เรื่องเล่าสยองขวัญ เตียงที่มีพวงมาลัย
ช่วงนี้หลายคนรวมทั้งผมคงต้องอยู่บ้านอ่านหนังสือ ดูเน็ตฟลิกซ์กักตัวเองเพื่อป้องกันไวรัสกันนะครับ ก็ขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านนะครับ เราจะผ่านมันไปด้วยกัน
วันนี้จึงอยากจะมาแชร์เรื่องๆ หนึ่ง ที่นึกถึงทีไรก็ขนลุกทุกที พยายามปะติดปะต่อเรื่องราวเท่าที่จำได้ มาแชร์ให้เพื่อนๆได้อ่านระหว่างช่วงโควิดกันนะครับ
((***Update*** อย่าลืมติดตามฉบับ E-book ใน MEB ไว้ในอ้อมใจด้วยนะครับ
http://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMzY4MTgzOSI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjY6IjExODg1OSI7fQ
เรื่องนี้เกิดกับผมและเพื่อนๆ ร่วมสถาบัน ตั้งแต่ปี 2539 ก็เกือบๆ 24 ปีแล้วครับ 55 นานมากไม่เคยเล่าที่ไหนเลย ไม่รู้จะน่ากลัวหรือเปล่า
(***เรื่องนี้มีเค้าโครงจากความจริงบางส่วน ผนวกกับการใช้เรื่องแต่งเพื่อเพิ่มอรรถรส และใช้เพื่อเป็นงานทดลองวิธีการเขียนของผมเอง ชื่อ สถานที่ และบุคคลจึงสมมุติขึ้นมาใหม่เกือบทั้งหมด แต่โดยรวมจะมีพื้นฐานจากเหตุการณ์จริง 30% ขอให้อ่านเพื่อความบันเทิงเริงใจนะครับ***)
.
ขอตั้งชื่อเรื่องนี้ว่า... #เตียงที่มีพวงมาลัย
.
ตอนนั้นเป็นช่วงปิดเทอมของมหาลัย ทางคณะได้จัดทัศนศึกษาไปดูงานสถาปัตยกรรม วัดเก่าแถวภาคเหนือ พวกเราก็จะนั่งรถบัสไปกัน ประมาณ 80 คน ไปถ่ายรูป สเก็ตช์ภาพ วัดขนาดสัดส่วนของอาคาร ไปทีเที่ยวนึงก็หลายๆจังหวัด
เวลาไปพักค้างคืนทางคณะ ก็จะขอความอนุเคราะห์ที่พักตามสถาบันการศึกษาในจังหวัดที่ต่างๆ ที่ผ่านไป
ในคืนหนึ่ง เราผ่านไปที่จังหวัดxx หลังจากดูงานชมวัดชมอาคารเสร็จในช่วงกลางวัน แวะทานอาหารเย็นเสร็จที่ตลาด อาจารย์ก็แจ้งว่าคืนนี้เราต้องไปพักที่หอพักในวิทยาลัยพยาบาลเก่าแก่แห่งหนึ่ง พวกเราก็แอบดีใจว่าจะได้เจอน้องๆพยาบาลน่ารักๆ ก็มีอารมณ์ตื่นเต้นดีใจกัน
แต่สถานที่นั้นก็ห่างจากตัวเมืองพอสมควร พอไปถึงประมาณสองทุ่ม ค่ำแล้ว อาณาบริเวณก็ใหญ่มากจากรั้ววิทยาลัยกว่าจะถึงที่พักก็ไกลหลายกิโล นับว่าที่ที่เราพักนั้นอยู่ลึกมาก
ถึงที่หอ เป็นอาคารกึ่งปูนกึ่งไม้น่าจะอายุหลายสิบปี ประมาณสี่ชั้น ดูจากสภาพเหมือนไม่มีคนมาใช้อาคารนี้นานแล้ว แน่นอนไม่เจอน้องๆพยาบาลสักคนเดียว..ยามบอก อาคารนี้ปิดมานานแล้ว
พวกเราต้องรอยามมาปลดโซ่ตรวนที่ปิดประตูแผงเหล็ก เปิดไฟและช่วยกันทำความสะอาด ห้องต่างๆ
พอเข้าไป ในอาคารเป็นลักษณะอาคารไม้ พื้นปูน
ชั้นล่างสุดเป็นโถง และห้องอาบน้ำรวม
ชั้นสองถึงสี่เป็นหอพัก ในแต่ละชั้นจะเป็นห้องนอนรวมยาวๆ มีไฟนีออนสว่างมาก มีแถวเตียงสองชั้นแยกสองข้าง ซ้าย - ขวา ทางเดินตรงกลางยาวๆ
อาจารย์ตกลงว่าชั้นสองให้ผู้หญิงนอน ส่วนชั้นสามเป็นผู้ชายนอน
เมื่อขึ้นไปถึงชั้นสาม ผมเข้าไปเป็นคนท้ายๆ แถว เพื่อนๆ ที่เข้าไปก่อน ก็รีบไปจองเตียงกัน
ปรากฏว่าสักพัก เพื่อนๆ หลายคนก็ค่อยๆ ก้าวถอยหลังออกมา จนล้อมเตียงๆ หนึ่งไว้ ที่กลางห้อง ผมก็งงว่าทุกคนเป็นอะไร เลยมุดเข้าไปดู
พอผมเดินเข้าไป ก็เจอเตียงๆ หนึ่ง เป็นเตียงปูผ้าขาวธรรมดา ดูไม่มีอะไร แต่...
ที่ปลายเตียง มีรูปภาพเก่าๆ ถ่ายหน้าตรงใบหน้านักศึกษาหญิงใส่กรอบเล็กๆ ติดไว้ที่ปลายเตียง
และมีพวงมาลัยแห้งๆ ห้อยอยู่...
(อห..ผมคิดในใจ)
ถึงจุดนี้ทุกคนต่างมองหน้ากัน.. ทุกคนต่างรู้กันในใจ
เราเลยเว้นที่ว่างของเตียงนั้น และเตียงรอบๆ ข้างไว้ประมาณสองสามเตียง ไว้เป็นเซฟโซน ,no man s' land 555
ผมได้ที่นอนห่างจากเตียงๆ นั้นไปประมาณ สามหรือสี่เตียง แบบไม่มีใครนอนคั่นเลย ครับ 55
แต่ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ คิดว่าไม่น่ามีอะไร
ถึงจุดนี้ อาจารย์ก็มาบอกว่าให้รีบไปอาบน้ำที่ห้องน้ำรวมข้างล่าง เพราะผู้หญิงอาบเสร็จแล้ว
ทุกคนก็รีบลงไปอาบกัน ผมก็มัวแต่เก็บของ
ตอนนี้รู้สึกว่าอากาศหนาวมาก รู้สึกขนลุกแปลกๆ
"เอ๋ อาบน้ำเถอะ"
เสียงเพื่อนที่ขึ้นมาจากห้องอาบน้ำก่อน ตะโกนเสียงดังเข้ามาที่หน้าห้อง จนผมตกใจ
แต่ก็นึกว่าเพื่อนแกล้ง เลย ด่ามันไปขำๆ แล้วก็หอบผ้าขาวม้าลงไปอาบน้ำ... ขณะที่เพื่อนคนนั้นมองไปทางเตียงด้วยสายตาแปลกๆ
...
ตอนที่เดินลงไปที่ชั้นล่างซึ่งเป็นห้องอาบน้ำรวม เพื่อนๆที่อาบน้ำแล้วต่างก็รีบเดินขึ้นมาที่ชั้นบน ทุกคนมีท่าทีเงียบขรึม ไม่พูดไม่จา บางคนมีอาการเหมือนคนหนาวสะท้าน ปากสั่น ผมก็ได้แต่นึกขำในใจ
เมื่อถึงห้องอาบน้ำรวม พบว่ามันคือห้องกว้างๆ มีอ่างน้ำสี่เหลี่ยมผืนผ้าก่อด้วยปูนสูงขึ้นมาเกือบถึงหน้าอก กว้างประมาณสี่เมตร ยาวประมาณแปดเมตร ที่ผนังรอบข้างจะเป็นตะขอที่แขวนผ้าเช็ดตัว ด้านบนเป็นหลอดไฟกลมสีส้มอ่อนๆ สามสี่ดวงห้อยจากเพดานให้แสงสว่างหม่นๆ ตอนนั้นมีผมกับเพื่อนอีกสองสามคนอยู่ในห้องนั้น
มันมีความหนาวเย็นยะเยือกแบบผิดปกติ ทั้งจากน้ำในอ่าง และมวลอากาศในห้อง ที่แม้จะปิดทึบแทบทุกด้าน ไม่มีลมเล็ดลอดเข้ามา ต้องใช้ความกล้าและการหายใจลึกๆ ในการตักน้ำแต่ละขัน ที่เย็นยังกะน้ำแข็งขึ้นมาอาบ ..แม้ว่าพวกเราจะกำลังอยู่ในวัยห้าวคะนองแค่ไหน ก่อนหน้านี้จะซนหรือซ่า แต่เชื่อไหมว่าทุกคนรวมทั้งตัวผมเอง กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่โคตรสงบเสงี่ยมเจียมตัว
"กูว่าที่นี่นะ แม่....งต้องมีแหงๆ"
เสียงเพื่อนคนหนึ่งพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอึดอัด เหมือนอยากระบายสิ่งที่ทุกคนคิดกัน
"คิดว่าไง เรื่องรูปนักศึกษาที่เตียงนั้น"
เพื่อนอีกคนถาม อีกคนตอบตามมา
"แค่รูปเฉยๆ นะไม่เท่าไหร่ แต่ ไอเ...หี้ย ดันมีพวงมาลัยนี่สิ... ขนลุกชิ..หาย"..
ถึงตอนนี้ทุกคนเงียบกริบ
ปัง!!!
เสียงกระแทกประตูไม้ดังสนั่น ทั้งที่ข้างนอกไม่มีวี่แววของลมหรือสิ่งมีชีวิตชนิดไหนๆ
เท่านั้นเองทุกคนต่างจ้วงน้ำจากขันมาตักอาบด้วยสปีดความเร่งระดับนักว่ายน้ำโอลิมปิก บางคนอาบแค่สามสี่ขันก็รีบเช็ดตัว ผมก็ได้แต่นึกขำ เพื่อนสองคนนั้นที่คุยกันต่างรีบห่อตัวด้วยผ้าขาวม้า หันมาตะโกนบอกผม
"เฮ้ยเอ๋ ยังอาบไม่เสร็จเหรอวะ พวกกูไม่อยู่แล้วนะ"
"พวกไปก่อนเลยเดี๋ยวกูจะเสร็จแล้ว เดี๋ยวตามไป"
ผมตอบด้วยความมั่นใจสั่นๆ ไม่ใช่เพราะแสร้งไม่กลัว แต่เมื่อยังได้ยินเสียงเพื่อนอีกคนสองคนอาบน้ำอยู่เลยมั่นใจว่ามีเพื่อน ที่สำคัญคือแชมพูที่พึ่งละเลงไปยังเปรอะอยู่เต็มกบาล
ผมตักน้ำมาอาบล้างหัวล้างตัวอีกสามสี่ขัน จากนั้นก็ลืมตาขึ้นมา ในหูได้ยินเสียงเพื่อนสองคนเดินขึ้นบันไดไป กับเสียงเพื่อนอีกคนอาบน้ำอยู่อีกมุมของห้อง
เมื่อเสร็จแล้วผมก็เก็บของใช้แล้วรีบไปเอาผ้าเช็ดหัวเช็ดตัว เพราะตอนนี้รู้สึกแต่ความหนาวยะเยือกสุดๆ จนแทบจะหายใจเป็นไอ... เมื่อนุ่งผ้าข้าวม้าเสร็จผมจึงหันไปจะทักเพื่อนอีกคนที่กำลังอาบน้ำอยู่
แต่พอหันไป... ผมไม่เห็นใคร
ในห้องนั้นเหลือผมอยู่คนเดียว
.
ไม่มีใคร แล้วเสียงอาบน้ำมาจากไหน
.
....
ผมรีบหอบผ้าวิ่งออกไปแบบไม่คิดชีวิต
แต่ในหูผมยังได้ยินเสียงคนอาบน้ำดังอยู่จากห้องอาบน้ำนั้น
...
ขอโทษที่ทำให้รอนะครับ วันนี้ประชุมถึงค่ำๆเลย กะว่าจะพยายามเขียนให้จบในเสาร์อาทิตย์นี้ครับ..
ผมรีบจ้ำอ้าวออกมาจากห้องน้ำขึ้นไปทางบันไดไม้ เพื่อจะกลับไปที่ชั้นสาม ในหูก็ได้ยินเสียงคน(หรือใครไม่รู้) อาบน้ำอย่างช้าๆ ผมสัญญากับตัวเองว่า จะไม่หันไปมองข้างหลังอย่างแน่นอน..
แต่เมื่อขึ้นไปกำลังจะถึงชั้นสอง มีเพื่อนผู้หญิงวิ่งพรวดออกมาจากห้องนอนรวม( สมมติเธอชื่อ อ้อย ) อ้อยยิ้มให้ผมและวิ่งลงไป.. เหมือนอ้อยกำลังจะลงไปที่ห้องอาบน้ำ
"อ้อยจะไปไหน" ผมถามอ้อยด้วยเสียงสั่นจากความหนาว..และความกลัว
อ้อยบอกว่าเธอกำลังจะลงไปแปรงฟัน ผมได้ยินแล้วก็เลยเดินตามอ้อยลงไป ในใจนึงก็กลัว แต่ก็ไม่กล้าบอกเพื่อน... ผมเลยค่อยๆเดินตามอ้อยลงไป ด้วยความเป็นห่วง
ผมยืนดูอ้อยห่างๆ ตอนที่เธอกำลังแปรงฟัน อ้อยก็แปรงไปคุยกะผมไปว่า เอ๋มาทำอะไร ชอบยืนดูคนแปรงฟันเหรอไงไอ้บ้า ...ผมจึงกวนตีนเธอด้วยการบอกว่า เออ กูชอบดมกลิ่นยาสีฟัน อ้อยหัวเราะ ...(อีอ้อยยเอ้ยย ไม่รู้อะไรซะแล้ว ) ผมไม่ได้พูดสิ่งที่เจอมาให้อ้อยฟัง ได้แต่ยืนมองผ่านซอกประตูเข้าไป ซึ่งก็ไม่เห็นอะไร
และแล้วในขณะนั้น เราทั้งคู่ ก็ได้ยินเสียงคนอาบน้ำ...
"ใครวะ ยังอาบน้ำอยู่อีก" อ้อยถามและมองหน้าผม "น่าจะเป็นพี่คนขับรถ" ผมบอกเธอ และอยากให้ความจริงเป็นแบบนั้น..
สักพัก อ้อย ที่ก็ไม่ต่างจากเด็กเรียนศิลปะซนๆ คนหนึ่ง ดันตะโกนแซวไปว่า
"อาบน้ำคนเดียว ระวังโดนผีหลอกนะน้า 555"
ผมตกใจที่อัอยพ่นอะไรแบบนั้น อ้อยหัวเราะ ในมุกที่เธอไม่ควรพูด ... ในใจผมได้แต่นึก ...( อีอ้อย อีเห..หี้ย )
แล้วไฟก็ดับ
กรี้ด อ้อยตกใจจนร้องออกมาเสียงดัง (ปากยังคาบแปรงสีฟันอยู่)
ไม่ถึงสามวิ ไฟกลับมาติดเหมือนเดิม เราสองคนมองหน้ากัน
ไม่ทันที่ผมจะพูดอะไร หรือบ้วนปาก อ้อยรีบวิ่งออกไปจากตรงนั้นทันที ปล่อยให้ผมยืนงงอยู่
หูผมก็ยังได้ยินเสียง อาบน้ำ แต่เป็นเสียงอาบน้ำที่เร็วขึ้นแรงขึ้นเรื่อยๆ จนเหมือนคนกำลังสาดน้ำด้วยกะละมังขนาดใหญ่
ผมรีบวิ่งตามอ้อยขึ้นไปแบบไม่คิดชีวิต เห็นอ้อยวิ่งเข้าไปในหอนอนชั้นสอง ด้วยความหวาดกลัว สองมือผมพนมยกขึ้นเหนือหัวโดยอัตโนมัติ ในใจคิด ..."ขอโทษด้วยครับ พวกผมไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ พวกเรายังเด็กครับ ขอโทษด้วยครับ อย่ามาหลอกมาหลอนกันเลย"...
รู้ตัวอีกอีกที ขาก็พาผมมาถึงประตูหอนอนชั้นสามอย่างรวดเร็ว ตอนนี้จากความหนาว กลายเป็นร้อนเหงื่อแตก หอบแดรก จากการวิ่งสับตีนแบบไม่คิดชีวิต
อีอ้อยยย อีเห้ ผมสบถด่าเพื่อนเบาๆ ปนหอบ
ผมเปิดประตูเข้าไปในหอนอน ตอนนี้ไฟนีออนสว่างๆ ถูกปิดไปในบางจุด บางคนนอนแล้ว บางคนอ่านหนังสือ บางคนกำลังสวดมนต์... บ้างก็นั่งคุยกันเบาๆ
แต่ ผมพบว่า เพื่อนร่วมชั้นส่วนใหญ่กว่า 80 เปอร์เซ็นต์หายไป เหลือเพื่อนอยู่ในห้อง น่าจะไม่ถึงสิบชีวิต
"เฮ้ยมันหายไปไหนกันหมดวะ" ผมถามเพื่อนคนหนึ่งที่นอนบนเตียงใกล้ๆประตู เพื่อนคนนั้นส่ายหน้าแล้วก็บอกว่า ไม่รู้เหมือนกัน มันพึ่งไปสูบบุหรี่มาแล้วก็เห็นคนเหลือเท่านี้ พอถามเพื่อนอีกคน ก็บอกว่าได้ยินว่าพวกมันจะไปเที่ยวกันในเมือง ... ผมก็ได้แต่ส่ายหน้า ผิดหวังที่เพื่อนไม่ชวน
จากนั้นผมเดินไปที่เตียง หยิบของจากเป้มาเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อจะนอน ผมตัดสินใจจะไม่เล่าเรื่องที่พึ่งเกิดขึ้นให้ใครฟัง.. หยิบสมุดขึ้นมาอ่านมาดูสิ่งที่บันทึกไว้ในการเดินทางวันนั้น
ในสมุดผม เขียนชื่อจังหวีด สถานที่ที่ไปสองสามแห่ง มีภาพสเก็ตโบสถ์และต้นไม้ มีเส้นกัระยะคร่าวๆ ผมเห็นว่าผมบันทึกอะไรหลายอย่างที่อาจารย์เล่าให้ฟังเป็นลายมือที่อ่านแทบไม่ออก จนสุดหน้ากระดาษ แต่เมื่อเปิดหน้าถัดไป ผมพบภาพสเก็ตช์ ที่นึกไม่ออกว่ามันคืออะไร และจำไม่ได้ว่าได้เคยสเก็ตมันที่ไหน แต่เมื่อผมเพ่งดูดีๆ
มันคือรูปเตียงนอนสองชั้น...เหมือนในหอตอนนี้
ผมขนลุกทันที
"อะไรวะเนี่ย" แล้วผมจึงปิดสมุด ตอนนี้อากาศในห้องนอนกลับมาหนาวยะเยือก ..
..,.
ผมขนลุก ทั้งภาพสเก็ตช์ และความหนาวฉับพลันทันด่วน...หยิบผ้าห่มมาคลุมโปง ภาพถ่ายของนักศึกษาและพวงมาลัยแห้งๆ ที่เตียงถัดไปไม่ไกลเริ่มกลับมาหลอนประสาท มันชัดเจนย้ำอยู่ในจิตใจผม ไม่สามารถสลัดมันออกไปจากหัวได้
"อะระหังสัมมา.." ผมเริ่มสวดมนต์เบาๆ พร้อมกราบที่หมอน หวังว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะช่วยให้พ้นคืนนี้ไปให้ได้...โดยไม่หัวใจวายตายไปซะก่อน
เพื่อนคนหนึ่งเดินไปปิดไฟในห้องจนมืด เหลือเพียงแสงรำไรจากบันไดลอดผ่านช่องประตูเข้ามา ทุกอย่างเงียบเหลือเพียงเสียงของพัดลมเพดาน เสียงกรนเบาๆ ของเพื่อนบางคน
เงียบ... จนผมได้ยินเสียงหายใจของตัวเอง
ตอนนี้เสื้อผมเริ่มเปียกด้วยเหงื่อที่ไหลออกทั่วแผ่นหลัง เชื่อว่าอุณหภูมิในห้องน่าจะค่อนข้างร้อนอบอ้าว...แต่แปลกที่ผมกลับรู้สึกตรงกันข้าม...
ที่สำคัญผมเลือกที่จะใช้ผ้าห่มผืนบางๆมากั้นขวางความกลัวที่ห่างถัดไปไม่กี่เตียง สารภาพว่านาทีนั้นถ้ามีอะไรเกิดขึ้นผมคงวิ่งหนีแบบไม่คิดชีวิต..
สักพัก ผมได้ยินเสียงที่ช่องหน้าต่าง
"เอ๋ๆ ลงมา ไปเที่ยวในเมืองกัน "
เป็นเสียงผู้หญิงที่ผมโคตรไม่คุ้น แต่ก็คิดว่าต้องเป็นเพื่อนคนใดคนหนึ่ง
"เอ๋ ลงมา ไปเที่ยวในเมืองกัน"
ผมจึงลุกออกไปที่หน้าต่าง พยายามส่องหาต้นเสียงที่พื้นด้านหน้าอาคาร แต่ก็ไม่พบใคร
....
"เอ๋ ลงมา ไปเที่ยวในเมืองกัน"
ผมจึงลุกออกไปที่หน้าต่าง พยายามส่องหาต้นเสียง แต่ก็ไม่พบใคร
....
"เอ๋" ...เสียงผู้หญิงกระซิบที่ข้างหูผม เป็นกระซิบที่แปลกประหลาด ทั้งเบา แต่ก้อง ...ทั้งนิ่ง แต่สั่นสะท้าน ซึ่งตอนนี้ผู้หญิงคนนั้นมาอยู่ข้างๆ ผมแล้ว แต่เชื่อไหมครับเธอไม่ได้ยืน
เธอห้อยหัวลงมาจากเพดาน
ผมตกใจสุดขีด ลืมตาตื่นขึ้นมา... เสื้อผ้าเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ ผมจำไม่ได้ว่าหลับไปตั้งแต่ตอนไหน ...แต่ภาพในฝันผมจำได้ดีว่า ใบหน้าผู้หญิงคนนั้น คือคนเดียวกับรูปถ่ายที่ปลายเตียงหลังนั้นแน่นอน ผมหอบหายใจด้วยความตื่นเต้นระทึกขวัญ
ผมยกมือไหว้หันไปทางเตียงที่มีรูปกับพวงมาลัย
แสงตะวันยามเช้า เผยให้เห็นว่าเพื่อนๆ ส่วนใหญ่ที่หายไปเมื่อคืนกลับมาแล้ว บางคนนอนอยู่ในสภาพยังไม่ได้อาบน้ำตั้งแต่เมื่อวาน บางคนกำลังเก็บเสื้อผ้าเตรียมตัวเดินทาง บางคนก็กำลังจะไปอาบน้ำ
ผมรีบกระโดดออกจากเตียงเพื่อลงไปอาบน้ำ นี่คือโอกาสดีตอนที่คนเยอะๆ ที่เราจะได้ทำอะไรด้วยความสบายใจ 555 ระหว่างทางที่ชั้นสอง ได้ยินเสียงอ้อยกำลังเม้าท์กับเพื่อนๆ เรื่องไฟดับเมื่อคืน ... (โถ อีอ้อยยย ถ้าเป็นสมัยนี้นะผมจะเอามือถือถ่ายหน้ามันตอนคาบแปรงสีฟันหนีผีมาแชร์ลงเฟซบุ๊ก น่าจะฮาสุดๆ 555)
เมื่อถึงหน้าห้องอาบน้ำ ผมยกมือขึ้นไหว้เหนือธรณีประตู ...เข้าไปเจอเพื่อนๆ ที่ออกไปเมื่อวานกำลังอาบน้ำ ผมถามหนึ่งในนั้น (สมมุติว่าชื่อแจ็ค) ว่าเมื่อคืนไปไหนมา จะออกไปเที่ยวกันทำไมไม่ชวน
"พวกกูไม่ได้ตั้งใจออกไปเที่ยวนะเอ๋ " แจ็คตักน้ำขึ้นมาล้างหัว...พูดต่อ "เดี๋ยวออกไปจากนี้ก่อน กูจะเล่าให้ฟัง" แล้วจ้องตาผมเขม็ง... ผมพยักหน้ารับ คิดว่าแจ็คก็คงเห็นอะไรบางอย่างเช่นกัน...
เมื่อรถบัสเริ่มเคลื่อนออกมาจากประตูรั้วของวิทยาลัย ผมกับแจ็คนั่งตรงเบาะกลางๆ ตัวรถ แต่อยู่คนละฝั่งของทางเดินกลาง ผมสังเกตุว่าแจ็ค และสภาพเพื่อนๆหลายคนดูเพลีย ง่วง อิดโรย เหมือนไม่ได้นอน
จากนั้นผมก็เล่าเรื่องของผมให้แจ็คฟัง ทั้งเรื่องห้องอาบน้ำ ไฟดับ เรื่องภาพในสมุด จนถึงเรื่องเสียงของผู้หญิงคนนั้น แจ็คฟังอย่างตั้งใจ เช่นเดียวกับคนทั้งรถ ที่กำลังเงี่ยหูฟังเราสองคน ...ไม่เว้นแม้กระทั่งอาจารย์.. เราคุยไปหัวเราะไป บางช่วงก็มีเพื่อนบางคนปล่อยมุขแทรกเข้ามาพอขำๆ บ้าง ...แต่ไม่มีใครสักคนที่บอกว่าไม่เชื่อเรื่องที่ผมพึ่งเจอมาเมื่อคืนนี้...
.
.
จากนั้น แจ็คจึงเริ่มเล่าเรื่องของมัน...
..
มาฟังเรื่องที่แจ็คเล่ากันนะครับ
" เอ๋ จำตอนที่กูเรียกลงไปอาบน้ำได้ไหม (ใครจำไม่ได้ลองย้อนไปอ่านต้นๆ กระทู้นะครับ) ..ตอนนั้นน่ะ กูเดินขึ้นมาจากบันได มองที่เตียง ... กูเห็นขาใครก็ไม่รู้ ห้อยขาลงมาจากเตียงชั้นบนเตียง".
แจ็คหยุดมองไปยังทิศของวิทยาลัยที่เรากำลังจากมา
..." แต่มีแต่ขานะ ข้างบนไม่มีตัว"
ตอนนี้หลายคนถอนหายใจเฮือก.. แจ็คเล่าต่อ
" ทีนี้บังเอิญกูรู้จักกับเพื่อนผู้หญิงในจังหวัดนี้ ตอนกินข้าวที่ตลาดกูไปหยอดตู้โทรศัพท์คุยกะเค้า รู้มั้ยเขาบอกกูว่าอะไร..."
กูจะรู้อะไรล่ะก็เล่าต่อสิ ผมนึกในใจ
"เรื่องนี้เกิดขึ้นหลายปีก่อน จู่ๆ มีคนตายในห้องน้ำ คือเขามีโรคประจำตัว เป็นโรคหัวใจ หลังจากวันนั้น บางครั้งก็จะได้ยินเสียงอาบน้ำ บางครั้งหนังสือก็เปิดเอง ได้ยินเสียงเหมือนผู้หญิงร้องไห้บางครั้งเห็นขาห้อยลงมา "
ถึงตรงนี้ผมขนลุก ทุกคนในรถจัองมาที่แจ็ค รอคอยประโยคถัดไป..
"ว่ากันว่าผู้หญิงคนนี้เขาอยากเรียนที่นี่มาก เลยไม่ยอมไปไหน พอมีคนมาอยู่ก็เกิดเหตุการเดิมๆ หนังสือเปิดเองบ้าง ได้ยินเสียงบ้าง สุดท้ายหอนี้เลยต้องปิดตาย... นี่คือที่เขาเล่าให้กูฟังนะ"
"กูก็เคยฟังมาแบบนี้เหมือนกัน พี่สาวกูเคยเรียนที่นี่" เพื่อนอีกคนที่เป็นชาวจังหวัดนี้สนับสนุนคำพูดของแจ็ค ผมเลยถามแจ็คว่าทำไมยังมีกระจิตกระใจออกไปเที่ยว..แถมไม่ชวนด้วย
"กูก็แค่ไม่อยากนอนไง กูคิดว่าไม่เห็นคงไม่มีเซนส์ คงนอนได้ เนี่ยตอนไปอาบน้ำเพื่อนกูก็เอารถกระบะมารับพอดี เลยพากันไปเที่ยวข้างนอกให้ลืมๆ ขานั่น... ขากลับพวกกูก็แวะนอนกันในรถบัสนี่แหล่ะ ไม่กล้ากลับเข้าไปจนเช้า"
เพื่อนอีกคนสำทับว่า เมื่อคืนเห็นเงาผู้หญิงลางๆ เดินวนรอบรถบัสด้วย แต่ไม่กล้าบอกใคร ตอนนี้ทุกคนส่งเสียงอื้ออึง ต่างวิพากษ์กันไปต่างๆ นานา ตอนนี้พี่คนขับรถก็เลยถือโอกาสเปิดเพลงสามช่ากลบความหวาดหวั่นของพวกเรา
.
กว่าจะถึงจุดหมายต่อไปของรถคณะเราก็อีกเป็นชั่วโมง ตอนนี้ทั้งหมดเมื่อแลกเปลี่ยนทัศนคติแห่งความขนลุกกันเสร็จ ก็เลยถือโอกาสงีบ บางคนนั่งคิดตาลอย ส่วนผมก็ยังนึกถึงเสียงกระซิบที่ข้างหูได้อย่างฝังเข้ากระดูกดำ
.
แต่ข่าวร้ายยังไม่หมดแค่นี้
.
โปรแกรมทัวร์สถาปัตย์ของเรายังมีคิวต่อที่วัดในจังหวัดนี้อีกสองที่ ก่อนที่ช่วงบ่ายเราจะขึ้นเหนือต่อไปอีกจังหวัดหนึ่ง เพื่อไปค้างแรมที่นั่น
แต่เมื่อเราจบโปรแกรมในช่วงบ่าย ข่าวร้ายก็คือ รถทัวร์ที่รับจ้างพาเรามานั้นเกิดเพลาขาดกระทันหัน.. ต้องรอรถบัสสำรองมาเปลี่ยนในเช้าวันถัดไป
ใช่แล้วครับ... ข่าวร้ายจริงๆ คือเราต้องนอนต่อที่นั่นอีกคืน ที่หอพักหญิงแห่งนั้น ... เพราะทางคณะไม่สามารถประสานงานที่พักอื่นๆ ได้ทัน
ข่าวร้ายที่แท้จริงนี้จึงเริ่มต้นในเวลาพระอาทิตย์ตกดินพอดี...
เราเริ่มคืนนั้นด้วยการจดธูปไหว้รูปที่เตียง และเปลี่ยนพวงมาลัยให้ใหม่
โดยอาจารย์ประจำภาควิชา เป็นผู้นำสวดมนต์พวกเราทุกคน ขออภัยถ้ามีสิ่งใดล่วงเกินและขอให้วิญญาณอย่าได้มารบกวนพวกเรา
หลังจากนั้นพวกเราจัดกลุ่มกันไปอาบน้ำครั้งละ 10 คน อาบพร้อมกันเลิกพร้อมกัน เพื่อดูแลกันและกัน ซึ่งก็ทำให้พวกเราใจชื้นขึ้นหลายเปลาะ มีผู้หญิงกรี๊ดบ้างเพราะเจอตุ๊กแกที่มุมห้องน้ำ แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นนอกจากเสียงหัวเราะคิกคักของเพื่อนๆ
เมื่อถึงเวลาประมาณสามทุ่ม พวกเราก็เข้านอน ส่วนใหญ่ก็นอนกันในหอพักเช่นเดิม
แต่ก็มีผม แจ็ค และเพื่อนอีก4คน ตัดสินใจขออาจารย์นอนที่รถบัสของผู้หญิง เพราะสิ่งที่เราเจอเมื่อคืนยังหลอกหลอน อาจารย์ก็อนุญาติ และกำชับว่าอย่าได้ทำอะไรนอกลู่นอกทางเด็ดขาด ...พี่คนขับรถอาสานอนด้วย
ที่รถบัสขนาดเล็กขนาดประมาณไม่ถึง 20 ที่นั่ง พวกเรา 7 ชีวิตก็แยกย้ายกันคนละมุม ไม่พูดอะไรกัน ต่างสวดมนต์และนอนพิงพนักเก้าอี้ที่เอนลงกันเงียบๆ เหลือเพียงเสียงจากพัดลมเพดานรถเปิดไล่ยุง อากาศภายนอกนั้นค่อนข้างเย็น จนต้องหาเสื้อกันหนาวมาคลุมนอน บรรยากาศเงียบ วังเวง ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงหมาเห่า
ผมหลับไปตอนไหนก็ไม่ทราบ จนมีใครสักคนมาเขย่าแขน ผมลุกตื่นตกใจ เห็นแจ็คนังอยู่เบาะข้างๆ ทำท่าทีเลิกลัก
"เอ๋ๆ" แจ็คกระซิบ แล้วชี้มือขึ้นไปบนหลังคารถ ผมมองตามไม่เห็นอะไร แต่สักครู่ก็ได้ยินเสียงแว่วมาจากบนหลังคา เป็นเสียงคล้ายกับใครกำลังเดินลากวัตถุอะไรสักอย่าง ลากไปลากมาอยู่บนนั้น รู้สึกกขนลุกเกรียวขึ้นทันใด
ตอนที่ได้ยินเสียงลากน่ามีกินเวลาประมาณ 1 นาที แล้วเสียงก็หายไป ตอนนี้ทุกคนตื่นหมดแล้ว และรับรู้เหตุการณ์นี้พร้อมเพรียงกัน พี่คนขับรถและเพื่อนสองสามคนต่างประนมมือไหว้พระที่ห้อยคอติดตัวแต่ละคนมา ส่วนผมกับแจ็คก็ต่างคนต่างมองไปรอบๆ บรรยากาศโคตรวังเวง
"กูว่าพวกเราอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้วว่ะ ขึ้นหอกันดีมั้ย" เพื่อนคนที่บ้านอยู่ในจังหวัดนี้พูดไม่ทันจบ รถบัสก็เริ่มเคลื่อนไหว โคลงเคลงไปมาเหมือนแผ่นดินไหว เพือนบางคนเสียหลักล้ม พวกเราต่างขวัญเสีย เกาะเบาะนั่งไว้แน่น พี่คนขับร้องตะโกนออกมา อย่าทำอะไรกันเลย จะทำบุญไปให้
ไม่นานรถหยุดนิ่งเป็นปกติ หลายคนถอนหายใจโล่ง ได้แต่มองไปรอบๆ ในความมืด
"ปึง" แล้ว ประตูรถบัสด้านหน้าก็เปิดออก...
ด้วยความตกใจพี่คนขับรถล้มเสียหลักเทมาที่ท้ายรถ สมทบกับพวกเรา ..
มันเริ่มจากมือ ที่ค่อยๆคลานขึ้นมาบนตัวรถ เห็นผู้หญิงผมดำยาว ยาวมาก ในชุดนักศึกษาสีขาว ค่อยๆ คลานขึ้นมาบนรถบัส มือข้างหนึ่งถือโซ่ลากขึ้นมาด้วย เสียงโซ่ลากพื้นรถดังครืดคราดก็โคตรสยองขวัญสั่นประสาท พวกเราได้แต่ตกใจ ร้องไห้เสียงสั่น ไหว้ประนมมือด้วยความกลัว
เธอก็ยืนขึ้น แสยะยิ้มเป็นยิ้มที่ดูเป็นมิตรอย่างประหลาด
แล้วโยนโซ่มาตกพื้นกลางรถ พวกเราต่างกระโจนแตกตัวไปยึดเบาะด้วยความตกใจ
... แล้วผู้หญิงคนนั้นก็หายไป
ทิ้งไว้แต่เพียงโซ่
ใช้เวลาตั้งสติสักครู่ เมื่อเห็นว่าทุกอย่างปกติแล้ว พี่คนขับรถจึงไปเปิดสวิตช์ไฟ ทำให้ในรถตอนนี้สว่างขึ้นมา
เราเข้าไปสำรวจโซ่เส้นนั้น ผมสังเกตว่ามันมีสภาพเก่ามาก เต็มไปด้วยสนิมและฝุ่นจับ มีใยแมงมุมพันหนาในบางข้อ และมีแม่กุญแจห้อยอยู่ด้วย
ผมจำได้ว่า นี่คือโซ่เส้นเดียวกับที่คล้องปิดหอพักนี้ และจำได้ว่า ลุงยามวัยชราคนนึงที่เดินมาเปิดให้เรา เป็นคนเอาไปเก็บ
ขณะนั้นเอง เสียงไก่ขันก็ดังขึ้นไกลๆ นาฬิกาในรถบอกเวลาตีห้า..
.
เช้าวันนั้นทุกคนไปรอตักบาตรพร้อมกันที่หน้าวิทยาลัย เราซื้อของกันคนละนิดละหน่อย ใส่บาตรพระและเณรที่เดินผ่านหน้ารั้ว รวม 9 รูป
จากนั้นในขณะที่กำลังรอรถบัสคันใหม่มาเปลี่ยนแทนคันเก่าที่เพลาหัก พวกเรานั่งล้อมวงรวมตัวกันที่ใต้ร่มไม้ บริเวณสนามบาสที่ใช้เป็นลานจอดรถ
โดยมีโซ่เส้นนั้นเป็นของกลาง
...
พวกเราเริ่มเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนในรถบัส ทั้งเสียงลากโซ่ ผู้หญิงที่คลานขึ้นมา และโซ่เส้นนั้น
หลายคนตั้งข้อสมมุติฐานที่เกิดขึ้น
...
"กูว่าโซ่เส้นนี้ต้องมีอาคม เป็นของผีหรือเปล่า" เพื่อนบางคนพูดขึ้น ท่ามกลางเสียงอื้ออึง วิพากษ์วิจารณ์
"ถ้ามีอาคม ผีจะจับได้ไงวะ ... เชื่อกูกูดูหนังผีเยอะ" จากนั้นมีเสียงสบถโห่พร้อมเสียงหัวเราะครืนตามมาจากเพื่อนๆ
พวกเราต่างออกความเห็นบางอย่างอีกสองสามความเห็น ที่ก็ไม่ค่อยจะเข้าท่าเท่าไหร่...
...
แต่ก็มีหนึ่งความคิดที่น่าสนใจ จากอ้อย คนที่วิ่งหนีเสียงอาบน้ำพร้อมผม
"แต่เราว่านะ ... มันน่าจะมีอะไรสักอย่าง เช่น โซ่เป็นของใครสักคน ที่วิญญาณผู้หญิงคนนั้นกำลังอาฆาตหรือกำลังแค้นหรือเปล่า"
"นั่นสิ น่าสนใจ ไม่งั้นเขาจะโยนมาให้พวกเราทำไม" ผมสนับสนุนความคิดอ้อย
"ใช่ๆ บางที มันอาจจะมีเงื่อนงำอะไรสักอย่างก็ได้นะ " แจ็ค ผู้ที่พ่อและพี่นายเป็นตำรวจจากภาคใต้ ให้ความเห็นในฐานะที่คลุกคลีวงการสืบสวนมาทั้งชีวิต "จริงๆ เราควรจะเริ่มสืบจากโซ่นี่แหล่ะ อาจจะเอาไปตรวจลายนิ้วมือ (สมัยนั้นยังไม่มีเทคโนโลยีตรวจดีเอ็นเอ) หรือสืบหาว่าใครเป็นเจ้าของ " แจ็คสำทับความคิดตนเอง
...
ทุกคนแสดงออกว่าเห็นด้วยกับความคิดนี้ แต่ด้วยบังเอิญที่รถบัสคันใหม่มาถึงพอดี พวกเราจำเป็นต้องรีบเดินทางต่อไปอีกจังหวัดหนึ่ง
ซึ่ง บิว เพื่อนที่มีบ้านอยู่ในตัวจังหวัดนี้ รับอาสาจะเอาโซ่ไปให้พ่อของเพื่อนที่เป็นนายตำรวจประจำจังหวัดตรวจสอบ บิวบอกว่าเดี๋ยวไปจัดการเรื่องโซ่แล้ว จะให้พ่อขับรถตามไปสมทบที่จุดหมายต่อไปของพวกเราในตอนเย็น
...
เมื่อตกลงได้ดังนั้น พวกเราเลยออกเดินทางต่อ...
.
.
.
กว่าเราจะมาถึงจังหวัดที่หมายต่อไปในการทัวร์สถาปัตยกรรม ก็เป็นช่วงเที่ยง เราเลยแยกย้ายกันกินข้าวในตัวตลาด แวะซื้อของฝากพวกกระเป๋าใบเล็กๆ ฝีมือชาวเขาติดไม้ติดมือกันมาบ้าง ซึ่งก็ปาเข้าไปเกือบๆ บ่ายสอง ...ทางอาจารย์ก็เลยเปลี่ยนกำหนดการให้พวกเราเข้าไปเยี่ยมชมวัดในเมืองเพียงวัดเดียว เพื่อที่ตอนเย็นจะได้ทันเวลาเข้าที่พัก ซึ่งเป็นหอพักในมหาวิทยาลัยประจำจังหวัด ที่อยู่ไม่ไกลจากวัดนัก
.
เมื่อถึงที่วัดไม่นาน ประมาณบ่ายสาม ขณะที่พวกเรากำลังถ่ายรูปและสเก็ตช์ภาพอุโบสถวัดอันงดงามประจำวัฒนธรรมล้านนาอยู่นั้น เสียงแพคลิงค์ (อุปกรณ์ฝากข้อความสมัยนั้น) ของแจ็คก็ดังขึ้น
.
เป็นข้อความจากบิว ให้โทรกลับ...ด่วน แจ็คจึงขออนุญาติอาจารย์ไปโทรศัพท์ที่ตู้หน้าวัด พวกเราหลายคนก็เลยพยายามเร่งงานให้เสร็จ เพราะอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
.
แจ็คหายไปนานพอสมควรเกือบๆ ครึ่งชั่วโมง ไม่นานก็เดินกลับมาสมทบพวกเราที่หน้าวัด แจ็คเดินเข้าไปพูดคุยกับอาจารย์ก่อน ที่จะเดินมาหาพวกเรา ตอนนั้นอาจารย์ก็เร่งให้พวกเราถ่ายสไลด์เพราะกลัวแสงจะหมดก่อน และหลายคนต้องรีบวัดระยะต่างๆ เลยยังไม่มีใครมีโอกาสพูดคุยกันกับแจ็คว่าบิวว่ายังไงบ้าง ..
.
แต่ขณะที่ผมกำลังสเก็ตช์งานอยู่ใต้ร่มไม้ แจ็ค ก็เดินมานั่งลงข้างๆ แล้วพูดออกมาเบาๆ ...
.
"ไอ้บิวรถล้ม"
ผมตกใจ หันไปสบตากับมัน ใบหน้าแจ็คค่อนข้างเครียด
.
ที่ตู้โทรศัพท์
"เฮ้ย บิว เป็นไงบ้างวะ"
"เออ แจ็ค เราได้เรื่องแล้วว่ะ แต่ตอนนี้เราเข้าโรงบาล หมอพึ่งใส่เฝือกให้เสร็จ... แขนเราหักว่ะเพื่อน"
"อ้าว เป็นไรมากมั้ยวะ โดนผีหลอกเหรอบิว โห มันเฮี้ยนจริงๆ นะเนี่ย "
"อ้อ ป่าวเพื่อน หมาตัดหน้า เราเลยหักหลบแขนไปชนหลักกิโล ..อูย"
เมื่อตั้งสติได้แล้ว บิว ก็เล่าเหตุการณ์ก่อนหมาตัดหน้ารถ... บิวได้นำเอาโซ่พร้อมเรื่องราวที่เกิดขึ้นไปสอบถามพ่อของเพื่อน ที่เป็นนายตำรวจประจำจังหวัด เมื่อนายตำรวจฟังแล้วก็ไปค้นแฟ้มรายงานสรุปคดีเก่าเมื่อกว่าสิบปีที่แล้ว มาเปิดหาข้อมูล
เมื่อหาไปเรื่อยๆ ถึงหน้าหนึ่ง ก็มีรูปภาพหลุดออกมาจากแฟ้ม เป็นภาพหญิงสาวผมยาวในชุดขาว นอนอยู่ข้างๆ อ่างน้ำในห้องอาบน้ำรวม มีเลือดไหลออกมาจากร่างกายเธอ ใบหน้าเละเทะสยดสยอง
สายสืบเจ้าของคดี ตั้งชื่อให้กับรายงานสรุปคดีชิ้นนี้ว่า : หญิงสาวผู้ฝันสลาย
:
1- โย หญิงสาววัย 23 เธออาศัยอยู่กับครอบครัวที่ต่างอำเภอ เธอเป็นนักศึกษาพยาบาล และอยู่ระหว่างฝึกงานที่โรงพยาบาลใกล้ๆ วิทยาลัย
.
2- โย เป็นคนพูดน้อยแต่เฉลียวฉลาด เธอใฝ่ฝันอยากเป็นพยาบาลเพื่อช่วยเหลือสังคมและตั้งใจเรียนอย่างหนักเพื่อทำความฝันให้เป็นจริง เป็นนักเรียนทุนดีเด่น ได้รับเกียรติบัตรจากวิทยาลัย
.
3- โย มาจากครอบครัวที่ยากจนจากต่างอำเภอ พ่อของเธอเป็นภารโรง ต้องเอาที่ดินไปจำนองเพื่อให้ลูกสาวได้เรียนต่อ เธอจึงช่วยแบ่งเบาภาระของพ่อแม่ด้วยการรับสอนพิเศษเด็ก ๆ และทำงานพาร์ทไทม์ต่าง ๆ เป็นค่าใช้จ่ายระหว่างเรียน
.
4- โย มีคนรักชื่อ วิน อายุ 25 ปี เป็นโฟร์แมนรับเหมาก่อสร้าง ทั้งคู่รู้จักกันมา 2 ปีแล้ว และวางแผนจะแต่งงานกัน
.
5- วันเกิดเหตุ ศุกร์ที่ 31 ตุลาคม 2529 โย กับ วิน ชวนกันไปดูหนังที่โรงหนังในตัวเมือง เมื่อหนังจบวินก็พาโยขี่มอเตอร์ไซค์มาส่งที่หอ ช่วงนั้นเป็นช่วงปิดเทอมจึงมีคนอยู่ไม่มากนัก หลายคนก็เข้าเวรภาคกลางคืน ... ทั้งคู่นั่งคุยกันสักพักที่ใต้หอ กว่าวินจะกลับก็เป็นเวลาเกือบสี่ทุ่ม
.
6- ในเวลาเดียวกัน กลุ่มยามเฝ้าหอ 4 คน นั่งดื่มเหล้าอยู่บริเวณใกล้ๆ หอ เมื่อมอเตอร์ไซค์ของวินขี่กลับไป พวกยามเห็นโยเดินลงจากหอ ไปเปิดไฟหน้าห้องอาบน้ำ เมื่อเมาได้ที่ ทั้ง 4 คนจึงพร้อมใจกันไปข่มขืน โย เพราะเฝ้าดูหญิงสาวมานานแล้ว (จากคำให้การของจำเลย)
.
7- พวกมันลากโยจากหน้าประตูเข้าไปข่มขืนในห้องน้ำ หญิงสาวต่อสู้ขัดขืนสุดชีวิต รวมทั้งกัดคนร้าย พวกมันโกรธมาก ฟาดเธอด้วยโซ่เหล็ก จับมัดแล้วรุมข่มขืนอย่างทารุณ จนเธอบาดเจ็บสาหัส จากนั้นก็เอาโซ่เส้นนั้นพันปิดประตูไว้ และหลบหนีไป ทิ้งให้เธอตกเลือดตายอย่างทรมานในห้องน้ำในเช้าวันรุ่งขึ้น
.
8- วันต่อมา หัวหน้ายามของตึกมาเข้าเวรในตอนสาย ได้ยินเสียงผู้หญิงแว่วๆ ช่วยด้วยๆ อยู่ภายในห้องน้ำ จึงใช้ประแจตัดเหล็กตัดโซ่ออก จนพบศพของโย
.
9- สองเดือนต่อมา เมื่อสืบจากลายนิ้วมือและประวัติอาชญากรรม ตำรวจสามารถตามจับคนร้ายที่ก่อเหตุได้ หลังจากหลบหนีมาทำงานเป็นยามที่กรุงเทพฯ แต่ก็สามารถจับได้เพียงสามคน ทั้งสามให้การรับสารภาพ และถูกตัดสินจำคุกคนละสามสิบปี พร้อมให้การซัดทอดเพื่อนร่วมกระทำอาชญากรรมอีกคนหนึ่งด้วยเช่นกัน...
ซึ่งจนถึงตอนนี้ ตำรวจก็ยังตามจับชายคนนั้นไม่ได้
...
เมื่อแจ็คเล่าถึงตรงนี้ รถบัสของคณะก็พาพวกเรามาถึงหอพักของมหาวิทยาลัยประจำจังหวัด ที่ที่เราจะพักกันในคืนนี้
.
สาบานว่า บรรยากาศมันวังเวงน่ากลัวไม่ต่างอะไรกับหอนอนคืนเมื่อวาน...
หอที่เรามาพักเป็นหอหญิง(อีกแล้ว) เป็นตึกปูนสี่ชั้น แต่ละชั้นจะซอยแยกห้องเป็นหลายๆ ห้อง ในห้องจะมี 2 เตียง เป็นเตียงสองชั้น นอนพักได้ห้องละ 4 คน และมีห้องน้ำรวมในแต่ละชั้น ที่กั้นเป็นห้องอาบน้ำและห้องน้ำ ประมาณคร่าวๆ ว่าพึ่งสร้างใหม่ไม่กี่ปี แต่บรรยากาศก็ค่อนข้างวังเวงเพราะอยู่ห่างไกลตึกอื่นๆ อยู่พอสมควร
.
เมื่อมาถึง ผู้หญิงได้รับอนุญาติให้เลือกห้องได้ก่อนที่ชั้นสอง ผมได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักของเพื่อนผู้หญิง นำโดยอ้อย เลยเดินเข้าไปดู
"ขำไรกันเหรออ้อย"
อ้อยดึงกระดาษสีขาวขุ่นที่ติดที่หน้าประตูมาให้ผมดู "อ่ะ เอ๋ดูสิ ฮาป่ะ 55"
มันเป็นกระดาษขนาดจดหมาย มีเส้นตีบรรทัด เขียนด้วยลายมืดหวัด ลายเส้นปากกาขนาดใหญ่เขียนว่า ... "เต็มแล้ว"
อ้อยขยำๆ กระดาษและโยนทิ้งที่ถังขยะตรงริมทางเดิน จากนั้นพวกเราก็แยกย้าย
.
หลังจากจับกลุ่มรูมเมทเลือกห้องนอนกันได้ครบ และอาบน้ำอาบท่าเตรียมตัวนอน ตอนนี้ถึงเวลาที่ทุกคนต้องแยกย้ายกันเข้าห้อง แต่กลายเป็นว่า ห้องที่ผมกับแจ็คนอนอยู่ด้วยกันที่ชั้นสามนั้น กลับเต็มไปด้วยเพื่อนๆ ผลัดเปลี่ยนเข้ามาสอบถามอาการของบิว และความคืบหน้าเรื่องโซ่เส้นนั้น ซึ่งกว่าจะเล่าเสร็จจนครบทุกกลุ่ม ก็ร่วมๆ เที่ยงคืน เล่นเอาแจ็คถึงกับเหนื่อยหน่ายที่ต้องเล่าอะไรซ้ำๆ สี่ห้ารอบ
"เดี๋ยวกูอัดเทปให้พวกฟังดีมะ เมื่อยปากไปหมดแล้ว"
.
เมื่อทุกคนกลับไป และอาจารย์ดับไฟทางเดินแล้ว ผมรีบไหว้พระสวดมนต์ ใส่หูฟังเพลงจากเครื่องเล่นเทปวอล์คแมนที่เอามาด้วย เพื่อให้หลับไป ...
.
คืนนั้นไม่มีอะไรเกิดขึ้น
จนกระทั่งพวกเราได้ยินเสียงผู้หญิง กรี๊ด ดังมากจนสะดุ้งตื่นกันทั้งตึก
.
ทุกคนต่างวิ่งกันลงไปที่ชั้นสอง ต้นเสียงมาจากห้องอ้อยที่เปิดแง้มอยู่ เห็นเพื่อนผู้หญิงหลายคนมุงออกมาจากห้องนั้น
ผมกับแจ็ครีบวิ่งเข้าไปดู..
.
"เฮ้ย อ้อย เป็นอะไร" ผมตะโกนเรียกอ้อยเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
.
อ้อย เพื่อนหญิงจอมซนของพวกเรา นอนหงายห้อยหัวจากเตียงชั้นบน ผมยาวๆ ของอ้อยปรกลงมาปิดบังใบหน้า ตัวของอ้อยสั่น มีเสียงครางเหมือนคำรามอยู่ในลำคอ ขนผมลุกเกรียวแทบจะในทันที .. ส่วนเพื่อนร่วมห้องอีกสามคนนั่งกอดกันที่อีกมุมนึงของห้อง.. ร้องไห้ ขวัญหนีดีฝ่อ ส่วนเพื่อนผู้หญิงที่มาถึงก่อนต่างไม่มีใครกล้าทำอะไร ยืนนิ่งด้วยความกลัว...
.
ผมพยายามจับใจความเสียงครางกึ่งคำรามของอ้อย มันน่ากลัวบอกไม่ถูก เหมือนมีเสียงสองเสียงในคนเดียวกัน ..เป็นเสียงพูดวนๆ ซ้ำไปซ้ำมา และมันก็ค่อยๆ ชัดขึ้นว่า...
.
..."ขออออ ออออยู่ ด้วยยยยย สสสสสิ"...
สิ้นเสียงสุดท้าย อ้อยก็หมดสติ พวกเรารีบไปประคองตัวอ้อยก่อนที่จะร่วงลงมาจากเตียง
.
.
อยากบอกว่า เรื่องนี้อาจจะยาวกว่าที่ผมเคยวางแผนไว้ ... เพราะมีดีเทลต่างๆ มากมายที่เก็บไว้ในความทรงจำมานาน
บางครั้ง เมื่อติดตรงจุดไหน ผมต้องโทรศัพท์ไปคุยกับเพื่อนๆ บางคน ที่หลังจากจบก็ได้แยกย้ายกันไปใช้ชีวิตทำงานมีครอบครัวกันในจังหวัดต่างๆ
เพื่อให้เรื่องราวสมบูรณ์ ... ซึ่งอยากให้ทุกท่านทำใจสบายๆ อดใจรอ และขออภัยถ้าใช้ข้อเขียนที่หยาบคายหรือไม่ค่อยเป็นภาษาเขียนเท่าไหร่ พิมพ์ผิดบ้างอะไรบ้าง ด้วยความที่ไม่ค่อยได้เขียนเล่าเรื่องอะไรยาวๆ มาก่อนครับ
.
และขอขอบคุณที่เฝ้าติดตามนะครับ จะพยายามเขียนออกมาให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ครับ
.
มาเข้าเรื่องกันต่อนะครับ
.
.
.
เพื่อนหญิงรูมเมทของอ้อยเล่าให้ฟังว่า คืนนั้นทั้งคืน อ้อยมีอาการเพ้อ พูดจาไม่เป็นประโยค ร้องละเมอ เหมือนกลัวว่ามีใครจะมาทำร้าย
จนรุ่งเช้า อาจารย์พาอ้อยไปที่โรงพยาบาลประจำมหาวิทยาลัยที่เราเข้าพัก
ส่วนพวกเราก็ไปเยี่ยมชมงานสถาปัตยกรรมเก่าๆ ในตัวจังหวัดตามโปรแกรมทริปที่วางไว้
แต่ตอนนี้ ทุกคนต่างไม่มีกระจิตกระใจในการทำงาน ต่างจับกลุ่มคุยกันถึงเรื่องราวในสองสามคืนที่ผ่านมา
บางคนคิดจะไปเช่าโรงแรมนอนกันเอง ไม่อยากไปนอนตามหอพักนักศึกษา เพราะกลัวจะโดนเหมือนที่ผ่านมา
หลายคนถึงกับเข็ดขยาด ไม่อยากจะร่วมไปกับทริปนี้แล้ว อยากกลับบ้านเร็วๆ.. จากเดิมที่จะต้องมีโปรแกรมต่ออีกสองสามวัน
.
ตกสายๆ อาจารย์ก็พาพวกเราไปทำบุญเลี้ยงเพลที่วัดเล็กๆ แห่งหนึ่งในจังหวัด ..
"อ้อยรู้สึกตัวดีขึ้นแล้ว แต่หน้ายังซีดอยู่"
อาจารย์เล่าให้ฟังว่าอ้อยมีอาการอ่อนเพลีย คุณหมอจึงให้ใส่สายน้ำเกลือและนอนพัก 1 คืน
และได้แจ้งกับทางญาติของอ้อยแล้วให้มารับกลับในวันพรุ่งนี้ เพราะอ้อยยังมีท่าทางหวาดกลัว และยืนยันว่าจะขอกลับบ้าน
.
อาจารย์จึงปรึกษาพวกเราว่า จะตัดจบทริปนี้ในวันนี้เลยจะดีมั้ย เพราะตอนนี้อารมณ์แสวงหาความรู้ทางช่างโบราณ
ของทั้งพวกเราและอาจารย์ก็คงเหลือน้อยเต็มทีแล้ว ไว้ปิดเทอมหน้าค่อยวางแผนมาใหม่ แล้วหาที่พักที่เหมาะสมกว่าเดิม ดีมั้ย
"ดีครับจารย์ เพราะตอนนี้เวลาวาดรูป เส้นสเก็ตช์ภาพของผมมันสั่นจนกระดาษขาดไปหมดแล้ว"
แจ็คพูดพร้อมพยายามปล่อยมุขขำๆ แต่เพื่อนก็โดนเพื่อนบางคนอำต่อว่า
"ปกติเส้นแจ็คก็สั่นจนเส้นผนังกลายเป็นลายปูนปั้นอยู่แล้วนะ" พร้อมเสียงฮาตามมาของเพื่อนๆ
พวกเราทุกคนก็เห็นตามความคิดของอาจารย์ ... เราจึงตกลงกันว่าคืนนี้จะเป็นคืนสุดท้ายของทริป
และจะเดินทางกลับมหาลัยของพวกเรากันในเช้าวันรุ่งขึ้น...
.
แต่เมื่อประชุมทีมเสร็จที่วัดในช่วงบ่ายแก่ๆ .. ก็เกิดเมฆตั้งเค้า พร้อมพายุฝนลูกใหญ่พัดตามเข้ามติดๆ
ทำให้พวกเราต้องหนีเม็ดฝนพร้อมลูกเห็บเม็ดเป้งๆ หลบกันมาอยู่ในศาลาการเปรียญใหญ่ที่ท้ายวัด
"ฝนมาแรงๆ แบบนี้ จะตกแป๊บเดียว เดี๋ยวก็หยุด" เสียงพี่คนขับรถพูดขึ้นเหมือนจะปลอบใจตัวเขาเอง
พี่คนขับรถ ชื่อ นุ เป็นคนพื้นเพภาคเหนือ จะพูดจาค่อนข้างเอื้อนตามสไตล์คนอู้(คำเมือง) พี่นุเป็นคนตลก ใจดี แต่ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร แกเป็นพนักงานขับรถบัสของทางคณะ ที่อาจารย์ขอให้มาช่วยขับรถทัวร์ในทริปนี้ เพราะชำนาญทางและเคยขับรถทัวร์มาก่อน (สมัยนั้นไม่มีกูเกิลแมบนะครับ หลงเป็นหลง ต้องใช้การถามและกะระยะเอาอย่างเดียวถ้าไม่รู้จักเส้นทาง เพราะวัดหลายๆ แห่งที่อาจารย์พามานั้นไม่ปรากฏในแผนที่เดินทาง)
.
ตกเย็น ฝนไม่มีทีท่าจะหยุด เราจึงต้องติดอยู่กันที่นั่น ที่วัดนั้นเป็นวัดเล็กๆ อยู่ห่างตัวเมืองออกมาต่างอำเภอประมาณชั่วโมงนิด ๆ แต่บรรยากาศวัดช่างเงียบเหงาเพราะตั้งอยู่ในผืนป่าเชิงเขา ทางเข้าเป็นถนนดินลูกรัง ห่างมาจากปากทางเข้าหลายกิโลเมตร มีพระและเณรจำพรรษาอยู่ไม่กี่รูป เหตุผลที่เราดั้นด้นมาที่นี่ก็เพราะวัดนี้มีโบสถ์เล็กๆ อายุนับร้อยปี เป็นสถาปัตยกรรมล้านนาที่มีสัดส่วนเป็นเอกลักษณ์ มีรูปเขียนสีโบราณหลงเหลือลางๆ ที่ประตูไม้สัก ที่ราวบันไดทางขึ้นมีรูปปั้นปูน “ตัวมอม” สัตว์หิมพานต์ชนิดหนึ่งที่มีลักษณะโดดเด่น มักปรากฏคู่กับวัดและวิถีชีวิตของชาวล้านนา ตัวมอม มีลักษณะคล้ายสัตว์หลายชนิดผสมกันทั้ง แมว ตุ๊กแก กิ่งก่า ลิง เสือ มีแขนยาว ลำตัวยาวยืดคล้ายสัตว์เลื้อยคลาน สำหรับผม รูปปั้นตัวมอมนี้ในบางมุมก็ดูน่ารัก ตลก ขำๆ แต่ในเวลาฝนกระหน่ำผสมฟ้าร้องฟ้าแลบเช่นนี้ มันกลับดูน่ากลัวน่าเกรงขามเหลือเกิน ...
.
จากโบสถ์ห่างไปทางท้ายวัดประมาณหนึ่งสนามฟุตบอล ก็เป็นศาลาที่พวกเราใช้เป็นที่หลบพายุฝน เป็นศาลาเก่าขนาดใหญ่ทำจากไม้สัก ขนาดกว้างประมาณแปดเมตร ยาวประมาณสิบสองเมตร พื้นเทปูนยกสูงจากพื้นดินโดยรอบประมาณหนึ่งคืบ ...
ซึ่งตอนนี้เมื่อใกล้พลบค่ำ น้ำฝนที่เทกระหน่ำลงมานับชั่วโมง ก็ท่วมพื้นดินโดยรอบอละเอ่อขึ้นมาจนจะถึงขอบพื้นปูนแล้ว
"จะท่วมมั้ยวะเนี่ย ตกหนักชิ....หาย" แจ็คถามพลางสบถ
"กูว่าไม่นะ ดูทางน้ำสิ" ผมพูดพลางชี้มือให้แจ็คดูสายน้ำที่ไหลผ่านร่องน้ำข้างศาลา ไหลยาวไปทางด้านหลัง..
เราเดินตามขอบชายคาตามสายน้ำไปดูที่ท้ายศาลา ซึ่งมีผนังแผ่นไม้ตีปิดทึบอยู่ด้านเดียว
แจ็คยื่นหน้ามองออกไปทางด้านหลังศาลา แล้วยื่นหน้ากลับเข้ามามองหน้าผม สีหน้าประหลาด
"มีอะไรวะแจ็ค" ผมถาม
"ข้างหลังนี่น่ะ เป็น..."
แจ็คไม่พูดต่อ ผมเลยออกยื่นหน้ามองไปดูบ้าง
.
ใช่ครับ... ข้างหลังศาลาที่เราหลบฝนอยู่ มันคือ ...ป่าช้า
.
ถึงตรงนี้เสียงฟ้าร้องดังกระหึ่ม
และมืดพอดี..
แสงจากตะเกียงเจ้าพายุ 4 ดวง ถูกจุดขึ้นภายในศาลาการเปรียญ พวกเราช่วยกันจัดที่หลับที่นอนด้วยเสื่อและหมอนที่พระลูกวัดกรุณานำมาให้ ..เพราะพี่นุคนขับรถให้ความเห็นว่าแม้ฝนจะเริ่มซาลงแล้วแต่ทางข้างนอกค่อนข้างมืด ประกอบกับถนนลูกรังอาจจะทำให้รถบัสของพวกเรามีปัญหาได้ จึงแนะนำให้นอนค้างก่อนค่อยเดินทางต่อในตอนเช้า จะปลอดภัยกว่า
ผมกับแจ็คเลือกปูเสื่ออบริเวณหน้าศาลาทิศตรงข้ามกับด้านหลังศาลาที่เป็นป่าช้า เราทั้งคู่ตัดสินใจที่จะไม่เล่าเรื่องป่าช้าหลังศาลาให้ใครฟัง
"คืนนี้...จะมีมั้ยวะเอ๋" แจ็คจ้องหน้าถามผม สายตาดูหวั่นวิตก ...ผมเลยปลอบใจเพื่อนไปว่า
"มีอะไรหนักเท่าคืนในรถบัสอีกเหรอวะเพื่อน และตอนนี้พวกเราก็อยู่ในวัด ...กูว่าไม่น่ามีอะไรนะ"
แจ็คได้แต่พยักหน้ายอมรับสถานการณ์
หลังจากทานมาม่าและอาหารกระป๋องที่เณรนำมาให้พอประทังความหิวกันแล้ว พวกเราก็มาล้อมวงประชุมกันกลางศาลา อาจารย์เปิดประเด็นขอโทษพวกเราทุกคนที่ทริปนี้มีสิ่งติดขัดในเรื่องที่พัก แต่พวกเราทุกคนต่างก็ให้กำลังใจและแลกเปลี่ยนสิ่งดีๆ มากมายที่ได้จากการมาทัศนศึกษาครั้งนี้ มีการพูดถึงเหตุการณ์ประทับใจและเรื่องขำๆ กันทำให้บรรยากาศน่าวังเวงกลางวัดป่า มีความครึกครื้นขึ้นมาได้บ้าง
เมื่อถึงเวลาประมาณสามทุ่มเราก็แยกย้ายกันเข้านอน..บางคนยังเปิดไฟฉายจดบันทึกในสมุด บางคนอ่านหนังสือ แต่ส่วนใหญ่ก็เริ่มงีบหลับกันแล้ว
แจ็คกำลังไหว้พระสวดมนต์..ส่วนผมก็ใส่หูฟังเปิดเพลงจากวอล์คแมนเพื่อทำลายความวังเวงในจิตใจ..
ผมนึกเป็นห่วงบิวกับอ้อย...โดยเฉพาะอ้อย ภาพดวงตาของอ้อยขณะห้อยหัวที่เตียงเมื่อคืนวานนั้นยังติดตาผม ..มันเป็นสายตาที่แสนอาฆาต น่ากลัวบอกไม่ถูก เหมือนเป็นคนละคนต่างจากสาวห้าวจอมซนที่พวกเราคุ้นเคย ผมหวังว่าอ้อยจะไม่เป็นอะไรมาก
...จาก Oasis เปลี่ยนเป็น Blur จนมาถึง Nirvana... ตอนนี้ผมเปลี่ยนเทปคาสเซ็ทมาสามสี่อัลบั้มแล้วก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหลับ ตอนนั้นน่าจะเป็นเวลาเกือบๆ ตีหนึ่ง ฝนหยุดตกแล้ว..
สักพัก แจ็คพลิกตัวนอนตะแคงหันมาทางผมแล้วเปิดไฟฉายส่องมาจนผมแสบตา
"เป็นเหี้..ย...ไร" ผมถาม แจ็ครีบทำท่าจุ๊ปากแล้วบอกให้ผมถอดหูฟัง.. "ได้ยินมั้ย"
.
ผมค่อยๆ ปรับสภาพหูจากการฟังซาวน์กีตาร์ของพี่เคิร์ทโคเบน ...ทีแรกไม่ได้ยินเสียงอะไร แต่สักพักก็ได้ยินเสียงคล้ายๆ มีใครเดินช้าๆ อยู่ด้านหลังศาลา
ใช่ครับ...ตรงนั้นคือ ป่าช้า
"เอาไงดีวะเอ๋" แจ็คถามด้วยเสียงหวั่นๆ
"กูว่า เราปล่อยเค้าเดินไปมะ... เราอย่าไปยุ่งเลยดีกว่าแจ็ค"
เรานิ่งนอนฟังเสียงนั้นสักพัก
"ใครมันจะมาเดินใน..ตอนนี้วะ"
"อย่าทักสิ ไอ้เวร .." ผมสบถใส่แจ็ค
แล้วเสียงเดินก็หยุดลง สักพัก มันกลายเป็นเสียงสะอื้น... เสียงผู้หญิงกำลังร้องไห้ดังเบาๆ มาตามสายลม ตอนนี้ผมขนลุก บรรยากาศเย็นวาบ เห็นเพื่อนบางคนสะดุ้งตื่นขึ้นมาร่วมรับฟังเสียงนั้น ซึ่งเริ่มดังขึ้นๆ เรื่อยๆ จนหลายคนตื่นขึ้นมา
"ลูกแม่... ลูกอยู่ไหนนนนน..." เสียงดังกังวานจนทุกคนสะดุ้ง จากนั้น พี่นุคนขับรถรีบลุกขึ้นยืนพร้อมตะโกนบอกพวกเรา .. "เฮ้ยน้องๆ วิ่งไปที่โบสถ์ เร็ว"
จากนั้นพวกเรา..เหล่านักศึกษาคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ก็ได้กลายร่างเป็นนักวิ่งสี่ร้อยเมตรระดับซีเกมส์... ต่างวิ่งหน้าตั้งตีนเปล่ากันแบบไม่คิดชีวิตไปที่โบสถ์อีกฟากของศาลา
ผมคิดว่าถ้ามีใครจับเวลาไว้ พวกเราบางคนอาจได้สิทธิ์เข้าไปคัดตัวเป็นนักวิ่งทีมชาติได้สบายๆ..
คืนนั้นพวกเราแออัดยัดเยียดกันอยู่ในโบสถ์ จนรุ่งสางพี่นุจึงได้ไปตามเจ้าอาวาสมารดน้ำมนต์พวกเรา ... จนเช้าพวกเราจึงได้กลับไปเก็บของโดยมีพระทั้งวัดมาเป็น รปผ.คอยดูแลความปลอดผี
ขณะที่พวกเราขนของขึ้นรถบัสเตรียมตัวกลับ เณรลูกวัดรูปหนึ่ง..ได้เล่าเรื่องที่มาของเสียงชวนขนลุก ให้เพื่อนบางคนได้รับฟัง... และถ่ายทอดให้ทุกคนฟังต่อในรถ
...เมื่อไม่กี่ปีก่อน มีผู้หญิงท้องในหมู่บ้าน ตกบันไดบ้านตกเลือดจนเสียชีวิตพร้อมลูกในท้อง ขณะที่ผัวไปทำงานในเมือง..ด้วยความเชื่อความกลัวที่มีของชาวบ้านว่าผีตายทั้งกลมจะเฮี้ยนถ้ามีลูกในท้อง ชาวบ้านจึงให้ผ่าศพเอาลูกไปฝังไว้ที่อีกป่าช้าหนึ่งต่างหมู่บ้าน
...ที่นี้ทุกๆ คืนก่อนวันพระ...จะมีเสียงเหมือนผู้หญิงคนนั้นเดินตามหาและร้องเรียกหาลูก.. จนคนที่ผ่านไปมาหวาดกลัวไม่กล้าออกจากบ้านหรือผ่านมาที่วัด.. โดยเฉพาะในเวลากลางคืน
..ซึ่งอีกสามวันจะมีเกจิอาจารย์มาทำพิธีนำศพเด็กกลับมาฝังไว้ข้างๆ ศพผู้หญิงคนนั้นเพื่อลดความเฮี้ยน...โชคดีของพวกเราที่มาเจอแจ็คพ็อตก่อน
...เณรน้อยยิ้มส่งท้ายก่อนโบกมือบ๊ายบายให้พวกเรา..."แล้วแวะมาใหม่เน่อเจ้า"...แม้จะมีความเป็นมิตรมากๆ แต่ผมเชื่อว่าไม่มีใครอยากกลับมาที่นี่อีก...เพราะตอนนี้พวกเราต่างสะสมความขนลุกขนพอง สยองขวัญวันกลับบ้านกันอย่างเต็มที่..
เมื่อกลับถึงมหาวิทยาลัยในช่วงหัวค่ำ พวกเราแยกย้ายกันกลับบ้านหรือกลับหอพักของแต่ละคน.. แต่ผมกับแจ็ค ตัดสินใจจะไปเยี่ยมอ้อยที่บ้านในวันถัดไป แจ็คอาสาไปโทรศัพท์เพื่อนัดแนะเวลากับทางบ้านอ้อย
แต่เมื่อแจ็คโทรไป กลับได้รู้จากทางพี่สาวของอ้อยว่า ตอนนี้อ้อยไม่ได้อยู่ที่บ้าน
แต่ตอนนี้อ้อย ..อยู่ที่สำนักคนทรง...
พวกเขากำลังเตรียมตัว...ไล่ผี
คืนนั้นเป็นคืนวันเสาร์ ที่ค่อนข้างสว่างจากพระจันทร์เต็มดวง
ราวๆ สี่ทุ่ม
ผมกับแจ็ค ซ้อนมอเตอร์ไซค์กันมาถึงบ้านหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่บริเวณบึงเก็บน้ำขนาดใหญ่ ชายขอบของตัวเมือง ระหว่างทางแวะถามทางชาวบ้านสองสามครั้งกว่าจะมาถึง ลักษณะเป็นบ้านชั้นเดียว มีพื้นที่โดยรอบค่อนข้างกว้าง ที่นั่นเราพบรถยนต์จอดอยู่สองสามคัน และอาจารย์คนที่นำเราทัศนศึกษายืนรออยู่ (สมมติว่าแกชื่อ อาจารย์ขิง)
อาจารย์ขิงเป็นชายหนุ่มเรียบร้อย สุภาพ ตัวสูง แกเคยเป็นรุ่นพี่คณะของเราเมื่อนานมาแล้ว ก่อนที่จะได้ทุนไปเรียนเมืองนอก แล้วจบกลับมาเป็นอาจารย์ได้เมื่อปีก่อน อาจารย์ขิงกำลังพูดคุยอยู่กับญาติคนนึงของอ้อยเมื่อเราไปถึง เราเข้าไปสวัสดีอาจารย์
เมื่อเข้าไปภายในจะเป็นโถงกว้างๆ มีตั่งยกพื้นสูงราวฟุตครึ่งตั้งอยู่ที่ด้านในสุด มีพระสงฆ์รูปหนึ่งนั่งอยู่ กับลูกศิษย์นั่งที่พื้นอยู่เยื้องๆ ด้านหน้า เราคลายเข้าไปกราบท่าน ที่อายุอานามน่าจะเป็นรุ่นปู่ได้.. แล้วเข้าไปแนะนำตัวกับบรรดาญาติๆ ของอ้อยที่มากันนับสิบคน
"น้าแกบอกให้มากันเยอะๆ เพื่อช่วยกันออกแรง" น้องสาวของอ้อยเล่าให้พวกเราฟัง
จากนั้นพวกเราแอบไปนั่งที่มุมของห้อง
"ตกลงว่าอ้อยถูกผีเข้าจริงๆ เหรอ" แจ็คกระซิบถาม
น้องสาวอ้อยพยักหน้ารับ แล้วเล่าให้ฟังว่าระหว่างทางที่ญาติๆ พาอ้อยกลับมาจากโรงพยาบาลแห่งนั้น อ้อยมีท่าทางประหลาด ทั้งกระโดดตัวลอยไปมาในรถ ร้องไห้เพ้อ ด่ากราดทุกคน จนน้าต้องเอาพระเครื่องไปห้อยคอจึงสงบ พอดีมีญาติคนหนึ่งเคยเป็นคนทรงเจ้า เขาคิดว่าอ้อยน่าจะโดนผีเข้า จึงรีบพาอ้อยมาที่นี่ และนิมนต์หลวงปู่มาทำพิธี เค้าบอกว่าต้องรีบทำทันที ก่อนที่วิญญาณจะทำลายและยึดร่างกายอ้อยเป็นของมันโดยสมบูรณ์
"น้าบอกว่าเป็นผีผู้หญิงตามอาฆาตพี่อ้อย มีแรงแค้นหนักมาก "
หลวงปู่เริ่มพิธีด้วยการทำน้ำพระพุทธมนต์ในบาตร และให้อ้อย ซึ่งตอนนี้ดูอ่อนเพลียมากแต่ยังมีสติ รับไตรสรณคมน์ปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะ
จากนั้นก็บอกให้อ้อยตั้งจิตรำลึกนึกถึงคุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์เอาไว้ให้แน่วแน่ แล้วหลวงปู่ก็กล่าวนำไหว้พระเริ่มต้นที่ "อิติปิโสภควา...."
ระหว่างนั้น ชายหนุ่มลูกศิษย์วัดที่ติดตามหลวงปู่ ก็สวดบทแผ่เมตตาไปด้วย เมื่ออ้อยสวดมนต์ไหว้พระเสร็จแล้วก็นั่งพนมมือหลับตา
ปังงง!!! ลมแรงพัดตีที่หน้าต่าง
อ้อยก็เกิดอาการกระสับกระส่าย ร่างกายสั่นเทิ้ม พร้อมกับส่งเสียงครางเครือในลำคอตลอดเวลา ฟังไม่ได้ศัพท์
จากนั้นหลวงปู่ใช้กำหญ้าคาจุ่มน้ำมนต์พรมไปที่อ้อย
กรี๊ดดดดดด!!!!
ทันทีที่หยดน้ำกระทบร่าง อ้อยก็กรีดร้องสุดเสียง กระเด้งพรวดสุดตัวเหมือนโดนน้ำร้อนเดือดพล่าน
"ช่วยกันจับตัวไว้ เร็ว " ชายหนุ่มลูกศิษย์หลวงปู่ ตะโกนลั่น ญาติพี่น้อง 4-5 คนต่างรีบถลันเข้าไปช่วยกันจับยึดตัวอ้อยเอาไว้ทั้งแขนทั้งขา ก่อนจะดิ้นรนเกลือกกลิ้งไปกับพื้น
ทั้งๆ ที่อ้อยเป็นหญิงรูปร่างเล็กและผอมบาง แต่เวลานั้นไม่รู้ว่าเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน ญาติพี่น้องซึ่งช่วยกันจับยึดตัวอ้อยก็ล้วนเป็นชายฉกรรจ์รูปร่างแข็งแรง ไม่น่าเชื่อว่าทุกคนต้องออกแรงจับกดกันสุดพลังจนเหงื่อหยด ขณะที่หลวงปู่ร่ายมนต์ไม่หยุด พร้อมกับพรมน้ำมนต์เข้าใส่อย่างต่อเนื่อง
อ้อยพยายามดิ้นสะบัดให้หลุดจากคนที่จับยึดเอาไว้แน่นจนตัวแอ่น เบิ่งนัยน์ตาขุ่นขวางแทบถลนออกนอกเบ้า ผมสยาย หน้าตาบิดเบี้ยวถทึงเหมือนไม่ใช่อ้อยคนเดิมแน่ๆ.. เมื่อกรี๊ดจนได้ที่แล้วก็คำรามเสียงแหบห้าวอย่างกราดเกรี้ยว..
"เอาน้ำร้อนมารดกูทำไม! กูร้อน! ปวดแสบปวดร้อนทนไม่ไหวแล้ว! หยุดสาดน้ำร้อนใส่กูเดี๋ยวนี้! หยุดเดี๋ยวนี้!"
หลวงปู่ยิ่งพรมน้ำมนต์หนักมือกว่าเดิมเข้าไปอีก อ้อยก็อาละวาดด้วยกิริยาโกรธแค้นสุดขีด ปากก็ตะโกนโวยวายไม่ยอมหยุด หลวงปู่บอกให้ผีที่แอบสิงอยู่ออกไปเสีย แต่ผีก็ยังดื้อดึงสุดฤทธิ์ทั้งๆ ที่ท่าทางของมันกำลังได้รับความเจ็บปวดทรมานอย่างแสนสาหัส
"อย่ามายุ่ง กูไม่ได้มีความแค้นกับพวก. กูมาตามหาคน"
"ท่านมาตามหาใคร" ชายหนุ่มลูกศิษย์หลวงปู่ถามอย่างสุภาพ
กรี๊ดดดดดด!!!
จากนั้นอ้อยเอาแต่ร้องเสียงหลง
ถึงจุดนี้หลวงปู่ไม่พรมน้ำมนต์แล้ว ยกบาตรขึ้นเทน้ำมนต์รดลงไปที่กลางกระหม่อมอ้อย อ้อยล้มลงนอนเหยียดสุดตัว นัยน์ตาเหลือกค้างเห็นแต่ตาขาว แล้วลุกขึ้นนั่งคุกเข่าค่อมตัว หวีดร้องโหยหวนน่าขนพองสยองเกล้า
"โอย...ทนไม่ไหวแล้ว.วววววว กรี๊ดดดดดดดด"
สิ้นเสียงคำร้อง ตัวอ้อยก็อ่อนยวบฟุบหมอบคาที่ หลวงปู่รดน้ำมนต์ที่เหลือในบาตรลงไปบนศีรษะจนหมด คราวนี้อ้อยไม่มีปฏิกิริยาอะไร คงฟุบหมอบหายใจระรวยแน่นิ่งอยู่อย่างนั้น
จากนั้นหลวงปู่นำสายสิญจน์และมงคลขึ้นมาสวดท่องคาถาบางอย่าง แล้วให้ชายหนุ่มลูกศิษย์เอามาผูกข้อมือและคล้องคอให้อ้อย แล้วบอกญาติๆ ช่วยกันปูเสื่อที่นอนนำอ้อยที่กำลังหลับสนิท มานอนที่กลางห้อง
หลวงปู่มอบพระเครื่ององค์เล็กๆ ให้ทุกคน พร้อมกำชับว่า เมื่ออ้อยฟื้นให้อ้อยและทุกคนในบ้านรักษาศีล 5 อย่างเคร่งครัด และหมั่นทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับวิญญาณตนนั้น
ก่อนกลับ ผมเห็นชายหนุ่มลูกศิษย์พูดคุยบางอย่างกับหลวงปู่ แล้วเดินมาคุยกับผมและแจ็ค
"น้องสองคน..หลวงปู่บอกว่าพรุ่งนี้ช่วงบ่ายๆ ให้ไปพบท่านที่วัด...นะ"
"มีอะไรหรือครับพี่" แจ็คสงสัย
"ไว้คุยกันพรุ่งนี้นะ..แต่ต้องมานะ มีเรื่องสำคัญ"
เรารับคำ..แต่ในใจผมค่อนข้างหวั่นๆ ว่าน่าจะมีเรื่องไม่ดี...
จากนั้นหลวงปู่กับลูกศิษย์ก็เดินเท้าออกจากบ้าน..
ตอนนั้นก็เกือบจะรุ่งสางพอดี
จะพยายามมาเขียนต่อให้มากที่สุดนะครับ...ขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม...ตอนนี้ น่าจะมาเกินครึ่งทางแล้วครับ
.
((ตอนนี้หลังจากเขียนต่อเนื่องมาได้สองสัปดาห์ ผมเริ่มมีความฝันเล็กๆ ว่าจะรวบรวมข้อเขียนทั้งหมดนี้มาทำเป็นนิยายพอคเก็ตบุ๊คเล่มเล็กๆ มาจำหน่ายให้ท่านที่ผู้สนใจ...ไม่รู้จะมีใครอยากได้หรือเปล่า (พรีออเดอร์ เพิ่มรายละเอียดแวดล้อม ภาพประกอบ ขายราคาทุน พิมพ์แค่ไม่เกิน 100 เล่ม) ไว้เป็นที่ระลึก 55 ใครสนใจแจ้งไว้นะครับ... ถ้ามีใครสนใจจะนำรายละเอียดมาพรีออเดอร์พร้อมราคาอีกทีนะครับ))
.
.
บ่ายวันนั้นผมนัดเจอกับแจ็คที่ร้านกาแฟหลังมหาวิทยาลัย แจ็คขับรถกระบะมารอรับผม แจ็คเป็นลูกนายตำรวจใหญ่จากภาคใต้ เป็นคนตัวเล็กแต่โผงผาง ขี้เล่น แต่ก็จริงจัง โดยเฉพาะเรื่องเพื่อน ที่ให้ใจอย่างเต็มที่
วันนี้เราทั้งสองต่างแต่งกายรัดกุม เสื้อเชิ้ต กางเกงยีนส์ รองเท้าผ้าใบ พร้อมเป้สำหรับใส่ของใช้ส่วนตัว ...เผื่อมีอะไรเกิดขึ้นเราจะได้ตั้งรับได้ทัน
"เอ๋คิดว่า ทำไมหลวงพ่อเค้าถึงอยากคุยกับพวกเราวะ" แจ็คถามขณะที่เรากำลังมุ่งหน้าไปที่วัด ผมได้แต่ส่ายหน้า เพราะก็จนปัญญาเช่นกัน...ซึ่งหวังว่าจะไม่ใช่เรื่องร้าย
ผมหันไปมองหน้าแจ็ค สีหน้าเขามีแต่ความกังวล คิ้วย่นจากความเครียด
"แล้วทำไมวันนี้ไม่ขี่มอไซค์วะ" ผมถามแจ็คเพื่อเปลี่ยนเรื่อง เพราะไม่ค่อยเห็นเขาขับรถกระบะบ่อยนัก
"กูว่า ถ้าเราเจอผี รถกระบะน่าจะปลอดภัยกว่ามอไซค์นะเพื่อน" จากนั้นพวกเราหัวเราะกันลั่นในรถ
.
เมื่อถึงกุฏิของหลวงปู่ ซึ่งตั้งแยกห่างจากกุฏิอื่นๆ ไปทางชายทุ่งท้ายวัด ก็ราวๆ บ่ายสาม ที่วัดนี้เป็นวัดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในเขตรอบนอกของอำเภอเมือง เดิมทีหลวงปู่ท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าในต่างจังหวัดห่างไกลของภาคอีสาน แต่ท่านกับลูกศิษย์พึ่งบังเอิญมารับกิจนิมนต์ในจังหวัดนี้กับคนรู้จักเมื่อไม่กี่วันก่อน จนมาทราบเรื่องจากน้าของอ้อยที่เคยไปบวชที่วัดหลวงปู่ ท่านจึงได้ให้ความเมตตาไปทำพิธีเมื่อคืนที่ผ่านมา
.
หลวงปู่ให้เราเล่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงทัศนศึกษา ผมกับแจ็คจึงสลับกันถ่ายทอดเรื่องราวตั้งแต่เรื่องหอพัก รูปบนเตียง เรื่องโซ่เส้นนั้น กับคดีข่มขืนฆ่าที่เกิดขึ้น จนถึงเรื่องอ้อยอาละวาดที่อีกหอพักหนึ่ง และแถมเรื่องผีผู้หญิงตามหาลูกในป่าช้าอีกนิดหน่อย... หลวงปู่หลับตารับฟังโดยไม่ถามใดๆ โดยมีชายหนุ่มลูกศิษย์ของท่านร่วมนั่งฟังและจดบันทึกลงสมุดอยู่ข้างๆ
เมื่อเราเล่าจบเรื่อง หลวงปู่ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา
"เมื่อคืน มันมีผีสองตน"
พวกเราตกใจกับสิ่งที่หลวงปู่พูด...สันหลังผมเย็นวาบ แต่ร่างกายกลับเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ
.
"ผีตนหนึ่ง อาศัยร่างกายมาเพื่อเสพบุญ เพราะอ้อยไปท้าทายมัน แต่ก็ยอมกลับไปอยู่ที่เดิมเพราะไม่ได้ทำกรรมหนักใดๆ ร่วมกัน "
.
ภาพในหัวผมนึกถึงคืนนั้น ตอนที่อ้อยดึงกระดาษที่ปิดหน้าห้องในหอพักที่เขียนว่า "เต็มแล้ว" ออกแล้วขยำทิ้ง...
เรื่องนี้มีที่มา หลังเหตุการณ์นี้จบลงได้ไม่กี่ปี เราได้ทราบว่า ที่หอพักนั้น มีนักศึกษาหญิงกระโดดตึกลงมาเสียชีวิต เล่ากันว่าเธอกลุ้มใจหลายๆ เรื่อง เพื่อนก็ไม่คบ แถมยังล้อเรื่องพ่อแม่ที่ป่วยของเธออีก บางทีเธอกลับมาดึกๆ ลืมกุญแจเพื่อนก็แกล้งไม่เปิดให้จนเธอต้องนอนหน้าประตู ต่อมาเมื่อมรสุมชีวิตถาโถมเธอเครียดมากเลยตัดสินใจกระโดดตึกตาย
จากนั้น...ตอนกลางคืนมักจะมีเรื่องหลอนๆ เช่น มีคนมาเคาะห้องขอนอนด้วย เห็นประตูเปิด-ปิดเอง หรือบางคืนก็มีผู้หญิงที่ตายยืนคุยโทรศัพท์อยู่หน้าห้อง หรือในบางวันผู้หญิงคนนี้ก็โดดขึ้นๆ ลงๆ ตึกอยู่อย่างนั้น…ทั้งคืน
หลังจากนั้นมีคนทรงมาเชิญวิญญาณเธอไป แต่เธอไม่ยอมไป จนต้องหายันต์แก้เคล็ด "เต็มแล้ว" ซึ่งจริงๆแล้วกระดาษแผ่นนั้นคือยันต์กันผีที่ข้างหลังลงมนต์อาคมไว้ไม่ให้วิญญาณเข้าห้องได้ วิญญาณหญิงสาวตนนั้นจึงสงบลงเมื่อไม่นาน..ก่อนหน้าที่อ้อยจะไปดึงกระดาษแผ่นนั้น..
.
กลับมาต่อที่กุฏิหลวงปู่ หลังจากพูดถึงวิญญาณผีตนแรกที่ดข้าสิงอ้อยจบ ท่านถอนหายใจ แล้วค่อยๆ พูดต่อ
"... แต่ผัอีกตนนั้นยังมีแรงอาฆาตแค้นสูง ต้องการตามหาคนที่ฆ่ามัน ถ้าปล่อยไว้ เพื่อนของพวกเอ็งน่าจะไม่รอด ...ตอนนี้ มันแค่แสร้งว่ามันสงบ"
พวกเราตกใจ แจ็คละล่ำละลักถาม
"มีทางแก้ไหมครับหลวงปู่"
.
หลวงปู่จิบชา นิ่งคิด... ก่อนจะพูดต่อ
"กรรมนี้เพื่อนของเอ็งไม่ได้สร้าง ดังนั้นน่าจะยังพอมีหนทาง แต่พวกเอ็งต้องไปนำของสองสิ่งมาให้ข้าภายในสองคืน" หลวงปู่พูดด้วยเสียงราบเรียบ เนิบช้า ...
เอาแล้วไง คิดแล้วว่าทำไมต้องเป็นเราสองคน
"สองสิ่งที่ว่านี่ คืออะไรเหรอครับหลวงปู่" ผมโน้มตัวพนมมือถามท่าน
.
หลวงปู่ไม่ตอบ... หันไปทางชายหนุ่มที่เป็นลูกศิษย์ จากนั้นพี่คนนี้ ที่รูปร่างกำยำ ผิวเข้ม ลักษณะคล้ายนักมวยไทยเวทีราชดำเนิน จึงบอกกับเราด้วยเสียงเคร่งขรึม
"ของที่น้องสองคน ต้องรีบเอามาให้หลวงปู่ทำพิธีภายในคืนวันพรุ่งนี้ หนึ่ง คือ ...โซ่เส้นนั้น"
"ห้ะ" ..
แจ็คตกใจเผลอสบถ หันมามองหน้าผม สีหน้าหวาดหวั่น..
แต่ของชิ้นต่อไปที่พี่คนนั้นกำลังจะบอก กลับทำให้พวกเราต้องตกใจหนักกว่า...
.
"สอง คือ ..รูปถ่ายที่เตียงนั้น"
.
.
สาบานว่าผมแทบจะเอาตี_นเกยหน้าผาก
เราตัดสินใจเดินทางในเย็นวันนั้นทันที เพราะระยะทางจากจังหวัดที่เราอยู่กับจุดหมายปลายทางนั้น ถ้าขับรถก็ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 8 – 9 ชั่วโมง และต้องเผื่อเวลาในการไปตามหาของทั้งสองสิ่งนั้นด้วย ก่อนไปเราแวะบอกเรื่องราวแก่อาจารย์ขิงที่บ้านพักอาจารย์ในมหาวิทยาลัย อาจารย์ขิงแสดงความวิตกกังวลอย่างมาก
“ให้ผมไปด้วยมะ เผื่อมีอะไรช่วยพวกคุณได้”
อาจารย์ขิงไต่ถามด้วยความเป็นห่วง พวกเราปฏิเสธไป เพราะหลวงปู่ได้กำชับว่า ให้ไปเพียงแค่สองคน และรีบไปรีบกลับ ไม่จำเป็นห้ามแวะค้างคืนที่ไหนอย่างเด็ดขาด
“มันเป็นกรรมของเอ็งสองคน คนอื่นช่วยไม่ได้ ต้องไปเพียงแค่สองคนเท่านั้น”
ในหูผมยังได้ยินเสียงกำชับของหลวงปู่ก้องอยู่ในโสตประสาท
ผมจ้องมองของที่ข้างๆ ผมในรถตอนนี้ มันคือหีบไม้เก่าใบหนึ่ง ที่หลวงพ่อให้นำมาใส่โซ่และรูปถ่าย เป็นหีบไม้ธรรมดา ที่ด้านบนฝาหีบมียันต์ผ้าเก่าๆ ชิ้นหนึ่งติดอยู่ ดูขลังมาก
บนรถกระบะไมตี้เอ็กซ์ปี 90 สีน้ำเงินเข้มของพ่อแจ็ค พาหนะในการเดินทางของเราครั้งนี้ กำลังวิ่งบนความเร็วร่วมๆ 90 กม/ชม. แม้ทางในสมัยนั้นจะเป็นถนนเพียงสองเลนส์สวนไปมา แต่ด้วยความที่สารถีมีฉายาว่าแจ็ค ซิ่งนรก หมวยยกล้อ (ฉายาที่ได้จากการพาแฟนหน้าหมวยไปขี่ยกล้อมอเตอร์ไซค์จนคว่ำหวิดดับตอนม.ต้น) ซึ่งเขาขับรถเป็นตั้งแต่ยังไม่เข้าเรียน ม. ปลาย จึงสามารถขับขี่แซงปาดไปมาด้วยความคล่องแคล่ว แต่ก็ทำให้ผมแอบหวั่นอยู่เล็กน้อย
“แจ็ค กูว่าขับเบาๆ หน่อยก็ได้นะ” ผมปรามเพื่อนไม่ให้ห้าวมาก“กูกลัวว่ากูจะอ้วกแตก ไม่ก็รถคว่ำตายห่ากันซะก่อนถึงนะ”
“โอเคเพื่อน ขอโทษที ช่วงนี้ในเมืองมันรถเยอะ ต้องรีบแซง เดี๋ยวพอออกนอกเมืองโล่งๆ แล้ว กูจะไม่ขับฉวัดเฉวียนแล้วล่ะ”
จริงดังที่แจ็คว่า เพราะเส้นทางที่เราใช้เดินทางในครั้งนี้ระหว่างทางแทบไม่เจอรถชาวบ้านเลย มีเพียงรถสิบล้อและรถบัสโดยสารที่นานๆ จะเจอสักครั้งและก็สามารถแซงขึ้นโดยง่าย ระหว่างทางผมจึงงัดม้วนเทปเพลงเก่าๆ ในช่องใส่ของหน้ารถออกมาหาเพลงที่จะเปิดฟัง
แน่นอน เวลานั้น ไม่มีใครดังเกินกว่า Lo Society ของ โลโซ
เราสลับกันขับรถเป็นระยะๆ แวะพักที่ปั๊มน้ำมันบ้างเป็นครั้งคราว สูบบุหรี่ กินกาแฟ เข้าห้องน้ำ ล้างหน้าล้างตาแก้ง่วงบ้าง จนเกือบรุ่งสางเราก็เข้ามาที่เขตจังหวัดจุดหมายของเรา เราตัดสินใจแวะเข้าไปที่บ้านของบิวก่อน เพื่อเอาโซ่เส้นนั้น
บ้านของบิวเป็นบ้านพักในหมู่บ้านข้าราชการประจำจังหวัด เป็นลักษณะบ้านไม้สองชั้น ชั้นล่างยกพื้นใต้ถุนสูงไว้สำหรับจอดรถ ชั้นบนทางขึ้นบันไดไม้มีระเบียงสำหรับนั่งเล่น บรรยากาศร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่ พ่อแม่ของบิวย้ายไปรับราชการที่ต่างจังหวัด บิวจึงพักอาศัยอยู่กับพี่สาวกันเพียงสองคน
ตอนนั้น เป็นเวลา ตีสี่
เราจอดรถอยู่ที่นอกรั้วหน้าบ้านของบิว บ้านเลขที่ 3 เป็นบ้านหลังเดียวในหมู่บ้านข้าราชการที่มีหลังกระเบื้องสีเขียว แต่เมื่อถึงตัวบ้านสภาพบ้านภายนอกดูเก่าอายุหลายสิบปี มืดสนิทไม่มีแสงไฟ และไม่มีวี่แววคนอยู่อาศัย
เราเดินเข้าไปสำรวจที่บันไดบ้าน รอสักครู่ แจ็คจึงตัดสินใจตะโกนเรียก “บิวๆ นี่แจ็คกับเอ๋ เรามาเอาโซ่”
ก่อนมาถึง แจ็คได้โทรศัพท์มานัดแนะกับบิวแล้วเรื่องโซ่ ว่าน่าจะมาถึงก่อนเวลารุ่งเช้า บิวตอบปากรับคำว่าจะรอพร้อมอาหารเช้า
...แต่ตอนนี้เมื่อมาถึงบ้านเรากลับไม่พบสัญญาณใดๆ
“หรือมันนอนหลับวะ” แจ็คหันมาสบถใส่ผม ผมจึงตะโกนเรียกบิวออกไปอีกสองสามครั้งก็ไม่มีเสียงตอบ
เราเงียบเสียงลง ยืนรอมองขึ้นไปจากพื้นหน้าบ้าน สักครู่ประตูบ้านก็เปิดออก มีผู้หญิงคนหนึ่งใส่ชุดยาวสีขาวซีด เดินออกมาที่ระเบียง
“สวัสดีครับ บิวอยู่มั้ยครับ” ไม่ทันสิ้นเสียงถาม ผู้หญิงคนนั้นส่งเสียงเหมือนร้องไห้สะอึกสะอื้น น้ำเสียงดูโหยหวน แต่ก้องกังวาน ผมยาวๆ ของเธอสยายออก เห็นใบหน้าซีดเผือด น้ำตาเธอไหลนอง บรรยากาศตอนนี้เย็นวาบ
และแม้จะไม่มีลมพัดมาเลย แต่หน้าต่างและประตูต่างๆ เปิดปิดเข้าออกตีกันเป็นเสียงดังลั่น ผสานกับเสียงร้องไห้โหยหวนของหญิงคนนั้น
ผมเราตกใจจนขาสั่น ทั้งงทั้งกลัวกับภาพที่เกิดตรงหน้า
แจ็คเผลอเดินถอยหลังล้มลงผมรีบเข้าไปประคอง ...ตอนนี้เสียงร้องโหยหวนกลับกลายเป็นเสียงหัวเราะ ดังกังวานสยดสยอง แผดดังไปทั้งหมู่บ้าน
จากนั้นไม่นานมีเสียงรถมอเตอร์ไซค์บิดมาจอดที่นอกรั้ว
“เฮ้ย เพื่อน ออกมาเดี๋ยวนี้ เข้าไปทำอะไรกัน”
ผมหันไป เป็นบิวนั่นเอง บิวขี่ซ้อนมอเตอร์ไซค์ที่พี่สาวขับมาจอดนอกรั้วหน้าบ้าน
“เร็วๆ รีบออกมาสิเพื่อน” เสียงบิวรีบตะโกนเตือนสติ พวกเรารีบหอบกันออกมาที่นอกรั้ว ตอนนี้ลมพัดแรง เห็นบ้านหลังข้างๆ เริ่มเปิดไฟ บ้านถัดไปบางหลังกำลังเปิดหน้าต่างออกมามองดูเหตุการณ์
“มาทำไรกันที่นี่ อยากตายรึไง” พี่สาวบิวตะโกนถามปนด่า ผมรีบตอบว่าก็บ้านเลขที่ 3 ไม่ใช่เหรอ พร้อมมองไปที่ป้ายเลขที่ตรงข้างรั้ว แต่เมื่อมองไป มันกลับไม่ใช่เลขบ้านหลังเลขที่ 3
แต่มันกลายเป็นเลข... 13
พี่สาวบิวส่ายหน้า พร้อมบอกให้เราเอารถออก แล้วตะโกนส่งท้าย
“นี่มันบ้านผี ไม่ใช่บ้านคน”
เมื่อมาถึงบ้านของบิว เราพบพ่อกับแม่ของบิวยืนรอที่หน้าบ้านด้วยสีหน้าท่าท่างเป็นห่วง คุณแม่ของบิวรีบเอาน้ำมาให้พวกเราล้างหน้าล้างตา ส่วนคุณพ่อเอาถาดใส่แก้วกาแฟและปาท่องโก๋มาให้เราได้ทาน จากนั้นทั้งสองแยกตัวเข้าไปในบ้าน
.
เรานั่งคุยกับบิวและพี่สาวที่แคร่ใต้ถุนบ้าน ที่ตอนนี้ฟ้าเริ่มสางแล้ว
“โห เมื่อกี้หลอน ชิ... หาย”
แจ็คพูดพลางหยิบปาท่องโก๋ใส่ปาก แต่สีหน้ายังหวั่นๆ
พี่สาวของบิวเลยเล่าเรื่องบ้านหลังนั้นให้ฟังบ้านนั้นเป็นบ้านเก่าของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ หลายปีก่อนลูกสะใภ้ของบ้านได้ผูกคอตายที่บ้านหลังนี้ และข้าราชการท่านนั้นก็เสียชีวิตตามไป ไม่นานบ้านนั้นก็ร้าง ต่อมา มีข้าราชการจากที่อื่นได้ย้ายครอบครัวมาอยู่ แล้วปรากฏว่าเจอปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ ทั้ง เจอชายแก่นุ่งโจงกระเบน เสื้อราชปะแตนมาหา บางทีก็เจอผู้หญิงใส่ชุดขาว ร้องโหยหวน
“พวกนายยังไม่ได้เจอชุดใหญ่ ยังโชคดีที่เจอแค่ผีผู้หญิง คนแถวนี้เค้าเจอกันประจำ”
บิวพูดเป็นเชิงให้กำลังใจ เราต่างถอนหายใจกัน
.
แล้วพี่สาวบิวก็ไปนำโซ่เส้นนั้นมาให้พวกเรา ที่ตอนนี้ถูกพันรอบด้วยสายสิญจน์และตะกรุด
พี่สาวบิวบอกพวกเราด้วยว่า โซ่เส้นนี้ก็ไม่ใช่ย่อย เมื่อคืนได้ยินเสียงลากไปลากมา และเสียงผู้หญิงร้องโหยหวน ขนลุกขนพองกันทั้งบ้าน เมื่อเช้าจึงต้องไปขอให้พระอาจารย์ที่วัดประจำจังหวัดช่วยทำพิธีสะกดให้ เราค่อยๆ ไหว้รับโซ่ใส่เข้าไปในหีบที่เตรียมมา
“เดินทางกันดีๆ ล่ะ แล้วนี่จะไปเอารูปถ่ายกันต่อใช่มั้ย”
“ใช่ครับพี่ เดี๋ยวพวกผมคงต้องรีบไป ไม่งั้นจะกลับไปหาหลวงปู่ไม่ทันคืนนี้”
“อือ ระวังตัวกันด้วยนะ โชคดี”
.
จากบ้านของบิวเราเดินทางต่อไปที่หอพักในวิทยาลัยพยาบาลแห่งนั้นทันที แต่เมื่อไปถึงในตอนสายๆ เราพบว่าหอพักถูกปิดกุญแจ ช่วงนั้นเป็นช่วงปิดเทอมจึงไม่ค่อยมีคนผ่านไปมา จุดป้อมยามก็ห่างไปเกือบๆ กิโลเมตร เราจึงตัดสินใจที่จะปีนเข้าไปโดยไม่ขออนุญาตใคร
“รีบเข้าไปเถอะว่ะเอ๋ กูไม่อยากเสียเวลา”
.
เราเดินไปสำรวจทางด้านหลังของหอพัก พบว่าที่ตรงโถงบันไดด้านหลังพอมีช่องให้ปีน ลักษณะเป็นผนังโครงเหล็กดัดเก่าๆ เริ่มหักพังบางจุด และเห็นได้ว่ามีช่องกว้างที่พอจะสอดตัวมุดเข้าไปได้ที่บริเวณชั้นสี่ เราจึงรีบปีนขึ้นไปทันที
.
ด้วยความที่แจ็คเป็นคนตัวเล็กและคล่องแคล่ว เขาจึงสามารถปีนขึ้นไปได้ก่อนผมอย่างรวดเร็ว เมื่อถึงโถงบันไดชั้นสี่แจ็คก็มุดตัวเข้าไป และยืนรอผมอยู่ที่ชานพักบันไดนั้น ผมซึ่งค่อนข้างช้าต้วมเตี้ยมก็เพิ่งจะปีนไปถึงที่ชั้นสองเท่านั้นเอง
“เอ๋ ไม่ต้องรีบใจเย็นๆ เพื่อน”
แจ็คพยายามทำให้ผมไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นภาระ ผมละสายตามองขึ้นไปกะว่าจะยิ้มให้แจ็ค แต่
ผมเห็นบางสิ่งอยู่หลังผนังเหล็กดัดที่ชั้นสาม
เป็นร่างผู้หญิง เดินเข้าไปในหอนอนที่ชั้นสาม
ผมตกใจมือเท้าสั่นเกือบหลุดจากเหล็กดัดที่กำลังปีนอยู่ แจ็คเห็นอาการของผมแล้ว คงนึกว่าผมปีนพลาดจึงตะโกนลงมา
“เฮ้ย เอ๋ ไหวมั้ย ค่อยๆ ปีนเพื่อน”
ผมพยามยามตั้งสติ ในใจท่องนะโม รวบรวมความกล้ารีบปีนขึ้นไปแบบไม่คิดชีวิต จนไปถึงจุดที่แจ็ค ยืนรอ
ตอนนี้เราทั้งคู่อยู่ที่ชานพักบันไดระหว่างชั้นสามกับชั้นสี่
เมื่อเราเดินลงไป กลับพบว่า ประตูห้องนั้นล็อคกุญแจไว้
“ซวยแล้ว ทำไงดีวะ” แจ็คบ่นพึมพัม
ส่วนผมได้แต่อึ้ง ว่าภาพเมื่อสักครู่ที่เห็นผู้หญิงเดินเข้าไปในห้องนี้คืออะไร.. คงใช่อย่างที่คิดแล้วล่ะ...แต่ก็ไม่รู้เป็นเพราะประสบการณ์หลอนๆ ที่ประดังประเดเข้ามาในช่วงไม่กี่วันนี้หรือเปล่า ที่ทำให้ผมเริ่มตายด้านกับโลกแห่งวิญญาณไปซะแล้ว
ผมมองหาของอะไรที่อาจจะเอามาช่วยงัดได้
พลัก!!! เพล๊งง
พวกเราสะดุ้งตกใจเสียงที่ดังมาจากมาจากผนังเหล็กดัดที่โถงบันไป เราเห็นแท่งเหล้กดัดเส้นหนึ่งตกอยู่ ข้างๆ เห็นนกกาตัวขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือ นอนจมกองเลือดอยู่
เรางงอยู่สักครู่ แจ็คจึงไปหยิบเอาแท่งเหล็กดัดขนาดประมาณสองคืบที่เปรอะเลือดอีกาตัวนั้น มางัดกุญแจ จนหลุดออก
เราวิ่งผลักประตูแล้วรีบเดินเข้าไป แต่ก็ต้องหยุดกับภาพที่เห็นตรงหน้า
.
เราเห็นผู้หญิง กำลังนั่งหวีผมอยู่ชั้นบนของเตียงที่มีพวงมาลัย
.
เธอกำลังยิ้มให้พวกเรา
.
.
.ขอบคุณติดตามกันนะครับ ใกล้จะถึงช่วงท้ายๆ แล้วครับ
ไว้จะมาอัพเดทโดยเร็วนะครับ
ส่วนอันนี้คือ ตัวอย่างพ็อคเก็ตบุ๊ค
ที่ผมคิดจะทำออกมาเป็นที่ระลึก สัก 99 เล่มนะครับ
หนาประมาณ100หน้า หรือเกินนิดหน่อย
ขนาดเท่านิยายแปลสมัยก่อน B6 นะครับ
ส่วนราคาพยายามจะอยู่ที่ร้อยกว่าบาทนะครับ
ไม่เอากำไรอะไร ทำสนุกๆ นะครับ
เผื่อมีใครสนใจ แจ้งชื่อไว้นะครับ 555
ขอบคุณครับ
เราสองคนต่างตกอยู่ในความกลัวขั้นขีดสุด!!!
เธอแสยะยิ้มให้เรา เลือดเริ่มไหลย้อยออกจากปาก จมูก และดวงตา ใบหน้าของเธอเริ่มทวีความหน้ากลัวขึ้นทุกขณะ คอค่อยๆยื่นยาวออกมาด้านหน้าพร้อปากที่อ้าค้างกว้างขึ้นผิดปกติ จนใบหน้าและปากของผีคร่อมครอบอยู่ที่ด้านบนของตัวกรอบรูป... พร้อมส่งเสียงหัวเราะโหยหวนทั้งน่ากลัวทั้งน่าขยะแขยงเป็นที่สุด
แจ็คผงะถอย ก้มลงพนมมือท่วมหัว ร้องไห้ด้วยความกลัว "อย่าทำผมเลย ผมกลัวแล้ว.." เสียงของแจ็คสั่นเครือ
แต่ตอนนั้น แม้กำลังตกอยู่ในประสบการณ์โคตรน่ากลัวที่สุดในชีวิต เชื่อไหมครับว่าในใจผมกลับนึกถึงแต่....แม่
บ้านของผมเป็นตึกแถวสองคูหาริมถนนตรงทางสามแพร่ง ตรงข้ามบ้านเราเป็นวัด ครอบครัวเราจึงคุ้นชินกับการทำบุญ ตักบาตร และช่วยงานวัดอย่างสม่ำเสมอ แม่มักจะสอนผมเสมอให้ช่วยเหลือผู้ที่ทุกข์ยาก
วันหนึ่งมีแม่ลูกสองคนมาขอเช่าห้องว่างชั้นบนของบ้านเป็นที่นอน แม่ก็ให้ความเอื้อเฟื้ออย่างดี เพราะเห็นว่าแม่ลูกคู่นั้นกำลังลำบาก ... แต่ต่อมาเราพบว่าพวกเขามีอาชีพเป็นคนทรงเจ้า แบะบ้านเราอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสำหรับการเชิญวิญญาณ ผมจึงคุ้นชินกับการทรงเจ้าบูชาผีมาตั้งแต่เด็กๆ เป็นเวลาสองสามปี จนสองแม่ลูกได้ย้ายจากไปเมื่อพวกเขาตั้งหลักได้
ผมจำได้แม่เคยสอนผมเสมอ เมื่อผมกำลังแอบส่องดูผู้หญิงคนนั้นกำลังเข้าทรงต่อหน้าลูกศิษย์เกือบสิบชีวิตในห้องข้างๆ คนเหล่านั้นได้ทำให้ผมได้สัมผัสกับประสบการณ์ผีๆ ครั้งแรกๆในชีวิต มีภาพอัศจรรย์ที่วิทยาศาสตร์อธิบายไม่ได้ให้ผมเห็นและฟังอย่างน่าขนลุกนับไม่ถ้วน...
เมื่อเห็นผมแอบดูคนและผีเหล่านั้นอยู่บ่อยๆ และมักจะตั้งคำถามเสมอว่า ทำไมคนและผีถึงไม่อยู่กันคนละโลก... แม่จึงบอกผมว่า
"ไม่ว่าจะคนหรือผี ก็ต่างเหมือนกัน ..เมื่อคนเรามีทุกข์ได้ ผีก็มีทุกข์เช่นกัน ... ทุกข์นั้นมักเกิดจากกรรม ดูคนพวกนี้สิ ต่างเต็มไปด้วยทุกข์ ต้องอาศัยผีมาช่วย...เพราะฉะนั้น ถ้าเราเข้าใจทุกข์ของเขา ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร เราก็จะเข้าใจคน และเข้าใจผีได้"
ตอนนั้นผมพึ่งขึ้นชั้นม.ต้น ผมจึงไม่เข้าใจสิ่งที่แม่พูด... แต่ประโยคนี้ของแม่กลับชัดขึ้นมาในขณะนี้
ตอนที่พวกเรากำลังเผชิญหน้ากับผีที่น่ากลัวสุดๆ
ผมได้สติ จึงนึกย้อนไปว่าเรามาทำไมที่นี่ ... ผมมาช่วยเพื่อน เพื่อนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ที่กำลังจะตาย ผมไม่มีทางเลือกนอกจากนำของสิ่งนี้กลับไปให้ได้ และผมก็เหลือเวลาไม่มากนัก
ขณะนั้นพระอาทิตย์คล้อยบ่ายแล้ว...ผมจึงคิดจะเจรจากับผี ..
ผมตัดสินใจ รวบรวมความกล้า พยายามพูดออกไปด้วยอาการสั่นเครือ ตะกุกตะกัก..
"ผมขอโทษที่มารบกวนคุณ เราไม่ได้มีกรรมใดต่อกัน แต่ผมจะมาเอารูปคุณ ไปช่วยเพื่อนผม เพื่อนผมไม่ได้ทำอะไรผิด.."
เสียงหัวเราะโหยหวนจากผีตนนั้นกลับดังขึ้นกว่าเดิม ผมจึงพูดประโยคที่ไม่ควรพูดออกไป
" และผมสัญญาว่าจะพยายามหาตัวคนที่ฆ่าคุณให้เจอและแจ้งตำรวจ "
เท่านั้นเอง เสียงหัวเราะโหยหวนที่ดังก้องอยู่ก็เงียบหายไป กลายเป็นเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้น ปากของผีที่อ้าค้างครอบรูปถ่ายใบนั้นอยู่ก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นรูปหน้าผู้หญิงปกติ เสียงร้องของเธอค่อยๆ เบาลงๆ แล้วร่างเธอก็ค่อยๆ จางหายไป พร้อมกับรูปถ่ายที่ตกลงมาที่พื้น
เราต่างอึ้งจังงังกับภาพที่เห็น..สักครู่ผมจึงรีบวิ่งไปหยิบรูป แล้วดึงตัวแจ็คที่กำลังนั่งอึ้งอยู่ให้ลุกไปจากที่นั่นให้เร็วที่สุด
เหมือนวาร์ปข้ามเวลา รู้ตัวอีกทีเราก็สตาร์ทรถขับออกมาจากบริเวณหอพัก ผมค่อยๆเก็บรูป ที่ตอนนี้มีรอยแตกร้าวตรงบริเวณกรอบสังกะสี เข้าไปในหีบอย่างระมัดระวัง
เราสองคนต่างไม่พูดอะไรกัน ผมเห็นแจ็คยังมีรอยน้ำตาเปื้อนเต็มหน้า แจ็คคล้ายคนที่กำลังร้องไห้แต่พยายามกลั้นเสียงไว้
ส่วนผมตอนนี้ในใจนึกถึงแต่แม่ และสองแม่ลูกคนทรงเจ้าคู่นั้น
ดวงตะวันเริ่มคล้อยต่ำ เราเหลือเวลาอีกไม่มาก... ตอนนี้ ผมเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมหลวงปู่ จึงเลือกเราสองคน ให้มาทำภารกิจนี้
เราแวะเติมน้ำมันกันที่ปั๊มแห่งหนึ่ง ตอนนี้เราน่าจะมากันเกินครึ่งทางกันแล้ว ขณะนั้นก็เป็นเวลาประมาณสี่ทุ่ม เราแวะเข้าไปหาอะไรทานแก้ง่วงกันในร้านสะดวกซื้อ ผมถามเพื่อนเพื่อให้แน่ใจว่าเราจะไปทันเวลา แจ็คพยักหน้า และตอบรับด้วยเสียงในลำคอ เขามีท่าทีเปลี่ยนไปตั้งแต่เราออกมาจากหอพักหญิงนั้น จากคนเฮฮาโผงผาง พูดจาเสียงดัง กลับกลายเป็นตรงกันข้าม ตอนนี้เขาดูเงียบขรึมและดูไม่ค่อยมีความมั่นใจเอาซะเลย
แม้กระทั่งระหว่างทางที่ผ่านมาจะมีรถที่ขับสวนมาตบไฟสูง หรือบีบแตรใส่ ถ้าเป็นแจ็คคนเดิมคงต้องบีบแตรหรือเปิดไฟสูงสวนกลับไป แถมด้วยคำด่าพ่อล่อแม่อีกเป็นเซ็ท แต่แจ็คคนปัจจุบันนั้นช่างแตกต่าง เขามีท่าทีเงียบ..เหม่อลอย...จนผมนึกสงสารเพื่อน ประสบการณ์ผีๆ ในครั้งนี้คงทำให้ชีวิตพวกเราไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป...
ขณะที่เราเข้าแถวจ่ายเงินค่าขนมและเรื่องดื่มชูกำลังที่ร้านในปั๊ม ก็มีผู้ชายวัยกลางคนคนหนึ่งเดินเข้ามาคุยกับพวกเรา
"น้องสองคนขับไมตี้เอ็กซ์ใช่ไหมครับ"
เราพยักหน้ารับ ในใจก็นึกหวั่นๆ ว่าเราไปเบียดรถใครหรือเปล่า "มีอะไรหรือเปล่าครับพี่"
"เออ น้องบอกเพื่อนผู้หญิงท้ายรถด้วยนะว่าอย่านั่งเล่นบนหลังคา มันอันตราย"
ผมตกใจของในมือแทบจะหล่น ส่วนแจ็คสีหน้าเครียดหนักกว่าเดิม..
"เมื่อกี้พี่ขับรถมากับเพื่อนๆ เห็นผู้หญิงนั่งๆยืนๆบนกระบะรถพวกน้องน่ะ ถ้าเมาแล้วก็บอกเพื่อนน้องให้นอนลงไปดีกว่า แถวนี้หลุมเยอะถ้ารถสะดุดอาจจะพลาดตกลงล้มเจ็บเอาได้ ทางมันอันตราย. สิบล้อเยอะ.
พี่เขาหยุดพูดค้นหาเศษเงินในกระเป๋า
"เมื่อกี้พี่แซงรถน้องมาพยายามบีบแตรตบไฟ แต่พวกน้องก็ไม่สนใจ"
ผมกับแจ็คมองหน้ากันและกัน และได้แต่ขอโทษพี่คนนั้นและรับคำ ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่า ทำไมรถที่สวนมาหลายๆ คัน ตบไฟสูงและบีบแตรใส่พวกเรา
ผีผู้หญิงคนนั้นคงอยู่กับเรา ณ ตอนนี้
เราต่างขอบคุณพี่เขา แล้วเดินออกไปตรงที่จอดรถ...มองไปที่รถกระบะซึ่งว่างเปล่า ไม่มีใคร ตอนนี้เส้นขนในร่างกายเริ่มตั้งชัน เราค่อยๆ เดินไปสำรวจกระบะหลัง ไหว้กราบขอขมาแล้วรีบขึ้นรถขับออกไปทันที
ตลอดทางที่เหลือ...แจ็คเปิดเทปธรรมมะที่เตรียมมาดังลั่นรถ ส่วนผมพยายามหลบสายตา ไม่กล้ามองไปยังกระจกมองหลังรถอีกเลย
ตีสาม เราก็มาถึงบ้านหลังเดิมที่ใช้ทำพิธีเมื่อคราวก่อน เห็นรถกระบะจอดอยู่ ไฟในบ้านเปิดสว่าง
ที่นั่น อ้อยนอนขดตัวอยู่ที่ตรงกลางพื้นห้อง หลวงปู่กับลูกศิษย์นั่งอยู่ที่ด้านใน มีน้องสาวกับญาติของอ้อยสามสี่คนนั่งอยู่ด้วยกันอีกมุมหนึ่ง ส่วนอีกด้านของห้องมีพี่นุคนขับรถและเพื่อนผู้หญิงที่สนิทของอ้อยอีกสามสี่คนนั่งอยู่ด้วย
เรารีบนำหีบใส่ของทั้งสองสิ่งไปวางไว้ตรงหน้าหลวงปู่ ท่านรีบทำพิธีทันที โดยให้ลูกศิษย์จุดเทียนใหญ่ 1 เล่ม กับธูปอีก 9 ดอก แล้วสวดคาถาที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนในชีวิต พึมพัมๆ เสียงดังน่าขนลุก...แต่คราวนี้หลวงปู่ท่านไม่ได้ทำน้ำมนต์เหมือนครั้งที่แล้ว..
ไม่นาน ร่างกายอ้อยที่นอนขด ก็กระตุกขึ้น ทำให้เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งถึงกับเผลอร้องกรี๊ดเสียงหลง ...การกระตุกแต่ละครั้งจะทำให้ท่าทางอ้อยเปลี่ยนไป จนค่อยๆ ลุกยืนขึ้น แต่ยังคอพับ และดวงตายังคงหลับอยู่
"มันอยู่ไหน...มันอยู่ไหน.." อ้อยส่งเสียงคำรามลั่นน่ากลัว แม้ตาจะยังปิด คอพับไปด้านหลัง ตอนนี้ท่าทางยืนของอ้อยนั้นดูผิดมนุษย์มนามาก
"ไม่ได้มีความแค้นกัน ไฉนจึงอาฆาตจองเวร" ชายหนุ่มผู้เป็นลูกศิษย์เอ่ยปากถามด้วยความสุภาพ
ร่างอ้อยหันบิดมาทางกลุ่มพวกเราที่นั่งอยู่ที่อีกมุมห้อง แล้ววิ่งวิ่งมาหยุดที่หน้ากลุ่มพวกเรา เพื่อนผู้หญิงสองสามคนกอดกันกรี๊ดดังลั่นบ้านด้วยความตกใจ ส่วนผม แจ็ค และพี่นุก็ผงะถอยหลังจนติดฝาบ้าน
อ้อยลืมตา ชี้หน้าพวกเรา
"มันเกี่ยวกับพวกทุกคน ฮาฮ่าฮ่ะ "
ในพริบตานั้นอ้อยวิ่งมากระชากแขนแจ็คและดึงร่างแจ็คออกไปที่นอกตัวบ้านอย่างรวดเร็ว ทั้งๆ ที่ผมกับพี่นุพยายามยื้อยุดก็ไม่สามารถต้านแรงพลังมหาศาลนั้นได้
"เฮ้ยย เอ๋ ช่วยกูด้วยยย" เสียงแจ็คตะโกนลั่นที่นอกบ้าน.. พวกเราทั้งหมดรีบวิ่งตามออกไปอย่างรวดเร็ว
เราเห็นร่างลิบๆ หายเข้าไปในชายป่าชุมชนที่ติดกับบริเวณบ้าน พี่นุรีบไปเอาไฟฉายในรถมาสองหา ส่วนญาติของอ้อยคนหนึ่งขับรถกระบะไปที่ขอบชายป่าแล้วส่องไฟสปอตไลท์ดวงใหญ่ๆ เปิดช่วยอีกทาง
เสียงร้องของแจ็คเงียบหายไป ตอนนี้เราแยกกันเป็นสองขบวนเพื่อตามหา ซีกของเรามีพี่นุ ผม และญาติของอ้อยอีกคนเดินมาด้วยกัน อีกกลุ่มนำโดยพี่ลูกศิษย์กับญาติของอ้อยอีกคน ที่เหลือยืนรอพวกเราที่หน้าบ้าน..ตอนนี้เสียงหมาหอนดังระงมจากบ้านละแวกเดียวกันก้องไปทั้งชายป่า
"แจ็คเอ้ยอย่าพึ่งเป็นอะไรนะน้อง" เสียงพี่นุเปรยกับตัวเองขณะที่เราเดินตามหา ในใจผมได้แต่ภาวนาให้แจ็คและอ้อยปลอดภัย
ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง เสียงแห่งความหวังก็ดังขึ้น
"เจอแล้วๆ อยู่ตรงนี้" เสียงพี่ลูกศิษย์ดังมาจากป่าลึกห่างไปจากเราไม่ไกล เรารีบหาทางเดินแหวกพงไม้พุ่มไปให้เร็วที่สุด จนถึงจุดนั้น
ตรงนั้นเราพบทั้งคู่นอนอยู่ข้างๆ กัน..
"ยังไม่ตาย...แค่สลบ แต่อาการไม่ค่อยดี" ญาติของอ้อยบอกพวกเรา ผมเห็นอ้อยนอนหงายอยู่ข้างๆ แจ็คที่นอนคว่ำ เสื้อยืดของแจ็คขาดวิ่นมีรอยเลือดจากแผลขนาดใหญ่ที่หลัง พวกเราช่วยกันอุ้มร่างทั้งคู่ออกไปจากที่นั่นอย่างรีบเร่ง
ตอนนั้นก็เป็นเวลารุ่งสางพอดี
ช่วงสายวันนั้นที่โรงพยาบาล อาการของทั้งคู่ปลอดภัย หมอทำแผลและฉีดยากันบาดทะยักให้กับแจ็ค และให้น้ำเกลือแก่คนทั้งคู่ ที่กำลังหลับสนิท
ผมกับพี่นุยืนคุยกันที่ด้านนอกห้องพักคนไข้ พี่นุบอกว่าตอนนี้หลวงปู่กับลูกศิษย์เดินทางกลับวัดที่ต่างจังหวัดแล้ว
"อ้าว ทำไมทิ้งกันยังงี้ล่ะ" ผมสงสัยปนน้อยใจ พี่นุได้แต่ส่ายหน้า "หลวงปู่ท่านบอกว่าพ้นเคราะห์แล้ว... ผีมันรู้แล้ว"
ผมตกใจ ... แจ็คเองเหรอที่เคยร่วมทำอาชญากรรม ข่มขืนฆ่า ผู้หญิงคนนั้น...จะเป็นไปได้ยังไง เมื่อสิบปีก่อนแจ็คน่าจะอายุแค่สิบขวบแถมบ้านก็อยู่ภาคใต้ จะมาทำกรรมเวรขั้นอุกอาจถึงภาคเหนือได้ยังไง...ส่วนพี่นุก็ได้แต่ตั้งสมมุติฐานเช่น อาจเป็นญาติหรือคนที่รู้จักแจ็คหรือเปล่า ซึ่งตอนนั้นเราทั้งคู่ต่างก็มืดไปแปดด้าน แต่ในใจผมก็ได้แต่นึกถึงเหตุผลต่างๆ โดยเฉพาะตอนที่ผีในร่างอ้อยชี้หน้าว่ามาทางพวกเรา...
"มันเกี่ยวกับพวกทุกคน ฮาฮ่าฮ่ะ "
ทำไมผีพูดแบบนั้น พวกเราทุกคนมีส่วนอย่างนั้นหรือ? จะเป็นไปได้ยังไงกัน...
เย็นวันนั้นเมื่อแจ็คกับอ้อยฟื้นแล้ว เราก็เอาขนมที่ทั้งคู่ชอบไปเยี่ยม ตอนนี้ทั้งคู่เริ่มยิ้มแย้มมีสีหน้าแจ่มใส่ เริ่มปล่อยมุขปล่อยอะไรขำๆ กันได้แล้ว
"อีอ้อยต้องรับผิดชอบกูนะ" แจ็คพูดขณะกำลังกินขนมที่พวกเราเพื่อนร่วมคณะสามสี่คนเอามาให้
"รับผิดชอบไรวะแจ็ค" อ้อยถามพร้อมทำคิ้วขมวด
"ก็ที่กระชากกูไปนอนในป่าแถมฉีกเสื้อผ้าจนขาด แล้วข่วนจนหลังกูเหวอะเนี่ย... ไม่สนล่ะต้องบอกพ่อมาขอกูแล้ว" จากนั้นพวกเราหัวเราะกันดังลั่นหวอดกันจนพี่พยาบาลต้องเดินมาดุ
จากนั้นเพื่อนคนหนึ่งขอดูแผลที่หลังแจ็ค เมื่อเปิดดูเพื่อนผู้หญิงอีกคนอุทานว่าโอ้โหแผลใหญ่เต็มหลัง อีกคนเอากล้องโพลารอยมาถ่ายเป็นที่ระลึก เฮฮากันตามประสาเด็กซนๆ จนก่อนจะแยกย้ายป้อ เพื่อนที่ถ่ายรูปโชว์รูปให้พวกเราดู เพราะเธอสังเกตุเห็นสิ่งผิดปกติ
"ผิดปกติยังไงวะป้อ" อ้อยที่ตอนนี้ลุกขึ้นจากเตียงมาล้อมวงกันที่เตียงแจ็คตั้งคำถาม
"พวกเราดูสิ รอยแผลเนี่ย มันเหมือนพวก typography (การออกแบบตัวอักษร) เท่ๆ เลยนะ"
"เฮ้ย จริงว่ะ "...เพื่อนอีกคนสำทับ "เก๋ดี รอยปิดผ้าพันแผลเหมือนเป็นตัวอักษรเลย...แต่อ่านว่าอะไรนะเนี่ยย"...
"บิว ..ไม่ใช่สิ บิง เหรอ..อะไรคือบิง.." อ้อยลองอ่าน
" น่าจะ ขิง นะ " ป้อพูดสวนขึ้น ทุกคนมองหน้ากัน
.
.
.
ใช่แล้วครับ รอยแผลบนหลังของแจ็คนั้น มันเขียนว่า... ขิง
เป็นชื่อของอาจารย์ของพวกเรานั่นเอง
...
31 ตุลาคม 2539
ณ บ้านพักอาจารย์และบุคลากรทางการศึกษา
กราบเรียนคุณพ่อคุณแม่ ญาติพี่น้อง ครูบาอาจารย์ ท่านคณะบดี เพื่อนๆ และนักเรียนลูกศิษย์ที่รัก รวมทั้งเจ้าหน้าที่ทุกท่านของคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ เนื่องด้วยในขณะนี้ ได้เกิดเหตุการณ์ที่น่ากลัวน่าหวาดหวั่นแก่บรรดานักศึกษาและเจ้าหน้าที่ ตลอดจนญาติพี่น้องของคนเหล่านี้ ด้วยเหตุที่ไม่สามารถอธิบายในทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้ กระผมเองนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง จึงอยากจะเล่าเรื่องราวที่มาที่ไปที่เกิดขึ้น
เมื่อสิบปีที่แล้ว คืนวันที่ 31 ตุลา ปี 2529 ขณะที่ผมเรียนอยู่ในชั้นมัธยมปลายที่จังหวัดบ้านเกิดในภาคเหนือ ผมได้ก่อเหตุอันไม่น่าให้อภัย ด้วยการมีส่วนร่วมกับกลุ่มเพื่อนรุ่นพี่ที่มักจะกินเหล้าเมายากัน จนเกินเลยไป ผมในตอนนั้น ที่เต็มไปด้วยปีศาจร้ายที่สิงอยู่ในร่าง ได้เป็นหัวโจกในการทำร้ายและข่มขืนหญิงสาวคนหนึ่งถึงแก่ความตาย ภายในหอพักหญิงของวิทยาลัยพยาบาลแห่งนั้น โดยตอนนั้นหลังก่อเหตุ ญาติผู้ใหญ่ท่านหนึ่งของผมได้จัดการให้ผมเปลี่ยนชื่อ นามสกุล และช่วยให้ผมได้หลบหนีเพื่อเดินทางไปศึกษาชั้นมัธยมปลายที่ต่างประเทศ จนเรื่องเงียบลง แล้วจึงได้กลับมาเรียนต่อ และได้ทุนกลับมาเป็นอาจารย์ จนถึงทุกวันนี้
ทุกคืนทุกวันตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่มีสักวันที่ผมไม่สำนึกผิดต่อความผิดบาปที่ผมได้ร่วมก่อเหตุไว้ ซึ่งมันได้ทำให้ผมเป็นโรคนอนไม่หลับ ทรมานจนต้องทานยาทุกวัน ผมเสียใจมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ด้วยความขี้ขลาดและหวาดกลัวการถูกลงโทษ ผมจึงหนี ปฏิเสธความจริงและพยายามทดแทนสังคมด้วยการสมัครเป็นอาจารย์สอนเยาวชนรุ่นหลังให้มีอาชีพที่ดีต่อไป
แต่ในช่วงหลังจากที่เกิดเหตุการณ์ที่หอพักนั้น ความผิดบาปในใจผมยิ่งทวีกลับมาด้วยความรุนแรง ผมเห็นวิญญาณหญิงสาวร้องไห้ทุกคืนที่หลังบ้านพัก ผมจำได้เป็นอย่างดีว่าเธอเป็นนักศึกษาพยาบาลคนนั้น คนที่ผมได้ร่วมทำร้าย ผมรู้สึกหดหู่อย่างยิ่งยวด และคิดว่าทางออกที่ดีที่สุดก็คือ การฆ่าตัวเองให้ตายตกเพื่อรับกรรมในครั้งนี้ต่อไป
ผมกราบขอโทษทุกคนที่ทำให้ผิดหวัง ชาติหน้าผมอยากกลับมามีชีวิตอีกครั้ง เพื่อเลือกทางเดินที่ถูกต้อง ถ้าบุญยังมี ผมอยากกลับมาเป็นอาจารย์ที่สถาบันนี้อีกครั้ง เพราะที่นี่คือที่ที่ผมรัก
ขอโทษจากหัวใจ
ขิง
นี่คือข้อความในจดหมายสุดท้ายที่เขียนด้วยลายมือของอาจารย์ขิง ที่พวกเราพบที่โต๊ะทำงานภายในบ้านพักในช่วงสายวันถัดมา โดยเมื่อรุ่งเช้าวั้นนั้นแม่บ้านที่รับทำความสะอาดบ้านพักอาจารย์ พบศพอาจารย์ขิงแขวนคอตายอยู่ที่ระเบียงหลังบ้าน ตำรวจชันสูตรเบื้องต้นพบว่าอาจารย์ขิงฆ่าตัวตายมามากกว่า 24 ชั่วโมง
แต่จากคำให้การของเพื่อนบ้านนั้นช่างขัดกัน เพราะเมื่อคืนก่อนนั้นเวลาตีสามเพื่อนบ้านคนหนึ่งซึ่งมีอาชีพเป็นอาจารย์คณะพยาบาลได้ขับรถกลับมาจากการเข้าเวร เธอยังเห็นอาจารย์ขิงอยู่ในบ้านพร้อมกับหญิงสาวผมยาวคนหนึ่ง ที่แต่งตัวคล้ายนักศึกษา ทั้งคู่คล้ายกำลังนั่งสนทนากันในบ้าน
นั่นคือภาพสุดท้ายที่มีคนเห็นอาจารย์ขิง และ หญิงสาวคนนั้น คนที่อยู่ในรูปถ่าย
หลังจากนั้นสามวัน ที่คณะสถาปัตยกรรมได้จัดทำบุญใหญ่ขึ้นเพื่อเป็นการไว้อาลัยให้แก่ทุกดวงวิญญาณ จากนั้นทริปชมสถาปัตยกรรมในภาคเหนือก็ไม่ได้จัดขึ้นอีกเลยจนพวกเราเรียนจบ แยกย้ายกันไปทำงานตามความถนัดและโอกาส ตามจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศไทย บางคนเป็นอาจารย์ บ้างรับราชการ และทำงานบริษัทเอกชน บางคนก็ไปเรียนต่อ แต่สิ่งที่ทุกคนยังจำได้ดีไม่มีวันลืมก็คือ
เตียงที่มีพวงมาลัย และรูปถ่ายใบนั้น
.
.
.
*************จบ**************
.
.
ขอบพระคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านกันมาจนจบนะครับ
แล้วอย่าลืมติดตามฉบับ E-book ใน MEB นะครับ
เพิ่มรายละเอียดความสยองต่างๆ พร้อมภาพประกอบ
เร็วๆ นี้ครับ
.
เอ๋ บางนา
เรื่องจากพันทิป เรื่องเล่าสยองขวัญ #เตียงที่มีพวงมาลัย
เรื่องโดย สมาชิกพันทิป เอ๋ บางนา
ขอขอบคุณเรื่องราวสยองและขออนุญาตนำมาเผยแพร่ ณ ที่นี้ด้วย
Post a Comment