พวกเด็กๆอย่างผม ออกเดินไปรวมกลุ่มในทุ่งนาบริเวณจอหนัง ตั้งแต่เย็นๆยังไม่มืดแล้ว
ไปถึงก็ไปรวมกลุ่มกันกระโดดโลดเต้นบนกองฟางที่เหลือจากการสีข้าวนั่นเอง คันบ้างคายบ้างก็ไม่สนใจ เราสนุกอย่างเดียว
การเล่นบนกองฟางของเรา คือการแบ่งพวกต่อสู้กันเลียนแบบในหนัง
แบ่งเป็นฝั่งพระเอกและตัวร้าย
ฝั่งพระเอกจะมีน้อยกว่า มีเพียง2-3คน
ในขณะที่ฝั่งตัวร้ายจะเป็นพวกเด็กชายที่เหลือ ที่จะพยายามเข้าไปแย่งเด็กหญิง ที่แสดงเป็นนางเอก ซึ่งนั่งอยู่บนยอดสุดของกองฟาง
เมื่อพวกตัวร้าย กรูกันเข้าไป และพยายามปีนกองฟางขึ้นไปเพื่อชิงนางเอกลงมา พวกเป็นพระเอกเมื่อเห็นพวกตัวร้ายปีนขึ้นไปจากทางไหน
ก็จะหันมาทำท่าต่อยอากาศจากระยะไกลใส่เรา
พวกเราก็จะร้อง เอื้ออออออออ อ๊าคคคคคค โอ๊ยยยยย แล้ว กระโดดหงายหลังด้วยตัวเอง ลงบนกองฟางนุ่มๆ
แต่หากพวกตัวร้ายสามารถขึ้นจับนางเอกบนยอดได้โดยที่พวกพระเอกต่อยไม่ทัน พวกเราก็จะเฮ เพราะเราชนะ
และพวกพระเอกก็ต้องมาเป็นตัวร้ายบ้าง วนกันไป
แอ๊คติ้งในการเล่นสู้กันบนกองฟาง เป็นอะไรที่สนุกมากๆเหมือนกัน
แม้จะคันไปสักหน่อย เพราะการได้ทิ้งตัวหงายหลังลงบนฟางนุ่มๆมันก็เพลินดี ผมเลยชอบเป็นตัวร้ายมากกว่าพระเอก
พอเริ่มมืด คนเริ่มมาดูหนัง การเล่นแอ๊คติ้งต่อสู้บนกองฟางก็ต้องหยุด เพราะอายผู้ใหญ่ และเริ่มเหนื่อย บางคนเห็นพ่อแม่มาก็จะวิ่งไปขอเงินซื้อขนม ลูกชิ้น ที่มาขายในงานกิน พออิ่ม เราก็จะกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง เพราะหนังยังไม่ฉาย
เด็กน้อยจับกลุ่มกัน ผู้ใหญ่ไม่เคยมายุ่ง มีแต่ดูอยู่ไกลๆ
การจับจองที่นั่งดูหนังเริ่มไปทีละหย่อม ตอข้าวถูกทำให้ราบไปกับพื้นด้วยเสื่อ
ลักษณะการนั่ง มันก็จะเป็นกลุ่มคน สลับตอข้าวโด่เด่ไปเหมือนมีห้องส่วนตัวของตัวเอง
ถั่วลิสงต้มเป็นของขายดีที่สุด เพราะซื้อกินเล่นระหว่างดูหนังได้ดี มีขายเท่าไหร่ก็หมด
ก่อนที่หนังจะเริ่มฉาย เด็กๆอย่างเรา มายืนรวมตัวกันอีกครั้งตามประสาเพื่อหาอะไรคร่าเวลา
กิจกรรมที่เราชอบถูกเสนอขึ้นโดยผู้นำกลุ่ม
มืดๆแบบนี้ และทุ่งนาที่มีตอข้าวโด่เด่แบบนี้ มีจอมปลวกใหญ่ที่มีต้นไม้ขึ้นโด่เด่กระจายเต็มบิ้งนาแบบนี้
“เล่นซ่อนหากันเถอะ”
พวกเราตกลงไม่ต้องคิดเยอะ กำหนดขอบเขตไว้ว่า เอาแค่ในบริเวณบิ้งนาผืนนี้เท่านั้นนะ
ห้ามออกไปพ้นจากคันนาและห้ามเข้าไปในป่าด้านข้าง
ทุกคนตกลง และเห็นด้วย กติกาเดิมแบบที่เล่นทุกวัน การโอน้อยออกรอบวง ถูกนำมาใช้
จนเหลือคน2คนที่ต้องเป่ายิ้งฉุบเพื่อหาคนสุดท้ายที่จะต้องเป็นคนหา
ผมรอดออกมาเป็นคนแอบ และเพื่อนคนนึงต้องเป็นคนหา หันหน้าไปนับ1-10ช้าๆ
พวกเราที่เหลือกระจายตัวไปซ่อนตามจุดต่างๆ
บางคนหนีไปหลบข้างรถฉายหนัง
บางคนทิ้งตัวลงนอนไปกับพื้น ใช้ความมืดและตอข้าวบังตัว
แต่หลายๆคนก็มักถูกหาเจอในกองฟาง เพราะหนีไปมุดตัวซ่อนในนั้นกันเยอะ
การเล่นผ่านไปหลายตา ผมยังไม่ได้เป็นคนหา เพราะคนซ่อนที่ถูกหาเจอเป็นคนแรก ต้องกลายมาเป็นคนหาในตาถัดไป
และผมนั้นไม่เคยถูกหาเจอเป็นคนแรกสักครั้ง จนเมื่อหนังเริ่มฉาย เรากำลังเล่นอยู่ เราตะโกนใส่กันว่าเลิกเล่นเถอะหนังฉายแล้ว
พวกเราก็ต่างคนต่างออกมา และแยกไปนั่งกับครอบครัวเพื่อดูหนัง สลับขายยา หนังบู๊ ต้องพันนา ฤทธิไกร ปะทะ บิณฑ์ บันลือฤทธิ์
ส่วนหนังผี ต้องป้าปอบหยิบเท่านั้น ที่พวกเราชอบ แต่ส่วนมากแล้วพวกเด็กๆมักจะฝุบหลับไปเสียก่อนหนังจะฉายจบ เพราะเล่นกันมาจนหมดแรง รู้สึกตัวอีกทีคือรู้สึกว่ากำลังถูกพ่อยกตัวขึ้นขี่หลังเดินกลับบ้าน
เช้าอีกวัน ผมตื่นมาอาบน้ำแต่งตัว แปรงฟัน กำลังนั่งกินข้าวในครัว แม่ก็เดินเข้ามาตาม เรียกผมให้ออกไปชานบ้านหน่อย
ผมออกไป น้าคนนึง ชาย หญิง มายืนอยู่หน้าบ้าน
เขาถามผม ว่าเห็นบอมหรือเปล่า ผมบอกเห็น เล่นด้วยกันเมื่อคืน
น้า2คนก็บอกมาทางแม่ผมว่า เมื่อคืนบอมขอไปดูหนัง แต่น้าสองคนไม่ได้ไป เลยให้เงินไปแล้วบอมก็ไม่กลับมาบ้าน
ตอนแรกคิดว่า บอมคงไปนอนบ้านลุงของเขาแบบทุกครั้ง แต่พอไปตาม ลุงบอกบอมไม่ได้มา
น้าสองคนเขาก็เลยออกตามหาไปตามบ้านของเด็กๆที่เล่นกับบอม
ทุกคนก็จะบอกแบบที่ผมบอก ว่าเล่นด้วยกันเมื่อคืน แล้วแยกย้ายกันไปดูหนัง ไม่ได้สนใจกันอีก
น้าสองคนไปแจ้งผู้ใหญ่บ้านว่าบอมหายไปตั้งแต่เมื่อคืน
ตำรวจมาดู และให้เด็กๆ3-4คน รวมทั้งผมไปตรงทุ่งนาที่เล่นด้วยกันเมื่อคืน
พวกผมไป แล้วก็ชี้ ว่าเล่นตรงนั้นตรงนี้
พวกพ่อแม่บอมและผู้ใหญ่ที่มาด้วย ก็ช่วยกันเขี่ยกองฟาง เพราะเป็นจุดที่น่าสงสัยที่สุด แต่ก็ไม่พบอะไร
พวกผู้ใหญ่เขาเดินดูจนทั่ว ก็ไม่เจออะไร พวกเขาเริ่มพูดคุยกัน
พ่อแม่บอมบอก บอมถูกพวกฉายหนังจับตัวไปหรือเปล่า ผู้ใหญ่บอก ไม่น่าใช่
เพราะเมื่อคืนพวกฉายหนังไปนอนอยู่บ้านผู้ใหญ่ ยังมานั่งดื่มสาโทด้วยกันอยู่เลย ถ้าบอมถูกจับตัวไปผู้ใหญ่ต้องเห็น
และเขาคงไม่ใจเย็นไปนอยู่บ้านผู้ใหญ่ได้หรอก คงพากันรีบออกจากหมู่บ้านไปแล้ว
พอหมดหวัง เขาจึงไปหาหมอผีให้ช่วยดูว่าบอมหายไปไหน
หมอผีนั่งทางใน แล้วบอกว่า บอมอยู่ที่ไหนสักที่ แต่มืดมากๆ หมอผีก็มองไม่เห็น
ได้ยินแต่เสียงบอมร้องไห้ แต่น่าจะอยู่ไม่ไกลจากที่ฉายหนัง
พวกผู้ใหญ่ เขาก็พากันกลับไปอีก ผมก็ไปช่วยหาผมเดินออกไปอีกด้าน
สักพัก ได้ยินเสียงคนกู่ร้องมาไกลๆ วู้ วู้
พวกผู้ใหญ่พากันเดินตามเสียงเข้าไปในป่าด้านที่ติดกับบิ้งนาที่ฉายหนัง อันเป็นพวกต้นยาง และเต็งรัง
ผมไม่ได้ตามเข้าไป เพราะมันรกและไม่ชินพื้นที่
สักพัก ผมก็เห็น พ่อของบอม อุ้มบอมออกมาจากในป่า
ผมก็ตามไปดู เขาพาบอมไปพักฟื้นที่บ้าน ชาวบ้านที่รู้ข่าว พากันมามุง
บอมได้กินข้าว กินน้ำ ได้พักและยันตัวลุกขึ้นนั่งได้ ก็ร้องไห้กอดพ่อและแม่
ผู้ใหญ่บ้านซักถาม ถึงเรื่องราวว่าเป็นยังไงมายังไง บอมถึงหายตัวไปไม่กลับบ้าน
บอมบอกว่า เมื่อคืนตอนเล่นซ่อนหาตาสุดท้ายกับพวกผม บอมหนีไปนอนหมอบซ่อนตรงชายบิ้งนา ใกล้กับชายป่า พอกำลังหมอบๆอยู่
มีเสียงดังมาจากด้านหลัง ว่า “หนู ๆ”
บอมเลยหันไปดู เห็นเป็นผู้หญิงหน้าตาสวย รูปร่างดี แต่งชุดชาวนา มือนึงถือไต้ไฟ นั่งยองๆอยู่ในเขตป่า
บอมเลยรับว่า “ครับ”
ผู้หญิงคนนั้น ก็บอกบอมว่า “ไปเป็นเพื่อนน้าข้างในหน่อย น้าปวดฉี่ เดี๋ยวน้าให้สตางค์กินขนม”
ตอนนั้นบอมบอก บอมก็ลังเล เพราะห่วงเล่น แต่น้าคนสวยก็ส่งเสียงเว้าวอนชวนไม่หยุด แถมเอาตังค์มาล่อ
บอมเลยยอมเดินตามเข้าไป จนมีแต่ป่ารอบตัว บอมก็บอกว่า พอแค่นี้เถอะ ไม่ไปแล้ว หนังฉายแล้ว น้าคนนั้นเขาก็หยุด แล้วบอกว่าจะฉี่
ห้ามไม่ให้บอมแอบดู
บอมก็รับปากว่าไม่ดู และหันหลังให้
สาวคนนั้นก็ยังไม่พอใจ เดินมาใกล้ๆบอม บอมว่ามีกลิ่นเหม็นๆด้วย แล้วหญิงคนนั้นก็เอาผ้ามาผูกตาบอม บอกห้ามบอมแกะออก
เดี๋ยวน้าฉี่เสร็จจะแกะให้ พอผูกเสร็จก็นั่งให้บอมนั่งลงยองๆ บอมก็ทำ
นั่งยองอยู่นานก็เลยตะโกนถามว่า เสร็จหรือยัง แต่ไม่มีเสียงตอบกลับ บอมเลยแกะผ้าออก ก็ไม่เห็นอะไรเลย นอกจากความมืดรอบๆตัว
พอบอมลุกขึ้นยืน หัวก็ชนกับอะไรแข็งๆดังโป๊ก
บอมเจ็บก็ทรุดลงนั่งคลำหัวร้องไห้ พอจะขยับไปทางไหน ก็จะเจอแต่ผนังสากๆทุกด้าน
บอมตะโกนเสียงร้องให้คนช่วยดังลั่น แต่ก็ได้ยินแต่เสียงตัวเองก้องไปก้องมา บอมก็นั่งร้องไห้จนหมดแรง
จะเหยียดขา หรือ เหยียดตัวนอนก็ไม่ได้ เพราะมันแคบ เลยนั่งหลับๆตื่นๆทั้งคืน แถมยุงก็กัด ไม่รู้มาจากไหน
พอเช้า บอมถึงเห็นแสงสว่างส่องเช้ามา จากด้านนึงเป็นรูแค่พอ สอดมือออกไปได้
บอมเลยสอดมือออกไป พยายามจะดึงขอบรูให้กว้างขึ้น แต่มันก็แข็งเกินไป จนหมดแรงก็เลยนั่งโผล่ออกมาแค่มือแบบนั้น
ทีนี้นั่งๆอยู่ ได้ยินเสียงคนเรียกชื่อ เลยก้มลงเอาปากแนบรูตะโกนกลับ แล้วก็มีคนมาช่วยกันทุบขยายรูเอาตัวออกมา
ถึงได้รู้ว่า ตัวเองเข้าไปอยู่ใต้ฐานเจดีย์เก่าๆ
พวกชาวบ้านที่มามุง เขาก็หันไปคุยกันส่งเสียงอื้ออึงไปต่างๆนาๆ
พวกผู้ชายที่เขาไปเจอและช่วยกันทุบก็บอกว่า ตอนแรกก็ตกใจ เพราะได้ยินเสียงดังออกมาจากฐานเจดีย์นั้น พอเข้าไปใกล้ๆเลยรู้ว่าเป็นบอม
พ่อของบอมก็ทุบก่อนใคร เลยช่วยบอมออกมาได้สำเร็จ
ชาวบ้านล้วนบอกว่า ต้องเป็นผีแน่นอนไม่ต้องสงสัย เพราะใครมันจะมุดรูเล็กๆเข้าไปอยู่ในเจดีย์ได้
ผู้ใหญ่บ้านแกก็ว่า พวกผู้เฒ่าผู้แก่ เขาเล่าต่อๆกันมาว่า ตรงนั้นเคยเป็นป่าช้าเก่าแก่ มีมาตั้งแต่ยุคไหนไม่รู้ แต่เขาเลิกใช้ฝังมานานแล้ว
พิธีล้างป่าช้าก็ทำ แล้วจะมีการทำบุญอุทิศให้ที่เจดีย์นั้นทุกปี เพราะผู้เฒ่าผู้แก่บอก ที่นั่นผีดุมากๆ โดนหลอกกันมารุ่นสู่รุ่นตลอด
ผีผู้หญิงสวยๆนี่แหละ บางครั้งก็โผล่มาแค่ดวงไฟลอยไปลอยมาในป่า
บางครั้งก็มาเป็นคนสวยๆถือไต้เลย แบบที่บอมเจอ
ผู้เฒ่าคนนึงที่มายืนอยู่ด้วยก็ถามว่า ก่อนฉายหนัง มีใครยกเครื่องเซ่นไปขออนุญาตหรือเปล่า
ผู้ใหญ่ก็บอก ฉายในนาต้องไปขอในป่าด้วยหรือ
ผู้เฒ่าก็ว่า ที่แต่เดิมน่ะ มันเป็นเขตของป่านั้นนะ แต่เจ้าของเดิมเค้าไปทำพิธีขอทำมาหากิน เขามาเข้าฝันว่าให้ทำกิน
แต่จะทำอะไรต้องขอเขาก่อนนะ และห้ามขุดบ่อน้ำในที่ดินนั้นด้วย ไม่งั้นเขาจะทวงที่คืน
เจ้าของเขาก็ทำตาม ใช้ปลูกข้าวอย่างเดียว ไม่เคยกล้าทำอย่างอื่น
นี่สงสัยว่าเขาจะไม่พอใจนะ ที่มาตั้งจอหนังไม่บอก ส่งเสียงดังรบกวน
เขาเลยเอาลูกหลานคนในหมู่บ้านดวงถึงที่ไปขังไว้ให้รู้ว่าเขาไม่พอใจ
พิธีขอขมา และการซ่อมเจดีย์นั้น จึงเกิดขึ้น ....นี่จึงเป็นอีกเรื่องที่ผมนำมาเล่าสู่กันฟังครับ
เรื่องจากพันทิป ซ่อนหา..ย
เรื่องโดย สมาชิกพันทิปหมายเลข 3928237
Post a Comment