ความลับของบ้านพักหลังนั้น...
สวัสดีค่ะ
หลังจากที่ได้ติดตามแท็ก เรื่องเล่าสยองขวัญ มาก็มีความรู้สึกว่าอยากจะลองเอาเรื่องที่เคยเกิดขึ้นกับครอบครัวมาเล่าให้ทุกคนฟังบ้าง
ส่วนตัวเราไม่ได้เป็นคนมีเซนส์เห็นพวกผีอะไรขนาดนั้นนะคะ แต่คนที่อยู่รอบตัวมักจะเจอและก็มีอิทธิพลถึงเราด้วยเช่นกัน เอาเป็นว่าขอเริ่มเล่าเรื่องนี้เลยแล้วกันค่ะ (ป.ล. เราขอสงวนไม่บอกสถานที่และชื่อบุคคลที่เกี่ยวข้องนะคะ เพราะอาจมีผลกระทบหลายอย่างตามมา)
เรื่องนี้เกิดขึ้นตอนที่เรายังเด็ก เด็กที่ว่านี้ก็อยู่ประมาณ ป.3 ได้ พ่อเราเป็นทหารค่ะ ส่วนแม่ก็เป็นผู้ช่วยพยาบาล ครอบครัวของเราอาศัยอยู่ที่บ้านพักในค่ายทหารที่พ่อเราทำงาน ลักษณะบ้านพักก็จะเป็นห้องแถว 2 ชั้นซึ่งครอบครัวเราอยู่บ้านตรงกลางก็จะอึดอัดหน่อยๆ แต่บ้านที่อยู่ริมสุดจะมีพื้นที่ข้างบ้านเยอะมาก มีทั้งบ่อน้ำและพื้นที่เอาไว้สำหรับปลูกหรือจะทำอะไรก็ได้ค่ะ ครอบครัวเรามีกัน 4 คน มีพ่อ แม่ พี่สาว แล้วก็เรา ในตอนที่เราอยู่ประมาณ ป.2 ขึ้น ป.3 บ้านริมสุดที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเขาสอบเลื่อนขั้นได้เลยได้ย้ายบ้านไปอยู่ในโซนของตำแหน่งที่เขาได้เลื่อนขั้นเป็นยศนั้นค่ะแล้วภรรยาของเขาก็เป็นพยาบาลที่ทำงานที่โรงพยาบาลที่เดียวกันกับแม่เรา ส่วนลูกๆ ของเขาก็สนิทกับเราและพี่สาวเพราะเล่นด้วยกันมาตลอดตั้งแต่เด็ก ทีนี้พ่อเราเห็นว่าบ้านที่กำลังจะย้ายมีทั้งบ่อปลา ต้นมะม่วงหลายพันธุ์ ต้นกล้วยต่างๆ มากมาย แถมหลังบ้านยังมีการต่อเติมเพิ่มอีก ด้วยความที่บ้านเราและคนที่บ้านนั้นก็รู้จักมักจีกันดีพ่อเราจึงไปคุยเพื่อขอย้ายเข้าบ้านนั้นต่อค่ะ
หลังจากที่พ่อทำเรื่องต่างๆ เสร็จ บ้านเราก็ย้ายเข้าสู่บ้านนั้นด้วยความดีใจ พ่อเอาปลามาลงบ่อ และปลูกผลไม้ข้างบ้านเพิ่มแล้วก็ซ่อมแซมต่อเติมส่วนของหลังบ้านอีกนิดหน่อย แล้วแม่ก็ใช้ส่วนนั้นทำเป็นห้องเย็บผ้า (แม่เรารับจ้างตัดชุดพยาบาลเป็นอาชีพเสริมค่ะ)
ช่วงแรกๆ ของการย้ายเข้าไปอยู่ก็ยังไม่พบอะไรผิดปกติ แต่สิ่งหนึ่งที่เรากับพี่ชอบเจอก็คือมักมีผู้หญิงรุ่นๆ ขี่รถมอเตอร์ไซค์มาที่บ้านเราแล้วถามหาป้าผู้หญิงที่เคยอาศัยอยู่บ้านนี้เสมอ มาแต่ละวันไม่ซ้ำหน้ากัน พอบอกว่าย้ายไปแล้วเขาก็มองหน้ากันเลิกลักแล้วก็ถามที่อยู่ใหม่ซึ่งเรากับพี่เราก็บอกให้ตลอด
เนื่องจากว่าแม่เราเป็นผู้ช่วยพยาบาลก็เลยต้องมีการเข้าเวร 3 กะ บางทีเข้ากะบ่าย บางทีเข้ากะดึก ส่วนพ่อบางทีก็ไปรับจ้างเข้าเวรในค่าย บางทีก็ไปฝึกที่ต่างจังหวัด ทำให้เรากับพี่สาวต้องอยู่ด้วยกันแค่ 2 คนบ่อยๆ (แต่ชินแล้วเพราะเป็นอย่างนี้ตั้งแต่เด็ก) ทีนี้หลังจากที่ย้ายเข้ามาเวลาผ่านไปเกือบปีเรากับพี่สาวมักจะเห็นอะไรแปลกๆ ในบ้านหลังนั้นค่ะ เป็นต้นว่าเราเห็นคุณตาแก่ๆ นอนมองเรากับพี่สาวเล่นอยู่บนแคร่หลังบ้านบ้าง หรือเห็นอะไรแว่บๆ ผ่านหางตาไปบ้าง แต่เรากับพี่สาวต่างก็ไม่เล่าให้กันฟัง เพราะคิดว่าตาฝาดไปเอง จนมาวันหนึ่งที่เรื่องเชิงนี้มันเริ่มชัดเจนว่าบ้านหลังนี้มันมีอะไรบางอย่างที่พวกเราไม่อยากให้มี
วันนั้นเรากับพี่สาวเลิกเรียนกลับมาก็แยกย้ายกันไปทำงานบ้าน ในช่วงนั้นเป็นเวลาโพล้เพล้แล้ว คนที่บ้านทุกคนมักจะเข้าบ้านตรงหลังบ้าน ส่วนหน้าบ้านจะปิดไว้ และหน้าต่างหน้าบ้านก็จะปิดแง้มๆ ไว้ไม่ลงกลอนเผื่อว่าพ่อหรือแม่กลับมาตอนดึกก็จะมาเรียกตรงหน้าต่างให้เราไปเปิดประตูบ้านให้ค่ะ ในตอนนั้นเราเข้าบ้านจากทางหลังบ้านเสร็จก็เปิดไฟแค่เฉพาะโซนหลังบ้านที่ต่อเติม ไฟสมัยก่อนมีแต่เป็นหลอดกลมทังสเตนสีส้มภาพทุกอย่างที่เห็นก็จะเจือจางลงไปตามแสงไฟ เรากวาดบ้านอยู่ตรงโซนหลังบ้านที่ต่อเติมออกมาโดยที่ในบ้านยังไม่ได้เปิดไฟ แสงไฟจากหลังบ้านสาดไปถึงแค่ตรงกลางตัวบ้านซึ่งมีมูลี่ไม้ไผ่กั้นไว้ส่วนหน้าบ้านมีแสงพระอาทิตย์ช่วงโพล้เพล้สาดเข้ามาทางช่องหน้าต่างที่เปิดแง้มไว้รางๆ เราเห็นว่าจานหลังบ้านยังไม่ได้ล้าง(เป็นหน้าที่ของพี่สาวเรา) จึงเงยหน้าขึ้นมาเพื่อตะโกนเรียกพี่ แต่ในจังหวะนั้นเราก็เหลือบไปเห็นชายแขนเสื้อสีขาวหายวูบเข้าไปหลังมูลี่ไม้ไผ่คล้ายวิ่งหลบสายตาเราเพราะกลัวจะถูกเห็น เราจึงตะโกนเรียกพี่สาวอีกครั้ง ในใจตอนนั้นคิดแต่ว่าพี่เราอู้งานอีกแล้วทำไมไม่ยอมมาช่วยกันทำงานบ้าน แต่เรียกเท่าไรก็ไม่มีเสียงขานรับ เราคิดว่าพี่สาวเราต้องแอบนอนอยู่ในบ้านแน่ๆ จึงเดินอ้อมไปด้านหน้าบ้านเพื่อเปิดหน้าต่างที่แง้มไว้ดูจากด้านนอก เราพยายามหรี่ตามองเพราะในบ้านค่อนข้างมืดมีแต่แสงสลัวจากไฟสีส้มหลังบ้านสาดเข้ามาจางๆ เท่านั้น ในขณะที่กำลังโมโหพี่สาวที่เรียกเท่าไรก็ไม่ยอมออกมาก็ได้ยินเสียงเด็กเล็กร้องไห้ดังแว่วเข้ามา “อุแว้” เรามองซ้ายขวาหาที่มาของเสียง ไม่นานนักก็มีเสียงทักมาจากข้างหลังว่า “ทำอะไรอยู่น่ะ” ใช่ค่ะเป็นเสียงพี่สาวเรา เราหันกลับไปด้วยความประหลาดใจแล้วพบว่าพี่สาวเราเดินมาจากถนนหน้าบ้านพร้อมถุงกับข้าวในมือ
เรา : ไป...ไปไหนมา
พี่สาว : ไปตลาดมา ไปซื้อกับข้าวมาให้กิน
พี่สาวตอบเราพร้อมกับชูถุงกับข้าวในมือให้ดู เราเริ่มหน้าซีดแล้วหันกลับไปมองในบ้านผ่านช่องหน้าต่างอีกครั้งด้วยความรู้สึกที่แตกต่างออกไป ความมืดนั้นทำให้เราเข่าอ่อน บรรยากาศสลัวในบ้านชวนขนลุกขึ้นมากระทันหัน
เราถามย้ำพี่สาวอีกทีว่าไปนานแล้วเหรอ พี่เราก็บอกว่าใช่ไปตั้งแต่กลับมาถึงบ้านเลยยังไม่ได้ล้างจาน ซึ่งบ้านเรากับตลาดอยู่ห่างกันหลายซอยถ้าเดินไปก็ใช้เวลาประมาณ 10 นาทีได้ แล้วกว่าจะเลือกซื้อกับข้าวอีก แน่นอนว่าไอ้คนที่อยู่ในบ้านมันไม่มีทางเป็นพี่สาวเราแน่ๆ เราเล่าเรื่องนี้ให้พี่สาวฟังแล้วก็พากันไปเปิดไฟในบ้านอย่างกล้าๆ กลัวๆ คืนนั้นไม่มีใครกล้านอนเลยค่ะ รอจนแม่กลับมาช่วงเที่ยงคืนครึ่งถึงได้เข้านอนกัน เราเล่าให้แม่ฟังแม่ก็ว่าตาฝาดไปเอง หลังจากนั้นเรื่องนี้ก็ค่อยๆ หายไปจากความทรงจำของทุกคน แต่มันเริ่มมาพีคขึ้นเรื่อยๆ เอาก็ตอนที่พี่สาวเราอยู่ ม.3 แล้วเราก็อยู่ ม.1 ค่ะ
ในช่วงนั้นพี่สาวเรากำลังจะขึ้น ม.4 เลยอ่านหนังสือดึกและเรียนหนักเพื่อที่จะได้ไม่ต้องสอบเข้า ม.4 ส่วนเราก็หมกมุ่นอยู่กับงานอดิเรกคือการวาดรูป วาดแต่ละครั้งเหมือนลืมโลกลืมดูเวลาไปจนกระทั่งวันหนึ่งเราก็ได้เจอกับสิ่งที่ทุกคนในบ้านไม่อยากพูดถึง...
ในขณะที่เรากำลังวาดรูปอยู่ เราเหลือบไปมองนาฬิกาก็พบว่าเป็นเวลาประมาณตี 1 กว่าแล้ว จะนอนก็ไม่อยากนอนเพราะรู้สึกว่าอยากวาดรูปนี้ให้เสร็จแล้วถึงจะนอนหลับได้ แต่ในขณะที่เรากำลังจะจรดดินสอลงบนกระดาษเราก็ได้ยินเสียงเด็กร้องไห้ เป็นเสียงเด็กทารกแรกเกิดร้องไห้จ้าดังแผ่วๆ มาตามสายลม ทีแรกเราก็คิดว่าคงเป็นลูกของคนซอยถัดไป เพราะในซอยบ้านเราไม่มีบ้านไหนที่มีเด็กน้อยอยู่สักหลัง เราได้ยินจนรู้สึกรำคาญเลยเปิดเพลงเสียบหูฟังก็พอกลบเสียงเด็กร้องไปได้
ปึง! ปึง!
เราสะดุ้งสุดตัวเมื่อมีเสียงดังเกิดขึ้นในระหว่างที่กำลังจดจ่ออยู่กับการวาดรูป เหมือนมีคนมาทุบข้างฝาบ้านตรงบริเวณใกล้กันกับที่เรานั่ง เสียงมันดังขนาดที่ว่าเราฟังเพลงอยู่ยังได้ยิน เราดึงหูฟังออกแล้วมองไปที่ฝาบ้าน ทุกอย่างเงียบสนิท หันไปมองพ่อและพี่สาวที่กำลังนอนกันอยู่ดูแล้วทุกคนก็นอนหลับสนิทอ้าปากหวอไม่มีทีท่าว่าจะมีใครลุกขึ้นมาแกล้งเราเลยสักคน แต่ยังมีแม่เราที่ยังคงเย็บผ้าอยู่ที่หลังบ้าน เรารีบวิ่งไปหาแม่ที่กำลังนั่งสอยผ้า แม่ก็แปลกใจเล็กน้อยที่เห็นเราไปหากลางดึกเช่นนั้น
“อ้าว ยังไม่นอนอีกเหรอ” แม่เราถามไปพลางนั่งสอยผ้าไปพลาง
“ยัง” เราตอบเสียงสั่น “เมื่อกี้แม่ได้ทำอะไรตก หรือได้ยินเสียงดังบ้างไหม” เราถามแม่เพื่อความแน่ใจ
แม่ขมวดคิ้วสงสัยกับคำถามของเรา แต่ก็ตอบเราแค่ว่า “เปล่านี่ แม่ก็นั่งสอยผ้าอยู่ตรงนี้ไม่เห็นมีอะไร”
“หนูได้ยินเสียงเด็กร้อง”
สิ้นคำบอกเล่าของเราแม่ก็จ้องหน้าเราแล้วไม่พูดอะไร เราไม่สักแม่ต่อ เริ่มรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลนี้เลยขอนอนกับแม่ที่หลังบ้าน จนแม่เลิกเย็บผ้านั่นแหละถึงได้กลับไปนอนในบ้านด้วยกัน
เช้าวันต่อมาเราเห็นแม่นั่งยองๆ อยู่ตรงโคนต้นมะม่วงแล้วก็พึมพัมๆ พูดบางอย่าง ไม่นานนักพ่อเราก็ขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาแล้วพ่อกับแม่ก็คุยกัน
พ่อ : ทำอะไรน่ะ?
แม่ : เมื่อคืนลูกได้ยินเสียงเด็กร้อง เลยบอกกล่าวเขาสักหน่อยว่าเด็กมันกลัว อย่ามาอีก
พ่อ : ไม่เอาน่า ลูกๆ มันจะกลัวกันเปล่าๆ อย่าทำให้ลูกเห็น
แม่ : ฉันก็ได้ยินเกือบทุกคืน
แม่เราที่มักได้เข้าเวรบ่ายจะกลับมาถึงบ้านในช่วงประมาณเที่ยงคืนกว่า แล้วหลังจากนั้นแม่ก็จะเย็บผ้าต่อจนถึงตี 2 ตี 3 แล้วค่อยนอน ในช่วงเวลาเช่นนั้นก็มักจะมีเรื่องประหลาดมาให้แม่ได้ยินได้เห็นอยู่เป็นประจำโดยเฉพาะเสียงเด็กร้องที่ไม่ได้มีแค่ 1 แต่เป็นเสียงเด็กหลายคนมาร้องไห้ให้ได้ยินแทบทุกคืน แต่เพราะว่าแม่ทำงานในโรงพยาบาล พบเห็นเรื่องการเกิด แก่ เจ็บ ตายจนชินแม่เลยไม่ค่อยกลัวเรื่องพวกนี้ จะรังควานก็รังควานไปซิแต่เรื่องปากท้องสำคัญกว่าจึงนั่งเย็บผ้าต่อทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น สิ่งลี้ลับพวกนี้เลยทำอะไรแม่ไม่ค่อยได้
แม่ : ฉันไปไล่ถามทุกคนในซอยถัดไปมาหมดแล้วนะ ไม่มีบ้านไหนที่มีเด็กแรกเกิดเลย แล้วที่ได้ยินมันก็ไม่ใช่แค่เด็กร้องไห้ บางคืนที่เผลองีบหลับก็เป็นเสียงเด็กหลายๆ คนหัวเราะเหมือนกำลังเล่นกัน อยู่รอบๆ ตัว ลำพังแค่ฉันโดนน่ะไม่เท่าไรหรอก แต่ลูกมันได้ยินมันโดนกันนี่ซิจะไม่ได้หลับได้นอนพลอยไม่สบายเดี๋ยวก็เสียการเรียนกันพอดี เลยคิดว่าต้องทำอะไรสักอย่าง ทำบุญบ้านกันดีไหม?
แม่เราเคร่งครัดเรื่องการเรียนของลูกๆ มาก ขนาดที่ว่าไม่สบายพาไปโรงพยาบาลเสร็จก็ยังพาไปส่งโรงเรียนต่อ แกคงกลัวว่าเรากับพี่สาวจะเจอผีจนไม่ได้หลับไม่ได้นอนส่งผลต่อสุขภาพแล้วสุดท้ายก็มีผลเสียกับการเรียนเลยไปจุดธูปบอกกล่าวกับอะไรก็แล้วแต่ที่พวกเรายังไม่รู้ว่าคืออะไร แต่เนื่องจากเวลานั้นฐานะทางบ้านเราไม่ค่อยดีเท่าไรเลยต้องใช้จ่ายอย่างประหยัด พ่อกับแม่เราต้องเหน็ดเหนื่อยทำงานเสริมเพื่อเก็บเงินไว้เป็นค่าเทอมของเรากับพี่สาว การที่ต้องเอาเงินมาใช้จ่ายให้กับสิ่งที่มองไม่เห็นหรือความเชื่อเช่นนี้ทำให้พ่อเราคิดหนัดพอสมควร พ่อได้แต่มองแม่อยู่พักหนึ่งรู้ได้เลยว่ากำลังครุ่นคิดอย่างหนัก แต่สุดท้ายพ่อก็บอกแค่ว่า
พ่อ : “เอาไว้ก่อน”
พูดเสร็จแม่ก็หันไปปักธูปตรงโคนต้นมะม่วงแล้วเดินเข้าบ้าน...
และแล้วช่วงสอบปลายภาคก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ พี่สาวเราอ่านหนังสืออย่างเอาเป็นเอาตายด้วยเพราะเหตุผลที่ว่าหากผลการเรียนเฉลี่ยของม.ต้นทั้งหมดผ่านเกณฑ์ก็จะได้เรียนม.ปลายสายวิทย์โดยไม่ต้องสอบ ในช่วงนั้นเราจำได้ดีว่าเวลาในการดำเนินชีวิตของพี่สาวเราค่อนข้างผิดเพี้ยน หลังเลิกเรียนก็จะรีบกลับบ้านมานอนก่อนเลยแล้วค่อยตื่นมาตอนตี1 - ตี2 เพื่ออาบน้ำทำการบ้านแล้วก็อ่านหนังสืออ้างว่าเงียบดี
ต้องขอบอกก่อนว่าปกติแล้วเรา 4 คนพ่อ แม่ ลูกจะนอนกันชั้นล่างของบ้านเพราะติดแอร์ แต่ในช่วงนั้นแอร์พังแล้วอากาศค่อนข้างร้อนแถมยังเจอฤทธิ์ตะขาบบุกบ้านเลยย้ายขึ้นไปนอนกันที่ชั้น 2 ซึ่งมีอยู่ 2 ห้องนอน ห้องทั้งสองไม่มีประตูมีแค่ผนังเบากั้นให้เป็นสัดส่วน ในตอนนั้นพี่เราต้องการความเงียบสงบเลยใช้ห้องชั้นสองทางฝั่งด้านหน้าบ้านไว้สำหรับนอนและอ่านหนังสือ แต่พี่สาวเราไม่ยอมอยู่ห้องนั้นคนเดียวเลยลากเราให้ไปนอนด้วยอ้างว่ามีเราแล้วอุ่นใจ ด้วยความที่เริ่มโตเป็นสาวกันทั้งคู่เลยอยากมีห้องส่วนตัวในฝันเราเลยตกลง แล้วเรากับพี่ก็ช่วยกันจัดห้องให้น่าอยู่ตามสไตล์ผู้หญิง แล้วก็แยกเตียงนอนกับโต๊ะเขียนหนังสือของใครของมัน ส่วนพ่อกับแม่ก็นอนอีกห้องหนึ่งไป แรกๆ ก็นอนกันดีชีวิตไม่มีปัญหา แต่พักหลังๆ เราเห็นพี่เราสวดคาถาชินบัญชรอยู่บ่อยครั้งโดยเฉพาะช่วงกลางดึกที่ตื่นมาอ่านหนังสือ เราก็ไม่ได้ติดใจอะไรคิดแค่ว่าพี่เราคงสวดมนต์เพื่อเป็นที่พึ่งทางใจให้เรื่องเรียนผ่านฉลุยแค่นั้น แต่ความจริงไม่ใช่เลย...
คืนนั้นเราก็เข้านอนตามเวลาปกติ ส่วนพี่สาวเราก็ลุกขึ้นมาอ่านหนังสือกลางดึกตอนตี 2 เช่นเคย ไอ้เราน่ะก็นอนหลับไม่รู้เรื่องไปถึงไหนต่อไหน แต่แล้วจู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งปลุกเราให้ตื่น
ตึง ๆๆๆๆๆ
เป็นเสียงฝีเท้าวิ่งจากห้องเราไปห้องที่พ่อกับแม่นอนอยู่ เราตื่นขึ้นมาด้วยความงัวเงีย ห้องทั้งห้องมืดสลัวมีเพียงแสงไฟข้างถนนส่องเข้ามาในห้องเราเท่านั้น แปลกที่จู่ๆ เราก็รับรู้ได้ถึงความวังเวงที่เกิดขึ้น ทั้งที่เราก็เผชิญกับความมืดของห้องนั้นอยู่ทุกวันแต่วันนั้นเรารู้สึกได้ถึงความไม่ปลอดภัยชนิดที่ทำให้ขนลุกไปทั่วทั้งตัว มีบางอย่างแปลกไปโดยเฉพาะตรงเตียงของพี่สาวและโต๊ะเขียนหนังสือ เรามองหาพี่สาวก็พบว่าไม่อยู่ในห้องนี้แล้ว แต่ได้ยินเสียงพ่อกับแม่ดังมาจากห้องข้างๆ
พ่อ : “เป็นอะไรลูก”
พี่สาว : “หนูขอนอนด้วย”
ตอนนั้นเรายังไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้น แต่จะให้เรานอนคนเดียวในห้องนั้นเราไม่เอาแน่ๆ เลยรีบหอบผ้าห่มไปนอนเบียดกับพ่อแม่แล้วก็พี่สาวด้วยเช่นเดียวกัน
เช้าวันรุ่งขึ้นขณะนั่งรถไปเรียน เราสังเกตเห็นท่าทีอิดโรยของพี่สาว เราไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อนว่าพี่เราดูโทรมและผอมลงถนัดตา ตอนแรกเราคิดว่าอาจจะเครียดเพราะเรื่องการเรียน แต่จากเหตุการณ์เมื่อคืนคงไม่ใช่อย่างที่เราคิดอีกต่อไป เมื่อมีโอกาสจึงได้ถามพี่สาวถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
เรา : ช่วงนี้โทรมนะ อย่าหักโหมดิ เดี๋ยวก็ล้มก่อนได้เข้าม.ปลายหรอก
พี่สาวหันมามองหน้าเราเหมือนต้องการจะบอกอะไร แต่แล้วก็ไม่ยอมปริปากพูดอีกตามเคย
เรา : เมื่อคืนเป็นอะไร ทำไมทิ้งให้หนูนอนคนเดียวไม่เห็นปลุกเลย หนูกลัวนะ
พี่สาว : ฮึ...เรียกตั้งหลายรอบแล้วไม่ยอมตื่น
เราขมวดคิ้วมุ่น สงสัยในสิ่งที่พี่สาวบอก ปกติเราก็ไม่ใช่คนนอนขี้เซา ออกจะเป็นพวกตื่นง่ายด้วยซ้ำแค่เสียงก๊อกแก๊กดังเราก็ตื่นแล้ว
เรา : ไม่เห็นได้ยินอะไรเลย เรียกจริงๆ เหรอ ?
พี่สาวหันมามองหน้าเราอีกครั้ง คราวนี้น้ำตาคลอเต็มหน่วยเลย เราเริ่มรู้สึกไม่ชอบมาพากลจึงตะล่อมถามอีกครั้ง
เรา : มีอะไรก็เล่าให้ฟังได้นะ
พี่สาว : เมื่อคืน...เมื่อคืน...พี่ไม่ได้สวดชินบัญชร พวกมันก็เลยมา...
ความเครียดสะสมปะปนกับความหวาดกลัวทำให้พี่สาวเราถึงขีดสุด สุดท้ายก็ร้องไห้โฮจนเนื้อตัวสั่น
เรา : อะไร...มา...
พี่สาว : เสียงเด็กร้องไห้...
ได้ยินถึงตรงนี้ขนสันหลังเราลุกซู่ นั่นคงจะเป็น...เสียงเด็กร้องไห้แบบเดียวกันกับที่เราและแม่เคยได้ยิน...
พี่สาว : ไม่ใช่แค่คนเดียว แต่มีหลายคน ร้องไห้จ้า ตอนแรกได้ยินแผ่วๆ แต่เมื่อคืนร้องอยู่ข้างหูเลย
เป็นเพราะเสียงที่ได้ยินอยู่ใกล้ตัวมากซึ่งมันผิดปกติ ไม่อาจคิดเป็นอื่นได้นอกจากสิ่งเร้นลับ พี่เราจึงกระโจนไปนอนบนเตียงของตัวเองแล้วพยายามหลับ แต่...
พี่สาว : พี่โดนผีอำ พยายามดิ้นเท่าไรก็ไม่หลุด พอลืมตาได้ก็ว่าจะหันไปเรียกหนูแต่เจออย่างอื่นแทน
อย่างอื่นที่ว่าคือเด็กผู้ชายใส่ชุดลูกเสือนั่งอยู่ตรงข้างหัวพี่สาวเราก้มหน้าลงมายิ้มให้...แน่นอนว่าความกลัวนั้นผลักดันให้พี่สาวเราตะโกนเรียกเราซึ่งนอนอยู่เตียงข้างๆ แต่ไม่ว่าจะเรียกสักกี่ครั้งเราก็ไม่ตื่นขึ้นมา กระทั่งสายตาของพี่เราเหลือบไปเห็นสิ่งผิดปกติบางอย่างตรงโต๊ะเขียนหนังสือของตัวเองซึ่งอยู่ตรงปลายเตียงที่ทำให้หัวใจเกือบหยุดเต้น แสงสว่างภายนอกที่สาดสลัวทำให้เห็นเงาของใครบางคนที่พยายามยืนซ่อนอยู่ในความมืด หากแต่ชายกระโปรงสีขาวมอซอปลิวไสวไม่อาจปกปิดได้มิด และนั่นก็เป็นส่วนที่ทำให้พี่สาวเราอดไล่มองรายละเอียดอย่างช่วยไม่ได้ จากเท้าที่เปรอะเปื้อนขึ้นไปถึงช่วงลำตัวแน่ใจมากว่าผู้หญิงคนนั้น...ไม่ใช่ซิ วิญญาณตนนั้นเป็นผู้หญิงท้องใส่ชุดคลุมท้องแขนสั้นสีขาว เงาดำที่พาดผ่านช่วงลำตัวแม้จะเห็นไม่ชัดแต่พี่สาวมั่นใจมากว่ามันคือคราบเลือดเกรอะกรัง โชคดีเพียงอย่างเดียวของพี่สาวก็คือผมเผ้าของวิญญาณหญิงตนนั้นยาวชี้ฟูปรกหน้าเอาไว้ทำให้มองเห็นใบหน้าได้ไม่ชัดนัก ในขณะเดียวกันเสียงเด็กร้องไห้ก็แปรเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะเยาะดังก้องเข้ามาในโสตประสาททวีความผวาจนพี่สาวแทบจะเป็นบ้า!
พี่สาว : พอดิ้นหลุดพี่ก็หนีออกมาเลย ไปนอนกับพ่อกับแม่ ขอโทษนะ
นี่จึงเป็นเหตุผลที่พี่สาวไม่เรียกเราเพราะเจอเหตุการณ์อันน่ากลัวนี้ เราไม่โกรธพี่เลย แถมเรื่องที่พี่เล่ายังช่วยตอกย้ำความรู้สึกที่มีต่อคืนนั้น ถึงเราจะไม่เห็นแต่เราก็รับรู้ได้ถึงความน่าสะพรึงนี้ สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราเอะใจก็คือสีชุด นั่นจะใช้เจ้าของชายแขนเสื้อสีขาวที่เราเคยเห็นกันก่อนหน้านี้หรือเปล่า? แน่นอนว่าเราไม่รู้แต่มันก็มีความเป็นไปได้อยู่ไม่ใช่หรือ
หลังจากเลิกเรียนพี่เราก็ขอพ่อกับแม่ไปนอนที่บ้านเพื่อนโดยอ้างว่าไปติวหนังสือแล้วให้เราหอบเสื้อผ้าไปส่งโดยพูดทิ้งท้ายราวกับเป็นประโยคสั่งเสีย
“สวดชินบัญชรนะหนู คุณพระคุณเจ้าจะได้คุ้มครอง”
ผ่านไปเกือบเดือน ในที่สุดก็จบฤดูกาลสอบปลายภาค พี่สาวเราต้องย้ายกลับมาอยู่บ้านตามเดิมอย่างช่วยไม่ได้เพราะพ่อกับแม่เริ่มไม่อนุญาตให้ไปนอนค้างอ้างแรมที่อื่นแล้ว ในช่วงนั้นพี่ก็สอนให้เราสวดคาถาชินบัญชรก่อนนอนทุกคืน เราก็สวดได้บ้างไม่ได้บ้างก็แอบลักไก่สวดแค่บทง่ายๆ อย่างอิติปิโสพอ ดูเหมือนว่าพี่สาวจะเล่าเรื่องนี้ให้พ่อกับแม่ฟังไปแล้วแต่พวกท่านก็ยังไม่ได้คิดทำการสิ่งใด แต่พี่สาวที่ยังหวาดหวั่นกับเหตุการณ์ในคืนนั้นรู้สึกไม่ค่อยปลื้มเท่าไรกับการนอนที่บ้านจึงชวนเราไปเที่ยวเล่นและค้างที่บ้านปู่กับย่าแทน หรือไม่ก็หาทางขออนุญาตไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อนแทนที่จะอยู่บ้าน ในช่วงปิดเทอมเราอยู่กันอย่างหวาดระแวง สำหรับเด็กอย่างเรานั้นก็คิดว่าพวกผู้ใหญ่คงไม่จัดการอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เพราะคิดว่าไร้สาระซึ่งเรากับพี่ก็แอบกังวลและน้อยใจอยู่เหมือนกัน แต่ใครจะรู้ว่าแม่แอบดำเนินการอะไรบางอย่างอยู่เงียบๆ โดยที่พวกเราไม่รู้ จนเวลาผ่านไปเรื่อยๆ กระทั่งคืนหนึ่งก็เกิดเรื่องนี้ขึ้นอีกจนได้
วันหนึ่งในช่วงปิดเทอม พ่อเราเอาทหารที่เป็นช่างไฟฟ้ามาช่วยดูอาการแอร์ที่เสียอยู่ แต่ก็ยังซ่อมไม่ได้เพราะต้องไปหาอะไหล่มาก่อน สรุปวันนั้นแอร์ที่ชั้นล่างก็ยังใช้ไม่ได้ทุกคนจึงยังต้องขึ้นไปนอนเบียดที่ห้องพ่อกับแม่เหมือนเดิม แต่อาจเป็นเพราะวันนั้นพ่อค่อนข้างใช้แรงเยอะ ทั้งซ่อมแอร์ ทั้งขุดลอกสระน้ำ แกเลยเพลียรีบอาบน้ำกินข้าวแต่หัวค่ำแล้วปลีกตัวไปนอนก่อนคนเดียว ส่วนพวกเราอีก 3 คนที่เหลือก็ยังนั่งดูทีวีกันอยู่ข้างล่าง โดยที่เรานั่งวาดรูปอยู่ตรงโต๊ะญี่ปุ่นใต้บันไดที่ไว้ใช้ขึ้นไปชั้น 2
จำได้ว่าตอนนั้นเป็นเวลาเกือบสามทุ่ม พี่สาวกับแม่เรานั่งดูละครกันอยู่ ส่วนเราก็นั่งวาดรูปไปพลางเสียบหูฟังเพลงไปพลาง แต่แล้วจู่ๆ ทุกคนที่อยู่ข้างล่างก็ได้ยินเสียงหนึ่งพร้อมกัน
ตึงๆๆๆๆ โครม!
เราที่กำลังใส่หูฟังเพลงยังได้ยินเสียงพ่อวิ่งลงบันไดมาได้แค่ครึ่งทางแต่ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นระยะทางที่ไกลมากพ่อจึงกระโดดลงแทนที่จะเดินลงมาตามปกติ
ทุกคนจ้องไปที่พ่อซึ่งกำลังทรงตัวไม่ให้ล้ม พ่อหน้าตาตื่นเหงื่อแตกจนหัวเปียกหอบหายใจฮัก พอแกรวบรวมสติได้ก็เดินไปหลังบ้านทำทีว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่นานนักก็เรียกแม่ออกไป เรากับพี่เลยไปแอบฟังพ่อกับแม่คุยกัน
พ่อ : ไปเอาธูปมาให้หน่อย
แม่ : ทำไม? เป็นอะไร?
พ่อ : โดนผีอำ
สีหน้าของพ่อคร่ำเครียดขึ้นถนัดตา แม่จึงถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
พ่อเล่าว่าในช่วงที่กำลังเคลิ้มหลับด้วยความอ่อนเพลีย ก็มีเสียงเด็กทารกร้องไห้ลอยมาตามลมเข้าทางหน้าต่างตรงหัวเตียง ตอนแรกก็มีเพียงคนเดียว ไม่นานนักเสียงร้องไห้นั้นกลับเพิ่มจำนวนขึ้นเหมือนมีเด็ก 5-6 คนร้องไห้จ้าพร้อมๆ กันซึ่งไม่แตกต่างอะไรกับตอนที่แม่ เรา และพี่สาวเจอ พ่อไม่คิดว่าเรื่องเล่าจากคนในบ้านจะเป็นจริง ที่สุดแล้วก็ได้เจอกับตัว ในตอนนั้นพ่อรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีดันตัวเองให้ลุกขึ้นจากเตียง แต่ก็พบว่ามีเพียงเปลือกตาเท่านั้นที่เปิดออก ตื่นมาเพื่อพบว่าร่างกายตัวเองยังนอนอยู่ในท่าเดิมทั้งที่ออกแรงขนาดนั้น ทันใดนั้นเสียงเด็กร้องไห้แปรเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะอย่างสะใจ
พ่อ : ออกไป! อย่าเข้ามา!
เป็นประโยคที่ทำได้แค่คิดเพราะแค่เปิดปากก็ยังทำไม่ได้ แต่ดูเหมือนว่าวิญญาณเด็กเหล่านั้นจะรับรู้จึงปรากฎกายเป็นร่างทารกน้อยแห้งกรังดำทมึนหน้าตาโกรธแค้นออกมาจากเงามืดตรงมุมห้องกว่า 10 คนพุ่งตรงเข้ามาที่ร่างของพ่อซึ่งนอนแข็งทื่อไม่อาจขยับตัวได้ บางตนคลานไต่มาตามขาแล้วเกาะอยู่ตรงนั้น บางพวกก็มารุมจับแขนเอาไว้ไม่ให้ขยับได้ แล้วก็มีอีกตัวหนึ่งที่นั่งทับตรงหัวของพ่อเอาไว้ ส่วนพวกที่เหลือก็มารุมกระหน่ำใช้มือน้อยๆ นั้นหยิกไปตามเนื้อตัว เห็นเป็นผีเด็กอย่างนั้นแต่ก็สร้างความเจ็บปวดให้พ่อไม่น้อยบวกกับความกลัวที่เพิ่มขึ้นเป็นทบทวี อย่างที่ได้ยินมาพอเวลาจิตตกก็ยิ่งถูกวิญญาณเหล่านี้ครอบงำได้ง่าย ทว่าพ่อดิ้นหลุดเพราะนึกถึงพระเกจิที่ตนนับถือ สบโอกาสจึงรีบลุกลงจากเตียงแล้วก็กระโดดจากบันไดขั้นแรกลงมาข้างล่างในทันที ก็ไม่แปลกใจถ้าพ่อจะโดดลงมาเช่นนั้น เรียกได้ว่าพ่อเจอหนักที่สุดในบ้านแล้ว
พ่อ : ไม่ไหวแล้วถ้าจะมาขนาดนี้
พูดเสร็จพ่อก็รับธูปจากแม่แล้วพูดพึมพัมๆ อยู่ตรงหน้าต้นมะม่วงต้นใหญ่ข้างหลังบ้านเพื่อบอกกล่าวความในใจให้เจ้าที่และสิ่งเร้นลับได้รับรู้โดยมีแม่ยืนอยู่ข้างๆ
ในตอนนั้นดูเหมือนแม่กำลังชั่งใจอยู่กับสิ่งที่ได้รู้มา ลังเลว่าจะพูดดีหรือไม่ แต่ในเมื่อพ่อโดนหนักขนาดนั้นจึงต้องเล่าให้พ่อฟังเพื่อที่จะได้แก้ไขปัญหาบ้าบอนี้ให้ได้เสียที
แม่ : คนที่ซอยนู้นบอกฉันมาว่าพี่ xx เขารับทำแท้ง
พี่ xx ที่ว่าก็คือเมียเจ้าของบ้านคนเก่า พ่อมองหน้าแม่ด้วยสีหน้าประหลาดใจในตอนแรกแต่แล้วก็กลับมาขรึมตามเดิมเพราะเมื่อลองได้ตรองดูแล้วก็มีความเป็นไปได้ เนื่องจากเมียเจ้าของบ้านคนเก่าทำงานอยู่ในโรงพยาบาล เรื่องพวกนี้ก็ดูไม่ไกลตัวเท่าไรนัก
แม่ : พวกที่โรงพยาบาลก็แอบมากระซิบบอกฉันเหมือนกัน
แม่เสริมหลักฐานจากคำบอกเล่าของเพื่อนๆ ที่โรงพยาบาลว่าข้อมูลเหล่านี้อาจจะเป็นจริง
ในสมัยนั้นการป้องกันการมีบุตรไม่ได้มีทางเลือกมากเท่าปัจจุบัน และถึงมีก็ไม่ได้รับความนิยมในหมู่คู่ชายหญิงที่อยู่กันก่อนแต่ง หรือพวกทำผิดศีลธรรมแอบลักลอบมีชู้โดยที่ชู้คู่นั้นบ้านก็อยู่ห่างกันไม่กี่หลัง ดังนั้นเมื่อพลาดท้องขึ้นมาทางเลือกของพวกเขาคือเอาเด็กออกเพื่อรักษาหน้าตัวเองไว้อย่างเห็นแก่ตัวโดยไม่ได้คำนึงถึงหนึ่งชีวิตที่พวกเขาต้องปลิดทิ้ง
พ่อนิ่งไปชั่วขณะหนึ่งหลังจากที่นึกขึ้นได้ว่าตอนที่ย้ายเข้ามาอยู่ใหม่ๆ ทำไมถึงมีแต่หญิงสาวมากหน้าหลายตามาถามหาพี่ xx ซึ่งเป็นเมียเจ้าของบ้านคนเก่า ในตอนนี้ก็พอจะได้คำตอบแล้ว ประกอบกับได้ฟังเรื่องนี้มาบ้างจากลูกน้องคนสนิทด้วยเช่นกัน นอกจากจะมีข่าวลือหนาหูเกี่ยวกับเรื่องการรับจ้างทำแท้งแล้ว ก็ยังมีเรื่องเล่าของผู้หญิงท้องที่ใส่ชุดคลุมสีขาวซึ่งตายไปเพราะทำแท้งตอนที่เด็กโตแล้วและดันตรงกับที่พี่สาวเราเจอ แต่ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องจริง ตอนนี้พ่อได้รู้แล้วว่าที่ทุกคนในบ้านเล่าให้ฟังไม่ใช่เรื่องไร้สาระอีกต่อไปในเมื่อโดนหลอกหลอนกันจนจะอยู่ไม่ได้แบบนี้
แม่ : ทำบุญกันเถอะ
พ่อ : เธอก็ทำอยู่ทุกวันไม่ได้อุทิศไปให้พวกนี้เหรอ
ใช่แล้ว ขนาดว่าแม่เราใส่บาตรเกือบทุกวัน อุทิศให้ทีก็หายไปทีหนึ่ง แล้วก็กลับมาใหม่เป็นอย่างนี้เสมอ
แม่ : ฉันหมายถึงทำบุญบ้าน อย่างน้อยๆ ก็ให้บุญพวกเขา จะได้บอกกล่าวด้วยว่าเราเป็นเจ้าของบ้านคนใหม่ ไม่ใช่คนเก่าที่ทำร้ายพวกเขา
ดูเหมือนว่าความคิดนี้จะเข้าไปสะกิดใจพ่ออยู่ไม่น้อย บางทีวิญญาณเด็กเหล่านั้นเขาอาจจะคิดว่าพวกเราคือเจ้าของบ้านคนเก่าก็เป็นได้ ส่วนคืนนั้นพวกเราก็ขึ้นไปนอนรวมกันแต่ไม่มีใครหลับสนิทเลยสักคน
เช้าวันรุ่งขึ้นพ่อและแม่ออกจากบ้านแต่เช้าเพื่อไปติดต่อเรื่องนิมนต์พระมาทำบุญบ้านครั้งใหญ่ สักสายๆ พ่อก็กลับมาทำความสะอาดบ้านยกใหญ่โดยมีแม่ เราและพี่สาวช่วยกันเก็บกวาด เรียกได้ว่าสังคยานากันเลยดีกว่า แม้แต่สวนข้างบ้านพ่อเราก็ไปถางแล้วเผาเศษใบไม้ แต่ในขณะที่กำลังฟันแปลงต้นกล้วยแล้วเก็บเศษเหล่านั้นไปทิ้งพ่อก็ต้องตกใจอีกครั้งเมื่อไปพบอะไรบางอย่างที่ฝังอยู่ในดิน
มีเศษผ้าสีขาวเกรอะกรังโผล่พ้นดินที่ถางไว้ขึ้นมา พ่อเอาจอบเขี่ยแล้วดึงเพื่อจะเอาไปเผาด้วยแต่...กลับไม่ได้มีเพียงผ้า ทว่ามีก้อนเนื้อแห้งๆ ขนาดเล็กถูกห่ออยู่ในนั้น พ่อขนลุกเกลียว ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเจ้าของบ้านผู้หญิงคนเก่าเอาศพเด็กไปทิ้งไว้ที่ไหน ชีวิตหนึ่งชีวิตถูกกำจัดทิ้งอย่างไร้ค่า เอาพวกเขามาฝังดินข้างบ้านโดยไม่มีการทำพิธีใดๆ ราวกับเขาไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเอง
พ่อไม่ได้รู้สึกกลัวอีกแล้ว แต่กลับสงสารพวกเขามากกว่า พ่อยืนน้ำตาซึมอยู่พักใหญ่หลังจากนั้นก็ไปเกณฑ์พลทหารมาช่วยกันถางข้างบ้านโดยเฉพาะตรงดงกล้วยเจออะไรก็เผาไปพร้อมกับกองหญ้ากองใบไม้โดยที่สุดท้ายก็ยืนพนมมืออุทิศส่วนกุศลให้เด็กน้อยเหล่านั้นก่อนจะถึงวันงานบุญใหญ่ที่แท้จริง
หลังจากนั้นไม่กี่วันที่บ้านเราก็ได้นิมนต์พระมา 9 รูปเพื่อทำพิธีสงฆ์ เรา แม่ และพี่สาวช่วยกันตระเตรียมอาหารและชุดสังฆทาน ทั้งที่วุ่นวายกันตั้งแต่เช้าแต่พวกเรากลับรู้สึกสดชื่นอย่างไม่เคยเป็น เพื่อนบ้านก็มาช่วยกันคนละไม้คนละมือ บรรยากาศในงานก็ดูสว่างกระจ่าง ทุกอย่างดูดีไปหมด และในช่วงของการกรวดน้ำเราคิดว่าทุกคนคงอุทิศไปให้ดวงวิญญาณเด็กน้อยเหล่านั้นรวมถึงวิญญาณหญิงท้องปริศนากับเด็กชายในชุดลูกเสือที่เราไม่รู้ที่มาที่ไป จะอย่างไรเสียทุกคนในบ้านต่างก็ยินดีที่จะยกบุญเหล่านั้นให้อย่างเต็มใจ และเราก็คิดว่าทุกคนที่มาร่วมงานบางคนก็รู้เรื่องเกี่ยวกับเจ้าของบ้านคนเก่าหรือบางคนก็อาจจะไม่รู้แต่มาช่วยด้วยน้ำใจ และในที่สุดการทำบุญบ้านในรอบ 6 ปีผ่านไปอย่างราบรื่น
พวกเราคิดว่าวิญญาณเหล่านั้นคงได้รับผลบุญไม่มากก็น้อยเพราะตั้งแต่ทำบุญบ้านจบไปทุกคนก็ไม่เคยเจออะไรอีก ยิ่งไปกว่านั้นก็มีแต่เรื่องดีๆ เกิดขึ้นกับคนในบ้านมากมาย ไม่ว่าจะเป็นพี่สาวที่ได้เข้าเรียนในสายที่ต้องการโดยที่ไม่ต้องสอบ ส่วนพ่อของเราก็สอบติดได้เลื่อนขั้นเป็นทหารชั้นสัญญาบัตรทำให้ชีวิตหลังจากนั้นของพวกเราเปลี่ยนแปลงไปมากซึ่งเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น พวกเราได้ย้ายบ้านอีกครั้งเพื่อเข้าไปอยู่ในโซนยศทหารชั้นนายร้อย เป็นบ้านที่ดีกว่า ใหญ่กว่า และเพียบพร้อมกว่า ส่วนเจ้าของบ้านหลังเก่านั้นพวกเราขอละเอาไว้ในฐานที่เข้าใจ ด้วยมารยาทแล้วพวกเราก็ยังมีติดต่อกันบ้างแต่ก็น้อยลงชนิดที่นานทีปีหนถึงเจอกัน พวกเราไม่สามารถเอาผิดอะไรเขาได้ ในแง่หนึ่งก็ไม่ใช่หน้าที่ของเรา แต่เราเชื่อว่าต่างคนต่างมีวาระกรรมเป็นของตัวเอง สักวันหนึ่งคนเหล่านั้นก็ต้องได้รับกรรมที่ตนก่อไม่ช้าก็เร็ว
จบ
ขอขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ โปรดใช้วิจารญาณในการอ่านค่ะ
เรื่องจากพันทิป ความลับของบ้านพักหลังนั้น...
เรื่องโดย สมาชิกพันทิปหมายเลข 3273123
ขอขอบคุณเรื่องราวสยองและขออนุญาตนำมาเผยแพร่ ณ ที่นี้ด้วย
Post a Comment