คนเดินดิน...กับเส้นทางอีกสายหนึ่ง
ผมคิดอยู่นานเลยกับการตั้งกระทู้นี้ แต่ก็ตัดสินใจครับ ยังไงก็ฝากติดตามด้วยครับ เป็นเรื่องตัวผมนี่แหละ ช่วงแรกๆอาจจะยังไม่ค่อยมีอะไรมาก แต่ก็บอกไว้สำหรับคนที่ชอบเรื่องเกี่ยวกับผีสาง ไสยศาสตร์นะครับ ในนี้มีเยอะแน่ๆครับ แล้วออกจะน่ากลัวกว่าที่เคยเล่าๆไปแล้วด้วย
ปล.ที่ผมต้องเล่าตั้งแต่เริ่มนั้นเพราะมีคนมาถามเยอะครับ
ปล. เรื่องนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคลโปรดใช้วิจารณญาณอย่างสูง สูงแบบ สูงๆเลย = =
ขอบคุณครับ ฝากติดตามด้วยย
เรื่องที่ผมกำลังจะเล่าต่อไปนี้นั้นจริงๆแล้วเป็น เรื่องแรก ที่คิดว่าอยากเล่าตั้งแต่แรก แต่ก็กลัวว่าจะเกิดปัญหาตามมาทีหลังเพราะเนื้อหานั้นมัน เกินเชื่อ ในหลายๆส่วน บอกตรงๆว่าผมกลัวโดนด่ามากกว่าคนไม่อ่านอีก ก็เลยเล่าเรื่องแรกลงไปในรูปแบบประสบการณ์ กับเพื่อน แล้วก็ตกใจมากครับ ว่ามีคนสนใจอ่านเยอะมาก อาจเป็นเพราะว่าเป็นเรื่อง ของพระนเรศด้วย หลังจากนั้นผมก็พยายามหยิบเรื่องเล่าที่เกี่ยวกับพระนเรศมาเล่าอีก จากหลายเรื่องที่เคยพบมา อย่างหนึ่งที่ผมจงใจ ตั้งชื่อกระทู้ด้วยชื่อท่าน และเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับท่านนั้น ส่วนหนึ่งมาจาก คำสั่ง ของท่าน เพราะตอนนี้ผู้คนเริ่มที่จะลืมเลือนบูรพกษัตริย์ไปหมดแล้ว ในยุคที่วัตุมีค่ามากกว่าศีลธรรม แม้แต่คนที่อ้างว่าตัวเองเป็นข้าราชกาล เป็นคนของประชาชน ก็ทำได้แค่ เหียบหัวประชาชนเท่านั้น และผมเรียนอยู่ที่นี่ ที่มหาวิทยาลัยนเรศวร ผมจึงมีโอกาสได้พบกับบุคคลหลากหลาย เรื่องราวที่หลากหลาย และแน่นอนว่าหนึ่งในนั้น มีพระนเรศ และผู้คนที่เกี่ยวข้องกับท่าน ผมไม่รู้ว่าใครจะมองผมยังไง แต่ตัวผมคิดว่า ผมทำเพื่อท่าน อีกอย่างผมไม่ชอบคนสมัยนี้ที่ชอบลืมเลือนและดูถูกสิ่งเก่าๆในอดีต ทั้งๆที่ไม่เคนคิดเลยว่าหากไม่มีพวกเขาเหล่านั้นแล้ววันนี้เราจะเป็นอย่างไร นี่คือความตั้งใจของผมในการเล่าเรื่อง อยากให้ทุกคนระลึกถึง คนรุ่นก่อน อยากให้ทุกคนทำดี และยึดมั่นในความถูกต้อง เพื่อรับมือกับ สิ่งที่กำลังจะเกิด ในอนาคต ตัวผมนั้นไม่ขอพูดถึงสิ่งที่จะเกิดในอนาคต เพราะมีคนดังๆหลายคนได้ออกมาเตือนเยอะแล้ว ตั้งแต่ที่ผมได้ตั้งกระทู้มาไม่ว่าจะหลังไมค์หรือในความคิดเห็น ผมอ่านทุกอันครับ พยายามตอบในทุกๆคำถามแต่ก็มีตกหล่นไปบ้าง เพราะผมไม่ค่อยว่าง
เรื่องที่ผมพบกับคำถามและมีคนหลังไมค์มาขอความช่วยเหลือนั้นเป็นไปอย่างที่ผมคาดครับ คือเรื่อง องค์ มีหลายคนจะตั้งคำถามว่า เรามีไหม มีคนทักมาว่าเรามี ทำอย่างไรดี หรือบางคนพบแล้วในสิ่งที่ตัวเองมีแต่ไม่รู้จะต้องทำตัวอย่างไร ปฏิบัติมากน้อยขนาดไหน จะสามารถมีชีวิตแบบคนปกติทั่วไปได้ไหม หรือ ต้องเป็นร่างทรงเท่านั้น และที่น่ากลัวที่สุดคือ พวกหมอผีมีวิชาทั้งหลายนั้น หากินบนความเดือดร้อน บนความไม่รู้ของคน ให้รับขันต์แบบผิดๆ แทนที่จะเป็นขันต์เทพก็เป็นขันต์ผี แทนที่จะประสิทธิองค์เทพให้ ก็กลับทำคุณไสยใส่เขาเหล่านั้น เพียงเพื่อให้เขาป่วย เดือดร้อน ทรมาน เพื่อที่จะได้กลับมาหาตนอีกครั้ง แน่นอนครับ จุดประสงค์ เพื่อเรียก เงิน นั่นเอง
ผมจึงคิดว่าผมจะ เล่า ถึงทุกๆอย่างที่ผมเดินผ่านมาทั้งหมด ทั้งในมุมดี และไม่ดี ผมคาดว่ากระทู้นี้คงมีคนอ่านน้อยยกว่ากระทู้อื่นๆ เพราะมันจะยาวมาก และหลายเรื่องเลย แต่ผมก็จะทำครับ แม้มีสักนึงคนที่อ่านแล้ว ดีขึ้น ผมก็ดีใจแล้ว ในเรื่องราวนี้ไม่ใช่ว่าผมจะเขียนถึงแค่ ตัวผม เท่านั้น ในเรื่องราวต่างๆที่ผ่านมานั้นมีหลายต่อหลายสิ่งเข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งคน ทั้งเทพ ผี วิญญาณ การต่อสู้ระหว่าง ฝั่งผม และหมอผี การรักษาการช่วยเหลือ ทั้งคนและวิญญาณ หลายเรื่องราวที่พิสูจน์ให้ผมเชื่อ เรื่องนี้มาจนทุกวันนี้ แต่ก็ขอแอบบอกนะครับว่าเรื่องนี้ มันส์ 55
............................................................................................................................................................
ผมขอบอกก่อนเลยว่า ตัวผมนั้น เป็นคนที่ไม่เชื่อและไม่สนใจในสิ่งลี้ลับเท่าไหร่เลย ออกไปทางไม่เชื่อเลยล่ะครับ เพราะผมก็โตมาในยุคสมัยของเทคโนโลยีและสิ่งสรรค์อำนวยความสะดวกมากมาย ครอบครัวของผมนั้นก็เดินอยู่ในสายวิทยาศาสตร์ แม่ของผมนั้นทำงานอยู่ในห้องผ่าตัดของโรงพยาบาล ทุกอย่างที่แม่เรียนมาตลอดคือ วิทยาศาสตร์การรักษา และ ชีวิตคน ทุกอย่างตรงไปตรงมาและพิสูจน์ได้ พ่อผมเป็นนักวิชาการ แน่นอนครับไม่มีการปลูกฝังสิ่งเหล่านี้ให้ผมเลย มีก็แต่การทำบุญไหว้พระที่เป็นปกติของวิถีคนถือพุทธครับ
เริ่มแรกในวัยเด็กนั้นตัวผมมีความทรงจำอยู่แค่บางช่วงเท่านั้น แต่ก็ไปถามจากแม่มาเพิ่มเติมครับ ถึงเรื่องราวในวัยนั้น ตอนเด็กผมนั้นไม่ได้อยู่กับแม่มากเท่าไหร่ครับ เพราะแม่ทำงานที่ รพ. ถ้าคนรู้จะเข้าใจครับว่าอยู่เวรทีนี้เคสผ่าตัดกระหน่ำมาก พ่อผมก็ทำงาน ตจว. แม่จึงฝากผมไปเลี้ยงกับคนรู้จักคนหนึ่ง เป็นพี่สาวของเพื่อนแม่ ซึ่งผมนับถือท่านเป็นอย่างมาก ผมเรียกท่านว่า แม่ อีกคนนึง เพราะถึงท่านจะไม่ใช่คนที่ให้กำเนิด ให้เลือดเนื้อ แต่ท่านสร้างชีวิตผม หล่อหลอมให้ผมมีความคิดที่ดี เป็นคนได้แบบทุกวันนี้ ผมไม่เคยนับถือท่านน้อยไปกว่าแม่จริงๆของผม แม้ว่าที่ที่ผมโตมานั้นจะไม่สะดวกสบายเหมือนครอบครัวตัวเอง ไม่มีของใช้แพงๆมากมาย ไม่มีเงิน มาซื้อของเล่นซื้ออะไรให้ผม แต่ที่นั่นมีความรักความอบอุ่นให้ผมอย่างเหลือล้น ที่นั่นมีความจริงใจ ตัวผมถือว่าผมนั้นโชคดีเป็นอย่างมากที่ได้ใช้ชีวิตที่นั่น ที่นั่นทำให้ผมติดดิน ไม่ถือตัว ไม่เคยคิดจะโกงใคร มีน้ำใจต่อทุกคน คิดถึงความรู้สึกของคนรอบข้างก่อนตนเอง นั่นคือสิ่งที่ แม่ อีกคนนึงของผมได้พร่ำสอนมาตั้งแต่เด็กๆ และในวันที่ท่าน จากไป นั้น เป็นครั้งแรกที่ผมนึกขอบคุณ ความไม่ปกติ ของตนเอง ที่สามารถ มองเห็นและพูดคุยกับท่านได้ในครั้งสุดท้ายก่อนท่านจะไปในภพภูมิใหม่ ซึ่งผมจะเล่าในเรื่องนี้ครับ
แม่บอกว่าเมื่อก่อนผมจะต้องตามแม่ไปที่ รพ. ด้วยเพราะที่บ้านไม่มีคนอยู่ ผมก็จะเล่นจะคุยอะไรไปเรื่อยโดยไม่งอแง ไม่บ่นว่าเหงาหรืออะไรเลย แม่บอกว่าผมชอบคุยคนเดียว เล่นคนเดียว แม่เคยแอบฟังว่าผมพูดอะไร แม่บอกว่ามันเป็นบทสนทนาเหมือนผมคุยโต้ตอบกับใครบางคนอยู่ เหมือนไม่ใช่ตัวคนเดียว แล้วบางครั้งก็ชอบพูดเตือนแม่แบบฟังไม่ค่อยรู้เรื่องว่า อย่าไปนะ รถชน ของหาย อะไรแบบนี้ แล้วเมื่อแม่สอนผมว่า เจอใครให้ ไหว้นะลูก สวัสดีเขา ผมก็ทำตามอย่างดีครับ แต่มันติดตรงที่บางครั้งแม่อุ้มผมไปนั่นไปนี่ แล้วผมไหว้สวัสดีใครบางคนแต่พอแม่หันไปกลับมีแค่ที่โล่งๆ ว่างเปล่าไม่มีใครตรงนั้น พอแม่ถามผมว่าไหว้ใคร ผมก็จะตอบว่า มีคุณป้า อยู่ตรงนั้น บางครั้งก็จะตอบไปว่า มีคุณตายิ้มให้ หนูเลยไหว้ตามที่แม่บอก
ตัวผมนั้นไม่ค่อยจำอะไรได้ครับตอนเด็กๆ รู้แต่ว่าไม่เคยเหงาเลยจริงๆ จะพอจำเรื่องราวได้ก็ตอนประมาณอนุบาลแล้วในตอนนั้นผมรู้ครับ ผมยอมรับว่า ผมเห็นผี มาตั้งแต่ตอนนั้น แต่มันไม่ชัดเจน รู้ว่าเห็น ว่าเขาไม่ใช่คนปกติ แต่คงเป็นด้วยความเด็กหรืออะไรไม่รู้ทำให้ผมไม่เคยคิดสงสัย หรือไม่เคยแม้แต่จะเอะใจว่า นี่มันไม่ปกตินะ ผมเป็นอย่างนั้นเรื่อยมาในวัยเด็ก แต่ก็ไม่เคยได้บอกใคร เพราะไม่ได้คิดว่ามัน แปลก อะไร
พอผมขึ้นชั้นเรียนประถมนั้น สิ่งเหล่านี้ก็หายไป ผมไม่เห็น ไม่รับรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องราวเหล่านี้อีกเลย กลายเป็นแค่เด็ก ธรรมดาๆ คนหนึ่งชีวิตของผมในแต่ละวันนั้นผ่านไปเหมือนคนทั่วไป จนผม ลืม เรื่องราวนี้ไปจนหมด แต่สุดท้าย ทุกอย่างก็กลับมาครับ
ตอนนั้นผมเข้ามัธยมต้นแล้ว มีครั้งนึงผมไปเข้าค่ายลูกเสือที่ รร. แห่งหนึ่งในจังหวัดพิษณุโลก ชื่อโรงเรียนนี้ก็เป็นชื่อพระนเรศเลยครับ แต่ไม่ใช่สาธิต ม.นเรศวรนะ นั่นเป็น รร ที่ผมเรียนอยู่ แต่ไปเข้าค่ายที่อื่น ผมไม่กล้าลงชื่อ รร นั้น เดี๋ยวจะเป็นเรื่อง ที่นั่นเมื่อเข้าไปสิ่งแรกที่เห็นคือ รูปหล่อสักการะของสามพี่น้องที่มีคุณความดีต่อแผ่นดินนี้อย่างมาก นั่นคือ องค์ดำ องค์ขาว และพระพี่นาง ในคืนแรกนั้นไม่มีอะไรเกิดขึ้นครับ เพราะไมค่อยมีกิจกรรมอะไร มันเกิดขึ้นในคืนที่ 2 คืนวันรอบกองไฟ คืนนั้นมีการเดินทางไกลตอนกลางคืน เป็นฐานๆ ผมชอบมาก เพราะซนอยู่แล้ว ฐานนั้นเริ่มเวลาประมาณค่ำๆ เริ่มจากการไปสักการะพระบรมรูปก่อน เพื่อขอให้ไม่เจออะไรอันตราย แต่หลังจากจุดธูปแล้วผมเกิดอาการมึนหัว เหมือนอยากอ้วก เดินเซๆ เพื่อนก็เข้ามาถามว่าเป็นอะไรไหม แต่เพราะอยากเล่นฐานเลยบอกมันว่าห้ามบอกครูนะ
ผมจำไม่ได้ว่ามีกี่ฐานนะครับ แต่มีอยู่ฐานนึงมันเป็นฐานที่ต้องปีนขึ้นไปบนต้นไม้ แล้วไต่เชือกไปอีกต้นนึง ผมก็ปีนขึ้นไปจนถึงที่มีเชือกอยู่ คือมันก็สูงสำหรับผมในตอนนั้น ผมก็เลยยืนทำใจนิดนึง ในขณะที่ผมทำใจก็พยายามมองไปรอบๆเพื่อไม่ให้ตัวเองหลงไปมองพื้น แล้วถัดไปหน่อย มันมีกำแพงแบ่งส่วนของตึกอะไรสักอย่าง เลยขอบกำแพงไปนั้น ผมเห็นถาดสังกะสีใบใหญ่วางอยู่บนพื้นในนั้นมีกับข้าว มีข้าวเปล่า มีขนมหวาน มีของอยู่หลายอย่างเลย ติดตรงที่มันมีธูปปักนี่สิครับ แล้วข้างๆถาดนั้นก็ปรากฏร่างขอยชายแก่หัวแล้ว ผอมจนหนังเห็นกระดูก นั่งยองๆ แล้วใช้มือ ควักกินเครื่องเซ่นนั้นอย่างรีบร้อน ผมตกใจกับภาพที่เห็นมากเพราะตามเนื้อตัวนั้นมีลอยเลือดอยู่เยอะ ชายแก่นั้นไม่มีเสื้อ มีแค่ผ้าโจงกระเบนเก่าๆตัวนึง ในขณะที่ผมกำลังมองอย่างสงสัยนั้น ร่างนั้นก็หันมาที่ผม จ้องผมอย่างตั้งใจ ผมตกใจมากเลยรีบๆปีนข้ามเชือกไปยังอีกต้น
‘ทำไมนานจังวะ ป๊อดอะดิ’ เพื่อนยังคงแซวผมอีก เพราะผมยืนอยู่บนนั้นนานพอสมควร แต่ก็ไม่ได้บอกเพื่อนไปครับว่าเห็นอะไร
‘เออน่า ขึ้นไปเดี๋ยวรู้เอง’
แล้วเพื่อนผมก็ปีนขึ้นไปเล่นฐานนั้น เมื่อลงมาผมก็ถามมันว่าเห็นลุงแก่ๆไหม ที่นั่งกินข้าวอยู่ เพราะก่อนขึ้นไปผมบอกให้มันดูให้ด้วย แต่มันก็ตอบกลับมาว่าไม่เห็นมีอะไรเลย มีแต่ลานปูนโล่งๆ จะหลอกผีมันรึไง มันไม่กลัวหรอก
นั่นคือคำตอบของเพื่อนผมทำให้ผมคิดไปว่า ที่ผมเห้นนั้นคืออะไร หรือผมตาฝาด แล้วก็เดินไปต่อเรื่อยๆครับ เล่นตามฐานไปปกติไม่มีอะไร แต่มันรู้สึกเหมือนมีคนมองอยู่แทบจะตลอดเวลา แล้วก็ไปถึงอีกฐานนึง ฐานนี้เป็นฐานที่ให้ดึงเชือกที่มัดอยู่กับเรือเข้าฝั่งให้ เพื่อให้ฝึกมัดเงื่อน ตรงนั้นเป็นคลองน้ำกว้าง เมื่อผลัดกันมัดไปเรื่อยๆ
กรี๊ด.......................................
เสียงเล็กแหลมของผญกรี๊ดดังลั่นจนผมสะดุ้ง เสียงนั้นดังมาก ดังจนผมต้องเอามือปิดหู
‘ใครกรี๊ดวะ ได้ยินปะ’ ผมหันไปถามเพื่อนผม
‘กรี๊ดไร ไม่มี ยังๆ ยังจะมาหลอกผีอีก เดี๋ยวถีบเลยนี่’ เพื่อนผมตอบมาแบบนี้
ผมทำได้แค่ งง และสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้น ผมเดินไปดูเพื่อนๆมัดเรือกันต่อ ผมได้ยินเสียง จ๋อมๆ เหมือนปลาเล่นน้ำอยู่ ผมเลยเดินไปดู ผมนั่งลงข้างๆคลลองมองลงไปในน้ำ ผมไม่เจอปลาซักตัวเลย
‘เห้ย ไปๆ เสร็จแล้ว’ เพื่อนตะโกนมาเรียกให้ผมเดินตามมันไปได้แล้ว
ก่อนที่ผมจะลุกตามมันไปในขณะที่ผมมองกลับลงไปในน้ำ ปรากฏว่าผิวน้ำนั้นไม่ได้สะท้อนใบหน้าของผมแต่เป็น ผญ คนนึงสะท้อนอยู่ในนั้น ผมตกใจมาก รีบวิ่งตามเพื่อนไปเลย
เราเล่นฐานกันไปจนจบ จนมาถึงช่วงรอบกองไฟ ผมกับเพื่อนก็กำลังสนุกกันตอนนั้น ผมลืมเรื่องที่เจอเมื่อกี้ไปเลย ผ่านไปสักพักผมอยากเข้าห้องน้ำ เลยเดินออกไปคนเดียวเพราะมันก็ใกล้ๆนิดเดียว หลังจากเข้าห้องน้ำเสร็จ เดินออกมาจากห้องน้ำจะเดินกลับไปหาเพื่อน ก็รู้สึกมึนหัวแบบสุดๆ มึนจนเดินไม่ได้ เดินไม่ตรงเลยทีเดียว แล้วมันก็เหมือนคนหน้ามืด ผมรู้สึกว่าใบหน้าของผมนาบกับพื้นหญ้าเย็นๆ แล้วก็หลับไป
................................................................................
ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งในรถกระบะของ รร. ผมนอนอยู่โดยมีอาจารย์นั่งมาด้วย เพื่อนตัวแสบของผมก็นั่งอยู่ข้างๆ
‘จารย์ๆ มันตื่นแล้วๆ’ เพื่อนผมร้องเรียกอาจารย์
‘เป็นไงบ้าง อยู่ดีๆก็ล้มไปดีนะครูมาเจอ ตอนนี้จะถึง รพ. แล้ว’
ผมยังมึนๆอยู่ เมื่อถึง รพ.ผมก็ถูกหามขึ้นรถเข็นเพื่อไปรอตรวจ ในระหว่างนั้นผมก็ค่อยๆหาย ค่อยๆกลับเป็นปกติครับ มันรู้สึกโล่ง โล่งไปทั้งหัว สบายตัวมาก เหมือนไม่ได้เป็นอะไรเลย พอไปตรวจไปอะไรก็ไม่ได้ผลว่าเป้นโรคอะไรหรือป่วย ไม่สบาย แต่แน่นอนว่าผมได้ยาในตำนานกลับมาด้วย พารานั่นเองครับ
อาจารย์ดูงงๆ และหงุดหงิดเล็กน้อยกับอาการของผม เมื่อรถกระค่อยเคลื่นตัวเข้าสู่เขต รร. ที่ผมมาเข้าค่ายอีกครั้ง อาการเดิมค่อยๆกลับมาอีกครั้ง ผมเริ่มมึนๆหัวแต่คราวนี้ไม่มากเท่าไหร่ครับผมเลยไม่บอกอาจารย์เดี๋ยวโดนบ่นโดนหงุดหงิดใส่อีก
คืนนั้นตอนนอนหลับ ผมได้ยินเสียง ช้าง ม้า เสียงคนมากมายเดินไปมา คุยกัน เสียงเหล็กกระทบกัน แล้วผมก็ฝัน ฝันว่าไปเดินอยู่ในสถานที่หนึ่งมีคนเดินพลุกพล่านไป
คืนนั้นตอนนอนหลับ ผมได้ยินเสียง ช้าง ม้า เสียงคนมากมายเดินไปมา คุยกัน เสียงเหล็กกระทบกัน แล้วผมก็ฝัน ฝันว่าไปเดินอยู่ในสถานที่หนึ่งมีคนเดินพลุกพล่านไปหมด ทุกคนล้วนมีอาวุธอยู่ในมือ ใส่เสื้อบ้างไม่ใส่บบ้างมีม้า มีช้างเดินไปทั่ว แล้วก็มีกระท่อม เหมือนห้างนา ที่ทำไว้แบบลวกๆ ผมเดินไปเรื่อยๆ ผ่านใครใครก็ไม่มอง ไม่สน เหมือนไม่เห็นผม จนไปสะดุดอยู่กับที่นึง เป็นกระโจมที่ทำจากผ้า ผืนใหญ่ ใหญ่มาก ผมไม่กล้าเปิดเข้าไปได้แต่ยืนมองอยู่อย่างนั้น แล้วประตูกระโจมนั้นก็เปิดออก พร้อมกับคนในชุดโบราณสีดำขลิบทองเดินออกมา แล้วผมก็ตื่นด้วยเสียงปลุกของเพื่อน
หลังจากวันนั้นผมก็ไม่เกิดอาการแปลกๆอะไรเท่าไหร่ จนมันผ่านไปปีกว่าๆ ผมเลื่อนชั้นเรียนขึ้นมาแล้ว เรื่องราวในวันนั้นผมยังจำได้ดี แต่ไม่ได้เก็บไปใส่ใจเลย จนวันนึงก็เกิด เรื่องประหลาด ขึ้นกับผมอีกครั้ง เมื่อเย็นวันนั้นผมเล่นบาสอยู่กับเพื่อนช่วงเย็นๆ เล่นก็ไม่ค่อยเป็นหรอกครับ แต่เห็นน่าสนุกเลยไปวิ่งๆเล่นกับเพื่อนในขณะที่เล่นๆอยู่นั้นมีลูกนึงพลาดมาโดนหัวผม ผมก็ล้มลงไป แต่ไม่เจ็บเลยครับ ก็หมั่นไส้เล่นเตะเพื่อนแก้แค้นขำๆ เราเล่นกันต่อไปเรื่อย แล้วผมก็รู้สึกเหมือนตัวเองโดนอะไรบางอย่างมะกระแทกที่กลางหัว กลางกม่อมเลยครับ เหมือนฟ้าผ่า มันชาไปทั้งตัว จนผมเข่าอ่อนนั่งลงไปกับพื้น โดนที่ไม่มีเพื่อนหรือลูกบอลมาโดน เพื่อนผมเห็นอย่างนั้นก็รีบวิ่งกันมาดูผม ผมมึนๆครับ เพื่อนเลยจับผมนอนมันตรงนั้นเลย พื้นสนามเปื้อนๆนั่นแหละครับ พอผมได้สติก็ลุกขึ้น เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพื่อนดึงมือผมให้ลุกขึ้นผมรู้สึกแฉะๆที่หลังก็ไม่ได้คิดอะไรนึกว่าเหงื่อ
‘เห้ย ซิบหายแล้ว เลือด!’ เพื่อนคนนึงชี้มาทางผมแบบตกใจมาก
ผมมองไปที่เพื่อนรอบๆตัวก็ดูตกใจกันทุกคน ผมก็ถามเพื่อนไปว่าเป็นอะไรกัน ตกใจอะไร เพื่อนผมบอกว่าตรงคอมิงอะเลือดเต็มเลยจับดูดิ ผมก็เอื้อมือไปจับดูที่คอ แล้วก็พบว่ามีเลือดจริงๆครับ เยอะด้วย เสื้อผ้านี่ปื้อนหมดเลย เป็นรอยยาวไปตามหลัง ผมเรียกให้เพื่อนตามเพื่อที่จะให้ช่วยล้าง แล้วเพื่อนบังเกิดเกล้าก็ประเคนสายยานมาแบบเต็มแรง สะอาดจริงครับ สะอาดทั้งตัว เปียกไม่มีชิ้นดี = =’ ผมจับๆดูที่ต้นคอให้เพื่อนดูหลังจากล้างคราบเลือดออกไปหมดแล้ว ก็ปรากฏว่าไม่มีรอยแผลอะไรทั้งสิ้นครับ ไม่มีเลยมีมีสักแผลเลย ผมก็ งงมากกับเพื่อน ผมโทรหาให้แม่มารับกลับบ้านทันที
เมื่อแม่มาถึงตอนนั้นยังไม่มีมอไซด์เลยต้องให้แม่รับส่ง แม่ก็ถามว่าเปื้อนอะไรมา ผมก็อ้างๆไปว่าเพื่อนทำโกโก้หกใส่ เพราะสีเวลาเลือดมันแห้งเป็นคราบบนเสื้อก็คล้ายๆอยู่ วันนั้นผมกลับไปบ้าน กินไรไม่ค่อยลงเลยครับ แล้วก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไรรู้สึกตัวเองเหมือนแบตหมด แล้วก็หลับไปตั้งแต่หัวค่ำโดยผิดวิสัยของผมมากๆ
หลังจากนั้นไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกเลย จนผ่านไปอีกปี ในวันที่ผมเรียนอยู่ชั้นสุดท้ายของม.ต้น ตอนนั้นใกล้จบแล้วครับ มีอยุ่คืนนึงผมก็ฝันเป็นฝันที่ผมจำได้ดีทั้งภาพ และความรู้สึก
ผมรู้สึกตัวเมื่อมีลมอ่อนๆโชยมาสะกิดบนใบหน้าราวกับว่าจะปลุกผม ผมลืมตาขึ้นมาในที่ไหนก็ไม่รู้ที่นั่นรอบข้างเต็มไป้วยต้นไม้สีเขียวชะอุ่ม เขียวสวยงามมาก มีดอกสีขาวๆนวลๆ มีผลไม้หน้าตาแปลกๆไม่รู้จัก แล้วก็มีกลิ่นหอมตลบอบอวนไปหมด ผมรู้ว่ากลิ่นนี้มาจากดอกไม้เหล่านั้น แต่ผมไม่สามารถบอกได้ว่ามันคือกลิ่นของดอกอะไร กลิ่นนั้นหอมหกว่าน้ำหอมทุกชนิดที่ผมเคยได้กลิ่น แม้นี่จะเป็นครั้งแรกที่ได้สัมผัสกับกลิ่นนี้แต่ผมกลับรู้สึก คุ้นเคย มากๆ รู้สึก คิดถึง อย่างบอกไม่ถูก ผมก้าวเดินไปตามทางดินที่เม็ดดินนั้นละเอียดและอ่อนนุ่มเป็นอย่างมาก ผมเดินขึ้นไปเรื่อยๆตามความชันของ ภูเขา เดินไปเรื่อยเหมือนตัวเอง รู้ทาง เดินไปด้วยความมั่นใจ เมื่อพ้นแนวต้นไม้ที่สูงท่วมหัว ผมก็หยุดชะงักกับภาพที่ปรากฏต่อสายตาผมอีกครั้ง
ที่ที่ผมยืนอยู่นั้นเป็นทางเดินทอดยาวสูงขึ้นไป คล้ายๆหน้าผา รอบๆตัวนั้นว่างเปล่า ไม่มีสิ่งแวดล้ม เป็นท้องฟ้าสีฟ้านวลไปทั่วบริเวรเบื้องล่างนั้นเป็นทะเล ผมไม่รู้จะเรียกว่าอะไรคล้ายทะเลหมอก เตมันเหมือนน้ำ มันเป็นสีขาว นวล เหมือน น้ำนม ลมเย็นอ่อนๆที่พัดมากระบทบร่างกายทำให้รู้สึกตัวเบาสบาย รู้สึกเหมือน ได้กลับบ้าน มองไปรอบๆไม่มีสิ่งใดอยู่ในสายตาราวกับว่าที่นี่คือ จุดสูงสุดของที่ไหนสักแห่ง ไม่มีแม้แต่เมฆมาบดบังความสวยงามของผืนฟ้า สีขาวของทะเลน้ำนม ตัดกับสีฟ้านวลอย่างสวยงาม ผมค่อยๆเดินไปตามทางเรื่อยๆ ทางเดินนั้นไม่กว้างมาก มองให้เห็นทะเลสีขาวเบื้องล่าง ใจนึงอยากกระโดดลงไปมากเพราะมันสวยจริงๆ แต่อีกใจนึงกลับบ้านว่า ลงไปไม่ได้ ผมเดินขึ้นไปเรื่อยๆ... เรื่อยๆ
ที่ตรงหน้าผมปรากฏสิ่งก่อสร้างหนึ่งตั้งอยู่อน่างเด่นชัดที่สุดปลายทางเดินนั้น สิ่งก่อสร้างนั้นสวยงามราวกับไม่ใช่ฝีมือมนุษย์สีขาวนวลของสิ่งก่อสร้างช่างละเอียดอ่อน เมื่อผมเดินเข้าไปใกล้อีกก็ผมเงาร่างหนึ่งนั่งอยู่ในนั้น เป็นร่างที่มองไม่ชัดเนื่องจากมีแสงสว่างจ้าฉายออกมาจากร่างนั้นทำให้ไม่สามารมองหรือจ้องได้ และเมื่อเข้าไปใกล้อีกนิดตัวผมก็ทรุดลงบ่นเข่าตัวเอง แล้วก้มหน้ากราบลงกับพื้น หน้าผากจรดที่พื้นดินอ่อนนุ่มนั้น แล้วความรู้สึกหนึ่งก็ถาโถมเข้ามาในจิตใจของผม เป็นความรู้สึกที่เกินทน มันเป็นความยินดี ดีใจ ความห่วงหา ความคิดถึง ความรู้สึกเหมือนเราไม่ได้พบใครบางคนที่เรารักมาก มานาน แสนนาน ความรู้สึกนั้นทิ่มแทงใจผม บวกกับความปิติที่รู้สึกเหมือน ได้ กลับมา ตัวผมในความฝันนั้น ร้องไห้ออกมาอย่างบ้าครั่ง ร้องฟูมฟายเป็นอย่างมาก ท่านที่อยู่ในวิหารนั้น นั่งเงียบๆปล่อยให้ผมร้องไห้ต่อไป สักพักหนึ่ง
‘มาแล้วสินะ เรารออยู่นานแล้ว’ เสียงหนึ่งดังขึ้นในหัวผม ผมรู้ว่าเสียงนั้นมาจากไหน ผมแน่ใจว่าเป็นคนตรงหน้าผมแน่ๆ แต่ผมก็ไม่สามารถหยุดตัวเองที่ร้องไห้อยู่ได้ ไม่สามารถเงยหน้าได้ ได้แต่ก้มกราบอยู่อย่างนั้น เสียงนั้นนุ่มนวลและอบอุ่นเป็นอย่างมาก เป็นเสียงที่คุ้นเคยและแสนคิดถึง
แสงสว่างร่างนั้นเอื้อมมือมาหาตัวผม แล้วจับให้ผมเงยหน้าขึ้นผมยังคงมอง ท่าน ได้ไม่ชัดด้วยความสว่างของท่าน แล้วท่านก็ใช้มือหนึ่งแตะที่หน้าผากของผม ที่ปลายนิ้วนั้นมีความร้อนและแสงสว่างวาบ ก่อนที่ทุกอย่างจะหายไปในแสงสว่าง ท่านทิ้งประโยคนึงไว้กับผม
‘เราขอคืนให้กับเจ้า สิ่งที่เจ้าฝากไว้ กลับไปเถิด ไปทำให้มันลุล่วง เราจะคอยช่วย’
เมื่อสิ้นสุดประโยคนั้นผมก็ตื่นขึ้นมากลางดึกตอนนั้นน่าจะประมาณตีสาม ตีสี่ พอผมรู้สึกตัวผมรู้สึกปวดหัวและคลื่นไส้เป็นอย่างมาก ผมวิ่งไปห้องน้ำ ผมอาเจียนออกมาเยอะมาก แล้วก็มึนไปหมด ตัวผมร้อนไปหมด ร้อนมาก รู้สึกได้เลยว่ามันร้อน ผมยืนล้างหน้าอยู่ที่อ่างล้างหน้า เมื่อเงยหน้าขึ้นไปดูตัวเองที่กระจกก็ต้องตกใจเมื่อสิ่งที่เห็นคือตัวผมเอง ที่มีเลือดไหลออกจาก ตา และหู เลือดที่หูค่อยๆหยด ส่วนที่ตานั้นไหลเหมือนเป็นน้ำตาไหล ผมตกใจมาก ไม่รู้จะทำยังไง ก็รีบล้างหน้าด้วยความตกใจ แต่เลือดนั้นยังคงไหลต่อไปเรื่อยๆ นานเท่าไหร่ไม่รู้ที่ผมต้องนั่งรอ ให้มันหยุดไหลอยู่ในห้องน้ำ เมื่อมันหยุดลงผมล้างหน้าอีกครั้ง พาตัวเองกลับไปที่ห้องแล้วทิ้งตัวเองลงบนเตียง
ในตอนเช้าที่แม่มาปลุกผมนั้น ผมตัวร้อนมากเหมือนคนมีไข้สูง แม่จึงบอกให้ผมหยุด รร. หนึ่งวัน แล้ววันนั้นผมก็หลับไปอย่างไม่รู้สึกตัว หลับไปหนึ่งวันหนึ่งคืน ตื่นีกทีก็เป็นเช้าวันรุ่งขึ้นแล้ว หลังจากที่ผมตื่นในวันรุ่งขึ้นนั้น ตัวผมเบาสบายมาก เหมือนตัวเองไม่ได้ป่วยอะไรเลย มันรู้สึกดีมากๆ ผมสบายใจกับร่างกายในตอนนั้น โดยที่ความฝันในคืนนั้นยังชัดเจนในหัว และเกิดเป็นคำถามที่ตกค้างอยู่ในใจอย่างไม่สามารถหาคำตอบใดๆได้ ผมไป รร โดยปกติเล่นสนุกกับเพื่อนเหมือนทุกวัน ในขณะที่ผมไม่เคยรู้เลยว่าชีวิตผมมันมาถึงจุดเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของชีวิตแล้ว
หลังจากเหตุการณ์ในคืนนั้นผ่านมาได้ประมาณอาทิตย์นึง เรื่องแปลกๆก็เริ่มเกิดขึ้นกับตัวผม ผมนั้นจะเป็นพวกบ้ากิจกรรมพอสมควร เลยหาเรื่องทำนั่นทำนี่อยู่ที่ รร. จนมืดค่ำด้วยความที่ว่าเพื่อนมีหอพักอยู่หน้า รร. จึงไม่กังวลอะไรเท่าไหร่ วันนั้นเป็นวันที่ผมกลับกันค่ำๆ ผมเดินจากดรงอาหาร รร. โดยผ่านทางหน้าห้องสมุดเพื่อทะลุไปหน้า รร ที่ตรงนั้นเป็นสนามหญ้าไว้เด็กๆได้นั่งเล่นกัน และที่นั่นก็มีต้นไม้ต้นใหญ่ ใหญ่มากๆ สูงกว่าตึกเรียนผมอีก คงมีอายุมาไม่น้อย ทุกครั้งที่เดินผ่านก็พอจะสัมผัสอะไรได้บ้าง แต่มันก็จางๆ วันนั้นผมเดินคุยเล่นกันเสียงดังโวยวายมาก
ฮิฮิ...
มีเสียงผู้หญิงหวานๆเล็กๆลอยมาเข้าหูผมเบาๆ ผมพยายามมองหาต้นตอของเสียงนั้นเพราะว่ากลุ่มผมเป็นผชล้วน ผมมองไปรอบๆก็ไม่เจออะไร
ฮิฮิ.... บนนี้
เสียงนั้นแว่วมาตามลม ผมเงยหน้าขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่นั้น ผมก็ต้องตกใจเมื่อผมเห็นหญิงสาวในชุดไทยโบราณนั่งอยู่บนนั้น โดยยิ้มให้ผมกับเพื่อนๆ ถึงเธอจะสวยมากๆ แต่เวลานั้น กลัว ครับ ใครมันจะบ้าปีนขึ้นไป ต่อให้เป็นผชก็เถอะ ผมก้มหน้าลงมาพยายามทำเป็นเหมือนไม่เห็นอะไร เดินกับเพื่อนต่อไปเรื่อยๆ ดดยยังมีเสียงหวานใสนั้นหัวเราะลอยตามลมมาเรื่อยๆ จนเราเดินพ้นตึกนั้นไป
ความสงสัยในวันนั้นยังคงติดในใจผม ว่าที่ผมเห็นนั้นคืออะไร แล้วผมก็ได้รู้ว่า ผมไม่ได้ บังเอิญ เห็น แต่ผมเริ่มเห็นอะไรแบบนี้มากขึ้น... มากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะใน รร นั้นผมจะเห้นคนตามจุดนั้นจุดนี้บ่อยๆ แต่ก็ไม่กล้าบอกใครออกไปเพราะกลัวเพื่อนจะกลัว บางครั้งที่ผมไปหาแม่ที่ รพ ผมมักจะเห็นคนไข้เดินไปเดินมาอยู่ในห้องผ่าตัด หมายถึงคนไข้ที่รับการผ่าตัดอยู่น่ะนะครับ บางครั้งก็เจอคนไข้ที่เสียในห้องผ่าตัดก็มี ผมตกอยู่ในสภาวะนี้อยู่นาน จนผมเริ่มเครียด เริ่ม กลัว เพราะเดินไปไหนมาไหน มันก็เห็นไปหมด เคยถึงขนาดว่าตกใจจนต้องเดินหกลบเขาทั้งๆที่มันเป็นทางโล่งๆ
เวลาผ่านไปจนคืนหนึ่งผมก็ฝันอีกครั้ง ผมฝันว่าผมกลับไปที่นั่นอีกครั้งหนึ่ง ผมเดินไปตามทางเรื่อยๆ เรื่อยๆ เมื่อเข้าไปใกล้กับวิหารนั้น ก็มีกระแสเสียงหนึ่งดังก้องออกมา
‘รับเราสักที’
แล้วผมก็ตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้น วันนั้นรู้สึกไม่ดีมากๆ เลยไปบอกเพื่อนว่าอยากไปวัดว่ะ อยากทำบุญ เพื่อนมันก็ไปครับ เพราะมันอยากเที่ยวกันอยู่แล้ว เราซ้อนมอไซด์กันไป 3 4 คัน เมื่อไปถึงผมก็ไปไหว้พระอะไรตามปกติ แต่ในขณะที่ผมกราบพระพุทธชินราชอยู่นั้น ผมก็เกิดอะการ เจ็บ ที่กลางกม่อม เป็นความเจ็บจี๊ดจนชาไปทั้งตัว เหมือนใครเอาเข็มมาจิ้มที่กลางหัว มันเจ็บมาก แต่แปปนึงความเจ็บก็หายไปทิ้งไว้แต่ความ มึน ให้ผม เมื่อเดินออกมานอกพระวิหารเราก็ไปเดินเล่นกัน เมื่อเดินอ้อมไปหลังวัด แถวๆที่เขาขุดพบซากโบราณกันนะครับถ้าใครเคยไป ผมเดินดูนั่นดูนี่ไปเรื่อยๆ เพราะเพื่อนผมมันมัวถ่ายรูปกันอยู่ แล้วผมก็สะดุ้ง เพราะมีมือแห้งๆ เหี่ยว มาจับแขนผม
‘เห้ย!’ ผมตกใจเลยเผลออุทานออกไป ข้างหน้าผมเป็นคุณตาแก่ๆในชุดปฏิบัติธรรม ท่าทางใจดีครับ แต่ตาแกขุ่นๆเหมือนมองไม่เห็นรึเปล่าผมก็ไม่แน่ใจ
‘รับเขาซะสิ อย่าฝืน มันถึงเวลาแล้ว’ คุณตาพูดกับผมแบบยิ้มๆ แต่ผมนี่ขนลุกซู่ชาไปทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า
‘เห้ย เดินไม่รอเลยวะ’ เพื่อนผมตะโกนมาจากข้างหลัง
ผมหันกลับไปมองเพื่อน เมื่อหันกลับมา ที่ตรงนั้นไม่มีคุณตาคนนั้นยืนอยู่อีกแล้ว ผมได้แต่ งง และกลัวว่านี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นกับผมกันแน่ ก่อนกลับ เพื่อนผมมันนึกคึกอะไรไม่รู้อยากดูดวง ตอนนั้นผมไม่เคยดูดวงเลย ก็ตื่นเต้นว่า ไปสิๆ เราก็ขึ้นมอไซด์ไปกันต่ออีก ด้วยความนึกสนุกตอนนั้นทำให้ลืมความกลัวไปชั่วขณะนึง
เมื่อมาถึงที่ที่เพื่อนบอกว่าที่เนี่ยเขาดูแม่น ป้าๆยายๆมันชอบมา ผมก็เข้าไปในบ้านหลังนั้น บ้านนั้นเย็นมากๆครับ เป็นบ้านเปิดโล่งๆ ไม่ได้ติดแอร์อะไร แต่ก้าวแรกที่เท้าสัมผัสพื้นนั้นมันมีความเย็นที่ทำให้เราชักเท้ากลับเลย ในบ้านนั้นเรียบง่ายครับ ป้า เจ้าของบ้านชี้ให้เรานั่งลงที่พื้น ข้างหลังป้ามีโต๊ะหมู่บูชาโต๊ะใหญ่อยู่ ก็มีเศียรพ่อแก่ มีพระพิฆเนศ แล้วก็อีกเยอะครับ ป้าใช้ไพ่ยิปซี โดยเราเริ่มดูกันไปเรื่อย ผมส่งเพื่อนไปตายก่อน เพราะตัวเองไม่เคย ดูเป็นคนดีนะผมเนี่ย 55
ดูไล่ไปเรื่อยๆ ก็ไม่มีอะไรมากมายส่วนใหญ่ก็ถามเรื่องเรียนต่อ กับความรัก บรรยากาศเป็นไปด้วยความสนุก.. มั้งครับ เพราะเพื่อนผมมันหัวเราะลั่นเลย แต่ผมรู้สึก เกรง ป้าคนนี้ ไม่ใช่ความกลัวนะครับ มันเหมือนเวลาเราเกร็งเมื่อต้องอยู่กับผู้ใหญ่ที่ดุๆอะไรประมาณนั้น แล้วก็มาถึงตาผมครับ ผ้าให้ผมสับไพ่ ตัดไพ่ เสร็จแล้วให้ผมเลือก 10 ใบ โดยตลอดเวลาที่ผมเลือกไพ่นั้นป้าแกจ้องผมตาเขม็งเลย ผมกลัวป้ามาก จนผมเลือกไพ่ครบ แกก็รับไพ่ไปจัดเรียงตามรูปแบบ แล้วแกก็นั่งมองไพ่เงียบๆ สลับกับมองผม แล้วความเงียบก็เข้าปกคลุมทั้งห้องเลยครับ
‘มิงจะเป็นไรป่าววะ มิงจะตายปะเนี่ย ทำไมป้าแกเครียดจัง’ เพื่อนผมคลานมากระซิบข้างๆหู
‘ไอ้บ้า พูดไรงั้นวะ ก-รุก็กลัวอยู่เนี่ย’
ป้าหันหลังไปจุดธูปกำใหญ่ แล้วคว้าหมากเข้าปากเคี้ยว ท่าทางนั้นเปลี่ยนไปเหมือนเป็นคนแก่ แต่สายตายังคงจ้องเขม็งเหมือนเคย
‘โอ้ย ดูไม่ได้หรอก มาดูทำไม เขาไม่ให้ดู’ ป้าแกพูดโพล่งออกมาเสียงดังเลยครับ ผมนี่ตกใจกันหมด ผมเผลอขยับถอยออกมาเลย
‘เอ็งรู้ตัวรึยังเนี่ย เขาก็มาหาแล้วไม่ใช่รึ ทำไมไม่รับเขาเล่า’ ป้าพูดด้วยสายตาเหมือนจะเอาเรื่องผม
‘ใครครับ?’ ผมถามออกไปแบบกล้าๆกลัวๆ
‘ยัง ยังมาทำเป็นไม่รู้ ระวังเขาจะโกรธเอานะ องค์ใหญ่ด้วย อย่าฝืนเลย หนีไม่พ้นหรอก’
เสร็จแล้วเราก็โดนไล่กลับบ้านครับ ใช้คำว่า ไล่ จริงๆ แกพูดประมาณว่าดูไปก็ไม่ได้อะไร ค่าครูแกก็ไม่เอา เฉพาะของผมนะ ตอนกำลังจะซ้อนมอไซด์เพื่อนไปนั้น ผมแอบหันไปมองป้าแก แกยังคงนั่งมองพวกผมอยู่ ด้วยรอยยิ้มแปลกๆ ที่ดูแล้วต้องมีความหมาย
‘ใกล้แล้วนะเอ็งน่ะ เตรียมตัวไว้เถอะ’ ป้าแกตะโกนออกมาจากบ้าน
‘เห้ย ใกล้ไรวะ มิงจะตายหรอ เจ้ากรรมนายเวรป่าวเนี่ย ไปอาบน้ำมนต์ไหม เดี๋ยวพาไป’ เพื่อนผมหันมาถามด้วยความตกใจและโวยวายมาก บ่งบอกเลยว่ามันเชื่อป้าแกขนาดไหน = =’
ในคืนนั้นผมก็ฝันอีกว่าตัวเองกลับไป ที่นั่น เมื่อเดินเท้าไปจนถึง ที่เดิม ผมก้มลงกราบ แต่ในใจนั้นไม่สงบด้วยความคิดฟุ้งซ่านมากมาย
‘เชื่อหรือยังล่ะ’ กระแสเสียงนั้นพูดกับผมก่อนที่ผมจะตื่นขึ้น
ในเช้านี้ที่ผมตื่นขึ้นมานั้นผมรู้สึกปวดตาอย่างมาก ปวดเหมือนมีคนมาบีบลูกตา มันร้อนๆแสบๆ แล้วก็เจ็บที่กลางกม่อมจี๊ดๆ ผมไม่กล้าบอกอะไรแม่เลย เพราะผมเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองนั้นเป็นอะไร มันเกิดอะไรขึ้น
เมื่อผมไปถึง รร นอกจากเพื่อนๆ อาจารย์ หมาแมว น้ายามและภารโรง รวมไปถึงอดีตมนุษย์ทั้งหลายที่ยังคงใช้ชีวิตอยู่ในสถานที่แห่งนี้ ก็มีบางอย่างที่ผม เห็น เพิ่มขึ้นมา ในตอนที่ผมได้คุยกับอาจารย์ท่านนึงอยู่นั้น อยู่ดีๆในสายตาผมก็ปรากฏ ภาพซ้อน ขึ้น ผมเห็นอาจารย์ผมขี่รถมอไซด์อยู่บนถนนแล้ว ล้ม อาจารบาดเจ็บเล็กน้อย ตอนนั้นผมงงครับ งงมาก แต่ไม่กล้าพูดอะไรออกไป ผมรีบเดินขึ้นไปบนห้องเรียน ในขณะที่เรียนคาบก่อนกินข้าวนั้น ผมมองเหม่อออกไปนอกหน้าต่างด้วยความเบื่อบทเรียน วิวนอกหน้าต่างผมดีมากครับ มองเห็นสนามหญ้าของ รร เห็นรุ่นพี่รุ่นน้องนั่งเลานวิ่งเล่นกันมี ต้นไม้ใหญ่ ให้ผมได้พักสายตา ตัวผมเองนั้นชอบธรรมชาติเป็นอย่างมาก บ่อยครั้งที่ผมจะนั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง วันนี้ก็เช่นกัน ผมมองออกไปนอกหน้าต่างบานเดิม มองไปที่ต้นไม้ต้นเดิม ต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก่านให้ร่มเงาใน รร แสงแดดอ่อนๆที่ลอดผ่านกิ่งใบนั้นสวยงาม เหล่าใบไม้ที่ขยับตามสายลมอ่อนๆที่มากระทบ ทำให้ผมสบายใจมากกว่าการมองกระดานไวท์บอร์ดหน้าห้องหลายเท่า ผมไล่สายตามองไปเรื่อยๆ จนไปสะดุดอยู่ที่หนึ่ง
บนกิ่งใหญ่ของต้นไม้นั้น มีร่างของหญิงสาวสวยในชุดไทยโบราณนั่งเล่นแกว่งเท้าอยู่อย่างสบายอารมณ์ ในครั้งแรกที่ผมเห็นนั้นเธอกำลังชมนกชมไม้อยู่อย่างมีความสุข ดดยรอบๆตัวเธอนั้นมีนกกระจอกตัวเล็กบนวนอยู่ด้วย เธอเอื้อมมือไปเล่นกับพวกมัน ใบหน้าที่ขาวเนียนของเธอรับกับแสงได้อย่างลงตัว ผมยอมรับว่าเธอ สวย เหลือเกิน แล้วเหมือนเธอจะรู้ว่าผมมองอยู่เธอหันมาหาผม แล้วยิ้มให้ ก่อนโบกมือให้นิดนึง ปากกาในมือผมร่วงลงที่พื้นจนเพื่อนต้องสะกิด เมื่อเก็บปากกาเสร็จผมมองไปอีกครั้งก็ไม่เห็นเธอแล้ว
เวลาพักกลางวันในขณะที่ผมกำลังกินข้าวอยู่นั้น ฏ้มีเพื่อนผมวิ่งมาหาที่โต๊ะแล้วบอกว่า อาจารย์ยุทธ(นามสมมติ) รถล้ม หน้า รร เลย ผมตกใจมากๆ เพราะอาจารย์ที่เพื่อนมาบอกผมนั้นเป็นอาจารย์คนเดียวกันกับที่ผมคุยด้วยตอนเช้าแล้วผม เห็น ภาพเหตุการณ์นั้น ผมตกใจมากๆ ผมเริ่มใจไม่ดีแล้วในตอนนั้น....
ขอมาสารภาพผิดนะครับ คือว่า ตัว จขกท กับเพื่อน จขกท ที่ทำนั่นที่นี่ เป็นคนเดียวกันครับ
คือในในตอนแรก ครั้งแรกเลยที่จะมาเล่านั้น ผมกลัวครับ เพราะเรื่องที่ผมเล่านั้นมันล่อแหลม แล้วอันตรายพอสมควร ผมเลยเล่าในมุมของคนข้างๆ หรือ เพื่อนนั่นเอง ไม่ได้มีเจตนาไม่ดีว่าจะมาหลอกมาโกหกนะครับ หวังว่าจะเข้าใจผมนะครับ ที่ผมไม่ค่อยเปิดเผยตัวเท่าไหร่ เพราะว่าขนาดนี้ที่ผมปกปิดตัวตนมา ก็ยังมีคนตามหา ผม ในชีวิตจริงจนเจอครับ ผมขอโทษด้วยจริงๆนะครับ ไม่ได้มีเจตนาไม่ดีจริงๆ
ผมรู้ว่ามีหลายคนที่ไม่พอใจ ว่าทำไมผมต้องทำแบบนี้ แต่นั่นก็เพื่อความปลอดภัยของผมครับ แต่มาถึงตรงนี้ผมรู้สึกอึดอัดและรู้สึกแย่ที่แยกออกเป็นสองคนแบบนี้ ผมเลยมาบอกตรงนี้ครับ หากการกระทำนี้ทำให้ใครหลายๆคนไม่พอใจ ผมต้องกราบขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ ส่วนคนที่เข้าใจผมต้องขอขอบคุณมากจริงๆครับ
เเต่เรื่องทั้งหมดนั้น ไม่ใช่เรื่องแต่ง ผมยังขอยืนยันเช่นเดิมครับ ไม่มีการ มโน หรือ สร้างเรื่องขึ้น ทุกคนในเนื้อเรื่องมีอยู่จริง เรื่องราวเกิดขึ้นจริง มีเพียง ผม ที่แบ่งตัวเองออกเป็นสองตัวละครครับ เพื่อให้ตัวนึงเป็น ตัวเล่าเรื่อง เท่านั้นครับ
ขอโทษจริงๆครับ
แอบกลัวนะครับ ว่าจะโกรธกันจนเลิกอ่านกันไปเลย T T
ถ้าจะโกรธผมผมไม่ว่าครับ เพราะผมผิดเอง แต่เรื่องราวต่างๆ ความศักดิ์สิทธิ์ขององค์พระนเรศ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในเรื่องนั้น จริง ครับ อย่าได้เหมารวมท่านเลยนะครับ
ปล. ผมไม่ได้ตั้งใจจะโกหกเรื่องตัวตนผมนะครับ ขอสาบานว่าทุกเรื่องราวนั้น ไม่ได้แต่งครับ
ขออภัยอย่างยิ่งครับ...
หลังจากนั้นตัวผมเกิดอาการอย่างนี้ขึ้นเรื่อยๆ จากการที่ สัมผัสโดนร่างกาย หรือพูดคุยกันจนทำให้เห็นภาพนั้น มันก็มากขึ้นจนกลายเป็น แค่เดินผ่านกัน มองหน้ากัน ภาพเหตุการณ์ก็ลอยขึ้นมาให้เห็น อดีตบ้าง อนาคตบ้าง และก็เริ่มเห็น วิญญาณคนตายมากขึ้น จากแค่บางครั้ง จนกลายเป็นตลอดเวลา และส่วนมากสภาพไม่ดีเลย ตอนนั้นผมเครียดมาก การใช้ชีวิตของผมมันลำบากมากๆ จะบอกใครจะปรึกษาใครถามใครก็ไม่ได้ แล้ววันนึงก็เกิดเหตุการณ์กับคนใกล้ตัว เมื่อผมนั่งเรียนอยู่ในห้องข้างๆผมก็เป็นเพื่อนสนิทผม
‘วันนี้กินอะไรดีนะ’ ผมได้ยินเสียงของเพื่อนผมดังมาเข้าหู
‘ก๋วยเตี๋ยวป่าว วันนี้มีข้าวซอย’ ผมตอบไปโดยที่ไม่ได้มองหน้ามันเพราะแอบอ่านการ์ตูนอยู่ใต้โต๊ะ
‘เออ ก็ดี เห้ย เดี๋ยว ก-รุยังไม่ได้ถามเลยนะ’
‘อะไรมิง ก็ได้ยินอยู่ถึงตอบเนี่ย’
‘ก-รุแค่คิดในใจเฉยๆ ยังไม่ได้พูดเลย’
แล้วเรื่องนี้ก็เริ่มทำให้ เพื่อน สงสัยในตัวผมว่าผมเป็นอะไร แต่เรื่องราวนี้ก็เลือนไปเพราะไม่ได้ใส่ใจอะไรกันมากมาย แต่มันมีเรื่องที่ทำให้ผม อยู่ไม่ได้เกิดขึ้น เมื่อผมไม่สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อีก ผม ฟัง และคุยกับใครไม่รู้เรื่อง คือมันฟังเข้าใจนะครับ ว่าเพื่อนพูดว่าอะไร แต่สมองมันไม่ประมวลผล มันไม่สามารถตอบกลับเพื่อนได้ เหมือนฟังภาษาอื่น แล้วในหัวก็คอยจะมีภาษาแปลกๆดังอยู่เรื่อยๆ แล้วจากทีแรกที่แค่ เห็น เหตุการณ์ของคนอื่น มันก็เริ่ม ทัก คนที่เราเห็น เราควบคุมปากตัวเองไม่ได้ มันพูดออกไปเอง ไม่สามารถห้ามได้ เรารู้ว่าเราพูด แต่เราไม่ได้เป็นคนคิดที่จะทำ เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้เพื่อนค่อยๆ ถอยห่างจากผมไปเรื่อยๆ ด้วยความที่ผมเริ่มแปลกขึ้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีเพื่อนเลยนะครับ เพื่อนที่สนิทๆกันก็ยังเหมือนเดิมมานึกเอาตอนนี้ก็ขอบคุณมันมากครับ
ผมปิดเรื่องนี้กับแม่มาตลอดเพราะไม่รู้จะเล่าจะบอกยังไงจริงๆ วันนึงผมแอบไปพบ จิตแพทย์ คือตอนนั้นสงสัยว่าตัวเองต้อง บ้า แน่ๆ ต้องมีอาการทางประสาทแน่ๆ ผมเลยถามคนรู้จักแล้วนัดเจอกันครับ ไม่ได้ไปที่คลีนิค ปรากฏว่าพอไปเจอกัน ผมไม่มีอาการคุยไม่รู้เรื่องฟังไม่รู้เรื่อง ไม่มีเลย ผมปกติดีทุกอย่าง ผมเล่าอาการ แค่ในส่วนที่พูดคุยไม่รู้เรื่อง ได้ยินเสียงในหัวให้ พี่หมอ ที่รู้จักกันฟัง เขาก็ให้ผมทำแบบทดสอบอะไรของเขานี่แหละ ประมาณว่าวัดสภาพจิต แล้วก็วัดไอคิว อะไรผมก็ไม่เข้าใจเขา เมื่อทำเสร็จแล้วระหว่างรอพี่เขาสรุปผล ใจผมนี่กลัวมาก ว่าถ้าเราบ้าจริง จะทำยังไงดีเนี่ย แม่ก็มีผมคนเดียวกด้วย แต่พี่เขาก็เกาๆหัวแล้วพูดกับผมว่า
‘เราไม่ได้เป็นอะไรนะ ปกติดีทุกอย่างเลย ไปทางดีมากด้วย ไอคิวก็อยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างสูงนะ พี่ก็รู้จักเรามานาน เราก็ไม่มีอะไรส่อแววจะเป็นโรคพวกนี้นะ’ พี่หมอบอกผลตรวจกับผม
‘จริงหรอพี่ แต่ผมว่ามันแปลกจริงๆนะ’ ผมยังคงสงสัยในตัวเองและไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
‘เอาง่ายๆเลยนะ อย่างน้อยคนบ้ามันก็ไม่มานั่งสงสัยว่าตัวเองบ้ารึเปล่าหรอก’
พี่หมอบอกผมแบบนั้นก่อนจะแยกกันกลับ ผมก็ยังคงเครียดอยู่เหมือนเดิมครับ มันใช้ชีวิตยากจริงๆ ในขณะที่ผมกำลังเดินเหม่อลอยไปเรื่อยๆที่ริมแม่น้ำน่านนั้นเอง คนที่เดินสวนไปสวนมา คนที่มาวิ่งออกกำลังกาย ไม่ก็พาน้องหมามาเดินเล่น ผมก็มองเขาด้วยความคิดในใจว่า จะมีใครสักคนเคยเจออย่างเราไหมนะ ในตอนนั้นภาพที่ผมเห็นในสายตาทำให้ผมไม่สามารถกลั้นน้ำตาของความอัดอั้น ความรู้สึกที่ผิดแผกอย่างรุนแรงได้ เมื่อนอกเหนือจากผู้คนที่มาใช้ชีวิตและทำกิจกรรมเพื่อผ่อนคลาย ณ บริเวณนี้แล้ว ในสายตาผมยังปรากฏภาพซ้อนของพวกเขาเหล่านั้นที่มี ใครบางคน คอยเดินตาม คอยจ้องมอง บ้างก็แค่เดินตาม บ้างก็เกาะไหล่เกาะหลัง ที่หนักสุดเป็นเหมือนนักโทษโบราณมีโซ่ตรวน มีขื่อล่ามคอ เดินวนอยู่รอบๆตัวพวกเขาเหล่านั้น ลึกๆในใจผมมันบอกผมว่า นี่คือสิ่งที่เรียกว่า เจ้ากรรมนายเวร ตัวผมในตอนนั้นทรมานกับสิ่งที่ตัวเองเห็นเป็นอย่างมาก มันน่ากลัว และที่กลัวยิ่งกว่า คือ ตัวเอง
ผมปิดบังเรื่องนี้กับแม่ได้มาอีก2 3 วันจนเรื่องนี้ก็ถึงหูแม่จนได้ เมื่อวันนึงที่ผมกำลังเดินไปโรงอาหารกับเพื่อนๆนั้น มีช่วงนึงสติผมขาดหายไป ผมจำได้แค่ว่าผมเดินมาเข้าห้องน้ำกับเพื่อน แล้วเมื่อมารู้สึกตัวอีกทีผมก็มาอยู่บนโต๊ะกินข้าว และมีข้าววางอยู่ตรงหน้าผมด้วย ผมไม่มีความทรงจำว่า ผมเดินเข้าโรงอาหารมาอย่างไร ไปเลือกข้าวตอนไหน ผมไม่มีเลย เหมือนวีดีโอที่ขาดตอน ผมรู้สึกแย่มาก จนกินอะไรไม่ลง ผมเลยขอตัวเพื่อนกลับก่อน โดยผมเดินขึ้นไปที่ห้องดนตรีที่ตึกหนึ่งเพื่อที่จะหาอะไรทำผ่อนคลายสมอง แล้วสติผมก็ดับไปอีกครั้ง…
ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งในห้องพยาบาล โดยมีอาจารย์นั่งอยู่ข้างๆ ในตอนนั้นอาจารย์กำลังคุยโทรศัพท์กับแม่ผมอยู่ หลังจากคุยเสร็จผมได้คุยกับอาจารย์ทราบว่า อาจารย์ไปเจอผมนอนอยู่ที่บันได คือตัวผมจำอะไรไม่ได้เลย อาจารย์นึกว่าผมเป็นลมเลยอุ้มมาที่นี่ ตอนนี้ในห้องเงียบมาก อาจารย์พยายามถามว่าผมเป็นอะไร ผมก็ตอบอ้อมไปอ้อมมา แต่อาจารย์คงจับได้ว่าผมโกหก อาจารย์คนนี้ผมสนิทกันอยู่พอสมควรเลยครับ เพราะแกก็พึ่งจบได้ไม่นาน เฮฮากับเด็ก ชอบมาเตะบอลกับพวกผมเสมอ ผมเลยตัดสินใจเล่าให้อาจารย์ฟัง
เมื่อผมเล่าเสร็จอาจารย์ก็ดูอึ้งๆไป แล้วก็พูดอะไรกับผมไม่รู้ ผมไม่ได้ยินตอนนั้นอาการปวดหัวอยู่ดีๆก็กำเริบขึ้นมามันปวดมาก เวียนกัวไปหมด ห้องหมุนไปหมด ปวดที่ขมับเหมือนมีคนมาบีบด้วยแรง ที่กลางกม่อมก็รู้สึกเหมือนถูกแทงด้วยเหล็กแหมๆ ตัวชาไปทั้งตัว ผมกุมหัวตัวเองเพราะมันทรมานมาก แล้วผมก็เห็นท่าทางตกใจของอาจาร อาจารย์คว้ามือข้างหนึ่งผมไปกุมไว้แล้วหยิบสมุดเล่มเล็กๆ หนาๆ ที่ปกเสื้อออกมา กางออกอย่างชำนาญเพราะเปิดหน้าเดียวเจอเลย แล้วก็เริ่ม อ่าน เนื้อความในหนังสือนั้นให้ผมฟัง
ผมฟังอะไรได้ไม่ชัดเจนนักแต่ผมรู้ว่ามันเป็นอะไรสักอย่างของศาสนาคริสต์ เพราะผมได้ยินคำว่า พระบุตร พระจิต อะไรประมาณนี้ อาจารย์สวดอยู่อย่างนั้นด้วยกำมือผมไว้แน่น เวลาผ่านไปเท่าไหร่ไม่รู้ อาการปวดหัวผมเริ่มเบาลงแต่ผมก็หมดแรงไปด้วย
‘ท่าน ยังไม่ใช่ตอนนี้ เขายังเด็ก ปล่อยเขาไปก่อนไม่ได้หรือ’
นั่นคือประโยคสุดท้ายที่ผมจับใจความได้ก่อนผมจะหลับไปอีก
ผมตื่นมาอีกครั้งด้วยสียงของแม่ แม่มารับผมถึงในห้องพยาบาลหน้าตาแม่ดูเครียดมาก แม่ลากผมกลับบ้านด้วยอารมณ์หงุดหงิด ผมก็ไม่รู้ว่าแม่โกรธอะไรผม และในรถนั้นแม่ก็บังคับให้ผมเล่า เล่าทุกอย่า ให้แม่ฟัง ผมไม่กล้าขัดแม่จึงเล่าออกไปหมด ทั้งหมด แล้วแม่ก็ไม่พูดกับผมอีกเลยจนถึงบ้าน เมื่อไปถึงบ้านแม่ก็ยังไม่คุยกับผม ไม่ถามว่ากินข้าวไหม อาบน้ำไหม ไม่มีเลย ตอนนั้นผมไม่เข้าใจว่าผมทำอะไรผิด แค่ที่เป็นอยู่นี้ผมก็อยากจะบ้าตายอยู่แล้ว แล้วแม่ยังมาเป็นแบบนี้อีก ผมทำอะไรไม่ได้เลย ไม่แม้แต่จะไปกอดแม่ หรือพูดกับแม่ ผมทำได้แค่ เดินเข้าห้องนอน ทิ้งตัวลงบนเตียง เอาหน้าซุกหมอนใบใหญ่ของผมแล้ว ตะโกนออกมาสุดเสียง ปล่อยให้ตัวเองร้องไห้อย่างหนักเพื่อระบายความอัดอั้นในใจ ผมปล่อยให้ตัวเองร้องไปเรื่อยๆ จนหมดแรง และหลับไป
เช้าวันรุ่งขึ้นผมตื่นขึ้นมาด้วยอาการมึนหัวเหมือนทุกที ผมกำลังจะเดินไปอาบน้ำเพื่อจะไป รร ในใจก็ไม่รู้ว่าจะทำหน้าอย่างไรเวลาพบแม่ แต่ผมก็เหลือบไปเห็นนาฬิกาว่าตอนนี้มัน จะเที่ยนงแล้วผมตกใจมาก รีบไปหาแม่ สิ่งที่พบคือแม่กำลังนั่งคุยกับใครคนนึงอยู่ เมื่อผมเดินเข้าไปใกล้ก็พบว่าเป็น รุ่น้องแม่ที่ทำงาน ผมของเรียกเขาว้าน้าตุ๊กนะครับ น้าตุ๊กรู้จักกับแม่มานาน และผมก็เคยได้พบเจอกันอยู่หลายครั้งจักจำกันได้ ผมสวัสดีน้า แล้วแม่ก็เรียกให้ไปนั่งร่วมวงสนทนานั้นด้วย หน้าตาแม่ดูเคร่งเครียดมาก น้าตุ๊กมองผมยิ้มๆ ผมเดินไปนั่งอย่า งงๆ
‘ว่าไง ไม่เจอกันนานเลยเป็นไงบ้าง’ น้าตุ๊กยิ้มให้ผม ทักทายอย่างคุ้นเคย
‘อ่า ครับ หวัดดีครับ’ แต่ผมมึนๆ ก็ตอบไปแบบนั้น
‘ถึงเวลาแล้วหรอเนี่ย’
‘ครับ?’ ผมไม่เข้าใจในประโยคนั้น
‘ไปๆ ไปอาบน้ำอาบท่า จะได้ไปกัน’
ผมโดนไล่ไปอาบน้ำโดยไม่รู้อะไรเลย แต่ก็ต้องทำตามเพราะท่าทางแม่น่ากลัวอยู่ครับตอนนั้น เมื่อเราอาบน้ำเสร็จเราออกรถกันจากบ้านมา ในรถมีเราสามคน ผมจับใจความที่แม่กับน้าตุ๊กคุยกันได้ว่า จะพาไปหาคนคนนึง คนที่สามารถบอกได้ว่าผมเป็นอะไร คนที่สามารถช่วยผมได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับผม รถยนต์ของแม่ขับมาเรื่อยตามถนนใหญ่ ก็เลี้ยงเข้าซอยหมู่บ้านหนึ่ง จนมาจอดอยู่ที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง น้าตุ๊กเดินไปเรียกคนในบ้านให้ออกมาเปิดประตูให้ด้วยความสนิทสนมเป็นอย่างมาก เมื่อเข้าไปในตัวบ้านผมได้นั่งอยู่บนเก้าอี้แล้วมองไปรอบๆ บ้านนี้ไม่ได้ใหญ่โตนัก แต่ตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาในบ้านนี้อาการมึนหัวของผมก็มากขึ้นไปอีก แต่ก็ยังพอประคองตัวเองได้ครับ แปปนึงก็มีคุณตาคนนึงเดินออกมาจากในห้อง คุณตาอยู่ในชุดขาวท่าทางใจดี แต่ในใจผมก็กลัวๆครับไม่รู้ว่าทำไม
‘โอ้ย ทำไมพึ่งจะพามาเล่าเนี่ย กดจนแย่ไปหมดแล้ว’ คนตาคนนั้นพูดออกมาแบบติดตลก แต่สายตาก็ยังคงจ้องมาที่ผม นั่นคือครั้งแรกที่ผมได้พบกับ ปู่
ผมทราบจากบทสนทนานั้นว่า น้าตุ๊กที่พาผมมา เป็นร่างของพระแม่ลักษมี นับถือปู่เป็นญาติเห้นว่า แม่ผมกำลังลำบากเลยพามาหาเผื่อจะมีทางออก
‘ไหน เล่าอาการมาสิ พูดรู้เรื่องไหมเนี่ย’ ปู่ถามผม ผมเข้าใจในคำถามแต่สมองมันไม่ประมวลผล ผมตอบอะไรออกไปไม่ได้เลย
‘ไม่ทันแล้วเจ้าค่ะ เจ้าตัวเขาพูดไม่รู้เรื่องหรอก’ น้าตุ๊กตอบปู่ด้วยกริยาท่าทางที่แปลกออกไป น้ำเสียงก็ต่างออกไป แล้วกลิ่นหอมอ่อนๆของดอกไม้ก็มาเตะที่จมูกผม
‘เอ้า จะมาก็มา ลงมาคุยกัน ก่อนที่ร่างมันจะแย่ไปกว่านี้’
พอปู่พูดถึงตรงนี้ผมก็รู้สึกร้อน ร้อนไปทั้งตัวรู้สึกว่ามีไอร้อนออกมาจากหน้ามันร้อนมาก ร้อนจนผมทนไมได้ แล้วสติผมก็ปะติดปะต่อไม่ค่อยได้มันไม่ได้ขาดไปเลย มันเหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่นโดยที่ควบคุมอะไรไม่ได้ เรื่องราวของบทสนทนาต่อจากนี้จะเป็นการสอบถามมาจากแม่ครับ เพราะผมไม่มีความทรงจำในตอนนั้นเท่าไหร่
‘ว่าไงท่าน จะเอายังไง’ ปู่ถามใครบางคนที่อยู่ในตัวผม
‘ให้ร่างรับเรา เรารอนานแล้ว’ ผมไม่รู้เรื่อง แต่แม่บอกว่าผมเป็นคนพูด แต่น้ำเสียงนั้นไม่ใช่ผม
‘ก็บอกเขาดีๆ ทำไมต้องทำให้เจ็บให้ป่วย มันทรมาน’
‘ร่างฝืน เรามาติดต่อหลายครั้งแล้ว มันไม่เชื่อ’
‘ร่างยังเด็ก เอาไว้ก่อนไม่ได้หรือ ให้โตกว่านี้ก่อน’
‘ไม่ได้ ไม่ทันแล้ว เราต้องเตรียมการ’
‘เตรียมเพื่ออะไร’
‘หน้าที่ในอนาคต’
‘ท่านจะให้ร่างทำอะไร จะให้เป็นร่างทรงรึไง’
‘ไม่ใช่ เราไม่ให้เป็นร่างทรง ต้องดีกว่านั้น ต้องสูงกว่านั้น’
‘แล้วจะให้ทำอะไรบ้าง ต้องรับขัต์ไหม’
‘ไม่ต้อง เราจะสอนเอง’
‘ได้ งั้นท่านก็ถอยก่อนนะจะได้คุยกับร่างให้เข้าใจ’
แม่บอกว่าคุยมาถึงตรงนี้แม่ยังไม่ค่อยเชื่ออะไร แต่คำว่า ขันต์ กับ ร่างทรงนั้นทำให้แม่เครียดไปอย่างมาก เพราะมันหมายถึงผมจะสูญเสีย ชีวิตปกติไปในทันที สติของผมกลับมาแล้ว แต่ยังคงรู้สึกมึนๆอยู่ อาการร้อนตามเนื้อตัวนั้นหายไปหมดแล้ว ปู่จึงคุยทุกอย่างที่สนทนากันให้ผมฟัง ตอนนั้นผม งง และไม่เข้าใจ ทำไม คืออะไร ทำไมต้องผม มันเรื่องบ้าอะไรกัน ใจผมตอนนั้นมันปฏิเสธอย่างรุนแรง
‘ปู่คะ เราเลี่ยงไม่ได้เลยหรอคะ’ แม่ถามปุ่ด้วยความกลัวและความไม่มั่นใจ
‘ไม่ได้หรอก หากหนีและก็จะสูญเสียชีวิตไปอยู่ดี ไม่บ้า ก็ตาย หากคนมันมีสัญญา มันหนีไม่พ้น’
ในวันนั้นปู่บอกให้พวกผมกลับไปก่อน เพราะว่าคุยไปตอนนี้ก็ไม่พร้อมรับฟังกันทั้งแม่ทั้งลูก แต่ให้ผมสวดมนต์มนคืนนี้ ในห้องพระ ไม่ให้สวดที่เตียง แม่นั้นไม่ขัดผมกำชับให้ผมสวดมนต์ ผมรู้ว่าแม่ไม่เชื่อทั้งหมด แต่จะบอกว่ามันไม่จริงเลย แม่ก็เถียงได้ไม่เต็มปากด้วนความห่วง ลูก ก็อยากให้ปลอดภัยไว้ก่อนไม่ว่าเรื่องนี้จะจริงเท็จอย่างไร
หลังจากอาบน้ำเสร็จในใจผมยังคุกรุ่นด้วยความไม่พอใจและสงสัย ผมจำใจขึ้นไปห้องพระที่ชั้นสองของบ้าน ผมกราบพระได้สามครั้ง เมื่อสวดมนต์ตามสมุดที่ปู่จดมาให้จนจบ ผมก็นั่งอยู่อย่างนั้นเพราะใจมันไม่สงบ ผมคิดทบทวนเรื่องราวต่างๆ ทั้งความทรมานที่เจอ เหตุการณ์ที่มันเกินเชื่อ อะไรต่างๆมากมายที่ถาโถมเข้ามาในเวลาสั้นๆ ผมกล่าวโทษสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมาย ว่าท่านแกล้ง ท่านทำร้ายผม จนผมหลุดไปออกไปในห้องพระพร้อมน้ำตา
‘ผมไม่เชื่อหรอก ว่าท่านมีจริง มันแค่เรื
หลังจากอาบน้ำเสร็จในใจผมยังคุกรุ่นด้วยความไม่พอใจและสงสัย ผมจำใจขึ้นไปห้องพระที่ชั้นสองของบ้าน ผมกราบพระได้สามครั้ง เมื่อสวดมนต์ตามสมุดที่ปู่จดมาให้จนจบ ผมก็นั่งอยู่อย่างนั้นเพราะใจมันไม่สงบ ผมคิดทบทวนเรื่องราวต่างๆ ทั้งความทรมานที่เจอ เหตุการณ์ที่มันเกินเชื่อ อะไรต่างๆมากมายที่ถาโถมเข้ามาในเวลาสั้นๆ ผมกล่าวโทษสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมาย ว่าท่านแกล้ง ท่านทำร้ายผม จนผมหลุดไปออกไปในห้องพระพร้อมน้ำตา
‘ผมไม่เชื่อหรอก ว่าท่านมีจริง มันแค่เรื่องเหลวไหล อย่ามายุ่งกับผม’
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
เช้าวันรุ่งขึ้นผมตื่นขึ้นมาด้วยความสดใส หัวมันปลอดโปร่งโล่งสบายเหมือนเป็นคนใหม่ ผมดีใจมาก ผมคิดว่าทุกๆอย่างมันจบลงแล้วทุกๆอย่างผ่านไปแล้ว ผมเหลือบดูนาฬิกาเวลาประมาณ6 โมงกว่าๆ ผมรีบวิ่งไปหยิบผ้าเช็ดตัวเพื่อเข้าไปอาบน้ำ และในขณะที่ผมกำลังจะเดินเข้าห้องน้ำไปนั้นผมหันไปมองแม่ที่นั่งกินข้าวอยู่หน้าทีวี ภาพที่ผมเห็นคือ แม่อ้าปากกว้างพร้อมเรียกชื่อผมแบบสุดเสียง ก่อนที่ผมจะรู้ตัวว่าผม กำลัง ล้มทั้งยืนลงไปกับพื้น ผมรู้สึกว่าตัวผมค่อยๆหงานหลังลงไป ตัวผมล้มลงไปกองกับพื้นในท่านอนหงาย แม่รีบวิ่งมาประคองร่างผมตรวจดูที่ศรีษะว่ามีเลือดหรือไม่ ไม่มีบาดแผลอะไรเกิดขึ้นแต่ตัวผมนั้นตาลอยค้างจนไม่เห็นตาดำแล้ว ไม่สามารถตอบโต้อะไรแม่ได้ แปลกที่ผมรู้สึกตัวอยู่ตลอดแต่ไม่สามารถทำอะไรได้ เหมือนเราดูละครอยู่ ผมถูกแม่อุ้มไปขึ้นรถแล้วมุ่งตรงไปที่ รพ.
ผมถูกย้ายเข้าห้องพิเศษด้วยอาการเดิม คือไม่สามารถโต้ตอบอะไรใครได้ ผมถูกเจาะเลือดไปตรวจขหลายหลอด ผมรู้สึกได้ว่าเข็มมันจิ้มเข้ามา แต่ไม่เจ็บ ไม่เจ็บเลย ผมไม่อยากอาหาร ไม่กระหายน้ำ ไม่มีความรู้สึกอะไร มันลอยๆ เหมือนคนไร้สติ ผมนอนให้น้ำเกลืออยู่อย่างนั้นจนเย็น ในตอนกลางคืนผมเริ่มรู้สึกตัว เริ่มพูดคุยได้ และเริ่มปวดหัวอยย่างมาก ปวดจนน้ำตาไหล แม่ไปบอกพยาบาลให้ แล้วผมก็ได้ยาแก้ปวดมาทาน แต่มันไม่ใช่ให้อะไรดีขึ้นเลย
ในเช้าวันต่อมา ผลตรวจเลือดผมก็มาถึง หมอยืนคุยกับแม่ว่า ผม เป็นไข้เลือดออก ขั้นรุนแรง เกล็ดเลือดต่ำมากๆ ต่ำสุดในประวัติคนไข้ใน รพ. แม่ผมไม่เชื่อและเถียงหมอ ผม่ผมทำงานอยู่ในห้องผ่าตัดมาค่อนชีวิต ผมไม่ได้เป็นไข้ไม่มีอาการอะไรบ่งบอกกว่าผมเป็นไข้เลือดออกแน่ๆ แต่หมอยังยืนยันแบบนั้นและผมแอบได้ยินหมอบอกแม่ว่า โอกาสรอดน้อย เพราะอาการหนักจริงๆ ถ้าหายก็คงต้องนอน รพ. เป็นอาทิตย์ แต่หมอจะพยายามเต็มที่
ผมอึ้งไปเลยครับ อึ้งมาก นี่เราจะตาย จริงๆ หรอ เรื่องจริงหรอ ผมอยากร้องไห้ แต่มันร้องไม่ออก แต่คนที่ร้องไห้จนไม่เป็นอันทำอะไรนั่นคือแม่ผมที่นั่งอยู่ข้างๆเตียงพยายามพูดคุยกับผมแต่ผมก็ตอบแม่ไม่ค่อยได้ ผมตกอยู่ในสภาพนั้นทั้งวัน พอกลางคืนผมหลับไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้
ผมรู้สึกตัวขึ้นมากลางดึก ไม่รู้ว่าเวลาเท่าไหร่แต่เมื่อหันไปมองแม่ก็เห้นว่านอนหลับอยู่ไฟในห้องตามทางเดินก็ปิดหมดแล้ว มันคงดึกพอสมควร สักพักก็ปรากฏเงาร่างดำๆไม่มีหน้าตาเดินทะลุประตูห้องพักเข้ามาจนถึงเตียงผม ประมาณสิบร่างได้พระยืนล้อมเตียงผมได้รอบเลย แล้วเงาร่างเหล่านั้นก็ค่อยเอื้อมมือมาที่ตัวผม ผมกลัวมาก ผมร้องตะโกนโวยวายออกไป แต่มันก็ไม่มีเสียง ผมขัดขืนอะไรไม่ได้ มือนั้นค่อยๆขยับเข้ามาใกล้ผมเรื่อยๆ ตอนนั้นผมคิดว่า ผมต้องตายแล้วแน่ๆ
ในขณะนั้นก็มีแสงหนึ่งสว่างขึ้นที่ทางเดิน แสงนั้นค่อยรวมกกันเป็นรูปร่าง คล้ายคน เป็นแสงเดียวกับที่ผมเห็นใน ฝัน แสงสว่างร่างนั้นค่อยๆเดินตรงมาที่ผม โดยที่เงาดำๆทั้งหลายนั้นถอยออกไปไกล จนหายไปจากสายตา เหลือเพียงผม กับแสงสว่างนั้น แสงนั้นอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก
‘เชื่อรึยัง ว่าเรามีจริง’ แสงสว่างนั้นพูดกับผม
‘….’ ผมไม่ได้ตบอะไรออกไปเพราะอึ้งอยู่
‘ว่าอย่างไร ถ้าไม่เชื่อ ก็กลับไปด้วยกัน ไม่ต้องอยู่บนโลกนี้ให้เสียเปล่า’ คำว่ากลับไปด้วยกันนั้นผมตีความได้แค่อย่างเดียว นั่นหมายถึงตาย ด้วยความกลัวตาย ผมยอมรับว่าตอนนั้น ผมยังไม่เชื่อ แต่ผมกลัว จึงตอบรับ ท่าน ไปว่า
‘ครับ เชื่อแล้วครับ’
‘ดี อย่างนั้นเราจะเริ่มประสิทธิให้เจ้าในวันพรุ่ง’ แสงนั้นพุ่งผ่านตัวผมไปพร้อมกับสติของผมที่หลุดลอยไปในภวังค์จนหลับไป
เช้าวันรุ่งขึ้นผมโดนตรวจเลือดอีก และในเวลาสายๆนั้นผมก็ตื่นขึ้นมาด้วยความปลอดโปร่ง โล่งสบาย เหมือนหายจากอาการทั้งหมดทั้งมวล ด้วยความลืมตัวจึงจะลุกไปเข้าห้องน้ำ ผมเห็นแม่กับหมอคุยกันอยู่ หมอกับแม่หันมามองผมด้วยความตกใจอย่างมาก โดยเฉพาะหมอ แม่รีบวิ่งเข้ามากอดผม ตัวผมก็ งงๆ แล้วหมอก็คุยกับผมและแม่ว่า มันเป็นไปได้ยังไง ในเมื่อผลตรวจเลือดเมื่อวานมันแทบจะไม่รอด แต่ผลตรวจเลือดเช้านี้กลับปกติไม่มีอะไรเลย สภาพผมก็ต่างจากเมื่อวานเป็นอย่างมาก ผมในวันนี้ แข็งแรง ปกติดีทุกอย่าง แล้วแม่กับหมอก็คุยกันต่ออีกพักนึงว่าจะให้ผมกลับบ้านไหม เพราะเมื่อวานอาการเรียกว่า โคม่า แล้ว แต่ในสิ่งที่หมอเห็นวันนี้คือผม ปกติ สุดท้ายหมอก็ยอมให้กลับบ้านครับ แต่มีข้อแม้ว่าต้องมาหาหมอทุกวันติดต่อกัน หนึ่งอาทิตย์
เมื่ออกมาจาก รพ. แล้วแม่ท่าทางโล่งใจมาก แม่หันมาคุยกับผม
‘หิวไหม ไปแวะกินอะไรกันดี’
‘ไม่ไปอะแม่ แม่พาไปที่นึงหน่อยสิ’
‘ที่ไหนลูก’
‘บ้านปู่’
แม่บอกว่าแม่ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร เชื่อหรือไม่เชื่อก็ไม่เกี่ยวแต่หากมันเกี่ยวพันกับชีวิตลูก แม่ก็พร้อมจะลองดูสักตั้ง ในตอนนั้นผมนึกขอบคุณแม่มากๆ ที่ไม่ขัด ผม ตอนนั้นผมก็ไม่ต่างอะไรจากแม่ ผมไม่รู้เลยว่าเรื่องทุกอย่างคืออะไร ทำไม ยังไง แต่ในใจผมรู้แค่ว่า ที่นั่นมีคำตอบให้ผม คนคนนั้นสามารถไขข้อข้องใจของผมได้ทุกอย่าง ผมจึงมุ่งหน้าไปที่ บ้านปู่ ทันที
ผมขอมาบอกอะไรนิดนึงนะครับ คือว่าจุดประสงค์ขอองผมคือการ เล่า เรื่องราวและประสบการณ์ของตัวผม หากใครที่มีปัญหาหรือข้อสงสัยผมจะตอบได้ในเท่าที่ผมรู้ครับ แต่ผมไม่ได้รับแก้อะไรให้ใครผ่านในนี้นะครับ หลังไมค์มีมาเยอะมากๆเลย มีกระทั่งมาลองมาถามว่า มีจริงไหม มีรึเปล่า ใช่แน่หรอ ผมก็ไม่บังคับและไม่ออกตัวนะครับ ตามความสบายใจของทุกท่านเลย ว่าจะคิดกับผมยังไง
หากท่านมีอะไรที่เป็นปัญหาอยากถาม ถามมาได้ครับ ผมจะตอบตามความสามารถ ยินดีครับ ^^
แม่ขับรถมาจอดที่บ้านปู่โดยมีน้าตุ๊กมารออยู่ก่อนแล้วเนื่องจากยังไม่สนิทกับปู่จึงอาศัยคนกลางในการมาเยือน ผมเดินเข้าไปในบ้านหลังนั้นด้วยความไม่มั่นใจ แอบกลัวลึกๆ ไม่ได้กลัวเรื่องราวร้าย แต่กลัวในสิ่งที่เราไม่รู้ และกลัว ในสิ่งที่เรากำลังจะได้รับรู้ ครั้งนี้ที่ผมเข้ามาที่บ้านหลังนี้ ผมรู้สึกถึงความโปร่งโล่งสบาย ความเย็นของอากาศรอบๆบ้าน แม้แดดจะยังจ้าอยู่ก็ตาม ผมรู้สึกว่ามีคนยิ้มให้ผมจากศาลพระภูมิหน้าบ้าน แล้วมีประโยคเบาๆลอยมาตามลม
‘ยินดีต้อนรับนะ’ เสียงนั้นแหบพร่าบ่งบอกถึงอายุของเจ้าของเสียงนั้น
ผมเปิดประตูเข้าไปในบ้านพร้อมกับแม่ ในบ้านนั้นมี ปู่ น้าตุ๊ก และผู้ชายอีกคนหนึ่ง ดูแล้วอายุน่าจะประมาณ 40 ต้นๆ แต่ว่าไว้หนวดไว้เครายาวมากๆ สีผมแล้วสีของหนวดเครานั้นเป็นสีเทาออกไปทางขาวจนหมด ไม่มีสีดำให้เห็นเลย ผมขอเรียกผู้ชายคนนี้ว่า พี่นิว นะครับ พี่นิวยิ้มให้ผม ก่อนจะจัดแจงหาที่ทางให้ผมนั่งโดยไปยกเก้าอี้มาจากหลังบ้าน บ่งบอกว่าสนิทกับบ้านหลังนี้ไม่ต่างจากน้าตุ๊กเลย
‘ว่าไงล่ะ รู้ตัวแล้วสิ’ ปู่ยิ้มทักผมด้วยใบหน้าสดใส
‘ครับ แต่ก็ยังไม่แน่ใจอยู่ดี’ ผมตอบปู่ไปแบบนั้น
‘ไงล่ะปู่ ผมบอกแล้วว่าเดี๋ยวก็มา ตามหากันมาตั้งนานร่างนี้’ พี่นิวพูดแซวปู่ เหมือนเคยมีการพูดถึง ผม มาก่อนแล้ว
การสนทนาเริ่มไปเรื่อยๆ โดยเริ่มจากให้ผม เล่า เรื่องที่เกิดขึ้น สาเหตุที่ทำให้ผม ตัดสินใจ กลับมาที่นี่ ปู่บอกผมว่ามีคนไม่น้อยที่สับสนและหลงทางแบบผม แต่ที่มากกว่าคือคนที่อยากมีอยากเป็นอยากได้ในสิ่งนี้ คนส่วนใหญ่คิดว่าสิ่งนี้วิเศษ อยากได้อยากมีอยากเป็นโดยไม่ได้รู้เลยสักนิดว่ามันต้องแลกมาด้วยอะไรบางอย่าง บางอย่างที่เรียกว่า คนปกติ
‘แล้วเราจะเอายังไง จะรับไหม’
‘รับคือยังไงครับ ถ้ารับขันต์ผมกลับ ผมไม่อยากเป็นร่างทรง’ ผมกลัวจริงๆครับ ทั้งผมทั้งแม่นั้นติดภาพคำว่า ร่างทรง ต้องเป็นแบบที่เราเห็นทั่วๆไป องค์ลงแล้วเปลี่ยนไป ตัวสั่นบ้าง แสดงฤทธิ์บ้าง โดยที่ไม่สามารถ ควบคุมตัวเองได้ หากผมต้องเป็นอย่างนั้น ผมคงไม่สามารถใช้ชีวิตได้อีก เพราะผมยังเรียนอยู่เลย
‘งั้นคุยกับ เขา โดยตรงเลยละกัน เอ้า นิว เชิญให้หน่อย’ ปู่หันไปทางพี่นิว
พี่นิวเดินหายเข้าไปในห้องพระ แล้วออกมาพร้อมธูปกำนึงในมือ กำใหญ่มากผมไม่ทราบว่ากี่ดอก ผมเห็นพี่นิวเคี้ยวหมากใหญ่เลย ตอนนั้นพี่นิวเหมือนคนแก่มากๆ แต่มีกลิ่นหอมจากตัวพี่แก เป็นกลิ่นคนแก่ พี่นิวเริ่มสวดอะไรสักอย่างผมฟังไม่ออก สติผมค่อยๆเบลอหลังจากที่พี่นิวเริ่มสวดผมจำได้รางๆในวันนั้นว่า ขอแม่คงคามาเป็นน้ำลาย ขอเชิญพระพายมาเป็นลมปาก แล้วก็อะไรต่ออีกยาว พร้อมกับสติของผมที่ค่อยๆ หลุดลอยไป
‘โอย ท่าน ให้ร่างมันรับรู้ด้วย อย่าครอบงำแบบนี้ ไม่เอา เดี๋ยวมันก็กลัวอีกหรอก’
ผมได้ยินปู่พูดกับผม แล้วพี่นิวก็เดินไปหยิบบางอย่างมาจากในห้องพระ ธูปนั้นปักลงกระถางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สิ่งที่พี่นิวยื่นให้ผมคือมะพร้าวอ่อนลูกหนึ่ง พี่นิวเฉาะมะพร้าวแล้วยื่นมาให้ผม พรางสวดอะไรไปด้วย กลิ่นน้ำมะพร้าวนั้นหอมมาก หอมยิ่งกว่าน้ำหอม ผมค่อยๆจิบไป กินไปได้ประมาณ 2 3 อึก สติผมก็เริ่มกลับเข้าที่เข้าทาง ผมรู้สึกตัวว่ารอบตัวผมนั้นเต็มไปด้วยแสงสีขาวนาล แล้วเฝ้ามองเหตุการณ์ทุกอย่าง เหมือนเป็นเพียงแค่ ผู้ชม ผมรู้ ว่าตัวเองกำลังพูด แต่เราไม่ได้คิด เราไม่ได้เป็นคนพูด ร่างกายมันขยับไปของมันเอง ปากมันพูดไปของมันเอง เหมือนมีใครบางคน ใช้ร่างนั้นอยู่
‘เอายังไงล่ะท่าน ร่างมันก็ยอมรับแล้วนะ’ ปู่พูดกับใครบางคนในร่างผม
‘เรารู้แล้ว เรามาหาเขาเอง ถึงเวลาที่ร่างต้องทำตาม สัญญา ที่ให้ไว้กับเรา’
‘แล้วจะให้ร่างเป็นยังไง จะเอาเป็นร่างทรงรึ’
‘ไม่ เราจะไม่ให้เป้นร่างทรง ไม่ต้องรับขันต์ เราจะสอนเองว่าให้ทำอย่างไรบ้าง’
‘แล้วเราไม่ต้องทำอะไรใช่ไหม’
‘ช่วยเปิดตาให้ร่างหน่อย ตอนนี้ ตา ร่างหยาบ เห็นแต่สิ่งไม่ดี เห็นแค่ผิวเผิน’
‘ได้ แต่ท่านต้องสอนร่างดีๆนะ เพราะถ้าเปิดแล้วเด็กคนนี้คงเห็นอะไร มากกว่า คนอื่น’
‘แน่นอน เพราะเราให้ ตา กับร่าง ส่วนที่เหลือเขามีของเขาสั่งสมข้ามภพข้ามชาติ ทุกอย่างจะ กลับมา ในเวลาที่เหมาะสม ส่วนเจ้า เราขอโทษด้วยที่ต้องทำให้ ลูก ของเจ้าเป็นแบบนี้ แต่นี่คือสัญญา เราหวังว่าเจ้าจะเข้าใจ’ เมื่อตอบปู่เสร็จ ใครบางคนในตัวผมก็หันไปคุยกับแม่
เมื่อการสนทนาจบลง ท่าน ก็ถอยกลับไปโดยที่ผมสามารถกลับมาควบคุมร่างกายตัวเองได้อย่างปกติ แปลกที่ครั้งนี้ผมไม่มีอาการปวดหัวหรืออะไรเลย ที่สำคัญคือผมรับรู้ทุกอย่าง โดยที่สติไม่ได้ขาดไป ถามว่าตอนนั้นเชื่อหรือไม่เชื่อ ผมยังตอบไม่ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมค่อยๆเปลี่ยนความคิดไปคือ อย่างน้อย ท่านก็ไม่ได้ใจร้ายจะใช้งานเราอย่างเดียว ผมเคยแอบคิดไว้ว่า ถ้าท่านใช้งานผม จนไม่สนใจว่า แม่ ของผมจะเป็นยังไง ผมจะปฏิเสธท่าน ไม่ว่าผลลัพธ์ของการปฏิเสธจะหมายถึงอะไรผมจะไม่ยอม ผมจะไม่ยอมให้แม่มีลูกที่ทำให้แม่ต้องลำบากใจ มาตอนนี้ผมจึงเข้าใจแล้วว่าท่าน รู้ ว่าผมคิดอะไร ท่านถึงเมตตาแม่ด้วย เพราะสำหรับผมแล้ว ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่ไปกว่า แม่
เมื่อใจของผมพร้อม แม้จะไม่ใช่ทั้งหมด แต่มันก็ไปกว่าครึ่งแล้ว ผมได้รับการ เปิดตตา จากปู่ ปู่บอกว่า ที่ผ่านมานั้นตาผมเปิดอยู่ตลอด เพราะเป็นคนเห็นอะไรแบบนี้มาตั้งแต่ต้น แต่การ เปิดตานี้ เหมือนกับเป็นการ กรอง ให้เราเลือกเห็นได้ และเมื่อเราปฏิบัติมากพอที่จะควบคุมมันได้ เราจะสามารถเลือกที่ จะเห็น และไม่เห็นได้ในเวลาที่เราต้องการ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับตัวผมเองด้วยว่าจะทำได้แค่ไหน แล้วปู่ก็ไล่ผมกลับอีก เพราะบอกว่า เดี๋ยวจะต้องมาอีก ยังไม่หมดแค่นี้หรอก แต่ครั้งหน้าจะมาด้วย ใจ จริงๆ
ตอนนั้นผมไม่ค่อยเข้าใจปู่เท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้ต่อต้าน ผมกลับไปใช้ชีวิตของผมอย่างปกติ อาการคุยไม่รู้เรื่อง เรียนไม่ได้ นั้นหมดไปโดยสิ้นเชิง นอกจากจะเรียนรู้เรื่องยังรู้สึกว่าตัวเองเข้าใจอะไรง่ายขึ้น และสิ่งที่เพิ่มเติมมานั้นคือ ผมเห็น และได้ยินมากขึ้น แต่ครั้งนี้ไม่ แย่ และไม่กดดันผมจนเกิดความเครียด ส่วนใหญ่จะเห้นในสิ่งที่ดี ถ้าเป็นสภาพที่ไม่น่าดูนั้น จะมีเสียงบอกก่อน เราจะไม่ตกใจ และ ท่าน มาสนทนากับผมอยู่เรื่อยๆ สอนการสวดมนต์ การนั่งสมาธิ และบอกว่า หากไม่อยากเป็นร่างทรง ให้เพิ่มบารมีและบุญกุศลให้สูงขึ้น เพื่อที่จะรองรับท่านได้ ในสภาพปกติ เป็นการติดต่อสื่อสาร ไม่ใช่การทรง การติดต่อสื่อสารแบบนี้ไม่ใช่แค่ การคุย หรือบอก แต่นั่นหมายถึงการถ่ายทอดเทวศาสตร์บางส่วน ที่ควรรู้และจำเป็นต้องใช้ การปรับยสภาพจิตและร่างกายไปพร้อมกัน ผมทำตามไปอย่างไม่ได้ต่อต้านแต่ในใจนั้นก็ไม่ได้เชื่อเสียทีเดียว
และทุกๆครั้งที่ได้รับการ สอน นั้นจะมีประโยคเดิมๆที่คอยพร่ำบอกผมเหมือนเป็นการเตือนสติผมอยู่ตลอดเวลา คำสอนของท่านนั้น คือสิ่งหนึ่งที่ผม ยึด และปฏิบัติตามมาตลอด ไม่ใช่เพราะเชื่อ แต่เพราะผม คิด ตามแล้วมันคือสิ่งดี เราจะควรปฏิบัติตาม
‘เทพเทวดานั้นมีจริง องค์เทพชั้นสูงมีอยู่มากมาย ทุกๆคำบอกเล่า ทุกตำนาน ล้วนเป็นเรื่องจริง แต่จะเอามายึดถือมิได้ เมื่อสิ่งเหล่านั้นไม่อาจจับต้อง ไม่อาจสัมผัส อย่าได้เอามาเป็นสรณะ การเชื่อนั้น ควรบวกด้วยวิจาณญาณและการไตร่ตรอง หากเชื่อเสียหมดจนขาดการไตร่ตรองแล้วนั้น จักเรียกว่างมงาย ความงมงายมิได้ก่อให้เกิดปัญญา เพียงแต่สร้างกิเลสหนาให้เรายึดเราถือ จนเกิดเป็นบ่วงรั้งเราไว้ในสิ่งที่เรียกว่า วัฏสงสาร สิ่งเดียวที่ทำให้เราหลุดออกมาจากตรงนั้นได้คือการ วาง การละแล้วซึ่งกิเลศหรือสิ่งที่เรารู้จักในคำว่า นิพพาน ซึ่งผู้ที่เข้าถึงนั้นมีเพียงหยิบมือ อย่างเช่นพระพุทธเจ้าของเราทั้งหลาย ท่านบอกเล่าไว้ในพระไตรปิฎก ในหลักธรรมคำสอน และบทสวดมนต์ ว่า เรา และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างไม่ว่าจะเป็น อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ นั้นมีอยู่จริง แต่อย่าได้เอามายึดถือ จงเลือกในสิ่งที่ตัวเองเชื่อ แต่อย่าปิดหูเป็นคนโง่ ไม่มีผู้ใดรู้ทุกอย่างบนโลก อย่าเหลิงในตัวตน อย่ายึดติดในลาภยศสรรเสริญ และอีกอย่างหนึ่งที่จะลืมไม่ได้ การที่ เจ้า สามารถติดต่อกับเราได้นั้น เป็นไปเพราะ สิ่งที่เจ้าสั่งสมมา ภพภูมิเก่าของเจ้า ที่มาของเจ้า และสัญญาที่มีให้กับเรา เจ้าอย่าได้คิดว่าตัวเองคือผู้วิเศษ เจ้าได้รับสิ่งนี้ไม่ใช่เพื่อหาประโยชน์หรือข่มใคร เจ้าต้อง ช่วย เหลือผู้ที่ไม่รู้ ผู้ได้ยาก ทั้งมนุษย์และวิญญาณ อย่าได้คิดเอาสบาย หากติดสบายเสียแล้วสิ่งเหล่านี้คงสูญเปล่า จงยึดมั่นในหลักธรรมค่ำสอน จงทำตัวเหมือนเม็ดดินที่คอยค้ำจุนและช่วยเหลือให้ผู้คนเดินต่อไปได้ อย่าได้ทำตัวเป็นฝ่าเท้าคอยเหยียบย่ำผู้ใด จงจำไว้’
คำสอนเหล่านี้ถูกถ่ายทอดมาสู่ผมโดยตลอด สิ่งนี้เป็นอีกเรื่องนึงที่ทำให้ผม เชื่อ เพราะตัวผมนั้น คงไม่สามรถ คิดได้ ขนาดนี้ ในวัยนั้น ผมยอมรับว่าในตอนนั้นส่วนมากแล้วผมจะแค่ ฟังผ่านๆ ไป เพราะไม่ได้เข้าใจในคำสอนนี้มากมาย แต่เราก็คิดว่าลองดูสักตั้งก็คงไม่เสียหาย อย่างน้อยตอนนี้ท่านก็คืน ชีวิตประจำวัน ให้กับผมแล้ว จนมีครั้งนึงที่ผมเริ่ม เบื่อ และไม่อยากทำแล้ว ท่านจึงตรัสกับผมว่า
‘วันนี้เจ้ายังไม่เข้าใจ แต่ไม่นานเจ้าจะหันกลับมาด้วยใจเจ้า เมื่อเจ้าได้รับรู้ถึงตัวตนและความเป็นมาของเจ้าเอง วันนึงเจ้าจะจำได้ ว่า เจ้าสัญญาอะไรไว้กับเรา สัญญานั้นเรามิได้ขอ แต่เป็นเจ้าที่ขอเราลงมาด้วยสัญญานี้ และเมื่อเจ้า จำได้ เจ้าจะรู้ทางไปต่อ และจำไว้ว่าคนที่จะมาติดต่อกับเจ้า ไม่ได้มีแค่ เรา’
………………………………………………………………………………………………………………………………….
วันหนึ่งผมได้ไปเที่ยวกับเพื่อนช่วงค่ำๆ แล้วมันก็ไปต่อกันที่อื่น ผมก็ตามไปด้วยเพราะไม่มีใครอยู่บ้าน ผมไม่ได้ ดื่ม ด้วยเพราะส่วนตัวก็ไม่ได้ชอบดื่มอะไรมากมายอยู่แล้ว วันนั้นไม่รู้ว่าจะไปนั่งที่ไหนกันดีเลยไปนั่งเล่นกันที่สวนชมน่าน สักพักหนึ่งผมก็เบื่อๆ เลยออกไปเดินเล่นปล่อยให้พวกเพื่อนผมกินกันไป ผมเดินไปเรื่อย เดินมาจนถึงหน้า รร หญิงล้วนที่ตั้งอยู่ตรงนั้น เราอยู่กันจนดึกตอนนั้นน่าจะประมาณตี 1 แถวนั้นดึกๆจะเงียบมากครับสมัยนั้น ผมเดินไปเรื่อยๆ ผมก็เห็น เด็ก คนนึงนั่งอยู่ที่ริมฟุตบาต ด้วยความสงสัยจึงเดินเข้าไปหา แล้วนั่งลงข้างๆ
‘น้อง มาทำไรเนี่ย ดึกดื่นป่านนี้’
‘หนูมารอแม่’ เด็กชายคนนั้นตอบผมทั้งๆที่ยังก้มหน้าร้องไห้ไปด้วย
‘แม่หนูอยู่ไหน เดี๋ยวพี่พาไปส่ง’ ผมลูบหัวน้องด้วยความเอ็นดู
‘หนูไม่รู้’ เด็กน้อยยังคงก้มหน้าต่อไป ผมมองดูเขาด้วยความสงสารและกำลังคิดว่าเอาไงดี พาไปส่งตำรวจดีไหม
‘พาหนูข้ามถนนหน่อยได้’ เด็กชายหันมามองผมด้วยคราบน้ำตา
ผมค่อยๆจับมือเล็กๆนั้นข้ามไปยังอีกฝั่งที่ไม่ไกลเลย เมื่อเดินมาได้จนสุดทาง ผมหันไปมองน้องว่าจะเอาไงต่อ แต่ปรากฏว่าน้องชี้มือไปที่กลางถนน รองเท้าน้องตกนั่นเอง ผมบอกน้องว่า ยืนอยู่ตรงนี้นะ ห้ามไปไหน แล้วผมก็เดินไปเก็บรองเท้าคู่เล็กๆนั้นที่กลางถนน เมื่อหยิบรองเท้านั้นมาไว้ในมือ มองไปที่น้อง ก็พบแต่ความว่างเปล่า ไม่มีน้องอยู่อยู่ตรงนั้น พอก้มดูในมือ ในมือนั้นก็ไม่มีรองเท้าที่ผมเพิ่งเก็บมา ระหว่างที่ผมกำลัง งง อยู่นั้นผมก็พบน้องอีกครั้ง น้องนั่งอยู่ที่เดิมที่ผมพบเป็นครั้งแรก
‘เอ้า ข้ามมาตอนไหนเนี่ย พี่บอกให้รอไง เดี๋ยวรถชน’ ผมรีบวิ่งไปหาน้อง
‘หนูมารอแม่’ เด็กชายคนนั้นตอบผมพลางก้มหน้าร้องไห้
‘ไหนแม่ เจอแล้วหรอ’ ผมถามพลางมองไปรอบๆ แต่ใจลึกๆก็พอรู้ว่านี่ไม่ปกติ
‘หนูไม่รู้’ เด็กน้อยยังคงพูดเหมือนครั้งแรกที่เราพบกัน
‘พาหนูข้ามถนนหน่อย’
ผมจูงน้องข้ามถนนและกลับมานั่งคุยกับน้องอีก ในครั้งที่สาม ผมร้องไห้และกอดน้องไว้แน่น ผมเป็นคนที่เซ้นสิทีฟมากกับเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับ แม่ลูก เพราะตัวผมเองก็แอบน้อยใจแม่เวลาเด็กๆที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันเหมือนคนอื่น ผมไม่รู้ว่าน้องนั้นมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร ว่าเกิดอะไรขึ้นกับน้อง ผมไม่รู้เลย ไม่รู้แม้แต่ว่าจะต้องช่วยน้องยังไง ในตอนนั้นผมนึกกล่าวโทษตัวเองว่าทำไมกัน ทั้งๆที่เรา เห็น เราทำอะไรได้ แต่ทำไมเราช่วยน้องไม่ได้ ถ้าผมมีความสามารถกว่านี้ ถ้าผมตั้งใจมามากกว่านี้ วันนี้ผมคงช่วยอะไรน้องได้บ้าง ผมกอดน้องแล้วก็ร้องไห้ด้วยความเจ็บใจ
‘พี่จ๋าร้องไห้ห
ผมจูงน้องข้ามถนนและกลับมานั่งคุยกับน้องอีก ในครั้งที่สาม ผมร้องไห้และกอดน้องไว้แน่น ผมเป็นคนที่เซ้นสิทีฟมากกับเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับ แม่ลูก เพราะตัวผมเองก็แอบน้อยใจแม่เวลาเด็กๆที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันเหมือนคนอื่น ผมไม่รู้ว่าน้องนั้นมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร ว่าเกิดอะไรขึ้นกับน้อง ผมไม่รู้เลย ไม่รู้แม้แต่ว่าจะต้องช่วยน้องยังไง ในตอนนั้นผมนึกกล่าวโทษตัวเองว่าทำไมกัน ทั้งๆที่เรา เห็น เราทำอะไรได้ แต่ทำไมเราช่วยน้องไม่ได้ ถ้าผมมีความสามารถกว่านี้ ถ้าผมตั้งใจมามากกว่านี้ วันนี้ผมคงช่วยอะไรน้องได้บ้าง ผมกอดน้องแล้วก็ร้องไห้ด้วยความเจ็บใจ
‘พี่จ๋าร้องไห้หรอ’ เส็งเล็กๆนั้นร้องถามผม พร้อมมือเล็กๆที่มาแตะตรงแก้ม
‘เห้ยยยย ไปนั่งทำไร กลับโว้ย กลับ’
ผมหันไปตามเสียงเรียกของเพื่อน และเมื่อหันกลับมาในอ้อมกอดผมมีเพียงความว่างเปล่า น้องหายไปแล้ว ผมปาดน้ำตาแล้วเดินไปหาเพื่อน เพื่อนก็แกล้งผม ร้องไห้ทำไมวะ เด็กแกล้งรึไง เห็นนั่งคุยกับเด็กที่ไหนอยู่ ละไปไหนละ เด็กที่ไหนวะดึกดื่นป่านนี้ไม่กลับบ้าน
ถ้าเพื่อนผมพูดแบบนี้แสดงว่าผมไม่ได้คิดไปเองใช่ไหม.....
ผมเห็นน้องเขาจริงๆใช่ไหม....
แล้วผมก็ช่วยอะไรไม่ได้...
นี่คือเรื่องแรกที่ทำให้ผม หันมาทางนี้ ด้วยใจ
เรื่องจากพันทิป คนเดินดิน...กับเส้นทางอีกสายหนึ่ง
เรื่องโดย สมาชิกพันทิป LoyChinE
ขอขอบคุณเรื่องราวสยองและขออนุญาตนำมาเผยแพร่ ณ ที่นี้ด้วย
Post a Comment