ผีค้อย


     "ผีค้อย" จากสมาชิกสมาชิกพันทิปหมายเลข 1001408 ฝากผลงานเรื่องนี้ไว้สนุกและน่าติดตามมาก ขอขอบคุณเรื่องราวสยองและขออนุญาตนำมาเผยแพร่ ณ ที่นี้ด้วย

เชียงใหม่ในยุคก่อนปีสองพันห้าร้อย
แถวอำเภอรอบนอกยังเป็นป่าเป็นเถื่อน ทางเชื่อมระหว่างหมู่บ้านก็เป็นทางล้อเกวียนเสียเป็นส่วนมาก
หากเป็นถนนเส้นหลักก็เป็นดินลูกรัง รถรานี่นานๆจะได้เห็นสักคันหนึ่ง ถือเป็นของแปลกใหม่มากทีเดียว
หากใครได้นั่งรถโดยสารก็จะกลับมาคุยที่บ้านเสียเป็นคุ้งเป็นแคว
บ้านเมืองยังคงดำเนินวิถีชีวิตที่เรียบง่าย ตามแบบชาวบ้านล้านนา
ไฟฟ้ายังไม่มี อาศัยแสงจากตะเกียงน้ำมันก๊าดกันเป็นหลัก ถ้าเป็นอย่างดีก็ตะเกียงเจ้าพายุ

คุณยายเล่าว่า
เมื่อท่านยังเด็ก ยุคนั้นพอตกค่ำตะวันลับฟ้าถ้าไม่มีอะไรทำ ก็เข้านอนกันเป็นปกติ
เด็กมักถูกผู้ใหญ่ไล่ให้เข้านอนก่อน เมื่อมุดเข้ามุ้งได้ก็ชักผ้าห่มขี้งาคลุมตัว ถ้ายังไม่หลับ
ก็มองเงาวูบๆวาบๆข้างมุ้งที่มาจากตะเกียงข้างนอกจนกว่าจะง่วง เงามักดูบิดเบี้ยวใหญ่โตเกินจริง
พาจินตนาการของเด็กหญิงให้บรรเจิดเป็นตัวนั่นตัวนี่ไปต่างๆนานา เมื่อได้เวลาก็ผล็อยหลับไปพร้อมกับสัตว์ในจินตนาการ
มีอยู่คืนหนึ่ง เมื่อทุกคนในบ้านเข้านอนไปได้สักพัก ยังไม่ทันจะหลับ ก็ได้ยินเสียงแปลกประหลาด
เป็นเสียงร้องไห้ของใครคนหนึ่ง เหมือนเสียงเด็กไม่เกินสิบขวบ
พักหนึ่งดังขึ้น แล้วค่อยแผ่วลง เด็กหญิงตัวแข็งขนลุกชูชัน หันไปถามแม่ที่นอนข้างๆว่า

"แม่ ได้ยินไหม เสียงใครร้องไห้"

"นอนไป อย่าไปทักลูก"

เมื่อถูกแม่ปรามก็ได้แต่นอนฟังเสียงร้องไห้ที่น่าขนลุกต่อไป เสียงนั้นค่อยๆห่างไปจนเงียบสนิท
พอตกรุ่งเช้า บรรดาเพื่อนบ้านก็จับกลุ่มคุยกันถึงเสียงเมื่อคืน ต่างคนก็ต่างได้ยิน ดังจากหัวบ้านถึงท้ายบ้าน
ทุกคนฟันธงว่า เป็นเสียงผีค้อย มันขึ้นมาจากห้วย เด็กน้อยยิ่งฟังก็ยิ่งสงสัย จึงหันไปถามแม่ที่ยืนข้างๆ

"ผีค้อย มันเป็นยังไงเหรอแม่"

"รูปร่างมันเหมือนเด็ก แต่มีกำลังเหมือนผู้ใหญ่ มันมักไม่ทำร้ายคน หากไม่ไประรานมันก่อน"

"ถ้ามันผ่านมาอีก แอบดูอยู่ในห้องได้ไหมแม่"

"จะดูทำไม ไม่ใช่ของน่าดู"

เด็กหญิงเฝ้ารอเสียงนั้นทุกคืน อยากจะเห็นตัวเป็นๆ ตัวผีร่างเล็กที่ส่งเสียงร้องไห้เยือกเย็นจนน่าขนลุก
วันแล้ววันเล่าแต่ก็ไร้วี่แวว ผ่านไปนานจนกระทั่งลืม
วันหนึ่งยามบ่าย แม่ชวนไปหาปลาในท้องห้วย เป็นปลาซิวปลาสร้อยเล็กๆน้อยๆพอแกงได้สักหม้อ
สองแม่ลูกพากันหาปลาได้ครู่ใหญ่ ก็ได้ยินเสียงนั้นขึ้นมาอีกครั้ง

เสียงร้องให้กัดเย็นล่องมาตามลำห้วยที่ลดเลี้ยว

เสียงหุยๆไห้ๆใกล้เข้ามาทุกที

"แม่ เสียงผีค้อย"

"อย่าไปทัก รีบขึ้นฝั่งเร็ว"

ทิ้งตะข้องแล้ววิ่งหนี โหนตัวกับรากไม้ขึ้นฝั่ง สองแม่ลูกไปซ่อนอยู่หลังต้นมะเดื่อ เด็กหญิงกอดแม่ตัวสั่นงันงก
อยากจะมองแต่ไม่กล้ามอง ได้ยินแต่เสียงหินถูกเหวี่ยงทิ้งตูมๆตามๆ เหมือนใกล้แค่ไม่กี่วา
รวบรวมความกล้าค่อยๆชำเลืองจากหลังต้นไม้ ก็ได้เห็นผีตัวนั้นเต็มๆตา

มันรูปร่างเล็กผอมผิวดำ เส้นเอ็นสะพรั่งไปทั้งร่างกาย ดวงตามันเหมือนดวงตาผีตาย ไร้แววตาของสิ่งมีชีวิต
มันกระโดดไปมาว่องไวในท้องห้วย ยกหินใหญ่ๆขนาดผู้ใหญ่หามสามหามสี่ได้สบาย ยกขึ้นหาปูหาหอย เมื่อได้แล้วก็วาง
จนกระทั่งมาถึงตะข้องที่ทิ้งไว้ มันยกเทพรวดเดียวเข้าปากเคี้ยวกร้วมๆ ทิ้งตะข้องลงพื้นแล้วกระโดดล่องไปตามห้วยจนหายลับ
แม่ไม่กล้ากลับไปเอาตะข้อง ทั้งสองจึงต้องกลับบ้านมามือเปล่า
พอถึงบ้านก็กะว่าจะเล่าให้พ่อฟังว่าไปเจออะไรมา แต่ก็ไปสะดุดตากับอะไรบ้างอย่างข้างๆเสาบ้าน
มันเป็นมัดฟืนเล็กๆสองมัด พร้อมกับไม้คานสอดไว้ เหมือนใครมาลืมทิ้งไว้ แต่ขนาดมันเล็กแปลกกว่าฟืนทั่วไป

"แม่ แล้วนั่นหาบฟืนของใครน่ะ"

"ช่างมัน อย่าไปยุ่ง ของแมงบ่ดีกิน"

ไม่ยุ่งก็ไม่ยุ่ง ไม่อยากไปใกล้ด้วยซ้ำ คืนนั้นปล่อยให้หาบฟืนประหลาดนั้นอยู่ที่เดิม แต่พอรุ่งเช้าก็หายไปเสียแล้ว
คุณยายเล่าเรื่องนี้ให้พ่อฟัง พ่อก็ให้คาถาทักผีค้อยมาหนึ่งบท เมื่อเจอมันให้บริกรรม มันจะร้องไห้แล้วหนีไป
หากอยากจะแกล้งมันก็ให้เอาหนามไผ่ไปขวางทางที่มันผ่าน พอตกกลางคืนมันจะร้องไห้เพราะผ่านไม่ได้
ยายว่าผีค้อยนี่ถึงแม้จะรูปร่างประหลาด แต่ขี้แยจนออกจะน่าสงสาร
เป็นอมนุษย์ที่เกิดมาแต่กรรมวิบาก ให้มาเสวยความทุกข์ยากอยู่นานแสนนาน
บุญทานใดๆก็รับไม่ได้ เพราะเป็นจำพวกอสูรกาย จำต้องอยู่จนหมดกรรมไปเอง

ใครชอบเที่ยวป่าเที่ยวเขาบ่อยๆ ยามค่ำคืน หากได้ยินเสียงเหมือนเด็กร้องไห้วังเวงจากห้วยลำธาร
สันนิษฐานไว้ก่อนว่าอาจเป็นเสียงของผีค้อย ที่ร้องไห้โหยหวนด้วยใจทุกข์ไหม้โศกตรม
ให้ลองแผ่เมตตาดู เผื่อใจที่ทุกข์ร้อนของเขาจะบรรเทาลงไปได้บ้าง

เรื่องจากพันทิป ผีค้อย
เรื่องโดย สมาชิกพันทิปหมายเลข 1001408

ไม่มีความคิดเห็น