คืนหลอนในป่า ผีล่าพราน
..........สภาพรถกระบะโฟร์วิลที่หัวทิ่มตะแคงข้างอยู่ในลำห้วย ผมต้องกระแทกประตูรถออกมา ตะกายขึ้นฝั่งก่อนน้ำจะท่วมมิดทั้งคัน เหนื่อยแทบขาดใจ
เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ พวกเรานำมาโดยพี่อำนาจเป็นคนขับรถ ผมเล็ก อ่ำ และโบวะพรานนำทางชาวกะเหรี่ยง วันหยุดยาวทั้งทีได้ตกลงกันมาเที่ยวป่าในอุทยานแห่งหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรี ผมจำได้ ขากลับรถวิ่งด้วยความเร็ว เพราะเกรงฝนตก น้ำป่าตัดทางจะเป็นการยากลำบาก
พอพ้นโค้ง พี่อำนาจร้องลั่น แล้วหักพวงมาลัย ผมก็เห็นว่ามีคนวิ่งตัดหน้ารถ จนเสียหลักพุ่งตกลงไปในท้องห้วย
ไอ้อ่ำแทบจะว่ายน้ำ พี่อำนาจไต่ตามขึ้นมา ผมหายใจดังแรงอย่างโล่งอก ร้องถามเป็นอะไรมากไหม สองคนไม่ตอบ เอามือกุมท้ายทอย ไม่มองหน้า พี่อำนาจเอาแต่บ่นออดแอดว่าไม่น่าเลยๆ ก่อนหน้าไปร้องท้าทายเจ้าป่าเจ้าเขา ให้ออกมาเผชิญหน้า ทั้งที่พรานก็ห้ามแล้ว ยังไม่ทันจะค่ำออกจากป่าก็โดนดีเข้าจนได้ เจตนาพวกเรามาเที่ยวป่า ชมน้ำตก ลำธาร แมกไม้ ที่ถือปืนมาด้วยเพื่อป้องกันตัวกรณีเจอช้างป่า มาเจอหมีขอ เป็นเป้าอย่างดี พรานห้ามยิงก็ไม่ฟัง
เปรี้ยงงง!!!
เสียงปืนสะท้านไปทั้งดง หมีขอเหยื่อกระสุนตกลงมาจากต้นไม้ แดดิ้น พรานร้องบอกไม่น่าๆ เลย มองไปที่ศาลเจ้าที่ตั้งอยู่ในอาณาบริเวณเดียวกัน พี่อำนาจหัวเราะเห็นเป็นเรื่องงมงาย แล้วยังร้องท้าทายให้ปรากฏตัวออกมาตัวเป็นๆ
บัดนี้เจ้าตัวต้องเอามือกุมท้ายทอย รู้สึกเจ็บขัดยอกทั้งตัว แม้เกิดอุบัติภัย ทั้งสามชีวิตยังรอดมาได้ ขาดไปก็แต่พรานนำทางชาวกะเหรี่ยง ที่พวกเราร้องเรียกหาไม่มีเสียงขานตอบ
“โบวะนั่งอยู่กระบะท้ายรถ น่ากลัวจะกระเด็นไปไกล” พี่อำนาจพูด พวกเราเลยเร่งตามหา ขอบห้วยรกมาก ไหนจะน้ำไหลแรง น่ากลัวคนจะไหลไปตามน้ำ
ข้างบนเป็นพื้นดินนิ่มภายหลังฝนตก มีรอยล้อรถครูดกับดินเป็นทางยาว รอบด้านแถวนี้ล้วนเป็นป่า ห่างไกลจากชุมชน โชคดีที่ยังมีสัญญาณโทรศัพท์ให้โทรตามคนรู้จักให้มาช่วย พวกเขารับปากจะมา แต่หนทางมาถึงยากลำบาก เราคงต้องหาพักค้างคืนในป่า
ดวงตะวันอ่อนแสงลง ลอยต่ำเลียดสันดอยสูง นกป่ากลับจากออกหากินคืนสู่รัง ท้องฟ้าที่เคยสดใสกลับมัวหม่นลงทุกที ในช่วงเวลาโพล้เพล้ แต่ยังไม่ถึงกับมืดในทันที หากยังมองเห็นหนทางเดิน
“ผมอยู่นี่”
เสียงกู่ตอบมาจากด้านหลัง ผมสาบานได้ ตอนนั้นตกใจเหมือนเห็นผี ที่อยู่ๆ โบวะมายืนอยู่บนหนทาง ในสภาพยืนนิ่งไม่ไหวติง ที่ยืนตรงนั้นเป็นอุโมงค์ป่าไผ่ ทำให้ค่อนข้างมืด มองเห็นใบหน้าไม่ชัด เห็นเพียงร่างผอมไหล่บางแต่แกร่งเกร็ง ไม่ทันร้องซักถาม พรานหันหลังเดินนำหน้าอันเป็นภาพคุ้นตามาตลอดทั้งวัน
ดูเหมือนแต่ละคนจะเจ็บจนซึม พูดน้อยลง ในป่าเงียบสงัด ลมพัดมาทีต้นไผ่ในกอดังเอี๊ยดอ๊าด แล้วความเงียบก็ถูกทำลายลงด้วยเสียงนกระปูดดัง ปูดๆ ๆ ๆ เสียงเย็นยะเยือก ผมมองหาต้นเสียงเห็นนกตัวหนึ่งบินโฉบผ่านต้นเพกา ที่ออกฝักห้อยโตงเตงยามต้องลม มันร่อนลงบนพื้น ใช่เลยมันนั่นเองเจ้าของเสียง ปูดๆ ๆ
เมื่อเห็นคนแทนที่จะบินหนีเหมือนนกชนิดอื่น แต่กลับวิ่งหัวซุกหัวซุนเข้าซ่อนเร้นอยู่ในพุ่มไม้รกใกล้ ๆ บริเวณนั้น ผมพยักหน้าให้เสียงดังขึ้นบ้างกับพรรคพวกให้เดินตามโบวะไป ข้างหน้านี้ไม่ไกลมีสำนักสงฆ์ คงต้องขอพักแรมคืนไปก่อน ไม่เกินพรุ่งนี้เช้าจะมีคนมาช่วยกู้รถขึ้นมา
สำนักสงฆ์เมื่อไปถึง สิ่งปลูกสร้างเก่าจนทรุดโทรม กุฏิจะพังมิพังแหล่ มีต้นหญ้าขึ้นรกกับเถาวัลย์พันเลื้อย ต้นไทรใหญ่ทิ้งใบหล่นทับถมเข้ามาในลานปราศจากการปัดกวาด ผมเงยหน้ามองสำรวจ บอกกับพรรคพวกที่นี่คงร้างเสียแล้ว โชคยังดีที่มีศาลาคุ้มหัว พยับเมฆฝนทางทิศตะวันตก กำลังแผ่มาถึง คืนนี้ท่าจะมีฝนตกแน่
ความมืดโรยตัวลงมาในอารามป่าแดนกันดาร โบวะหายไปในเพิงแห่งหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นครัว ได้ยินเสียงดังโป๊กๆ อาจจะไปหาฟืนมาก่อไฟ ผมเห็นเป็นเงาคนนั่งทำงาน แต่จนแล้วจนรอดยังไม่เห็นเปลวไฟ
ผมตรงไปที่พระประธาน คุกเข่าลงมือคลำหาธูปเทียนมาจุด แล้ว แสงแรกจากดวงเทียนเล็กๆ กลับสว่างเรืองรองอย่างเหลือเชื่อ ทำให้ เกิดความอบอุ่นใจอย่างประหลาด อีกสิ่งที่ทำให้อุ่นใจคือ หลวงพ่อวัดปากน้ำที่ห้อยคอไว้ แสงไฟทำให้เห็นกลดที่ถูกผูกห้อยไว้ในพื้นที่ตอนหนึ่งของศาลา มีบาตรวาง พระท่านอาจจะไปทำธุระยังไม่กลับมาก็เป็นได้
ฟืนไฟถูกก่อขึ้น ไอดินชื้นผมต้องหาไม้มีแก่นมาเป็นฟืน ในเมื่อพรรคพวกสะบักสะบอมไปตามกัน นั่งอยู่มืดๆ ส่งเสียงพูดคุยกันเบาๆ ผมหันไปบอก
“ไม่ต้องห่วง พรุ่งนี้เช้าพวกเราก็มารับ คืนนี้นอนที่นี่ไปก่อน”
พี่อำนาจมีท่าทางเซื่องซึม มือยังไม่คลายจากต้นคอ คงจะเคล็ดจนเอี้ยวคอลำบาก พอนั่งลงพูดอยู่เรื่องเดียว ที่ไปท้าทายเจ้าป่าเจ้าเขา จนขากลับมาประสบเหตุร้าย ผมกลับมานั่งเคียง จับหัวไหล่เขย่าน้อยๆ ปลุกปลอบใจ บอกอย่าคิดมากเลย
อ่ำยังเปียกโชกคล้ายพึ่งขึ้นมาจากน้ำ เนื้อตัวสั่นเทาทำจะเป็นไข้ ผมหาเสื่อมาปูให้นอน ข้างๆ กองไฟ
“คุณๆ ออกมาเร็ว!” เสียงโบวะเรียกมาจากข้างต้นสักต้นหนึ่งที่อยู่นอกอาณาเขต ผมร้องเรียกกลับ ไปทำอะไรตรงนั้นมืดๆ ให้เข้ามา โบวะมีท่าทีลังเล จะก้าวเท้าเข้ามา แต่แล้วก็ชะงักกลับ ก่อนจะหันหลังวิ่งหายไปในความรกชัฏ
แล้วใครกันที่อยู่ในครัวไฟ แสงจากกองไฟสว่างโร่ก็จริง แต่รัศมีไปไม่ถึง เห็นเพียงเงาคนนั่งยองๆ เหมือนกำลังกัดกินอะไรบางอย่างด้วยความหิวโหยตะกละตะกลาม เสียงที่แว่วออกมาดังคร่อกๆ คล้ายเสียงของหมูป่ากำลังกินอาหาร
..........ผมยุติความสงสัยเดินไปหาต้นเสียง อาศัยเปิดไฟฉายบนโทรศัพท์มือถือ อีกไม่กี่ก้าวจะถึงเพิง เห็นเงาดำคล้ายสัตว์วิ่งแล่นออกไป มันอาจเป็นหมูป่าที่มาหากินแถวนี้ ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก
ในป่าเงียบมาก ผมหยุดยืนนิ่ง จากนั้นพอฟังให้ดีคล้ายมีเสียงกู่ของฝูงผี จากเบากลายเป็นดังขึ้นทุกที มันคือเสียงช้างร้อง ไม้เล็กหักล้ม แผ่นดินลั่นคล้ายช้างทั้งโขลงกำลังมุ่งมาทางนี้ สำนักสงฆ์กลางป่าแห่งนี้ ผมหวังว่าคงไม่ได้ร้างเพราะภัยจากช้างป่า ในเมื่อโบวะหนีไปแล้วคง จะเอ่ยปากปรึกษาใครได้ คงต้องพึ่งตัวเอง วิ่งอ้าวไปรวมกับพรรคพวก
เบื้องบนพระจันทร์ดวงโตลอยเด่น แม้ยามแสงทองส่องลงมา ศาลาโปร่งโล่งไร้ผนัง ผมเห็นเงาของพระภิกษุนั่งขัดสมาธิในกลด แน่นิ่งราวกับหุ่นปั้น ผมจะเข้าไปกราบ เพื่อขอพูดคุยด้วย เป็นอันตกใจกับเสียงช้างร้อง พอหันมาอีกที ในกลดกลับโล่ง คล้ายผมตาฝาดไปเอง
จิ้งหรีดกับเสียงกบเขียดในลำห้วยแข่งเสียงกันขับขาน คล้ายป่าจะกลับมาสุขสงบอีกครั้ง ผมนิ่งอยู่ครู่ โขลงช้างคงไม่ได้มุ่งมาทางนี้แล้ว กลับมาดูพี่อำนาจกับอ่ำที่ต่างนอนครางฮือๆ คล้ายกำลังเพ้อ ไม่มีใครลุกขึ้นมาพูดคุย ปล่อยให้รู้สึกโดดเดี่ยว ผมเติมฟืนไฟเสร็จก็ล้มตัวลงนอน ฟังเสียงดนตรีของป่าขับกล่อม ก่อนสติค่อยๆ เลือน
เนิ่นนานทีเดียวที่หลับไป ผมถูกปลุกจากเสียงดังอื้ออึง หลังคาสังกะสีที่ฝนเทกระหน่ำลงมา กองไฟไม่เหลือแม้ถ่านแดง สภาพไม่ต่างจากคนตาบอด รอบตัวมันมืดมาก โชคยังดีที่มีไฟฉาย พอหันไปไม่เห็นพี่อำนาจกับอ่ำ หรือว่าทั้งสองคนหลบละอองฝนเข้าไปข้างใน
เพียงครู่เดียวฝนก็ซาลง หูของผมที่นอนแนบกับพื้น คล้ายได้ยินเสียงฝีเท้าคนดัง ตึก ตึก เดินตรงที่ครัว หรือว่าจะเป็นพี่อำนาจกับอ่ำ
โป๊ก! โป๊ก!
คราวนี้เสียงดังเหมือนคนใช้อีโต้สับกระดูก ผมไม่อาจข่มตาหลับได้อีกแล้ว ใครคนหนึ่งต้องลุกไปทำอะไรที่ครัวแน่ ผมฉายไฟเร่งรุดไป ทุกย่างก้าวเหยียบใบไม้แห้งดังกรอบแกรบ ผมร้องเรียกให้เสียงไปก่อน
“ใคร! นั่นทำอะไรอยู่ตรงนั้น”
ร่างสันทัดผิวสองสี แม้เห็นแค่แผ่นหลัง ผมจำได้แม่นยำว่าคือไอ้อ่ำ ที่กำลังใช้มีดอีโต้สับไปที่โครงของหมีขอ พอวางมีดก็ใช้มือดึงขดไส้ออกมาทั้งยวง ใส่ปากเคี้ยวเสียงดัง คร่อก คร่อก พอถูกแสงไฟก็หันขวับมา ดวงตาสะท้อนแสงไฟ ปากยังคาบไส้ห้อยยาวถึงอก ภาพอันน่าสยดสยองยิ่งนัก ผมต้องผงะก้าวถอยหลัง ร้องเสียงแทบไม่ออก
ไอ้อ่ำ ไม่ใช่สิ เป็นใครก็ไม่รู้!
“เล็ก! ช่วยพี่ด้วย! โอ๊ย!”
พี่อำนาจยืนใช้สองมือกุมคอ พอปล่อยมือ คอบิดไปด้านหลังดังแกรบ ดวงตาคู่นั้นเบิกโพลงเหลือกลาน อันน่าจะเป็นสภาพสุดท้ายก่อนตาย ผมร้องละล่ำละลัก พี่อำนาจตายแล้ว!
เปรี้ยง!
ประกายไฟวูบอันร้อนผ่าวมาจากด้านหลัง กระสุนปะทะร่างของอมนุษย์หนึ่งในสองผงะหงายหลัง ก่อนที่สติของผมจะดับวูบจากความตกใจกลัวสุดขีด
ผมงัวเงียตื่นขึ้นคล้ายหลับฝันร้ายไป เหงื่อซึมทั้งที่อากาศเย็น มารู้ตัวอีกทีบนห้างที่ขัดไว้บนต้นไม้ ที่อยู่นอกอาณาเขตสำนักสงฆ์ร้าง ในความมืดด้านล่างคล้ายเกิดความโกลาหล เสียงช้างร้องด้วยอาการขู่คำรามพ่นลมจากปลายงวงดังฟืดฟาด ไล่เหยียบย่ำสิ่งปลูกสร้างภายในสำนักสงฆ์อย่างเกรี้ยวกราดดุร้าย
“ผีลงช้าง ไม่ต้องตกใจครับคุณเล็ก ผมยังอยู่ทั้งคน”
เสียงจากร่างของใครคนหนึ่งในเงามืด กำลังคาบบุหรี่ติดไฟแดง นั่งกอดเข่า มีปืนยาวพาดบ่าในลักษณะคุ้นตามาก
“โบวะ นั่นโบวะตัวจริงใช่ไหม”
“ผมครับ คุณเล็ก”
สำเนียงห้วนสั้น ฟังดูซื่อๆ ของโบวะ บอกเป็นคนนำผมขึ้นมาบนนี้ ไฟฉายในมือแทบทำตก ดวงตาข้างหนึ่งของโบวะบวมเป่ง เนื้อตัวเป็นแผลยับ เขียวช้ำจนน่ากลัว ผมกลืนน้ำลายดึงอึก พยายามเปล่งเสียงถามไปถึงพี่อำนาจกับอ่ำ
“ไม่มีคน อยู่ข้างล่างแล้วครับ แถวนี้มีแต่เราที่เป็นคน”
ผมมองตามลงไป ขนบนแขนลุกชัน บนคอช้างมีเงาดำคล้ายคน ดวงตาแดงราวกับถ่านไฟ วาดแขนชี้นิ้วชี้สั่งการให้ช้างหันมาที่ต้นไทรใหญ่ เป้าหมายอยู่บนนี้ โบวะโอมอ่านคาถาบางอย่างฟังไม่ได้ศัพท์ แนบแก้มกับคอปืนเล็งไปที่ร่างวิปริตนั้นแล้วเหนี่ยวไกดังเปรี้ยง พอหายวับไป ช้างตัวนั้นก็หันหลังวิ่งหายไปในความมืด
ผมร้อนใจมาก เป็นห่วงพี่อำนาจกับอ่ำ โบวะส่ายหน้าแช่มช้าน้ำเสียงเยือกเย็น ช่วยไม่ได้จริงๆ แล้วก็เริ่มลำดับเรื่องราวให้ฟัง เขาโดดลงจากรถได้ทัน แต่ก็สลบไป พอได้สติก็เห็นผมเดินมุ่งไปที่สำนักสงฆ์ร้างเพียงคนเดียว จะร้องเรียกแต่กระดิกตัวไม่ได้ พอฟื้นคืนจึงรีบตามมา สำนักสงฆ์แห่งนี้เคยมีช้างป่าเหยียบพระจนมรณภาพ โบวะได้ยินเสียงช้างทั้งโขลงเห็นท่าไม่ดี เลยขึ้นมาขัดห้างบนต้นไม้ไว้ก่อน
“ไม่ต้องกลัวครับ อีกไม่กี่ชั่วโมงก็เช้าแล้ว ฮ่าฮ่า”
รุ่งเช้าสิ่งที่โบวะพูดก็เป็นจริง หน่วยกู้ภัยมาถึง ชักลากซากรถขึ้นมาจากลำห้วย ผมต้องสยดสยองอีกครั้ง ศพแช่น้ำอยู่ในน้ำทั้งคืนจนซีดขาว พี่อำนาจคอหักดวงตาเบิกโพลงเหลือกลาน ถูกนำมาวางเคียงศพของอ่ำ จนถึงตอนนี้เสียงร้องขอความช่วยเหลือจากผม ยังดังก้องในหูอยู่เลย ตอนรถกระแทกลงไป ผมกลัวจนขาดสติ ใช้เท้าถีบคอหลายทีเพื่อสลัดมือยื้อ และยันตัวเองออกมาจากรถได้หวุดหวิด
“เล็ก! ช่วยพี่ด้วย! โอ๊ย!”
🙏🙏🙏🙏🙏🌹🌹🌹🌹
สวัสดีครับนักอ่านทุกท่าน ปีใหม่นี้ ขอจงหลอนกันถ้วนหน้านะครับ เฮอะๆ คือช่วงนี้ผมกำลังตั้งหน้าทำช่องในยูปทูปนะครับ เอาตรงๆ เลยไม่อ้อม
ฝากร้านด้วยครับ ช่วยกันกดติดตามให้เยอะๆ ตอนนี้ 11 คนเอง ช่องของคุณลิไปหลายพันเเล้ว ช่างห่างไกลหลายปีเเสงเลย ใครที่ชอบแนวหลอน แนวป่าเขาแนะนำบอกต่อกันได้นะ จะขอบคุณมากเลยจ้า
เรื่องจากพันทิป คืนหลอนในป่า ผีล่าพราน...สองตอนจบ
เรื่องโดย สมาชิกพันทิป แจ็ค ในสวนถั่ว
ขอขอบคุณเรื่องราวสยองและขออนุญาตนำมาเผยแพร่ ณ ที่นี้ด้วย
Post a Comment