เมื่อแรงกรรมส่งข้าพเจ้ากลับมา...และ (ว่าที่) สามีในอดีตชาติยังติดบ่วงสัญญาดังเดิม...


Part 1


ไม่มีคำว่า ‘บังเอิญ’ ในทางศาสนาพุทธ
แรงใดเสมอเหมือนซึ่งแรงกรรมนั้นไม่มี...

สวัสดีโลกอันไม่คุ้นเคยและสังคมใหม่ของดิฉันค่ะ

ที่ต้องทักทายกันอย่างนี้เป็นเพราะว่าดิฉันไม่เคยเล่นเว็บบอร์ดนี้มาก่อน อย่างดีก็แค่ตามอ่านกระทู้ที่เขาๆ แชร์กันมาตามสื่อโซเชียลอื่นๆ บ้าง ไม่ได้เข้ามาเล่นจริงจัง เลยอาจจะติดๆ ขัดๆ ทำอะไรผิดพลาดบ้าง ก็ต้องขออภัยและขอคำแนะนำด้วยนะคะ

เกริ่นกันอีกนิดว่าหากต้องการเรียกแทนตัวดิฉัน สามารถเรียกว่า ‘หนูผี’ ได้ ไม่ใช่ชื่อเล่นหรือชื่อจริงอะไรทั้งนั้น เป็นนามปากกาอวตารเพื่อมาเล่าเรื่องลี้ลับโดยเฉพาะ ด้วยเหตุผลว่าอยากจะเล่าในสิ่งที่ตนเองอยากเล่าเท่านั้น เล่าแบบไม่ต้องประดิดประดอยคำหรือประโยคมาก เล่าโดยที่ไม่ต้องสวมหน้ากากรับบทเป็นอีกคนที่ใช้ชีวิตหลักๆ อยู่ในวงสังคม เล่าแบบเอาตามจริงๆ เนื้อๆ เน้นๆ ที่ได้เจอมา ไม่ได้เสริมเติมแต่งอะไรเข้าไปมาก เพราะตั้งใจจะเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวเองด้วยความค่อนข้างสัตย์จริง และที่ต้องมาตั้งกระทู้เล่าเป็นเรื่องเป็นราวก็เป็นเพราะว่า ‘อยากค่ะ’ อยากมาหลายวันแล้ว มันรุ่มร้อน มันกระวนกระวาย อยากจะระบาย เล่าต่อให้คนอื่นได้รับทราบความกัน อาจจะต้องใช้เวลาในการพิมพ์บอกเล่าและอัปเดตสักหน่อยนะคะ

ทั้งนี้ดิฉันไม่ขอยืนยันว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงแท้แน่นอนแต่อย่างใด โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน ถือว่าอ่านเพื่อความบันเทิงไปนะคะ เพราะเรื่องนี้จะเล่าในภาษาสำนวนคล้ายๆ นิยายสักหน่อย เพื่อความเพลิดเพลินและอรรถรสในการอ่าน

เรื่องที่ดิฉันเขียนให้อ่านดังต่อไปนี้ เป็นเรื่องที่ได้ประสบพบเจอประมาณหนึ่งปีกว่าๆ ซึ่งได้รับการ ‘อนุญาต’ จาก ‘ผู้ที่อยู่กับดิฉัน’ แล้วเป็นที่เรียบร้อย ดังนั้นเรื่องราวต่อไปนี้หาใช่การลบหลู่ดูหมิ่นหรือลองของใดๆ ทั้งสิ้น เพียงแต่เป็นการเล่าประสบการณ์

ต้องขอย้อนกลับไปเมื่อปีกว่าๆ ก่อนในช่วงปลายปีที่ดิฉันได้ย้ายสำมะโนครัวเข้าบ้านใหม่หลังแรกในชีวิตของมนุษย์ฟรีแลนซ์ค่ะ บ้านหลังนี้น่าแปลกมากที่ดิฉันซื้อจากการเลือกบ้านเลขที่ ก่อนที่จะได้ดูตัวบ้านจริงๆ ในตอนนั้นคิดเพียงแต่ว่าอยากได้บ้านที่มีเลขที่ซึ่งเป็นเลขถือเป็นเลขมงคลของตัวเอง (ได้มาจากการทึกทักเองด้วยค่ะ เช่น เกิดวันที่เก้า เลยทึกทักว่าเลขเก้า คือเลขมงคลของตัวเองอะไรแบบนั้น) จึงได้เลือกบ้านหลังนี้ไป และให้เซลล์พามาดูสถานที่จริงในภายหลัง

ซึ่งการซื้อบ้านหลังแรกในชีวิตนี้ก็ไม่ได้มีอะไรน่าตื่นเต้นเท่ากับการที่จะมีบ้านเป็นของตัวเองหลังจากเช่าอยู่มาทั้งชีวิต ในตอนนั้น ทุกอย่างดูสวยหรูเหมือนกับฝันไปหมด เพราะดิฉันถือว่าตัวเองทำภารกิจใหญ่ในชีวิตได้สำเร็จ นั่นก็คือการรับพ่อแม่ที่เริ่มแก่เฒ่าลงทุกวันมาอยู่ด้วยกันที่บ้านหลังนี้

เราทั้งสี่คน พ่อ แม่ ลูก และแฟนของดิฉันที่เป็นคนต่างชาติ (ปัจจุบันเป็นแฟนเก่า แต่ยังอยู่บ้านหลังเดียวกันอยู่ ทว่าเป็นไปในสถานะเพื่อน เดี๋ยวจะเล่าแทรกทีหลังค่ะว่าเป็นอย่างนั้นไปได้อย่างไร) ก็รอฤกษ์งามยามดี กระทั่งถึงวันที่ตั้งใจ ก็ยกพระ ยกองค์เทพที่บูชา ข้าวสาร น้ำ และของมงคลต่างๆ เข้าบ้าน พร้อมกับตกลงกันว่าวันนี้จะนอนค้างที่บ้านใหม่หลังนี้เป็นวันแรก แล้วจะค่อยจ้างรถให้ขนของจากบ้านเช่าหลังเก่ามาทีหลัง โดยที่ภายในบ้านวันนั้นมีโซฟาทรงตัวแอลตั้งอยู่ที่ห้องโถงรับแขกด้านหน้าของบ้านอยู่แล้ว ก็เลยตัดสินใจกันว่าจะให้พ่อกับแม่นอนที่โซฟาข้างล่าง ส่วนตัวดิฉันกับแฟนในตอนนั้นก็เอาที่นอนปิกนิกยกขึ้นไปปูนอนที่ห้องมาสเตอร์ข้างบนแทน

ในคืนแรกของการนอนบ้านหลังใหม่ผ่านไปได้ด้วยดี อันที่จริงต้องบอกว่าดิฉันกับแฟนแทบไม่ได้นอนกันเลยมากกว่า เพราะเอาแต่พูดคุยกันจนถึงรุ่งสางแล้ว
ค่อยพากันเข้านอน กว่าจะตื่นอีกทีก็ตอนเที่ยง และพอลงมาข้างล่าง ก็ได้ความจากแม่ว่า...

”หนูๆ...เมื่อคืนนี้ ป๊ะถูกผีอำ”

Part 2

“โดนอำยังไงล่ะแม่”
“เห็นป๊ะบอกว่ากำลังเคลิ้มๆ จะหลับ แล้วจู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนมีใครมาจับที่ไหล่ จากนั้นก็ขยับตัวไม่ได้เลย”

แม่ล่าต่อหลังจากได้ฟังคำบอกเล่าของพ่อดิฉัน ตอนที่ได้ยินเรื่องนี้ ดิฉันไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวอะไร คิดว่าเป็นเรื่องขำๆ เสียด้วยซ้ำ พร้อมกับบอกพ่อกับแม่ว่า...

“เรื่องผีอำ มันมีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์อยู่นะ มันเกี่ยวกับเรื่องกล้ามเนื้อกระตุกเกร็งกะทันหันอะไรงี้ ไม่ใช่เรื่องที่อธิบายไม่ได้”

ใช่ค่ะ ดิฉันไม่ใช่คนที่เชื่อเรื่องผีสางเทวดาอะไรพวกนี้ ต้องขอเกริ่นกันอีกนิดว่าตัวดิฉันเองหยุดการเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาต่างๆ มาตั้งแต่ช่วงเข้ามหาวิทยาลัยปี ตลอดระยะเวลาช่วงนั้น ความเชื่อหรือการทำบุญอะไร ไม่มีอยู่ในวงโคจรการใช้ชีวิตของดิฉันเลย ด้วยพอเข้ามหาวิทยาลัย แนวความคิดที่เกี่ยวข้องกับศาสนาก็เปลี่ยนแปลงไป เรียกได้ว่าถ้าอะไรไม่สามารถพิสูจน์ได้ ดิฉันจะไม่เชื่อเลย คิดด้วยซ้ำว่าไม่มีโลกหน้า คนเราเมื่อตายไปก็คือสลายย่อยเป็นอินทรีย์ ไม่มีวิญญาณหรืออะไรทั้งนั้น มิหนำซ้ำยังเห็นแย้งต่อหลักความเชื่อต่างๆ อีกด้วย ต่อต้านอย่างออกหน้าออกตาจนน่าหมั่นไส้ และปะ - ฉะ - ดะ กับฝ่ายที่ศรัทธาไปอยู่หลายครั้งเหมือนกัน ด้วยความที่ไม่รู้และไม่ศรัทธา รวมถึงการอวดอุตริของตัวเอง

แต่ถ้านับย้อนกลับไปเมื่อสมัยยังเด็ก ก็นับได้ว่าดิฉันเป็นเด็กที่มีโอกาสได้ใกล้ชิดกับศาสนาค่อนข้างมาก โดยเฉพาะกับศาสนาพุทธ เพราะทางบ้านของแม่ค่อนข้างจะเป็นครอบครัวที่เลื่อมใสศรัทธาในศาสนาพุทธ และเหตุผลอีกอย่างก็คือ...ทางญาติพี่น้องฝั่งแม่ มี ‘อะไรบางอย่าง’ ที่คนส่วนใหญ่ทั่วไปไม่มีกัน ซึ่งดิฉันจะย้อนกลับมาเล่าในส่วนนี้อีกครั้ง

กลับมาพูดถึงเรื่องผีอำในเชิงวิทยาศาสตร์ที่เกิดขึ้นกับพ่อ พอดิฉันอธิบายไป ก็ดูเหมือนแม่จะคลายความกังวลลงมาไม่น้อย จนพ่อพูดขึ้นมาเหมือนกันว่า ‘บ้านใหม่ไม่น่าจะมีผีนะ’ ด้วยอารมณ์ขำๆ

หลังจากนั้นดิฉันก็ละทิ้งความสนใจเรื่องผีสางไป กลับมาสาละวนกับการย้ายข้าวของเข้าบ้านและจัดบ้านใหม่ กระทั่งเข้าคืนวันที่สาม ถึงได้มีโอกาสมานั่งครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่เกิดกับพ่ออีกครั้ง

ที่จู่ๆ ฉุกคิดขึ้นมาได้ เป็นเพราะว่าในคืนวันที่สามนั้น แม่และพ่อย้ายจากห้องรับแขกที่เคยนอนไปนอนในห้องซึ่งต่อเติมขึ้นมาแทน ด้วยก่อนหน้านั้น พ่อกับแม่สังเกตเห็นว่าบริเวณโซฟาทรงตัวแอลที่พ่อนอนแล้วถูกผีอำ มันตรงกับคานของบ้านอย่างพอดิบพอดี เลยเลี่ยงที่จะไม่นอนตรงนั้นตามความเชื่อของคนสมัยก่อนที่ว่าไม่ควรนอนใต้คานเพราะจะทำให้โดนผีหลอก (ซึ่งดิฉันคิดว่าเป็นกลอุบายของคนสมัยก่อนที่ใช้บอกกันว่าห้ามนอนตรงนั้นด้วยตรงคานเป็นแหล่งสะสมของฝุ่นผง นอนตรงนั้นจะไม่ดี หรือไม่ก็ถ้าบ้านต่อเติมไม่ดี ไปนอนตรงบริเวณนั้นก็อาจจะทำให้คานถล่มลงมาทับได้) ส่วนดิฉันก็มาอาศัยครอบครองโซฟาเพื่อนั่งทำงานกับโน้ตบุ๊กแทน สำหรับแฟนก็ขึ้นไปนอนข้างบนบ้านเหมือนเคย

ในคืนนี้ดูเหมือนจะไม่มีอะไรแปลกประหลาด ดิฉันทำงานจนดึกดื่นตามปกติสามัญ แต่แล้วจู่ๆ ในขณะที่ดิฉันกำลังพักเบรกเบนไปเล่นเกมมือถืออยู่ หางตาก็เห็นเงาตะคุ่มของใครบางคนแวบขึ้นมาที่กลางบ้านชั่วครู่หนึ่งก่อนจะหายไป เรียกว่ามาเพียงเสี้ยววินาทีก็ได้ แต่ในเสี้ยววินาทีนั้น ทำให้ดิฉันสัมผัสได้ว่าคนที่ต้องการให้ดิฉันเห็น ก็คือผู้ชาย รูปร่างสูงใหญ่ สวมเสื้ออย่างไรไม่แน่ใจ แต่ช่วงล่างนุ่งโจงกระเบนสีตุ่นๆ ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นความรู้สึกทั้งสิ้น หาใช่เห็นด้วยตาเนื้อไม่

แต่ด้วยความที่ดิฉันไม่เชื่อเรื่องผีสางเทวดาอยู่เป็นทุนเดิมแล้ว จึงไม่ได้ใส่ใจอะไร นอกจากจะตกใจเล็กน้อยเท่านั้น ก่อนจะทำงานต่อกระทั่งถึงช่วงตีสาม ตอนนั้นเองก็ได้มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นอีกครั้ง

แอ๊ดดด...แกร่กๆๆ...

หูของดิฉันได้ยินเสียงเปิดประตูช้าๆ ดังมาจากข้างบน ดิฉันหยุดนิ้วที่พิมพ์งานเพื่อเงี่ยหูฟัง แล้วก็จะต้องสะดุ้งเล็กๆ เมื่อเสียงนั้นกลายเป็นเสียงดัง ‘ปัง!’ ตามมาไม่แรงนัก เอาจริงๆ แวบแรก ดิฉันก็คิดไพล่ไปเรื่องผีเหมือนกัน แต่ก็พลันคิดเอาเองว่าสงสัยจะเป็นเสียงจากบ้านข้างๆ ที่ปิดประตูดัง ทว่าพอคิดอย่างนั้น ก็ต้องคิดออกขึ้นมาอีกระลอกว่า...ดิฉันไม่ได้อยู่บ้านตึกแถวแล้ว อยู่บ้านเดี่ยว แล้วบ้านเดี่ยวแต่ละหลังมันอยู่ห่างกัน เป็นไปไม่ได้เลยที่จะได้ยินเสียงแง้มและกระแทกประตูอย่างนั้น ที่สำคัญ...ทำไมได้ยินอยู่คนเดียว? คนอื่นในบ้านไม่ได้ยิน โดยเฉพาะแฟนที่นอนอยู่ชั้นบน ด้วยเสียงมันก็ดังพอที่จะทำให้คนในบ้านตื่นได้

ชั่วแวบที่คิดเรื่องนี้ ต่อให้ไม่เชื่อเรื่องผีสางเทวดา และคิดทึกทักเอาเองว่าตัวเองไม่กลัวผีก็เถอะ แต่จะให้เข้านอนตอนนี้ ดิฉันก็ไม่กล้าแล้ว ได้แต่นั่งเล่นอินเทอร์เน็ตบ้าง ดูอะไรไปเรื่อยเปื่อยบ้าง สิงอยู่บนโซฟาจนกระทั่งฟ้าสว่างและแม่ตื่นขึ้นมาเป็นคนแรก ตอนนั้นล่ะถึงได้บอกกับแม่

“แม่...เมื่อคืนหนูเจอผีหลอก”

Part 3


ตอนที่แม่ได้ยินอย่างนั้น สีหน้าของแม่ดูวิตกอยู่เล็กน้อย ขณะที่ตัวดิฉันเองพูดไปอย่างนั้นด้วยความรู้สึกที่ว่างเปล่า ก็คือไม่ได้กลัวหรืออะไรทั้งนั้น เพียงแต่รู้สึกว่าการที่เราย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังใหม่ ก็ควรที่จะไหว้เจ้าที่เจ้าทางเพื่อบอกกล่าวเสียหน่อย เพราะตั้งแต่วันแรกที่เข้ามานอน ไม่ได้มีการบอกกล่าวกับเจ้าที่เจ้าทางเลย ตกเย็นวันนั้น เราสามคนพ่อ แม่ ลูก จึงไปจุดธูปคนละสิบหกดอกเพื่อไหว้เจ้าที่เจ้าทางที่สนามหน้าบ้าน ส่วนแฟนของดิฉันซึ่งเป็นคนต่างชาติไม่ได้มีส่วนร่วมกับพิธีกรรมนี้เพราะเขาไม่เข้าใจ และก็ไม่ได้ใส่ใจที่จะทำความเข้าใจด้วย

หลังจากไหว้เจ้าที่เจ้าทางเสร็จ ก็ไม่ได้มีอะไรผิดแปลกไปแม้แต่น้อย ดิฉันใช้ชีวิตตามปกติ และยังคงเห่อบ้านใหม่ มีการโพสต์กิจกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในบ้านลงในโซเชียลส่วนตัวเป็นประจำแทบทุกวัน จนวันหนึ่งมันก็เริ่มไม่ปกติเมื่อจู่ๆ พี่ซึ่งร่วมงานกันในตอนนั้น (ที่ต่อไปนี้จะขอเรียกว่า พี่เอ เป็นนามสมมติ) ก็มาคอมเมนต์ในโพสต์หนึ่งของดิฉันว่า ‘อยากกินน้ำใบเตย’ อะไรประมาณนั้น

ในครั้งแรกที่เห็น ดิฉันก็ไม่ได้สนใจ แต่พี่เอก็มาคอมเมนต์ในทำนองนี้บ่อยขึ้น ทำให้ดิฉันเก็บความสงสัยเอาไว้ไม่ไหว ต้องทักหลังไมค์ไปถามว่าไอ้ที่บอกว่าอยากกินน้ำใบเตยนี่คืออะไร แล้วใครอยากกิน ก่อนจะได้รับคำตอบว่า...

”เจ้าที่ที่บ้านนั่นล่ะที่อยากกิน”

ในส่วนนี้ต้องขอเล่าย้อนเกี่ยวกับพี่เอนิดหนึ่งว่า พี่เอเป็นคนที่มีสัมผัสที่หกบางอย่างซึ่งตัวดิฉันเองก็ไม่เคยทราบมาก่อน ซึ่งก็เคยมีเหตุการณ์หนึ่งที่ดิฉันได้พาเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่ทำงานเกี่ยวข้องกันมาเที่ยวที่บ้านหลังนี้เมื่อตอนที่ยังต่อเติมไม่เสร็จ ก่อนที่จะเลี้ยวเข้าหมู่บ้าน จู่ๆ พี่เอที่นั่งรถมาด้วยก็มีอาการวิงเวียน คลื่นไส้อย่างรุนแรง และอาเจียนออกมา โดยตอนแรกทุกคนลงความเห็นกันว่าเมารถ แต่หลังจากได้คุยกันเรื่องเจ้าที่ที่บ้านของดิฉัน พี่เอก็บอกเล่าว่าจริงๆ แล้วเป็นการที่สิ่งที่อยู่กับพี่เอเขา ‘หวง’ พี่เอ และไม่ต้องการให้สัมผัสสิ่งใดในบ้านของดิฉันได้ จึงทำให้มีอาการป่วย ตอนนี้เองที่ดิฉันได้รู้ว่าพี่เอมีสัมผัสเหล่านี้ ในส่วนนี้ดิฉันก็ไม่ทราบว่าจริงเท็จแค่ไหน ได้แต่รับฟังมาอย่างเดียวเท่านั้น พร้อมกับพอรับรู้มาคร่าวๆ ว่าครอบครัวของพี่เอมีสมาชิกเป็นร่างทรง และแน่นอนว่านอกจากสิ่งที่หวงพี่เอแล้ว ก็ยังมีบริวารอีกมากมายที่ดิฉันไม่รู้ว่าเป็นอะไรบ้าง

วกกลับมาที่เรื่องเจ้าที่บ้านดิฉันอีกครั้ง พอได้ยินพี่เอบอกอย่างนั้น ดิฉันก็จัดการไปซื้อน้ำใบเตยจากร้านสะดวกซื้อมาถวายที่รั้วบ้านด้วยความไม่คิดอะไร แต่พี่เอก็ยังสัมผัสกับเจ้าที่ที่บ้านได้ ก่อนมันจะเริ่มไม่ธรรมดาเมื่อพี่เอบอก

“เขาบอกว่าคิดถึง”

ประโยคนี้ทำให้ดิฉันฉุกคิด เจ้าที่บ้าอะไร มีมาบอกว่าคิดถึง ถ้ามาขอของไหว้อะไรอย่างนั้นจะไม่ค่อยแปลกเท่าไร และเพราะไอ้ที่บอกว่าคิดถึงนี่แหละ ที่ทำให้ดิฉันถลำลึกเข้าไปเพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่พี่เอพบเจอและบอกผ่านมานั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ทำให้การพูดคุยกับพี่เอในเรื่องนี้เป็นไปมากขึ้น โดยทุกครั้งที่ฝ่ายเจ้าที่ต้องการจะบอกอะไร ก็จะบอกผ่านพี่เอ ซึ่งก็น่าแปลกที่ดิฉันไม่ได้มีความหวาดกลัวอะไรในเรื่องนี้เลย ขณะที่เมื่อก่อนก็พอจะเจอกับเรื่องที่อธิบายตามหลักวิทยาศาสตร์ไม่ได้มาอยู่บ้าง แต่ดิฉันจะกลัว จนกระทั่งการพูดคุยกับเจ้าที่ผ่านพี่เอนั้นมันกลายเป็นความรู้สึกบางอย่างที่ยากจะอธิบายได้

เป็นความรู้สึก...โหยหา ผูกพัน และคุ้นเคย ราวกับว่าเจ้าที่นั้นเป็นคนที่เคยรู้จักมาก่อน

เพราะอย่างนั้นเลยเกิดการพิสูจน์ขึ้นค่ะว่าสิ่งที่สื่อสารกับพี่เอมีจริงหรือไม่ ด้วยการที่ดิฉันอธิษฐานว่าถ้ามีจริงๆ ก็ขอให้สำแดงฤทธิ์เดชอะไรมาให้เห็นสักหน่อย ยอมรับว่าลองของค่ะ พอหลังจากท้าทายไปเสร็จ อีกวันที่ถวายน้ำใบเตยก็ปรากฏว่าน้ำใบเตยพร่องหายไปครึ่งขวด เอาตรงๆ ดิฉันก็ไม่ได้ตกใจอะไรสักนิด มีแต่ถ่ายรูปแล้วอัปเดตกับพี่เอว่าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น พร้อมกับบอกพ่อแม่ที่บ้านว่ามีเรื่องอย่างนี้ ทำให้พ่อของดิฉันนึกขึ้นมาได้ว่าระหว่างที่บ้านกำลังต่อเติมเพิ่มอยู่ คนงานก่อสร้างซึ่งเป็นผัวเมียชาวเขมรเคยเอาน้ำแดง เหล้าขาว ดอกไม้ ธูปเทียนมาไหว้ที่รั้วบ้าน โดยที่วันนั้นดิฉันและพ่อไปเห็น แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรเพราะคิดว่าคงจะไหว้ไปตามธรรมเนียม พ่อเลยโทรติดต่อไปหาผู้รับเหมาก่อสร้างเพื่อขอคุยกับผัวเมียชาวเขมรคู่นั้น ปรากฏว่าที่มีการไหว้อะไรที่รั้วบ้านดิฉัน เป็นเพราะคนงานเขมรถูกหวยจากการที่เจ้าที่บ้านให้ค่ะ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าให้ยังไงเหมือนกัน ทางนั้นไม่ได้บอก
เรื่องนี้ก็พอจะเป็นการยืนยันได้ว่าเจ้าที่ที่บ้านมีจริง แต่คนไม่เชื่อก็คือไม่เชื่อ ดิฉันยังรู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่พิสูจน์ไม่ได้ จึงมีการท้าทายและลองของอยู่หลายครั้ง ขณะเดียวกัน ทางเจ้าที่ก็มีเรื่องมาบอกเรื่อยๆ โดยในช่วงนี้เริ่มไม่ได้บอกผ่านพี่เอแล้ว แต่มาในลักษณะดลใจให้ดิฉันได้ฉุกคิดขึ้นมา เช่น เรื่องวันทำบุญบ้าน จู่ๆ ก็รู้สึกว่าจะต้องเป็นวันที่ 25 มกราคม (ช่วงที่ย้ายเข้ามาบ้านใหม่เป็นช่วงปลายปีพอดีค่ะ) พอไปคุยกับพี่เอ พี่เอก็ทักขึ้นมาว่า

“อ้อ เป็นทหารของ...เหรอ ถึงได้เลือกวันนั้น”

ตอนแรกดิฉันก็งง จนไปค้นข้อมูลดู ถึงได้รู้ว่าวันที่ 25 มกราคม คือวันกองทัพไทย ซึ่งก็คือวันเดียวกับเหตุการณ์สำคัญของพระมหากษัตริย์พระองค์หนึ่งในสมัยอยุธยา

หรือในบางครั้งก็มาทำให้ดิฉันครุ่นคิดว่าเจ้าที่คงจะชื่อนี้ๆ ซึ่งในหัวของดิฉันมีคำว่า ‘อริญชย์’ ติดอยู่หลายวัน ภายหลังถึงมารู้ว่าคือชื่อคำแรกของราชทินนามของเขา จากการได้พูดคุยกันโดยไม่ผ่านสื่อครั้งแรก แต่ชื่อที่ดิฉันเรียกจนติดปากนั้น มาจากการที่พี่เอสื่อให้ ซึ่งจะเป็นชื่อเล่นของเขาอีกที

“คนคนนี้ชื่อว่า...นะ”

ขออนุญาตเรียกแทนว่า ‘พี่ขุน’ ต่อจากนี้ไป ด้วยเป็นยศของเขาขณะที่ยังมีชีวิตอยู่

พอได้รู้ชื่อ เริ่มจับต้นชนปลายได้ว่าเขาเป็นใคร ก็พยายามพิสูจน์ ‘การมีตัวตน’ ของเขามากขึ้นกว่าเดิม โดยสิ่งที่ดิฉันเริ่มทำอย่างจริงจัง นั่นก็คือการสวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิ และทำบุญให้เขา ‘ทุกวัน’ รวมถึงการอธิษฐานจิตต่อหน้าหิ้งพระภายในบ้าน

“ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายเปิดทางให้กับเจ้าที่ที่บ้านของข้าพเจ้าให้มาสัมผัสและสื่อกับข้าพเจ้าได้”

ที่อธิษฐานอย่างนี้เพราะเชื่อว่าบางทีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปกปักรักษาตัวเราอาจจะแผ่รัศมีไม่ให้วิญญาณอื่นๆ เข้ามาสัมผัสกับเราได้ และหลังจากการอธิษฐานอย่างนั้นเพียงไม่กี่วัน ดิฉันก็สื่อสารกับพี่ขุนได้เป็นครั้งแรกจากการนอนสมาธิในคืนหนึ่ง ในตอนนั้นดิฉันทำสมาธิแล้วนึกถึงพยางค์แรกในราชทินนามของเขา ก่อนที่ในหัวจะได้ยินเสียงผู้ชายดังแทรกเข้ามาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

‘...เพียงสวัสดิ์’
“...”
‘พี่ชื่อ...อริญชย์เพียงสวัสดิ์’

Part 4

เสียงนั้นเลือนราง ไม่ชัดเท่าไรนัก ดิฉันก็ไม่ใช่คนปฏิบัติหรือมีญาณหยั่งรู้อะไร เลยทำให้การสื่อสารกับ ‘เจ้าที่’ หรือ ‘พี่ขุน’ โดยตรงเป็นไปด้วยความกระท่อนกระแท่น มีประโยคเดียวที่ดิฉันได้ยินชัดเจนหลังจากนั้น

‘พี่คิดถึงเอ็งมาก...พลับพลึง’
“พลับพลึง...ใครคะ”
‘เอ็ง...เมื่อชาติก่อน เอ็งมีชื่อว่าพลับพลึง’

สำนวนภาษาโบราณและสำเนียงเหน่ออย่างที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนดังขึ้นในหัวอีกครั้ง ก่อนที่หลังจากนั้นดิฉันจะเริ่มได้ยินเสียงของเขาอย่างชัดเจน

‘เมื่อครั้งที่พี่มีชีวิตอยู่ พี่กับเอ็งเป็นคู่หมายกัน พี่คิดถึงเอ็งมากพลับพลึง...คิดถึง...ปานจะขาดใจ’

น้ำเสียงของเขาสั่นเครือในความรู้สึก เดาว่าเขาคงจะร้องไห้ระหว่างพูดด้วย ก่อนที่เขาจะเริ่มเล่าเรื่องราวระหว่างเขากับดิฉัน ‘ในชาตินั้น’ ทีละน้อย
เขาเล่าว่าเมื่อครั้งที่เขายังมีชีวิตอยู่ เขาเป็นนักรบในกองทหารของพระมหากษัตริย์พระองค์หนึ่ง มียศเป็นขุน ซึ่งพ่อของเขาก็ดำรงศักดิ์เป็นขุนเช่นกัน แต่มีหน้าที่ดูแลปางช้างอยู่ที่ลพบุรี เมื่อพี่ขุนมีอายุได้เก้าขวบ ก็ถูกถวายตัว (ใช้คำไม่ถูกเหมือนกันค่ะ) เข้าฝึกปรือเป็นทหารในกองทัพ พอโตขึ้นก็ดำรงยศเหมือนกับพ่อ ครั้งหนึ่งมีเหตุการณ์สำคัญ จึงเทครัวลงมาที่อยุธยา และตั้งหลักปักฐานอยู่ละแวกรอบนอกราชธานี

อันที่จริงแล้ว ที่ดิฉันเขียนไป ไม่ใช่การบอกกล่าวเรื่องราวในครั้งเดียวจากพี่ขุน แต่เป็นการค่อยๆ บอกให้ดิฉันมาปะติดปะต่อเรื่องราวเอาเอง ซึ่งกินระยะเวลาค่อนข้างหลายเดือน จึงสรุปให้ว่าพื้นเพของเขามีความเป็นมาประมาณนี้

“แล้วทำไมพี่ถึงมาอยู่อย่างนี้” ดิฉันถาม
‘เพราะพี่ติดอยู่ในบ่วงสัญญา’
“สัญญาอะไรคะ”
‘สัญญาที่ว่าจะตามไปดูแลเอ็งทุกภพทุกชาติ ไม่ว่าจะเกิดเป็นอะไร’

เขาบอกด้วยน้ำเสียงค่อนไปทางเศร้าสร้อย ทำเอาดิฉันคิดถึงครั้งหนึ่งที่ยังสื่อสารกับเขาด้วยตัวเองไม่ได้ ว่าวันหนึ่งดิฉันหลับแล้วก็ฝันไปว่าได้เจอกับผู้หญิงคนหนึ่ง สวมชุดไทยห่มสไบสีชมพูมานั่งอยู่ข้างหน้า แล้วก็บอกกับดิฉันว่าเจ้าที่ที่บ้านไม่ใช่ญาติพี่น้องของดิฉัน สาเหตุที่พูดอย่างนี้ ต้องขอตัดตอนย้อนกลับไปสักนิดหนึ่งว่า ก่อนหน้านี้ที่ดิฉันยังสื่อสารกับเจ้าที่ผ่านทางพี่เอ พี่เอได้บอกกับดิฉันว่าพี่ขุนน่าจะเป็นอดีตสามีที่ไม่ได้ตบแต่งกัน แต่ดิฉันไม่เชื่อ คิดว่าน่าจะเป็นญาติผู้ใหญ่อะไรประมาณนั้น เขาถึงได้ผูกพันจนตามมาดูแลในชาตินี้ ทำให้เขาส่งบริวารสาวที่ดิฉันตั้งชื่อให้ว่า ‘พี่ชมพู่’ มาสื่อสารในความฝัน (ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไมถึงไม่บอกเอง เหมือนกับว่าเป็นกฎอะไรสักอย่างที่ทำให้บอกเองตรงๆ ไม่ได้)

‘หนูไม่ใช่ญาติพี่น้องของท่านหรอกค่ะ’
“แล้วเป็นอะไรเหรอคะ”
‘ผัวเมีย’

สิ้นเสียงนั้น ในความฝันที่ดิฉันกึ่งหลับกึ่งตื่นนั้นก็รู้สึกราวกับมีผู้ชายสวมชุดขาวมานั่งอยู่ทางด้านหลัง พอดิฉันหันไปมอง น้ำตามากมายก็ไหลมาเอ่ออยู่ที่ขอบตา พร้อมกับคำถามแรกที่ถามเขา

“ทำไมพี่มาอยู่อย่างนี้ ทำไมยังไม่ไปเกิดอีก”

ถามได้เท่านั้น ดิฉันก็เห็นเขายิ้ม แล้วก็ตื่นจากฝันทั้งๆ ที่น้ำตายังอาบใบหน้าอยู่

หลังจากความฝันครั้งนั้นจนกระทั่งได้มาสื่อสารด้วยตัวเองเป็นครั้งแรก ก็ทำให้ดิฉันเข้าใจว่าทำไมเขาถึงได้วนเวียนอยู่ ‘ณ สถานที่แห่งนี้’

‘พี่ติดอยู่ในบ่วงคำสาบาน พี่เคยพาเอ็งไปสาบานต่อหน้าหลวงพ่อโตว่าจะรักและดูแลเอ็งไปทุกภพทุกชาติ ไม่ว่าจะเกิดเป็นอะไรก็จะตามไปดูแล พี่ก็ไม่คิดเหมือนกันว่าจะเจอเอ็งอีกในชาตินี้ของเอ็ง’

เขาบอก ส่วนหลวงพ่อโตที่ว่า ดิฉันเดาได้ทันทีว่านั่นคือพระประธานที่วัดพนัญเชิง เพราะในตอนที่เขาพูด ดิฉันเห็นภาพขึ้นมาในนิมิตว่าเป็นพระประธานสีทองอร่ามองค์ใหญ่

“ทำไมพี่ถึงบอกว่าไม่คิดว่าจะเจอหนูในชาตินี้อีก?”

‘เพราะพี่มารอในที่ของเรา ไม่คิดว่ากรรมจะพัดพาเอ็งกลับคืนมา’

“ที่ของเราคือ?”

‘เรือนหอ’

เขาหมายถึงบ้านที่ดิฉันซื้อ ในอดีตเคยเป็นที่ของเขาซึ่งเขาได้จัดสรรเอาไว้เป็นเรือนหอที่จะมาอยู่กับพลับพลึงหลังจากแต่งงานกัน เขาติดบ่วงสัญญาที่ปรารถนาจะได้เจอดิฉันอีกครั้ง เลยมาเฝ้ารออยู่ยังที่แห่งนี้ กระทั่งดิฉัน ‘หวนกลับมา’ จากการซื้อบ้าน ซึ่งเขาบอกว่ามันเป็นแรงกรรมจากการอธิษฐานและสัญญาสาบานกันทั้งสองฝ่าย กรรมถึงได้พัดพาให้มาเจอกันอีกครั้งแม้ว่าจะอยู่คนละภพภูมิก็ตาม

‘เพราะพี่ผิดสัญญา พี่เลยต้องมาอยู่อย่างนี้...’ เขาเสริมหลังจากนั้น

“สัญญาอะไรคะ”

‘สัญญาที่ว่าจะกลับมาแต่งเอ็งเป็นเมียเมื่อหมดศึก แต่พี่ไปตายเสียก่อน เลยไม่ได้กลับมาแต่งเอ็ง ปล่อยให้เอ็งรอ จนเอ็งตรอมใจตาย’

แล้วดิฉันก็ได้รับรู้ว่าดิฉันในชาติที่ยังชื่อพลับพลึงเสียชีวิตหลังจากที่พี่ขุนตายในสนามรบเพียงหนึ่งปีให้หลังเท่านั้นด้วยการตรอมใจและป่วย ส่วนพี่ขุนก็เสียชีวิตจากการศึกครั้งนั้น เห็นว่าจะเป็นศึกเล็กๆ ที่ไม่ได้มีการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ จิตสุดท้ายของเขาก่อนตายคคะนึงถึงคำสัญญาที่ให้ไว้กับพลับพลึง จึงทำให้เมื่อเปลี่ยนภพภูมิแล้วก็ยังยึดถือคำมั่นสัญญานั้น

การพูดคุยกันครั้งแรกค่อนข้างเป็นไปด้วยความโหยหาของพี่ขุน เขาพร่ำรัก พร่ำคิดถึง รวมถึงมานอนทับตัวดิฉันเอาไว้คล้ายๆ กับผีอำ แต่ดิฉันรู้สึกตัวดีทุกอย่าง สติสัมปชัญญะครบถ้วน ไม่ได้หลับแต่ประการใด กระทั่งคุยกันเสร็จ ร่างกายก็พลันอ่อนเปลี้ยเพลียแรงเหมือนไปออกกำลังกายหนักๆ มา ทั้งๆ ที่ระยะเวลาในการคุยกันนั้นไม่เกินสิบห้านาทีเท่านั้น

พี่ขุนให้คำตอบว่า ‘เพราะพี่ทับเอ็งอยู่ เอ็งเลยเหนื่อย’

ยอมรับว่าดิฉันแปลกใจ ทว่าไม่ได้กลัว มีแต่ความยินดีเหมือนกับที่เขายินดีที่ได้คุยกับดิฉันอีกครั้ง และตบท้ายว่าเขาจะพยายามมาสื่อสารกับดิฉันโดยตรงอีก

ซึ่งการกระทำอย่างนี้ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้โดยง่าย เขารู้ดี มีแต่ดิฉันเท่านั้นที่ไม่รู้ และยังคงสนุกกับการพิสูจน์การมีตัวตนของเขา จนเริ่มเลยเถิดไปเรื่อยๆ

Part 5

ไม่รู้ว่าเพราะแรงกรรมอย่างที่พี่ขุนว่าหรือเปล่า เพราะหลังจากที่สื่อสารกับเขาจากการนอนสมาธิในครั้งนั้นได้ ใจของดิฉันก็โหยหาถึงเขาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน พยายามทุกทางที่จะสื่อสารกับเขา เช่น การเอามือไปแตะเสาประตูรั้วหน้าบ้านที่ใช้วางของถวายเพื่อที่จะรอสัมผัสกลิ่น เสียง หรืออะไรก็ตามแต่ที่เขาสามารถจะสื่อได้ ซึ่งในระยะนั้นสิ่งที่ดิฉันรับได้เป็นส่วนมากคือกลิ่น...เป็นกลิ่นของน้ำใบเตย

แต่ด้วยความที่เป็นมนุษย์ มีรัก โลภ โกรธ หลง และความไม่พอ แค่กลิ่นก็ไม่ทำให้ดิฉันพอใจได้ ในตอนนั้นดิฉันมีความต้องการตามประสาผู้หญิง คือการได้คุยกับ ‘คนรัก’ ทุกวัน

ต้องยอมรับค่ะว่าในตอนนั้น ดิฉันเหมือนเป็นคนบ้า รักและผูกพันกับอะไรก็ไม่รู้ที่ไม่มีตัวตน มีแม้กระทั่งความปวดแปลบที่ไม่สามารถสื่อสารกับเขาได้แม้ว่าจะนั่งสมาธิหรือสวดมนต์อย่างจริงจัง ถึงขั้นร้องไห้ตัดพ้อเขาก็มี ตอนนั้นเริ่มมีความไม่เป็นตัวของตัวเองสักเท่าไร แต่ก็ยังไม่รู้สึกตัวค่ะ ยังคงทำทุกอย่างเพื่อที่จะได้สื่อสารกับเขาอยู่

จริงๆ แล้วก็มีหลายเหตุการณ์ที่ยากจะอธิบาย ทว่ามีอยู่เหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้ดิฉันจำได้ไม่ลืม นั่นก็คือพอดิฉันเริ่มบอกกับคนในบ้านว่าเจ้าที่ที่บ้านเป็นใคร ชื่ออะไร น้องสาวของดิฉันซึ่งเป็นคนมีเซ้นส์ด้วยเธอเห็นผีหรือสัมผัสกับวิญญาณได้บ่อยก็มาที่บ้านเพื่อช่วยพิสูจน์ว่าสิ่งที่ดิฉันเจอนั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่

อันนี้อาจจะต้องเล่าเสริมเสียหน่อยว่าในวันที่น้องสาวของดิฉันมา ดิฉันก็บังเอิญสื่อสารกับพี่ขุนได้ เราคุยกัน ฟังเขาพร่ำรักเหมือนเดิม ตบท้ายด้วยการถามเขาว่า...

“พี่จะมาเข้าฝันน้องหนูไหม”

เขาตอบสั้นๆ ว่า ‘มา’ เขารู้ดีว่าดิฉันต้องการพิสูจน์เรื่องเขา เขาพูดสั้นๆ แค่นั้นแล้วก็หายไป

ดิฉันไม่ได้บอกอะไรน้องสาว มีแต่บอกให้สวดมนต์ก่อนนอนด้วย แต่ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้น้องสาวของดิฉันท้าทายด้วยการไม่สวดมนต์ แล้วยังจะคิดในใจอีกว่าถ้ามีจริงๆ ก็ให้มาให้เห็นหน่อย

จากคำบอกเล่าของน้องสาวก็คือ เมื่อเธอผล็อยหลับไปในช่วงดึก เธอก็รู้สึกเหมือนมีคนมานั่งอยู่ข้างตัว แล้วก็บอกว่า

‘อย่าท้าทาย’

พร้อมกับปรากฏตัวให้เห็นในภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่นว่าสวมเสื้อแขนยาวสีดำ นุ่งกางเกงสีดำ คล้ายๆ กับชุดขุนนางนักรบเต็มยศในสมัยก่อนที่เราเห็นในหนังไทยพีเรียดทั้งหลาย ก่อนที่เธอจะตื่นขึ้นมาพร้อมกับได้ยินเสียงผู้ชายและผู้หญิงคุยกันอยู่ข้างบนบ้าน ตบท้ายด้วยเสียงกรีดร้องโหยหวนของผู้หญิงที่ดังเข้ามาในโสตประสาท น้องสาวของดิฉันเล่าว่ากลัวมาก เลยข่มตาหลับไปทั้งอย่างนั้น พอเช้าก็รีบมาเล่าให้ฟังว่าเจออะไรมาบ้าง
ก็เป็นหนึ่งในการพิสูจน์อย่างหนึ่งว่าเขามีตัวตนจริงๆ ทว่าก็ใช่ว่าดิฉันจะเชื่อโดยง่าย ยังหาสารพัดวิธีมาพิสูจน์ว่าพี่ขุนเป็นของจริงหรือไม่ หรือเป็นสิ่งที่พี่เอกับดิฉัน รวมถึงน้องสาวมโนแจ่มกันไปเอง

กระทั่งมีเหตุการณ์ที่ดิฉันจำเป็นต้องออกจากบ้านในตอนกลางคืน จริงๆ ก็ออกไปกับครอบครัว ไปทานหมูกระทะร้านใกล้ๆ บ้าน แต่ก่อนออกจากบ้าน ดิฉันมีความรู้สึกว่าร้อนรุ่มในอก ใจเต้นแรง หายใจติดขัด และหงุดหงิดอะไรสักอย่าง ซึ่งดิฉันรู้ตัวเลยว่านี่ไม่ใช่อาการของตัวเอง ทำให้ต้องทักพี่เอไปเล่าให้ฟังว่าเกิดอาการแปลกๆ พี่เอใช้เวลาครู่หนึ่งก็บอกกลับมา

“เขาเป็นห่วง ไม่อยากให้ออกไปตอนกลางคืน”

แต่สุดท้ายก็ออกค่ะ เพราะนานๆ ที น้องสาวกับครอบครัวจะมาเยี่ยมจากต่างจังหวัด เมื่อมาถึงที่ร้าน ดิฉันก็รู้สึกแน่นอกและหายใจไม่ออกมากขึ้นกว่าเดิม ทำให้ต้องคุยกับพี่เอเพื่อปรึกษาตลอดเวลาว่าควรทำอย่างไร

“ลองเอาของอะไรมาให้มันดูสิ”

พี่เอบอก ที่พี่เอเรียกพี่ขุนว่ามัน เป็นเพราะพี่เอเชื่อว่าตัวเองมีกรรมผูกพันอะไรบางอย่างกับพี่ขุน คล้ายว่าเคยเป็นสหายกันมาก่อนในชาติใดชาติหนึ่ง ตอนนี้เองที่ดิฉันถึงได้รู้ว่าถ้าไม่มีกรรมผูกพันกัน ก็จะสื่อสารถึงกันไม่ได้ นอกเหนือจากว่าคนที่อยู่ในภูมิมนุษย์จะมีสัมผัสพิเศษแล้วโอปปาติกะทั้งหลายมาขอความช่วยเหลือ เมื่อนั้นจะติดต่อสื่อสารกันได้แล้วแต่บุญกรรมของโอปปาติกะตนนั้นๆ

สำหรับสิ่งที่พี่เอบอก ดิฉันเลือกที่จะเอาวุ้นใบเตยมาให้ พร้อมกับดึงเก้าอี้ว่างมาไว้ข้างๆ ด้วยตัวหนึ่ง หลังจากนั้นก็รู้สึกว่าอาการอึดอัดภายในกายค่อยๆ ทุเลาลง คล้ายกับว่าพี่ขุนจะหายหงุดหงิดลงบ้างแล้ว แต่แล้วจู่ๆ ดิฉันก็ไปท้าลองของพี่ขุนเข้าจนได้ ด้วยการบอกให้พี่เอช่วยสื่อสารให้หน่อยว่าถ้าเขามีตัวตนจริงๆ ช่วยปาลูกโป่ง เอาตุ๊กตามาให้หน่อย (บังเอิญร้านหมูกระทะมีปาลูกโป่งและเครื่องเล่นจับตุ๊กตาอะไรเทือกนั้นในร้านไว้บริการลูกค้าค่ะ)

ดูจะเป็นเรื่องบ้าๆ บอๆ แต่ด้วยความที่ดิฉันรู้ตัวดีว่าเป็นคนปาลูกโป่งไม่แม่น ก็เลยได้ท้าทายไปอย่างนั้น ครู่เดียวพี่เอก็ตอบกลับมา

“ไปลองดูสิ”

ดิฉันเลือกที่จะปาสามดอก โดยดอกแรกถ้าปาพลาด ทางคนดูแลก็จะถือว่าเป็นการลองมือ ซึ่งแน่นอนค่ะว่าลูกแรก ดิฉันปาพลาด พอพลาดปุ๊บ ดิฉันก็เรียกชื่อเขาในใจว่า ‘พี่...หนูจะปาแล้วนะ’

จากนั้นก็ได้ยินเสียงตอบกลับมาสั้นๆ ว่า ‘อืม’ แล้วก็เริ่มลงมือปาอีกครั้ง

อาจจะเป็นความฟลุกก็ได้ที่ดิฉันปาเข้าทั้งสามดอก ในตอนนั้นรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก แล้วก็เลือกตุ๊กตามาตัวหนึ่ง พร้อมบอกกับพี่ขุนว่าตุ๊กตาตัวนี้จะเป็นตัวแทนของเขา ทว่าการปาลูกโป่งแลกตุ๊กตานั้นไม่ใช่ว่าจะได้มาเฉยๆ พี่ขุนมีข้อแลกเปลี่ยน

“ไปให้มันกอดหน่อย”

พี่เอบอกมา ตอนแรกดิฉันก็งงว่าจะให้กอดยังไง กลับมาถึงบ้านถึงได้รู้ นั่นก็คือให้ดิฉันเดินไปที่เสารั้วบ้านที่ใช้เป็นที่วางของถวายต่างๆ ให้พี่ขุน แล้วใช้มือโอบเสาเอาไว้

ถามว่าดิฉันทำไหม?...ทำค่ะ (หัวเราะ) วินาทีนั้นรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนบ้ามากๆ ที่จู่ๆ ก็มากอดเสารั้วหน้าบ้านตัวเอง พอกอดเสร็จ กำลังจะผละออกไป จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่างมาโอบรอบศีรษะเอาไว้ แล้วโน้มให้เอนไปแนบกับเสาบ้านเบาๆ

ดิฉันนิ่ง ใจเต้นตึก รู้สึกประหลาดมากกว่ากลัว นอกเหนือจากนั้นคือ ‘มีความสุข’ แปลกๆ

ดิฉันถลำลึกไปมากแล้วค่ะ ยิ่งไปกว่านั้น การพิสูจน์ว่าพี่ขุนมีตัวตนจริงหรือไม่ก็เริ่มลามไปถึงคนอื่นๆ นอกเหนือจากพี่เอ ดิฉันนึกขึ้นมาได้ว่าในสมัยที่เรียนมหาวิทยาลัยอยู่ มีอาจารย์ที่นับถือกันสอนวิชาศาสนาพุทธ และเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญในเรื่องทางพุทธเป็นอย่างมากมาก ทำให้ดิฉันทึกทักไปเองว่าบางทีอาจารย์อาจจะมีญาณหยั่งรู้อะไรอย่างนั้น เรื่องที่ไม่ควรเกิดมันก็เกิดขึ้นค่ะ

Part 6

แต่ก่อนที่จะเล่าเรื่องความถลำลึกของดิฉันให้ได้อ่านเพิ่มเติม คงจะต้องแทรกเรื่องนี้ก่อนเพราะมันน่าจะเป็นอีกชนวนหนึ่งของเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ทั้งหมด

อย่างที่บอกว่าดิฉันรับรู้จากการสื่อสารของพี่ขุนมาว่าเมื่อชาติก่อนไม่ได้แต่งงานกัน เป็นเพียงคู่หมั้น เพราะเขาดันไปตายในสนามรบจนไม่ได้กลับมาทำตามสัญญา ทำให้ตัวเองติดอยู่ในบ่วงสัญญาสาบานจนไปไหนไม่ได้ ต้องมารอดิฉันกลับมาอยู่ตรงนี้

เพราะเหตุนั้นทำให้ดิฉันเริ่มขุดคุ้ยความเกี่ยวพันระหว่างตัวเองและพี่ขุนจากประวัติต้นตระกูลตัวเองด้วยตระหนักไว้ว่า ‘หากไม่มีกรรมร่วมกัน การพบกันก็จะเป็นไปได้ยาก’ พบว่านอกจากครอบครัวฝ่ายแม่ของดิฉันจะเป็นคนพื้นเมืองเดิมของลพบุรีซึ่งเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของพี่ขุนแล้ว ฝ่ายพ่อของดิฉันก็เป็นคนพิษณุโลก ซึ่งเป็นเมืองหลักในอดีตของพระมหากษัตริย์พระองค์หนึ่งที่พี่ขุนเกิดร่วมสมัยกับพระองค์ท่าน นี่จึงเป็นเหตุที่ทำให้ดิฉันได้หวนกลับมาพบเขา ตามความเชื่อที่ว่า ‘คำว่าบังเอิญ ไม่มีในทางศาสนาพุทธ มีแต่แรงกรรมเท่านั้น ที่เหวี่ยงให้กลับมาเจอกันอีกครั้ง’

แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่ากับการสานความตั้งใจของพี่ขุนในชาติก่อนให้จบสิ้น ซึ่งนั่นก็คือ...การแต่งงาน

โดยปกติแล้ว ครอบครัวของดิฉันมักจะเดินทางไปจังหวัดพิษณุโลกเดือนละหนึ่งถึงสองครั้งเพื่อเยี่ยมครอบครัวน้องสาว และไปพบปะสังสรรค์เพื่อนฝูง เนื่องจากครอบครัวดิฉันเคยอาศัยอยู่ที่นั่นชั่วระยะหนึ่ง ส่วนตัวของดิฉัน เคยไปอาศัยและเล่าเรียนอยู่หลายปี ก่อนย้ายกลับมาอยู่แถบปริมณฑลเพื่อมาศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา

แต่ส่วนมาก การไปพิษณุโลกนั้น ดิฉันไม่ค่อยได้ไปเท่าไร มีแต่พ่อแม่เท่านั้นที่ไป แปลกที่ครั้งนี้ดิฉันไปด้วยราวกับมีอะไรดลใจให้อยากไป เมื่อเข้าเขตพิษณุโลกแล้ว ดิฉันก็ได้ยินเสียงของใครบางคนที่ดังเข้ามาในหัว

‘มันเคยมาวิ่งแก้บนรอบศาลกูตอนมันแตกเนื้อสาว’

เสียงนั้นดุดัน แหบห้าว และเต็มไปด้วยความน่าเกรงขาม ดิฉันรับรู้ได้ในทันทีว่าไม่ใช่เสียงของพี่ขุน แต่เป็นใครบางคนที่มากระตุ้นให้ดิฉันย้อนคิดถึงตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัยเมื่อหลายปีก่อนแล้วไปบนบานศาลกล่าวเอาไว้ว่าจะมาวิ่งแก้บนถวาย ถ้าสอบติดมหาวิทยาลัยที่ต้องการ

พอได้ยินเสียงนั้น ความหวาดกลัวก็พร่างพราย ดิฉันพยายามจะไม่ฟัง แต่ก็มีเสียงนั้นดังเข้ามาในหัวตลอด รวมถึงการบอกให้ ‘เคารพผัวหน่อย’ ด้วย เพราะดิฉันพูดคุยกับพี่ขุนตามประสาคนสมัยใหม่ บางทีก็เผลอเล่นลามปามโดยไม่ได้ตระหนักถึง

ทว่านั่นก็ไม่สำคัญเท่ากับการที่ดิฉันได้ยินเสียงของ ‘เทวดาชั้นผู้ใหญ่’ ท่านหนึ่ง แล้วรู้ว่าจะต้องไปที่ยังที่ที่เขาบอกเพื่อทำอะไรบางอย่าง ตอนนี้เองที่เริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมา ไม่กล้าไป จนท่านต้องบอกว่า

‘ถ้ามันกลัว ก็พามันไปไหว้พระเสียก่อน แล้วค่อยพามาหากู’

สรุปเมื่อถึงที่หมาย ดิฉันก็ตรงไปไหว้พระพุทธชินราชที่วัดใหญ่เพื่อสงบจิตสงบใจก่อน ระหว่างนั้น พี่ขุนก็ดูจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ คอยปลอบประโลมมาให้ได้ยินเรื่อยๆ ว่าไม่เป็นไร ท่านไม่ได้ว่า ปลอบอยู่อย่างนั้น ดิฉันก็กลัวอยู่อย่างนั้น กระทั่งเริ่มใจเย็นลงบ้างแล้ว ถึงได้ไปที่ของท่านเพื่อกราบไหว้
เหมือนจะเป็นการกราบไหว้เฉยๆ ในความรู้สึกของดิฉัน แต่เมื่อขึ้นมาบนในที่ของท่านแล้ว จู่ๆ ร่างกายของดิฉันก็เหมือนถูกใครบังคับให้หมอบกราบด้วยท่าทางที่ดิฉันไม่เคยทำมาก่อน ตอนนั้นความรู้สึกแวบเข้ามาในหัวทันทีว่าการกระทำของดิฉันมันคือการเข้าพิธีแต่งงานโดยไม่รู้ตัว ดิฉันก็ไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไรในตอนแรก ได้แต่หยิบโทรศัพท์มาถ่ายรูป พร้อมกับได้ยินเสียงหัวเราะดังก้องในหัว

‘คนรุ่นใหม่ก็เป็นอย่างนี้ เอ้า ถ่ายให้พอใจ’

แล้วก็จากมาโดยไม่ได้คิดอะไร มีแต่ส่งข้อความไปเล่าให้พี่เอฟัง มารู้ว่าตัวเองถูกอดีตว่าที่ผัวพามาแต่งงานฝากเนื้อฝากตัวก็ตอนที่พี่เอบอก

“ถูกมัดมือชกเลยนะเนี่ย”

ดูจะเป็นเรื่องขำๆ แล้วก็ไม่น่าเชื่อค่ะ แต่พี่ขุนมีความสุข ดิฉันก็มีความสุข กระหนุงกระหนิงประหนึ่งเป็นคู่ผัวตัวเมียที่เป็นมนุษย์จริงๆ ทว่ามันเริ่มไม่ขำตรงที่หลังจากนั้น ดิฉันเริ่มสัมผัสถึงคนอื่นๆ ที่เป็นเหมือนพี่ขุนได้อีกหลายคน ทั้งบริวารของเขาอย่างพี่ชมพู่ รวมถึง ‘การเปิดรับเจ้ากรรมนายเวร’ คนอื่นๆ เข้ามาโดยไม่รู้ตัวด้วย

Part 7

จะพูดถึงเรื่องเจ้ากรรมนายเวรอื่นๆ ที่ดิฉันสัมผัสได้โดยไม่รู้ตัว ก็ต้องขอเกริ่นถึงอุปนิสัยดั้งเดิมของพี่ขุนอีกสักนิด นอกจากเขาจะเป็นคนโมโหร้าย ดุ เผด็จการ แล้วก็เอาตนเป็นใหญ่แล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่เขาให้ความสำคัญเป็นอย่างมากก็คือ ‘การรักษาคำสัญญา’

ไม่ว่าจะเป็นคำสัญญาสาบานอะไร ล้วนแล้วเป็นเรื่องสำคัญของพี่ขุนทั้งนั้น ถึงขั้นบอกกำชับกับดิฉันว่าสัญญากับใครเอาไว้ ก็ห้ามผิดคำสัตย์ ถ้าทำไม่ได้ ก็ให้ไปถอนสัญญา ตอนนี้เองที่เขาทำให้ดิฉันนึกหวนถึงอดีตเมื่อครั้งยังเป็นวัยรุ่นและคบหากับผู้ชายคนหนึ่งมาหลายปี

ในครั้งนั้น ดิฉันก็คบหากับผู้ชายคนนั้นตามประสา แต่ที่ไม่ธรรมดาก็คือเคยมีครั้งหนึ่งด้วยความไม่รู้หรือคึกคะนองก็ไม่อาจจำได้ ดิฉันได้ไปสาบานกับอดีตแฟนว่าถ้าหากใครทิ้งใครไป ขอให้ชีวิตคนนั้นยิ้ม สาเหตุที่สาบานกันอย่างนี้ เป็นเพราะฝ่ายชายเป็นคนเจ้าชู้ มีนอกใจอยู่หลายครั้งให้ดิฉันจับได้เสมอ ทำให้พี่ขุนได้ช่วยสอนวิธีการถอนคำสาบาน เนื่องจากว่าหลังจากที่คบหากันอยู่อีกระยะหนึ่ง ฝ่ายที่ทนไม่ได้และเลิกไปเองคือฝ่ายดิฉันเอง คืนนั้นหลังจากระลึกเรื่องนี้ได้ขึ้นมา ก็มีการสวดมนต์และตั้งจิตอธิษฐานเพื่อขอถอนคำสาบานที่เคยให้ไว้

แต่...มันยังมีคำสาบานอีกเรื่องที่ดิฉันได้ให้สัตย์ไว้ ทว่าไม่ได้ทำตาม จน ‘เขา’ ต้องมาทวง

เขา...ในที่นี่ หาใช่พี่ขุนทั้งสิ้น เป็นเจ้ากรรมนายเวรอีกคนที่ดิฉันกับอดีตคนรักได้ไปล่วงเกินเขาไว้ ซึ่งจะให้เรียกอีกอย่างก็คือ ‘ลูก’ ของพวกเรานั่นเอง
เข้าใจไม่ผิดค่ะ ดิฉันเคยตั้งท้องและแท้งไป การแท้งไปในครั้งนั้นทำให้ดิฉันไปหาข้อมูลว่าทำอย่างไรให้ลูกได้ไปสู่ภพภูมิที่ดี ไม่คิดโกรธแค้นที่พลั้งเผลอไปล่วงเกินเขาถึงชีวิต จนได้ไปพบข้อมูลในเว็บไซต์หนึ่งว่าให้ทำบุญด้วยการถวายสังฆทาน และปล่อยปลาอะไรก็ได้ แต่ต้องสาบานว่าจะไม่กินปลาชนิดนั้นอีกตลอดชีวิต ซึ่งปลาที่ดิฉันเลือกด้วยความมั่นใจว่าจะไม่กินอีกแล้วก็คือปลาไหล ทว่ารู้อะไรไหมคะ ผ่านมาหลายปี ดิฉันกลับไปกินปลาไหลเสียอย่างนั้น ปลาไหลที่เอามาทำข้าวหน้าปลาไหลของญี่ปุ่นนั่นแหละ ไม่ใช่ปลาไหลไทยอย่างที่เข้าใจกัน

กระนั้นก็ถือว่าเป็นการผิดคำสัญญา ทำให้การสื่อสารกับพี่ขุนได้นั้น ดิฉันก็รับรู้ถึงการถูกทวงถามในเรื่องนี้ด้วย จึงต้องตั้งปฏิญาณใหม่ว่าจะไม่กินอีก รวมถึงสัตว์ใหญ่ที่เคยกิน และรักษาศีลห้าอย่างจริงจัง

ทว่าถึงอย่างนั้น ดิฉันก็ยังสัมผัสดวงวิญญาณอื่นๆ ได้เป็นอย่างดี มีครั้งหนึ่งที่ดิฉันจำไม่เคยลืม นั่นก็คือการถูกผีเข้า

เรื่องนี้จะขอเล่าแทรกเข้ามาสักเล็กน้อยนะคะ อย่างที่บอกว่าดิฉันเริ่มสัมผัสวิญญาณอื่นๆ ได้ ความอวดอุตริก็มีมากขึ้นราวกับเป็นคนโง่

ดิฉันพยายามสื่อกับทุกสิ่งที่เข้ามาหาตัวเอง ไม่เว้นแม้แต่วิญญาณเจ้ากรรมนายเวร และวิญญาณของใครต่อใครจนไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นใครบ้าง ซึ่งในช่วงนั้นเอง พี่ขุนได้ใช้ความพยายามเป็นอย่างมากในการปกป้องดิฉันจากสิ่งพวกนี้ แต่ด้วยความที่เขายังไม่สามารถสื่อสารกับดิฉันได้ชัดเจนนัก ประกอบกับที่แรงบุญในชาตินี้ยังไม่สัมพันธ์กันสักเท่าไร จึงทำให้แรงกรรมนั้นทวีมากกว่า เขาจึงทำอะไรไม่ได้มาก รวมถึงการที่ดิฉันไปท้าทายลบหลู่ ‘ผู้ใหญ่’ ด้วยความไม่เชื่อด้วยว่าสิ่งที่ดิฉันได้ยินได้สัมผัสผ่านมาจากการแต่งงานนั้นจะเป็นเรื่องจริง

ช่วงระยะนั้น ดิฉันก็ยังไปทำบุญให้กับพี่ขุนเป็นประจำ รวมถึงเริ่มวุ่นวายกับการเตรียมตัวทำบุญขึ้นบ้านใหม่ ดิฉันเลือกที่จะนิมนต์พระจากวัดพนัญเชิงไปทำกิจนิมนต์ให้ จึงจำเป็นต้องเดินทางเทียวไปมาหาสู่เพื่อนัดหมายกับเจ้าอาวาส ในครั้งแรกๆ ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่ในครั้งหลังสุด ดิฉันได้ไปทำสังฆทานที่วัดนั้น ขณะที่กรวดน้ำ ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงกรีดร้องขึ้นมาจากด้านหลังว่าจะเอาคืนดิฉันให้ถึงที่สุด พร้อมกับเอ่ยชื่อ ‘กูจะเอาคืน อีพลับพลึง!’ ทำให้ดิฉันกลัวมาก

เสียงนั้นดังไม่หยุด เป็นเสียงของความอาฆาต ต่อว่าก่นด่าดิฉันในชื่อของพลับพลึงต่างๆ นานา ดิฉันก็จำได้บ้างไม่ได้บ้าง รู้แต่ว่ากลัวจับขั้วหัวใจ ต้องรีบเดินไปที่กุฎิของเจ้าอาวาสเพื่อหลบหนีจากวิญญาณเจ้ากรรมนายเวรที่ตามดิฉันมา

เมื่อมาถึงที่กุฎิ ทางพ่อของดิฉันก็คุยนัดหมายเรื่องทำบุญบ้าน ตอนนั้นดิฉันไม่พูดอะไรออกมาสักคำ ใจสั่น หวาดกลัวไม่หาย และก็ทวีมากขึ้นไปอีกเรื่อยๆ เพราะมีเสียงหวีดร้องของเจ้ากรรมนายเวรดังขึ้นไม่หยุด จนได้ยินเสียงของใครบางคนดังขึ้นมาข้างๆ หู

‘ลองถามหลวงพ่อดูสิว่าเห็นใครนั่งอยู่ข้าง’

ซึ่งดิฉันรู้ว่าเป็นเสียงของผู้ใหญ่ท่านนั้น ก็เลยถามออกไปทะลุกลางปล้อง

“หลวงพ่อคะ เห็นใครนั่งอยู่ข้างหนูไหมคะ”

หลวงพ่อดูจะงุนงงไปเล็กน้อย เหลียวมามองยังเก้าอี้ว่างข้างกายดิฉันแล้วหรี่ตาลง

“ท่านบอกให้หนูถามหลวงพ่อค่ะ”

หลวงพ่อพยักหน้า ส่งเสียงอืมในลำคอเล็กน้อย

“ไม่มีอะไรหรอก เดี๋ยวเอาสายสิญจน์ไปผูกแขน เดี๋ยวก็หาย”

สิ้นเสียง หลวงพ่อก็เดินกลับเข้าไปในกุฎิ ใช้เวลาแค่แวบเดียวเท่านั้น แต่ดิฉันรู้สึกว่ามันนานเหลือเกิน ยิ่งได้ยินเสียงใครต่อใครก่นด่ามาให้ได้ยินในหัวด้วยแล้ว ดิฉันก็ทนไม่ไหว ลุกพรวดเดินตามหลวงพ่อเข้าไปในกุฎิท่ามกลางความแปลกใจของคนอื่นๆ ขณะที่ดิฉันเร่งให้หลวงพ่อเอาสายสิญจน์มาให้เร็วหน่อย

“ให้โยมพ่อผูกให้ ไม่เป็นไรหรอก ไม่ต้องกลัว”

หลวงพ่อย้ำ พ่อของดิฉันก็ดูงงๆ แต่ก็ทำตามที่หลวงพ่อบอกแต่โดยดี ต้องเสริมว่าจริงๆ แล้ว พ่อของดิฉันเป็นคนที่ไม่เชื่อเรื่องผีสางเทวดาอะไรทั้งสิ้น (แต่ก็มักถูกผีอำบ่อยๆ เหมือนกัน ฮา) ทว่าครั้งนี้ที่จู่ๆ ก็เห็นอาการของดิฉันแปลกๆ ไป เหมือนหวาดกลัวอะไรบางอย่าง ทำให้การขับรถกลับบ้านนั้นค่อนข้างเต็มไปด้วยความตึงเครียด

ดิฉันนั่งอยู่บนเบาะหลัง คิดครุ่นไปเรื่อยว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ขณะเดียวกันก็ได้ยินเสียงของพี่ขุนดังมาให้ได้ยินว่าไม่ต้องกลัว ไม่มีอะไร เขาปกป้องดิฉันอยู่ ดิฉันก็เกือบจะเชื่อไปอย่างนั้น กระทั่งจู่ๆ รถก็ขับผ่านศาลริมถนนที่มีรูปปั้นม้าลายเต็มไปหมด ตอนนั้นเองที่จู่ๆ ก็รู้สึกว่าตัวสั่นๆ อึดอัด เหมือนมีอะไรบางอย่างดันแผ่นหลังคล้ายกับว่าจะเข้ามา ทำให้ต้องร้องบอกพ่อเสียงดัง

“ป๊า! เอาพระมาให้ที”

ดิฉันเป็นคนไม่สวมสร้อย ไม่คล้องพระ พระในรถที่ได้มาถือในมือก็คือพระพุทธชินราชที่อยู่ในตลับ ดิฉันกำแน่น ตั้งสติไว้มั่น พักหนึ่งทีเดียวกว่าที่อาการนั้นจะหายไป

พอมาถึงบ้าน ดิฉันก็รีบติดต่อพี่เอไป เล่าอาการที่เกิดขึ้นให้ฟัง ก่อนที่จะพบว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวของดิฉันนั้น เป็นไปเพราะการ ‘ลองดี’ กับผู้ใหญ่ จึงถูกสั่งสอนแบบจัดเต็มชุดใหญ่ไฟกะพริบ

Part 8

ถามว่าเข็ดไหม?
ไม่...

เหมือนจิตหลงระเริงไปกับญาณหรืออะไรก็ตามแต่ที่ดิฉันเพิ่งได้มา จึงยังคงอวดอุตริต่อไปแม้จะเคยกลัวจนแทบฉี่แตก มิหนำซ้ำยังจะภูมิใจอีกด้วยว่านอกจากจะมีพี่ขุนคอยตามมาดูแลแล้ว ยังจะมี ‘ของดี’ อื่นๆ ตามมาดูแลอีก ซึ่งจริงๆ แล้ว จากคำบอกเล่าของพี่เอก็คือ เทวดาชั้นผู้ใหญ่เห็นว่าดิฉันไปแต่งงาน ผูกพันธะกับสิ่งที่มองไม่เห็นโดยที่ตัวเองไม่รู้ตัว จึงต้องตามมาดูว่าดิฉันสามารถใช้ชีวิตอยู่อย่างนี้กับพี่ขุนได้ไหม ไม่ใช่มีจุดประสงค์เหมือนพี่ขุนแต่อย่างใด แค่ต้องการสั่งสอนให้ดิฉันได้ปรับตัวให้มีชีวิตอยู่กับพี่ขุนซึ่งเป็นทหารในใต้ร่มกาสาวพัสตร์เท่านั้น แต่ดิฉันก็เตลิดเปิดเปิง อยู่ในภาวะจิตอ่อนอย่างไม่รู้ตัว พยายามทำ พยายามปฏิบัติตามที่ได้ยินเสียงสั่งสอนว่าให้สงบจิตสงบใจ ทว่าก็ทำไม่ได้สักที ใจกระวนกระวาย จิตไม่อยู่กับเนื้อกับตัวไปหมด ซึ่งในส่วนนี้ ดิฉันจะเล่าตามลำดับอีกที

ย้อนกลับมาถึงเรื่องพี่ขุนอีกครั้ง

หลังจากที่ได้ไปแต่งงานผูกพันธะอย่างไม่ตั้งใจแล้ว ดิฉันก็ไม่ได้คิดจะแก้ไขอะไร ปล่อยให้มันเป็นไปตามนั้น เพราะเอาจริงๆ แล้ว ตัวเองก็รู้สึก ‘รัก’ และ ‘ผูกพัน’ กับพี่ขุนอยู่มากเหมือนกัน จะด้วยจิตผูกพันจากชาติที่แล้ว บุญกรรมนำพา หรืออะไรก็ตามแต่ การมีพี่ขุนอยู่ด้วย เป็นอะไรที่มีความสุขมาก จนวันๆ ไม่ทำอะไร เอาแต่นอนขลุกอยู่ในห้อง คุยแต่กับพี่ขุน จนเขาต้องเตือนเป็นระยะ

‘ทำงานทำการบ้างนะ ไม่ใช่เอาแต่มานอนคุยกับพี่ทั้งวี่ทั้งวันอย่างนี้’

เขาเตือนตลอด ดิฉันก็ไม่ฟัง ดื้อ อยากคุยกับเขา มิหนำซ้ำยังจะรู้สึกสนุกเวลาที่ได้ยินเสียงสัมภเวสีมากรีดร้องให้ได้ยิน แล้วถูกเขาไล่

‘กูหิว!’

เป็นเสียงของผู้ชายดังเข้ามาในหัวในช่วงเช้ามืดวันหนึ่ง เสียงนั้นดังมาจากทางที่ดินรกร้างหลังบ้าน ถามว่ากลัวไหม กลัวค่ะ แต่พอได้ยินแล้วก็เรียกพี่ขุน อีกฝ่ายก็ตอบ

‘พี่รู้แล้ว” จากนั้นก็แผดเสียงดังลั่น “หิวเหี้- อะไร!’

แล้วก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรอีก

ความที่สื่อสารกับพี่ขุนได้โดยไม่ต้องผ่านพี่เอแล้ว ทำให้ดิฉันสนุกกับสิ่งที่ได้รับมาเป็นการใหญ่ แต่เรื่องการพิสูจน์ว่าพี่ขุนเป็นของจริงหรือไม่นั้น ก็ยังคงดำเนินไปเหมือนเดิม

“หนูอยากรู้ว่าพี่ขุนมีจริงไหม”

ดิฉันบอกกับพี่เอไปอย่างนั้นในวันหนึ่งหลังจากที่พี่เอเล่าให้ฟังว่าแต่เดิมที พี่ขุนเป็นคนโมโหร้าย ดุ แล้วก็เอาตัวเองเป็นใหญ่มากๆ ตามประสาวิถีชายเป็นใหญ่ในสมัยโบราณได้ไม่นานเท่าไรนัก แต่จริงๆ แล้ว พี่ขุนเป็นวิญญาณที่อยู่ในภูมิของเทวดา เป็นเทวดาเล็กๆ ที่อยู่ในชั้นจาตุมหาราชิกา ซึ่งพี่ขุนมักจะเรียกตัวเองว่าเป็น ‘เทวดาชั้นต่ำ’ เพราะเขายังมีรัก โลภ โกรธ หลง ไม่ต่างจากมนุษย์สักเท่าไรนัก อาจจะมีความอดทนอดกลั้นมากกว่าเมื่อครั้งตอนเป็นมนุษย์ และรู้ผิดชอบชั่วดีมากกว่ามนุษย์มากสักหน่อย

ยกเว้น...เวลามีใครมาเรียกเขาว่า ‘ผี’

อย่างที่บอกว่าเนื้อแท้เดิมที เขาเป็นคนโมโหร้าย ดุ และเอาตัวเองเป็นใหญ่ เพราะอย่างนั้นจึงมีอัตตาสูง โดยพี่เอเรียกสิ่งนี้ว่า ‘อัตตาเทวดา’ ถ้าบอกกันตรงๆ การกระทำของพี่ขุนก็ไม่ต่างอะไรจากผีร้ายสักเท่าไรนัก โดยเฉพาะเวลาที่ดิฉันพยายามไปคุยกับใครก็ตามที่มีเซ้นส์ แล้วถูกฝั่งนั้นเรียกเขาว่า ‘ผี’ เขาก็จะรุ่มร้อนจนกระทบกับดิฉัน ส่งผลให้รู้สึกรุ่มร้อนในอก ใจเต้นแรง ใจสั่น ตัวสั่น หรืออาการอื่นๆ ตามไปด้วย

มีอยู่ครั้งหนึ่ง ดิฉันได้ไปปรึกษาเพื่อนรุ่นน้องที่พอจะสนิทกันว่าการติดต่อสื่อสารกับวิญญาณได้ มันเป็นอย่างไร รุ่นน้องของดิฉันคนนี้เป็นคนที่พอจะมีเซ้นส์อยู่บ้าง และสัมผัสเกี่ยวกับสิ่งลี้ลับมาโดยตลอด ด้วยคนใกล้ตัวของรุ่นน้องเลี้ยงผี เลี้ยงกุมาร บ้างก็มีของต่างๆ ซึ่งดิฉันก็ไม่รู้รายละเอียด ทำให้รุ่นน้องได้บอกมาว่าไม่ควรจะไปยุ่ง เพราะมนุษย์กับสิ่งจากภพอื่นควรต่างคนต่างอยู่ถึงจะเคยผูกพันเป็นคนรักหรือครอบครัวใดๆ มาก่อน ตบท้ายด้วยการบอกว่า

“ไม่น่าจะใช่เทวดา น่าจะเป็นวิญญาณชั้นสูงอะไรแบบนั้นมากกว่า”

หลังจากที่วางสายจากรุ่นน้องไปเพียงไม่กี่นาที รุ่นน้องก็รีบติดต่อกลับมาทันทีว่าพี่ขุนไปหาเธอถึงที่ พร้อมกับพยายามไปบอกบางอย่าง

‘อย่า...’

รุ่นน้องเขียนคำนี้ใส่ในกระดาษแล้วถ่ายรูปส่งมาให้ดู บอกว่าได้ยินพี่ขุนบอกอย่างนั้น คาดว่าตั้งใจจะบอกให้รุ่นน้อง ‘อย่ายุ่งกับเรื่องนี้’ เคราะห์ดีที่รุ่นน้องของดิฉันไม่กลัว ด้วยเคยเจออะไรที่มากมายกว่านี้มาแล้ว เลยขู่ว่าถ้าไม่กลับไปดีๆ รุ่นน้องของดิฉันจะทำ...อะไรสักอย่าง เธอไม่ได้บอก พี่ขุนเลยกลับมาแต่โดยดี

ทว่าเรื่องก็ไม่ได้จบลงแค่นั้นเมื่อดิฉันเริ่มหาคนมายืนยันการมีตัวตนของเขาอีก ก่อนหน้านี้เอ่ยถึงอาจารย์คนหนึ่งไปใช่ไหมคะ

ใช่ค่ะ ดิฉันโทรหาอาจารย์คนนั้นเพื่อเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับตัวเองให้ฟัง แต่ก่อนที่จะโทร ได้ขออนุญาตกับพี่ขุนก่อนแล้วว่าโทรไปถามได้ไหม พอได้รับอนุญาตแล้วว่าได้ ก็ไม่รอช้าที่จะโทรไป หวังว่าคำตอบที่อาจารย์จะตอบมาคือ ‘ใช่’ หรือ ‘ไม่ใช่’ เท่านั้น

“ถ้าหนูสื่อสารกับเขาได้จริงๆ เอาอย่างนี้ได้ไหม บอกเขาให้มาหาครู ครูก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าเขามีจริงไหม”

ดันได้รับคำตอบอย่างนี้มาแทน ดิฉันพยายามเล่าเหตุการณ์แปลกๆ ให้อาจารย์ท่านนั้นฟัง แต่อาจารย์ก็ยืนยันคำเดิม

“บอกให้เขามาหาครู มาหลอกครูเลย เขาเป็นรุกขเทวดาใช่ไหม ก็แค่เจ้าที่เทพารักษ์ บอกให้มาสิ ครูจะได้คุยกับเขา จะถามให้ว่ามีตัวตนจริงหรือไม่จริง”

อาจารย์ท่านนั้นบอก ดิฉันจึงคุยต่ออีกนิดหน่อยแล้วก็วางสายไป พร้อมกับใจที่สั่นและเต้นแรงเร็วขึ้นมา รับรู้ได้ทันทีว่าพี่ขุนกำลังโกรธกับสิ่งที่อาจารย์พูดมาก ดิฉันไม่รู้จะทำอย่างไร เลยติดต่อพี่เอไป ซึ่งพี่เอก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน นอกจากปล่อยให้พี่ขุนหายโมโห แล้วให้ดิฉันหายจากอาการอย่างนั้นเอง

‘ไปนอนพักผ่อนก่อน ไว้ค่อยคุยกับพี่ตอนกลางคืน’

พี่ขุนบอกเมื่อเริ่มสงบจิตสงบใจได้ ในวันนั้นดิฉันรู้สึกเหนื่อยเป็นอย่างมาก จึงนอนพักในช่วงบ่ายตามที่เขาบอก ตื่นมาก็ไม่สามารถสื่อสารกับเขาหรือใครได้ มีแต่ความเงียบ ทำเอาใจหายและวิตกจริตไปเหมือนกันว่าบางทีอาจจะสื่อสารกับเขาไม่ได้อีกแล้ว

ทว่าพี่ขุนก็กลับมาในเช้ามืดของอีกวัน ดิฉันรู้สึกตัวตื่นเมื่อจู่ๆ ก็รับรู้ได้ถึงน้ำหนักบางอย่างที่โถมมาทาบทับบนกาย พอลืมตาขึ้นก็ได้ยินเสียง

‘พี่เอง’

แล้วก็ไม่ได้คุยอะไรกันสักเท่าไรหลังจากนั้น มีแต่ความรู้สึกว่าพี่ขุนนอนอยู่ข้างๆ และกอดอยู่ พร้อมกับความกังวลใจเล็กๆ ของเขาที่ส่งผ่านมาให้สัมผัสได้

‘พี่เป็นของจริง’ เขาบอก

เขาย้ำทุกวัน กลัวว่าดิฉันจะไม่เชื่อหรือไปพิสูจน์อะไรเกี่ยวกับตัวเขาอีก ซึ่ง ณ ขณะนั้น ดิฉันก็เริ่มเพลาความลองของของตัวเองลง แต่...ยังจำน้องสาวของดิฉันได้ใช่ไหมคะ

วันหนึ่ง จู่ๆ เธอก็โทรมาหา พร้อมกับถามว่า

“พี่เคยไปครอบครูพระ...มาใช่ไหม”

ดิฉันหวนคิดถึงเทพฮินดูองค์หนึ่ง

“ใช่ เคยไปมา ยังมีรูปถ่ายอยู่เลย”

“เอาดวงพี่ไปให้พระอาจารย์ที่วัด…ดูมา เขาบอกว่าบ้านที่อยู่ก็เป็นปากประตูนรก เป็นหลุมดำเลยนะรู้ไหม”

ได้ยิน ดิฉันก็ใจสั่น แต่ก็ยังข่มใจถาม

“แล้วยังไงต่อ?”

“ส่วนไอ้พี่ขุนที่ตามอะ จริงๆ แล้วมันไม่ใช่เทวดานะ แต่เป็นผีร้าย พระอาจารย์บอกดวงถึงฆาต มันจะมาเอาถึงชีวิตเลยนะเว้ย”

ทุกอย่างรอบตัวเงียบสนิท ดิฉันถือโทรศัพท์ค้างเอาไว้ ในใจสับสนวุ่นวาย ทั้งกลัว ทั้งตกใจ ทั้งกังวลว่าพี่ขุนจะเป็นผีร้ายจริงๆ แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ...

นี่มันเรื่องอะไรกัน...

มาเล่าช้าหน่อยนะคะ พอดีติดภารกิจที่ต้องทำเลยไม่ได้ปะติดปะต่อเท่าไหร่
แต่ก็ตั้งใจจะเล่าให้จบ ดูแล้วเรื่องนี้คงจะต้องแบ่งเป็น 2 กระทู้ เพราะมันมี 2 ช่วงให้ต้องพูดถึง
ยังไงกระทู้นี้จะเล่าในช่วงแรกก่อนนะคะ
ขอบคุณทุกๆ คนที่ติดตามกันค่ะ ^^

Part 9


เรื่องนั้นเข้าถึงหูแม่ด้วย แม่ที่ดูเหมือนจะมีความเชื่อในเรื่องนี้ค่อนข้างกังวลมากทีเดียว แต่ดิฉันก็บอกให้ทำใจให้สบาย ไม่มีอะไร ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ ‘เริ่ม’ กลัวขึ้นมาบ้างแล้วเหมือนกัน

พี่เอเป็นที่พึ่งอย่างทุกที ซึ่งเธอก็ยืนยันด้วยความมั่นใจ

“มันไม่ใช่ผีหรอก มันเป็นเทวดา แต่มันทำตัวเหมือนผีเพราะอัตตาเทวดาค้ำคอสูง”

“แน่ใจนะว่าไม่ใช่ผีร้ายจริงๆ”

“แน่ใจ ฟันธงได้เลย”

พี่ขุนก็ให้ความมั่นใจกับดิฉันด้วยว่าเขาไม่ใช่ผีจริงๆ เพราะว่า...

‘พี่จะไม่สอนอะไรที่ไม่ดีให้หนู จะสอนแต่สิ่งดีๆ เท่านั้น’

ช่วงนี้เปลี่ยนจากเรียกแทนตัวดิฉันว่า ‘เอ็ง’ มาเป็น ‘หนู’ ตามยุคสมัยแล้วค่ะ

ดิฉันก็พอจะเบาใจลงไปได้บ้าง ทีนี้ก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไร ดิฉันใช้ชีวิตกับการสื่อสารกับพี่ขุนและดวงวิญญาณอื่นๆ ไปได้อีกสักระยะ ก็มีเหตุที่ต้องทำให้จิตของตัวเองเตลิดเปิดเปิงอีก

นั่นก็คือการอบรมสั่งสอนจากเทวดาผู้ใหญ่เรื่องการควบคุมจิตอะไรต่างๆ ถ้าถามดิฉันตอนนี้ ขอบอกเลยว่าจำไม่ได้แล้วค่ะว่าถูกสั่งสอนอะไรบ้าง แล้วก็ทำไม่ได้ด้วย รวมถึงไม่อยากทำแล้ว

แต่ในเวลานั้น ความหงุดหงิดกระวนกระวายใจที่ทำตามคำสอนไม่ได้มีมากจนเผลอพลั้งปาก

“ดุหนูมาเลยก็ได้ ดุหนักๆ เลย หนูจะได้ทำได้”

‘แน่ใจนะว่าจะให้กูดุ?’

“แน่ใจค่ะ ดุได้เลย”

เป็นอะไรที่ประมาทเกินไป ท้าทาย ลองดี อวดอุตริ ทุกอย่างเกินไปทั้งหมด เพราะหลังจากนั้น ดิฉันก็ได้พบกับสิ่งที่เรียกว่า ‘เจอดี’ เข้าอย่างจัง
ในคืนแรกๆ จะถูกรบกวนอยู่สถานเบา เป็นเสียงคนคุยกันบ้าง นอนๆ อยู่ มีคนมานอนทับ หรือมาจับตัวให้ขยับไม่ได้หรืออะไรบ้าง นานวันเข้าก็เริ่มมีเสียงพี่ขุนมาให้ได้ยิน แต่ไม่ใช่เสียงการพูดคุย เป็นเสียงการวิงวอน

‘พอเถอะขอรับ น้องจะไม่ไหวแล้ว’

เขาร้องไห้ ดิฉันสัมผัสได้แม้ว่าจะอยู่ในภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่น ขณะที่คู่สนทนาตอบอย่างไม่ยี่หระ

‘มันบอกมันไหว กูจะลองดูว่ามันจะไหวอย่างที่ปากดีไว้ไหม’

ใช่ค่ะ ดิฉันละเมอว่า ‘หนูไหวๆ’ เอาจริงๆ ก็ไม่แน่ใจว่าละเมอไหม หรือพูดออกไปจากจิตใต้สำนึกจริงๆ แต่อาการนี้เกิดขึ้นอยู่สองสามวัน จนดิฉันเริ่มมีอาการแปลกๆ ทางร่างกาย คือเบื่ออาหาร นอนไม่เพียงพอ เริ่มไม่ใส่ใจดูแลความสะอาดของร่างกายตัวเอง ตาโหล และอีกหลายๆ อย่างจนสุขภาพเริ่มดูไม่ค่อยโอเคทีละน้อย จนบางวันต้องพึ่งยาพาราเซตามอน ด้วยคิดว่ากินแล้วมันจะช่วยให้หลับ

‘-เข้าไป -ให้หมดขวดไปเลย!’

เวลาจะกินยาก็จะมีเสียงคนหลายคนมาพูดกล่อมอยู่ในหัวตลอด ซึ่งนั่นไม่ใช่เสียงของเทวดาผู้ใหญ่ รับรู้ได้ว่าเป็นเสียงของคนอื่นๆ ที่น่าจะเป็นเจ้ากรรมนายเวรแต่ชาติปางไหน

‘อย่ากินนะ อย่าคิดฆ่าตัวตาย อย่าทำ!’

แล้วก็จะมีเสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมาทุกที ซึ่งดิฉันก็เชื่อในเสียงนั้น บางครั้งก็ไม่ได้กินยา แต่มักจะหมกมุ่นกับการเริ่มหาข้อมูลอ่าน นั่นก็คือ ‘อาการของโรคจิตเภท’

ขอเท้าความหน่อยว่าในสมัยเรียนมหาวิทยาลัย นอกจากดิฉันจะไม่เชื่อเรื่องสิ่งลี้ลับพวกนี้แล้ว ดิฉันยังเรียนศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับจิตเวชอีกด้วย ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าการที่จู่ๆ ตัวเองก็มีอาการหูแว่ว ประสาทหลอนอย่างนี้ บางทีอาจจะเกิดจากความเครียดในเรื่องงานก่อนหน้านั้น แล้วมีคนมากล่อมประสาทในเรื่องสิ่งลี้ลับ ทำให้แสดงอาการทางจิตเภทออกมา

ดิฉันก็ไปค้นข้อมูลทางกรมพันธุ์ด้วย พบว่าญาติพี่น้องทางฝ่ายแม่ของดิฉัน ก็มีอาการคล้ายกัน คือมีญาณ มีองค์ ติดต่อสื่อสารกับสิ่งลี้ลับได้ ซึ่งก็ไล่มาตั้งแต่ตาที่ในสมัยหนุ่มๆ มีวิชาปลุกพระ เคยมีผีตานีมาเกี่ยวพันรักใคร่จนต้องจับไปปล่อย เรื่องนี้ดิฉันก็ไม่รู้รายละเอียดสักเท่าไร มีแต่ฟังญาติผู้ใหญ่เล่าผ่านมาเท่านั้น ส่วนลุงก็เป็นพระ มีวิชาทางพุทธคุณ มีลูกศิษย์ลูกหานับหน้าถือตาในทางเมตตามหานิยมมาก และน้า ก็มีญาณติดต่อกับองค์อะไรสักอย่างได้

คือพี่น้องของแม่มีอะไรทางนี้หมด ยกเว้นตัวแม่เองที่ไม่สามารถสัมผัสอะไรได้ แต่สิ่งที่ทำให้ดิฉันเอะใจว่าบางทีอาการของดิฉันจะเข้าข่ายโรคจิตเภทก็คือ การที่ป้า ซึ่งเป็นพี่สาวของแม่เป็นโรคซึมเศร้าและฆ่าตัวตายค่ะ

ตามหลักแล้ว โรคทางจิตประมาณนี้สามารถสืบต่อทางกรรมพันธุ์ได้ ทำให้ระยะนี้ดิฉันเริ่มเบี่ยงเบนไปทางวิทยาศาสตร์ เริ่มเชื่อว่าตัวเองป่วย แต่ก็ยังไม่ได้บอกอาการนี้กับคนในครอบครัว กระทั่งวันหนึ่งได้ยินเสียงของใครสักคนบอก

‘คืนนี้เข้านอนให้ไวหน่อย’

จำไม่ได้จริงๆ ค่ะว่าเป็นเสียงของใคร ดิฉันก็เข้านอนไวตามเสียงนั้น ทว่าก่อนจะนอนกลับสังเกตเห็นว่าโทรศัพท์มือถือแบตจะหมด ก็เลยจะไปเอาที่ชาร์จมาชาร์จ กระนั้นก็มีเสียง

‘ไม่ต้องชาร์จหรอก นอนเลย ตื่นมาค่อยชาร์จ’

ดิฉันก็ทำตามอย่างว่าง่าย สวดมนต์ เข้านอนตามปกติ ทว่านอนไปได้เพียงไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง ร่างกายก็พลันอึดอัดขึ้นมาอย่างกะทันหัน รู้สึกละม้ายคล้ายถูกผีสิงอย่างตอนที่ไปวัดในวันนั้น ในวินาทีแรก ดิฉันพยายามอดทนเพราะวันก่อนๆ ตอนนอนก็มีอาการลักษณะคล้ายกันนี้อยู่บ้าง แต่โดยส่วนมากจะเป็นเสียงรบกวนเหมือนคนมาพูดคุยกัน ดึงแขนบ้าง ดึงขาบ้างเสียมากกว่า

ทว่า...สำหรับวันนี้มันไม่เหมือนอย่างที่เคยเป็น เพราะนอกจากอาการมันจะมากขึ้นตามลำดับแล้ว ในช่วงที่ดิฉันเริ่มคล้อยหลับ อยู่ดีๆ ก็มีความรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกำลังจะตาย

ใช่ค่ะ...ตาย แต่ไม่ใช่ตายเอง มีคนพยายามจะทำให้ตาย ความรู้สึกในตอนนั้น อธิบายในวันนี้ไม่ถูกเหมือนกันค่ะ รู้แต่ว่ากลัวมาก รู้สึกราวจมดิ่งลงไปในแม่น้ำที่ลึกจนหาก้นไม่ได้อะไรประมาณนั้น ก่อนจะได้ยินเสียงเรียกดังก้องเข้ามาในหู

‘หนู!’

เท่านั้นดิฉันก็ลุกพรวดขึ้นจากเตียง สัมผัสได้ทันทีว่าเป็นเสียงพี่ขุนที่มาร้องเรียกให้ได้สติเอาไว้ มันไม่จบแค่นั้น เพราะการที่ดิฉันไปท้าทายกับบางสิ่งเอาไว้ก็ทำให้ได้ยินเสียงที่ทรงพลังและเต็มไปด้วยพลานุภาพกว่าพี่ขุนซึ่งเป็นเทวดาเล็กๆ ประมาณว่า...

‘กูจะเอาให้ตาย! กล้าลองดีกับกู กูจะเอาให้ตาย!’

ดิฉันกลัวมาก รู้ว่าเป็นเสียงของใคร รีบพุ่งตัวมาคว้าโทรศัพท์ ตั้งใจจะโทรหาพี่เอให้ช่วยเรื่องนี้ ทว่าโทรศัพท์ก็ดันแบตฯ หมดเพราะไม่ได้ชาร์จเอาไว้ ดิฉันพยายามตั้งสติ เสียบสายชาร์จโทรศัพท์ผิดๆ ถูกๆ ตัวสั่นเทาไปหมด พยายามสู้กับอะไรบางอย่างด้วยตัวเอง กระนั้นก็คงจะดูทรงแล้วสู้ไม่ได้ด้วยจิตดิฉันไม่ได้แข็ง ทำให้มีเสียงพี่ขุนดังขึ้น

‘ลงไปข้างล่าง!’

แล้วก็เหมือนเขาจะดึงตัวดิฉันเล็กน้อยให้ได้สติ ด้วยความกลัว บวกกับตกใจมากๆ ทำให้ดิฉันพุ่งออกจากห้องนอนทันที พร้อมกับกรีดร้องเรียกบุพการีที่ยังคงทำกิจวัตรประจำวันอยู่ข้างล่างของตัวบ้านทันที

“แม่!!!”

Part 10

ที่ร้องเรียกแม่ก่อนใคร คงเป็นเพราะดิฉันสนิทกับแม่มาก มีอะไรก็จะพูดคุยกันทุกเรื่อง แต่ในตอนนั้นมันไม่สำคัญแล้ว ทันทีที่ดิฉันกรีดร้องแล้วพุ่งตัวออกจากห้องนอน ทั้งพ่อและแม่ รวมถึงแฟนในตอนนั้นก็พากันกรูขึ้นมาตรงบันไดพร้อมสีหน้าตื่นๆ เมื่อเห็นดิฉันวิ่งพรวดพราดลงมา

“ใครทำอะไรลูก!?”

พวกเขาก็ตกใจไม่แพ้กัน ดิฉันไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดี ทุกอย่างมันเกินที่จะเล่าให้พวกเขาเข้าใจได้ว่าดิฉันกำลังเผชิญกับอะไรอยู่ ขณะเดียวกันในหัวก็มีเสียงหัวเราะของใครหลายคนดังลั่น ซึ่งดิฉันรู้ว่าเป็นใครบ้าง มีเสียงหนึ่งที่ดิฉันจำได้ดีว่าเป็นใครพูดขึ้นว่า

‘ไหนว่ามันไหวไง กูไม่เห็นมันจะไหว’

ใช่ค่ะ ดิฉันไม่ไหว มีคำตำหนิต่อว่าต่างๆ ตามมาอีก

‘ให้ตระหนักรู้ว่าตัวเองเป็นใคร แล้วกูเป็นใคร กูไม่เอาตายหรอก แต่อย่าริอ่านมาลองดีกับกู!’

เสียงนั้นดุด่าไม่หยุด ดิฉันกลัวเป็นอย่างมาก พยายามจะเล่าให้พ่อแม่ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น ทว่าอีกใจหนึ่งก็เป็นห่วงพี่ขุนมาก เพราะสัมผัสได้ว่าเขาตกอยู่ในอารมณ์เศร้าหมองเป็นอย่างมาก พร้อมกับที่ดิฉันได้ยินเสียงคนคุยกันอยู่ในหัวอย่างชัดเจนไม่หยุด

‘ให้ไปเอาธูปมาสิบหกดอก แล้วไหว้ขอขมากูเดี๋ยวนี้!’

ดิฉันรีบกุลีกุจอทำตาม กระนั้นก็พยายามจะใจเย็น แล้วบอกพ่อกับแม่ด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือเบาๆ ไม่โวยวายอย่างตอนแรกด้วยไม่ต้องการให้พวกท่านตกใจไปมากกว่านี้

“ช่วยเอาธูปให้หนูสิบหกดอกหน่อย”

‘จะใช้พ่อแม่ทำไม! ทำด้วยตัวเอง!’

ได้ยินดังนั้น ดิฉันก็รีบตรงเข้าไปแย่งธูปที่พ่อกำลังเอาให้จากตู้พระมาถือ

“เดี๋ยวหนูทำเอง”
“เดี๋ยวป๊ะทำให้”
“หนูบอกว่าจะทำเอง!”

‘พูดกับพ่อแม่ให้ดีๆ นะ ถ้าพูดไม่ดี จะโดนดีกว่านี้’

เสียงดุนั้นทำให้ดิฉันต้องรีบตั้งสติ ซึ่งก็ตั้งไม่ได้หรอก แต่ก็ทำให้น้ำเสียงที่โวยวายใส่คนเป็นพ่อเมื่อครู่ผ่อนลงจากเดิมจนแทบจะเป็นปกติ

“เดี๋ยวหนูทำเองนะป๊ะ เอามาให้หนู”

เสียงแทบกลายเป็นขอร้อง พ่อจำใจต้องส่งธูปมาให้ ดิฉันก้าวออกไปที่สนามหญ้าหน้าบ้าน จุดธูปทั้งหมดด้วยมือที่สั่นเทา จุดอย่างไรก็จุดไม่ได้สักที ไม่ได้มีอำนาจอภินิหารของใครมาทำให้จุดไม่ได้หรอกค่ะ แต่เป็นตัวดิฉันเองที่กลัวมากจนทำอะไรไม่ถูก

‘ถ้าทำไม่ได้ก็ให้พ่อทำ แล้วพูดกับพ่อแม่ดีๆ อย่าให้กูเห็นว่าขึ้นเสียงอีก’

ดิฉันพยักหน้ากับบางสิ่งที่มองไม่เห็น ส่งธูปให้พ่อที่เป็นห่วงจนต้องตามออกมาหน้าบ้านด้วยช่วยจุด

“ป๊ะ ช่วยจุดธูปให้หนูหน่อยนะคะ”

มีบางสิ่งบังคับให้ดิฉันพูดลงท้ายมีหางเสียงว่า ‘ค่ะ’ ไปอย่างนั้น ดิฉันไม่รู้สึกตัวเท่าไร กระทั่งได้ยิน

‘ไม่ต้องไปช่วยมัน ให้มันพูดของมันเอง’

รู้ทันทีว่าที่พูดจาเพราะผิดปกติออกไปเป็นเพราะพี่ขุนช่วยด้วยเกรงว่าจะทำให้ ‘ใครบางคน’ สั่งสอนดิฉันไปมากกว่านี้ ดิฉันสั่นกว่าเดิม ช่วงเวลาที่พ่อจุดธูปให้มันยาวนานมากในความรู้สึกทั้งๆ ที่กินเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที ดิฉันรับธูปมาจนได้ แล้วยกมือขึ้นพนม กล่าวขออโหสิกรรมในทันที

“ข้าพเจ้าขออโหสิกรรมที่ล่วงเกิน...ค่ะ”

จริงๆ แล้วไม่ใช่ครั้งแรกที่ดิฉันขออโหสิกรรมอย่างนี้ มีคืนหนึ่งหลังจากที่ดิฉันได้ท้าทายไป ดิฉันถูกพี่ขุนปลุกขึ้นมาในกลางดึกแล้วก็มาสวดมนต์ขออโหสิกรรมอย่างนี้เช่นกัน ทว่าดิฉันจำรายละเอียดไม่ค่อยได้ มานั่งเขียนเรื่องนี้ถึงได้ย้อนรำลึกอีกครั้ง

วกกลับมาที่ดิฉันซึ่งได้ขออโหสิกรรมไปแล้ว ก็ใช่ว่าเรื่องจะจบได้ง่ายๆ หลังจากที่ดิฉันปักธูปลงไป ก็มีเสียงขึ้นมาอีกเรื่อยๆ

‘ไม่อยากอยู่กับผัวหรือไง อยากอยู่กับผัวไหม ถ้าอยากอยู่ กูจะให้อยู่ จะให้ได้อยู่ด้วยกัน’

ดิฉันใจสั่น ไม่กล้าตอบ คำว่า ‘จะให้ได้อยู่ด้วยกัน’ หมายถึงการอยู่แบบไหน ในวินาทีนั้นดิฉันตีความได้ว่าดิฉันต้องตายแน่ๆ ถึงจะได้ไปอยู่กับพี่ขุน
ดิฉันไม่กล้าตอบอะไร แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน พลันก็มีเสียงหัวเราะดังขรม

‘มันไม่ได้รักจริง กับมันวาสนาบารมีไม่เท่ากัน เป็นเทวดา มันเป็นแค่มนุษย์ อยู่กับมันไม่ได้’

‘มีแต่เท่านั้นที่รักมัน มันไม่ได้รัก’

‘กูผิดหวังในตัวมาก อี...(ชื่อดิฉัน)’

ดิฉันไม่กล้าตอบอะไรทั้งนั้น เกรงว่าถ้าพูดอะไรไม่ถูกหู จะโดนสั่งสอนมากกว่านี้อีก แต่ในใจบอกได้เลยว่าอยากจะบอกพี่ขุนมากค่ะว่าดิฉันรักเขาอย่างที่เขารักดิฉัน เพียงแต่ไม่กล้าพูดเพราะกลัวว่าถ้าพูดออกไป ดิฉันจะโดนเอาชีวิตไปจริงๆ ซึ่งดิฉันยังไม่พร้อมที่จะไปไหนในตอนนี้ ยังมีพ่อแม่ในชาตินี้ที่ต้องดูแลจนกว่าพวกท่านจะหมดอายุขัยอีก แล้วก็กลัวเหลือเกินว่าถ้าดิฉันตอบรับอะไรไป พ่อแม่ดิฉันที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวจะโดนหางเลขไปด้วย เพราะตอนนี้ดิฉันประจักษ์แล้วว่าอิทธิฤทธิ์ของเทวดาชั้นผู้ใหญ่นั้นมากมายเพียงใด แล้วท่านดุอย่างไร ไม่ควรท้าทายในสิ่งที่ไม่เคยเห็นเป็นอย่างไร ประจักษ์ในตอนนี้จริงๆ

‘ถ้ามันไม่เอาแล้ว ก็ไม่ต้องอยู่!’

เสียงประกาศก้อง พี่ขุนไม่พูดอะไรออกมาสักคำ มีแต่ความรู้สึกที่ส่งมาถึงดิฉันว่าเขาเสียใจมากที่เรื่องราวทั้งหมดมันเป็นอย่างนี้ และด้วยความที่ดิฉันกลัวว่าพี่ขุนจะต้องไปจากดิฉันจริงๆ ความเสียใจทั้งมวลก็ประดังประเดเข้ามา ดิฉันก้าวเข้าบ้านพร้อมกับปล่อยโฮยกใหญ่ โผเข้ากอดพ่อกับแม่

“พี่ขุนจะไปจากหนูแล้ว”

แต่...น่าแปลกมากค่ะที่ไม่ว่าดิฉันจะร้องลั่นเพียงใด น้ำตาจากความเสียใจก็ไม่มีไหลออกมาสักหยด มีแต่เสียงของพี่ขุนที่พูดอยู่ข้างหูอย่างนิ่งเรียบเท่านั้น

‘พี่จะไม่ให้หนูต้องหลั่งน้ำตา...หนูจะต้องไม่หลั่งน้ำตา’

Part 11


ดิฉันก็ยังร้องไม่หยุด ไม่มีน้ำตาให้เห็นแม้แต่เม็ดเดียวเช่นกัน สถานการณ์ในตอนนั้นเหมือนดิฉันเป็นคนบ้าเต็มสูบ พ่อแม่ก็ไม่เข้าใจว่าดิฉันพูดถึงเรื่องอะไร ทว่าทั้งคู่เข้าใจว่าคนที่ดิฉันพูดถึงคือพี่ขุน เพราะก็เคยมีตอนที่ดิฉันเล่าเรื่องพี่ขุนให้พวกท่านฟังบ้าง ถึงอย่างนั้นพ่อแม่ก็ไม่ได้เชื่ออะไร เหมือนฟังไปเฉยๆ เท่านั้น

‘มันไม่ห่วงพ่อแม่มันเลย มันห่วงแต่ผู้ชาย’

มีเสียงดุด่าดิฉันมาอีก ดิฉันทำตัวไม่ถูกขึ้นมา นั่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้ ไม่รู้จะทำอย่างไร จนกระทั่งถูกบีบคั้นให้ต้อง ‘เลือก’ ระหว่างพ่อแม่ในชาตินี้ กับอดีตว่าที่สามีในอดีตชาติ

‘เลือกเอาว่าจะปกป้องใคร ระหว่างพ่อแม่กับไอ้...(ชื่อพี่ขุน) ถ้าเลือกพ่อแม่ มันก็ต้องกลับไปกับกู แต่ถ้าเลือกมัน ก็ต้องไปอยู่กับมัน’

ดิฉันสับสนเป็นอย่างมาก ใช้เวลาอยู่ครู่ทีเดียวจนสุดท้ายก็ตัดสินใจ

“หนูเลือกพ่อแม่ค่ะ”

เสียงหัวเราะดังตามมาขรม ไม่รู้ว่าเป็นเสียงของใครบ้าง รู้แต่ว่ามีเสียงของท่านดังชัดเจนที่สุด

‘เช่นนั้นก็ต้องกราบกู กราบให้งามที่สุดในชีวิตของ ทำให้กูดูว่าสมควรที่จะได้ละเว้นโทษจากการลบหลู่ดูหมิ่นกูในครั้งนี้!’

จริงๆ ดิฉันก็จำไม่ได้แล้วว่าท่านว่าอะไรบ้าง ที่จำได้หลักๆ คือหลังจากที่ดิฉันได้ยินเสียงนี้ ดิฉันก็พาพ่อแม่มานั่งบนโซฟาที่โถงนั่งเล่น ก่อนที่ดิฉันจะตั้งท่านั่งพับเพียบ ก้มลงกราบโซฟาเปล่าๆ อีกตัวที่อยู่ใกล้ๆ กันท่ามกลางความมึนงงของพ่อแม่

‘กราบอีก กราบให้งาม กราบเท้าพ่อแม่ด้วยที่ทำให้ต้องเป็นห่วง กราบประเดี๋ยวนี้’

ดิฉันทำตามอย่างว่าง่าย บอกตรงๆ ว่ากลัวมากค่ะ กลัวจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว พยายามทำทุกอย่างเพื่อที่การกระทำของดิฉันจะไม่มากระทบกับพ่อแม่ ส่วนพ่อแม่ก็ไม่ไหวแล้วค่ะ ไม่รู้ว่าดิฉันเป็นอะไร แฟนเห็นท่าทางดิฉันแปลกๆ เดินไปเดินมา โวยวายไม่หยุด เขาก็ขึ้นไปบนห้องนอนก่อนเพราะอยู่ไปก็ช่วยอะไรไม่ได้

ดิฉันกราบไปก็บอกให้แม่ช่วยชาร์จโทรศัพท์แล้วเปิดเครื่องให้หน่อย

“หนูจะโทรหาพี่เอค่ะ”

บอกไปสั้นๆ ลงท้ายด้วยหางเสียงที่ฟังดูแปลกประหลาดเช่นเคย แม่ก็ทำให้แต่โดยดี พอโทรศัพท์เปิดติด ดิฉันก็โทรหาพี่เอ เล่าด้วยน้ำเสียงสั่นๆ อย่างคร่าวๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นให้ฟัง พี่เอซึ่ง ณ ขณะนั้นน่าจะหลับไปแล้วตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงงัวเงีย

“หนูสวดบท...นี่สิ มันน่าจะพอช่วยนะ” (ดิฉันจำไม่ได้แล้วค่ะว่าบทอะไร)

“พี่เอช่วยสวดนำหนูได้ไหม หนูไม่ไหวแล้ว”

ดิฉันยอมรับมาตามตรง ทั้งกลัว ทั้งเหนื่อย ทั้งล้า พี่เอก็ลุกขึ้นมาช่วยนำสวด ดิฉันเปิดลำโพงโทรศัพท์ พ่อแม่จึงได้ยินด้วย แม่ดิฉันตกใจมากว่ามันมาเกี่ยวข้องกับเรื่องที่มองไม่เห็นอย่างนี้ได้อย่างไร พร้อมกับเริ่มกลัวขึ้นมาแล้วเช่นกัน แต่พ่อของดิฉันซึ่งไม่เคยเชื่อเรื่องอะไรพวกนี้เลยชักจะโมโห แล้วก็ถาม

“หนูคุยกับใคร”
“คุยกับพี่เอ พี่เอจะช่วยหนู”
“ไม่เอา ป๊ะไม่ให้คุย วางเดี๋ยวนี้”
“ถ้าไม่คุย เดี๋ยว...จะเอาตายนะ หนูไปลบหลู่ท่านไว้ ป๊ะให้หนูคุย”
“ป๊ะบอกให้วาง ป๊ะอยู่นี่ ไม่มีใครทำอะไรได้หรอก”
“ไม่เอาป๊า หนูจะคุย”
“ถ้าคุณพ่อไม่ให้น้องคุย หนูไม่รับประกันนะคะว่าจะเกิดอะไรขึ้น”

เสียงของพี่เอแทรกมาเมื่อได้ยินบทสนทนาของเราสองพ่อลูก เท่านั้นพ่อของดิฉันก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา ตำหนิพี่เอเสียงดัง

“เอต้องไม่ทำให้น้องคล้อยตามสิ มันไม่มีอะไรเข้าใจไหม อย่าทำให้น้องกลัว”
“แต่สิ่งที่น้องเจออยู่มันเรื่องจริงนะคะ”
“วาง! ป๊ะบอกให้วาง ไม่ต้องคุยกันแล้ว!”

โทรศัพท์ถูกแย่งออกจากมือดิฉันไปจนได้ พ่อไม่เชื่อเลยแม้แต่น้อย ซึ่งดิฉันก็เข้าใจว่าเป็นความหวังดี ทว่าเวลานั้นดิฉันกลับไม่คิดว่าพ่อกำลังหาทางช่วย คิดแต่ว่าดิฉันต้องปกป้องพ่อแม่จากเรื่องนี้ให้ได้ ในเมื่อตอนนี้ไม่สามารถคุยกับพี่เอได้แล้ว ดิฉันก็คิดครุ่นวุ่นวายทันทีว่าจะให้ใครช่วยได้อีก

‘ไม่มีใครช่วยแล้ว ต้องช่วยตัวเอง’

มีเสียงหัวเราะตามมา ดิฉันตกอยู่ในภาวะแพนิกเป็นอย่างมาก พลันก็คิดถึงอาจารย์ขึ้นมา

ค่ะ...อาจารย์คนเดิมที่ดิฉันเคยโทรไปถามเรื่องพี่ขุนมีจริงไหม แล้วอาจารย์ก็บอกว่าให้ดิฉันบอกให้พี่ขุนมาหานั่นแหละค่ะ

พอโทรไปหา อาจารย์ซึ่งนอนไปแล้วก็รับสาย แต่คราวนี้พ่อไม่ให้ดิฉันคุย พ่อขอคุยเอง แล้วก็สั่งให้แม่นั่งประกบดิฉันไว้ ส่วนตัวเองก็เดินไปคุยโทรศัพท์ที่ในครัว ขณะที่ดิฉันก็ยังคงสติแตกอยู่ ได้ยินเสียงคนในหัวเต็มไปหมด กลัวมากถึงขั้นเอาพระพุทธชินราชซึ่งเป็นพระพุทธรูปในตู้พระมาอุ้มเอาไว้ ทว่าก็ช่วยอะไรไม่ได้เลย ทำให้ดิฉันได้รู้อีกเรื่องในภายหลังว่า...พระช่วยกันผีไม่ได้ค่ะ โดยเฉพาะกับผีที่อยู่ในภูมิเทวดาแล้วดิฉันเข้าใจไปเองว่าเป็นผี

“ลูกคุณพ่ออาการหนักแล้วครับ ผมว่าควรพาไปหาหมอให้ด่วนที่สุด”

อาจารย์บอกกับพ่อมาอย่างนี้ ไม่มีเรื่องใดที่เกี่ยวข้องกับสิ่งลี้ลับหรือเรื่องที่มองไม่เห็นเลย ทั้งพ่อและอาจารย์สรุปเอาว่าดิฉันมีอาการทางจิตเภท ซึ่งอาจจะมาจากความเครียดและมีคนมาบิวท์เรื่องนี้ ทั้งๆ ที่เนื้อแท้เดิมทีของดิฉันไม่เชื่อเลยว่าของพวกนี้จะมีจริง

“แต่ช่วงนี้ติดปีใหม่อยู่ คงจะต้องพาไปหลังปีใหม่”
“ตอนไหนก็ได้ครับคุณพ่อ แต่รีบพาไปให้เร็วที่สุด ไม่งั้นจะอาการหนักกว่านี้ แล้วคุณพ่อก็ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ คนวัยนี้เป็นกันเยอะ โรคทางจิตเวชน่ะ”

ดิฉันได้ยินในสิ่งที่พ่อกับอาจารย์คุย อยากจะเถียงใจจะขาดว่าไม่ใช่ สิ่งที่ดิฉันเจอมันคือของจริง ก่อนที่ดิฉันจะบอกกับแม่ที่นั่งอยู่ข้างๆ

“แม่ ขอโทรหาหลวงลุงหน่อยได้ไหม หนูไม่ไหวแล้ว”

ด้วยความที่เป็นห่วงและแม่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับดิฉันกันแน่ แม่จึงโทรไปหาหลวงลุงซึ่งเป็นพี่ชายที่เป็นพระอยู่ในวัดแห่งหนึ่งใน จ.นครสวรรค์ เวลานั้นหลวงลุงได้จำวัดไปแล้ว แต่ก็ยังจะโทรวิดีโอมาเพื่อคุยกับแม่ดิฉัน

แม่เล่าคร่าวๆ ให้ฟังว่าดิฉันเพ้อถึงใครและเรื่องอะไร หลวงลุงนิ่งไปครู่ก่อนจะบอกว่า

“ไม่มีอะไร ไม่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยวหลวงลุงจะไปดูให้”
“หลวงลุงมาที่นี่วันพรุ่งนี้เลยได้ไหมคะ หนูอยากให้มา”

ดิฉันพูดแทรกไป หลวงลุงนิ่งไปครู่ แม่เลยต้องเสริม

“หลวงพี่มาดูหลานมันหน่อยนะ มันแย่เลย มาช่วยหน่อย”

หลวงลุงเลยจำต้องตัดสินใจในตอนนั้น

“เอ้าๆ งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้หลวงลุงนั่งรถไฟไป แล้วก็ให้พ่อมารับหลวงลุงที่สถานีฯ แล้วกันนะ”

ได้ฟังอย่างนี้ ดิฉันก็พอจะเบาใจขึ้นมาบ้าง ส่วนอาการสติแตกของดิฉันก็ใช่ว่าจะจบลงง่ายๆ ดิฉันยังคงเพ้อ เดินวนไปวนมา มีท่าทางหวาดกลัว กลัวตาย กลัวพ่อแม่ตาย กลัวใครมาทำร้าย เรียกให้แฟนลงมา พูดภาษาอังกฤษไฟแล่บอธิบายว่าเกิดอะไรขึ้น จนกระทั่งร่างกายเหนื่อยอ่อนมาก เสียงในหัวเหล่านั้นจึงค่อยๆ เบาบางลงไป และจบลงที่พ่อ แม่ และดิฉันต้องมานอนรวมกันที่โถงกลางบ้านเพราะดิฉันไม่สามารถขึ้นไปนอนบนห้องนอนได้ รวมถึงพ่อแม่ก็เป็นห่วงมากด้วย

กว่าจะผ่านคืนนั้นมาก็ไม่ใช่ง่ายๆ ดิฉันสะดุ้งตื่นและเพ้อเป็นระยะ รวมถึงเกิดความเข้าใจผิดว่าพี่ขุนที่บอกว่าเป็นว่าที่อดีตสามีของดิฉันเป็นเรื่องเท็จด้วย แท้จริงแล้วเขาคือผี เป็นวิญญาณที่จองล้างจองผลาญดิฉัน มาหลอกว่าเป็นคนรักในอดีตชาติเพื่อที่จะแก้แค้น เอาดิฉันไปอยู่ด้วย ทำให้ดิฉันกลัวมาก และก็ไม่อยากเจอกับเขาอีก กลายเป็นว่าต้องขอให้เทวดาผู้ใหญ่ท่านช่วยไล่พี่ขุนไปให้หน่อย

ทว่า...ในใจของดิฉันก็ยังรู้สึกขัดแย้ง

ทั้งๆ ที่กลัวเขา แต่ก็ยังรักเขาอยู่

ไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้มันมีสาเหตุมาจากอะไรกัน

รักคนที่ไม่มีตัวตน...ดิฉันคงจะเป็นบ้าไปแล้วจริงๆ แน่ๆ

Part 12

สภาพของดิฉันในตอนนั้นคือแย่มาก ทั้งสารรูป ทั้งจิตใจที่สับสนอลหม่านไปหมด หลักๆ เลยคือดิฉันกลัวมาก กลัวว่าตัวเองจะตาย เหนือสิ่งอื่นใดคือกลัวพ่อแม่จะตาย สั่งพ่อแม่ห้ามออกบ้าน พอเห็นพ่อขับรถออกไปซื้อกับข้าวกับปลา ดิฉันก็โทรตามไม่หยุด เรียกได้ว่าพ่อแม่ต้องอยู่ในสายตาตลอด กระนั้นก็ไม่สามารถต้านทานความอ่อนล้าของร่างกายไม่ไหว ต้องยอมนอนจนได้หลังจากที่ไม่ยอมนอนทั้งคืนเพราะหวาดระแวง กระทั่งหลวงลุงมาถึงในตอนเช้า

“ไหน หลวงลุงดูซิว่ามีอะไร”

หลวงลุงว่าขณะที่ดิฉันก้มลงกราบเท้าท่าน ปกติแล้วดิฉันกับหลวงลุงไม่ได้ติดต่อกันเท่าไร...ไม่สิ เรียกว่าไม่ได้ติดต่อกันมาเลยหลายปีมากกว่า รวมถึงดิฉันก็ไม่ศรัทธาเลื่อมใสในตัวหลวงลุงด้วย เนื่องจากว่าเมื่อสมัยที่ท่านยังหนุ่ม ท่านเป็นคนที่ค่อนไปทางนักเลงหัวไม้และไม่ค่อยถูกกับพ่อของดิฉันเท่าไรนัก เรื่องนี้ดิฉันไม่ทราบว่าจริงเท็จแค่ไหน รู้จากปากของพ่อกับแม่เฉยๆ แต่ในวันนี้ท่านเป็นพระและมีความใจเย็นขึ้นมาก พอดิฉันกราบเท้าท่านเสร็จ หลวงลุงก็ถาม

“แล้วนี่มาทำอะไร มาสร้างกุศลเหรอ”

ไม่ได้ถามดิฉัน มาถาม ‘ใครบางคน’ ที่ยังอยู่กับดิฉัน ในตอนนี้เทวดาผู้ใหญ่และบริวารทั้งหลายไม่ได้อยู่แล้ว พวกท่านสั่งสอนดิฉันให้รู้จักที่ต่ำที่สูงจนเข็ดหลาบเมื่อคืนก็ได้เงียบไป เหลือแต่เสียงของพี่ขุน

‘ขอรับ มาสร้างกุศล…’

แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรนอกเหนือจากนี้ ไม่ได้บอกด้วยว่าสาเหตุที่อยู่กับดิฉันเป็นเพราะอะไร ไม่มีเรื่องในอดีตชาติหลุดออกมาจากตัวพี่ขุนเลยสักนิด หลวงลุงมองหน้าดิฉัน ก่อนจะเหลือบไปมองอะไรบางอย่างในอากาศแล้วก็พยักหน้า

“อืมๆ ไม่มีอะไรแล้ว ไม่ต้องห่วง หลวงลุงอยู่ที่นี่แล้ว สบายใจได้”

ดิฉันไม่เข้าใจ ประกอบกับที่ยังเบลอๆ ก็เลยทำให้ไม่ได้คุยอะไรกับหลวงลุงมาก ถึงตอนนี้ดูเหมือนทุกอย่างจะราบรื่นแล้วใช่ไหมคะ? แต่ในความเป็นจริงมันไม่ใช่เลย เพราะพ่อของดิฉันหมายมั่นปั้นมือว่าจะต้องพาดิฉันไปโรงพยาบาลจิตเวชให้ได้ ดิฉันก็เริ่มเอาตัวเองออกมาจากสิ่งลี้ลับเพราะในคืนหนึ่งระหว่างที่รอให้ถึงวันที่โรงพยาบาลเปิดทำการ หลวงลุงก็ลุกขึ้นมากลางดึก (ขออธิบายตรงจุดที่นอนหน่อยค่ะ พ่อ แม่ และดิฉัน จะนอนกันที่โถงห้องนั่งเล่นข้างล่างดังเดิม ซึ่งข้างๆ กันนั้นมีห้องที่ถูกต่อเติมอีก ตรงนั้นจะเป็นที่ให้หลวงลุงจำวัด) แล้วก็เอาพวกพระเครื่องพระครูที่ท่านบูชาทั้งหลายมาปัดไปมาในอากาศ ก่อนจะพูดเสียงดุๆ มาให้ได้ยิน

“มาทำอะไรกันเต็มหน้าบ้านไปหมด ไป! กลับไป มาจากไหน ไปทางนั้นให้หมดเลยนะ”

จากนั้นท่านก็สวดมนต์อยู่นานสองนาน ดิฉันซึ่งหลับไปแล้วก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความกลัว ตอนนั้นแม่ก็ตื่นค่ะแต่ดิฉันไม่ทราบ พอเช้าขึ้นมา แม่ถึงได้ไปถามหลวงลุงว่าเมื่อคืนทำอะไร หลวงลุงก็ตอบ

“ไล่ผี มากันเต็มหน้าบ้านเลย ไปรับอะไรของใครมาหรือเปล่า”

ดิฉันนึกถึงพี่เอ เลยเล่าให้หลวงลุงฟังว่าเขาสามารถติดต่อสื่อสารกับวิญญาณได้

“เขาเกี่ยวข้องอะไรกับร่างทรงหรือเปล่า รอบตัวเขามีเยอะเลยนะ หลวงลุงก็ไม่รู้ว่าใครเป็นใครบ้าง”

ดิฉันคาดเดาว่าคงจะเป็นวิญญาณอะไรต่างๆ ที่อยู่กับตัวของพี่เอ แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับว่าในคืนวันที่ดิฉันสติแตก ดิฉันได้โทรหาพี่เอแล้วอธิษฐานขอต่อชีวิตให้เธอ ด้วยพี่เอเคยบอกไว้ครั้งหนึ่งว่าเขาจะถึงฆาตเมื่อถึงอายุหนึ่ง สาเหตุก็คือคู่ของเขาซึ่งตามติดมาด้วยในชาตินี้จะพาไปอยู่ด้วย และดิฉันก็ขอต่อชีวิตเขาโดยไม่รู้ นี่จึงอาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ใครต่อใครซึ่งอยู่กับพี่เอตามตัวดิฉันมาก็ได้ โดยที่เรื่องนี้ในท้ายที่สุดแล้ว ดิฉันก็ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่ ความจริงแทบจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าทำอย่างนี้ด้วย มารู้ก็ตอนค่อยๆ คิดทบทวนว่าวันนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง

ส่วนความสัมพันธ์ของดิฉันกับพี่เอก็สั่นคลอนจนต้องเลิกคบหากันไป ด้วยเหตุผลของเรื่องที่ดิฉันสติแตกนี่แหละค่ะ พ่อแม่สั่งห้ามดิฉันคุยกับพี่เอหลังจากวันนั้น ทว่าดิฉันก็มีแอบคุยอยู่บ้าง ซึ่งเรื่องนั้นก็หนีไม่พ้นเรื่องของพี่ขุน

“หนูขอถามเป็นครั้งสุดท้าย พี่ขุนนี่เป็นของจริงไหม”

“พี่ยืนยันว่าของจริง”

น่าจะเป็นบทสนทนาสุดท้ายที่เราคุยกัน หลังจากนั้นดิฉันก็ถูกยึดโทรศัพท์ไป พร้อมกับสติที่ไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวสักเท่าไร ดิฉันยังวนเวียนคิดถึงพี่ขุนด้วยความหวาดกลัวอยู่เรื่อยๆ

เริ่มกลายเป็นความหวาดกลัวแล้วค่ะ คิดว่าพี่ขุนก็เป็นผีหรืออะไรก็ตามแต่ที่มาอย่างไม่ประสงค์ดีด้วย ทุกคืนดิฉันจะสวดมนต์นอน ขอให้พระคุ้มครอง ขอให้ไม่ต้องเจอพี่ขุนอีก ถามว่าในตอนนั้นตกลงรักเขาไหม

ตอบไม่ถูกเลยค่ะ แทบจะลืมไปสิ้นว่ารักหรือไม่รัก ผูกพันหรือไม่ผูกพัน มีแต่ความกลัวเท่านั้น หลายคืนที่ดิฉันเป็นประสาท ลุกเดินไปทั่วบ้าน กลัวเสียงที่อยู่ในหัวซึ่งยังคงดังมาให้ได้ยินเรื่อยๆ และเป็นเสียงของคนใหม่ๆ ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นใครบ้าง บ้างก็เห็นภาพในหัวว่ามีคนมายืนออขอส่วนบุญอยู่หน้าบ้านมากมาย จนบางคืนก็ฝันร้ายว่าพี่ขุนเป็นผีแล้วละเมอออกมา ทำให้พ่อที่นอนข้างๆ ต้องปลุกเพื่อเรียกสติ

ทว่า...สติของดิฉันก็ไม่ค่อยกลับคืนมาสักเท่าไร รู้และเข้าใจว่าจริงๆ แล้วตัวเองกลัวผีมากเพียงใดในตอนนี้ แม้กระทั่งในบางคืนที่กำลังนอนหลับอยู่ แล้วจู่ๆ ก็รู้สึกว่ามีใครมานอนกอด หรือบางครั้งร่างกายก็ขยับไปเอง แขนและมือขยับไปลูบหัวตัวเองซึ่งเป็นการกระทำที่พี่ขุนชอบทำในครั้งที่ดิฉันยังอยู่ในวังวนหวานแหววกับเขา แต่เมื่อมันเกิดขึ้นอีกครั้ง ดิฉันก็ได้แต่หลับตาปี๋แล้วกู่ร้องในใจว่า ‘ไม่เอา!’ การกระทำนั้นถึงได้ค่อยๆ หายไป ทว่าเขาก็ยังอยู่

และความกลัวก็เผื่อแผ่ไปถึงแม่ด้วย เพราะคืนหนึ่งจู่ๆ แม่ก็ละเมอออกมาเป็นเสียงสวดมนต์ ดิฉันได้ยินก็รีบปลุกแม่ ได้ความว่าแม่ฝันว่าสวดมนต์ไล่ผี ทำให้ดิฉันเริ่มคิดอีกครั้ง

คงจะเป็นโรคจิตเภทที่อาจจะมีผลพวงมาจากกรรมพันธุ์จริงๆ...

ถึงจะพยายามบอกตัวเองอย่างนั้น ดิฉันก็ยังคุมสติตัวเองไม่ได้ อาการนี้ในทางความเชื่อน่าจะเรียกว่าขวัญเสีย พ่อเป็นคนที่มีสติที่สุดในเวลานี้ ถึงหลวงลุงจะมาช่วยดูก็ตาม แต่พ่อก็ยังเชื่อว่าอาการที่เกิดกับดิฉันคืออาการทางประสาท จนในที่สุด ดิฉันก็นัดกับอาจารย์ภาคสนามที่ดิฉันเคยไปฝึกงานซึ่งเป็นบุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาลจิตเวชโดยเฉพาะแห่งหนึ่งเพื่อไปตรวจอาการ

“ไม่เป็นไรหรอกหนู เดี๋ยวได้คุยกับหมอก็หาย คนเป็นกันเยอะ แล้วมันก็รักษาได้ ไม่ต้องห่วง”

อาจารย์ภาคสนามบอกด้วยความใจดี ดิฉันก็หวังว่าอาการเหล่านี้จะหายไป ทว่าในคืนก่อนที่จะไปพบกับหมอที่โรงพยาบาล ดิฉันก็เห็นภาพในหัวว่ามีผีมากมายมาออกันอยู่ที่ประตูรั้วหน้าบ้าน โดยที่เจ้าที่ที่บ้านซึ่งนั่นก็คือพี่ขุนบอกว่าให้พวกผีเหล่านั้นรอหน่อย แล้วก็ปลุกดิฉันขึ้นมาให้สวดมนต์แผ่เมตตาให้พวกผีนั้นเพื่อที่พวกมันจะได้ไป ดิฉันลุกขึ้นสวดแล้วนอน นอนแล้วลุกขึ้นสวด หลายต่อหลายครั้ง ขณะที่พ่อซึ่งนอนอยู่ข้างๆ คอยดุ

“หนูต้องนอนนะ ไม่นอนแบบนี้ไม่ได้ ยังไงก็ต้องนอน ร่างกายมันอ่อนเพลียรู้ไหม”

ดิฉันรู้...รู้ดีทุกอย่าง แต่คุมตัวเองไม่ได้ เสียงเหล่านั้นมันรบกวนดิฉันมากจนหวาดกลัวไปหมด ลุกขึ้นเดินไปเดินมารอบบ้าน ปลุกหลวงลุง ปลุกทุกคนในบ้านขึ้นมาจนใครต่อใครไม่ได้นอนทั้งหมด กระทั่งดิฉันเหนื่อยมาก มีความรู้สึกว่าอยากนอน เท่านั้นก็ได้ยินเสียง

‘จะเชื่อฟังพ่อแม่ได้หรือยัง’

เป็นเสียงของพี่ขุนที่ดุมาให้ได้ยิน ดิฉันเลยได้สติแล้วไปนอน ส่วนสาเหตุที่เขาปลุกให้ดิฉันลุกขึ้นมาสวดมนต์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเพราะดิฉันไม่เชื่อฟังหลวงลุงที่ได้บอกไว้เมื่อท่านรู้ว่าหลานมีสัมผัสการรับรู้บางอย่างที่ควบคุมไม่ได้

“การมีญาณมันก็เหมือนมีเก้าอี้ไปตั้งอยู่หน้าบ้าน ถ้าไม่มีใครนั่งจับจองไว้ ก็จะมีคนอื่นมาจับจอง ตอนนี้คนของเราไม่มีพลัง จิตหนูก็อ่อน ดวงก็แรง บุญก็ยังไม่สัมพันธ์กัน แล้วหนูก็ไปรับเอาทุกสัมผัสจากคนอื่นมาอย่างนี้ คนของเราจะเอาพลังที่ไหนไปสู้”

หลวงลุงเตือนดิฉันแล้ว ดิฉันรับฟังแต่ไม่รับรู้ ทว่าในคืนนั้นดิฉันก็เข้านอนจนได้ ก่อนจะสะดุ้งตื่นขึ้นมาในตอนเช้าตรู่เพราะหวาดระแวงว่าจะถูกดุ ซึ่งก็ถูกดุจริงๆ และเสียงนั้นก็เป็นของพี่ขุน

‘ลุกขึ้นมาทำไม นอนลงไป อย่าให้เห็นว่าลุกขึ้นมาอีก’

เขาน่าจะอยากให้ดิฉันได้พักผ่อน แต่ดิฉันกลัว คิดถึงเหตุผลของเขาไม่ได้ มีแต่ความกลัวเท่านั้นกระทั่งหลับไปอีกระลอก จนพ่อแม่มาปลุกเมื่อถึงเวลาที่เราจะต้องไปโรงพยาบาล

Part 13

วันที่ดิฉันไปหาหมอนั้น เป็นวันที่สถานที่ต่างๆ เพิ่งจะเริ่มทยอยเปิดทำการหลังจากหยุดยาวจากช่วงปีใหม่พอดิบพอดี ตลอดเวลาหลังจากตื่นนอนมา ดิฉันมีอาการวิงเวียนมึนศีรษะมาก อาการนี้คาดเดาในตอนแรกว่าคงจะเป็นเพราะนอนน้อยมาหลายคืน แต่พอมาถึงโรงพยาบาล ดิฉันก็ได้ยินเสียงพี่ขุนพูดด้วยน้ำเสียงดุๆ

‘ไม่ต้องพูดอะไร ให้พ่อพูด อย่าให้เห็นว่าพูด ถ้าเพ้อเจ้ออีก อย่าหาว่าไม่เตือน’

เขาขู่ตลอด ทำให้ดิฉันไม่กล้าพูดอะไร กอปรกับมึนหัวด้วยเลยเงียบอยู่อย่างนั้น แม้กระทั่งตอนที่พยาบาลมาพูดด้วยเพื่อสอบถามอาการต่างๆ ดิฉันก็ต้องบอกปัดไปว่าให้คุยกับญาติแทน เพราะดิฉันไม่สามารถคุยด้วยได้เนื่องจากเวียนหัวมาก และอาการนั้นก็หายไปอย่างน่าประหลาดทันทีที่ขึ้นรถและกลับออกจากโรงพยาบาล

“มีอาการแค่นี้ไม่ต้องมาหาหมอถึงที่นี่หรอก ไปโรงพยาบาลทั่วไปก็พอ ไม่งั้นหมอก็แย่สิ เป็นหน่อยเดียวก็มาหาที่นี่แล้ว”

เป็นคำพูดของหมอหลังจากที่พ่อเข้าไปเล่าอาการของดิฉันให้ฟัง ก็พอจะเบาใจลงมาได้ว่าอาการเพ้อและแพนิกของดิฉันนั้นไม่ได้เป็นอาการร้ายแรง กระนั้นพ่อและแม่ก็ยังกังวลเป็นอย่างมาก ทำให้ต้องพาฉันไปโรงพยาบาลของมหาวิทยาลัยที่ดิฉันเรียนจบมาอีกครั้งเพื่อตรวจสอบอาการอย่างละเอียด

หลวงลุงก็ไปโรงพยาบาลกับดิฉันด้วย ถึงอย่างนั้นท่านก็ยังยืนยันว่าอาการนี้มันไม่ใช่อาการทางประสาท แต่เป็นอาการของ ‘คนที่เพิ่งเริ่มมีญาณ’ แล้วควบคุมไม่ได้

แต่การที่ดิฉันได้ไปตรวจที่โรงพยาบาลและได้ยามากินขนานใหญ่ ดิฉันก็คิดไปแล้วว่าตัวเองไม่ได้มีญาณอะไรหรอก เป็นโรคจิตเภทนี่แหละ ใจเอนเอียงไปทางวิทยาศาสตร์มากขึ้น หลายวันเข้าก็เริ่มตั้งสติได้ รวมถึงเริ่มคิดในใจว่าบางทีหลวงลุงก็อาจจะเป็นเหมือนดิฉันนั่นแหละ...ดิฉันหมายถึงโรคจิตเภทค่ะ

ดิฉันก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป นึกเอาว่าหลวงลุงก็อุตส่าห์รีบร้อนมาช่วย ถึงจะเป็นเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้ แต่ท่านก็เมตตาหลานคนนี้ และถึงดิฉันจะเชื่อว่าอาการของตัวเองนั้นน่าจะเป็นอาการที่ทางวิทยาศาสตร์อธิบายได้มากกว่า ดิฉันก็ยังอดคิดขึ้นมาไม่ได้ว่าพี่ขุนเป็นเรื่องจริงหรือไม่ เพราะมันมีสิ่งหนึ่งที่ดิฉันหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ ซึ่งนั่นก็คือ...ดิฉันเคยหลับนอนกับพี่ขุนค่ะ

ตรงส่วนนี้อาจจะเล่าข้ามมาบ้าง แต่มันเป็นช่วงหนึ่งที่ดิฉันพยายามหาวิธีพิสูจน์การมีตัวตนของเขา

ยังจำวันที่ดิฉันโทรหาอาจารย์เพื่อถามเรื่องพี่ขุนได้ไหมคะ?

หลังจากที่มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น ในคืนนั้นขณะที่ดิฉันหลับอยู่ ก็พลันรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างพุ่งมาแล้วโถมทับร่างของดิฉันเอาไว้ ลักษณะคล้ายๆ ผีอำแต่ไม่ใช่ เพราะดิฉันขยับได้ รู้สึกตัวดีทุกประการ รวมถึงได้ยินเสียง

‘พี่เอง...’

เขาแสดงตัวตน กอดรัดฉันแล้วพร่ำพูด

‘พี่คิดถึงหนูมาก...คิดถึงมาก...’

แล้วก็ร้องไห้ออกมาทันทีที่เขาได้ใช้ร่างกายของดิฉันกอดรัดตัวดิฉันเอง ดิฉันก็ค่อนข้างมึนงงกับเหตุการณ์นี้พอสมควร แต่ทุกอย่างก็เกิดขึ้นด้วยความเต็มใจและรวดเร็ว ท่ามกลางความมืดในห้องนอน ดิฉันมองไม่เห็นร่างกายของเขาแม้แต่เสี้ยวเดียว มีแต่ร่างกายของดิฉันขยับไปตามท่าทางของการร่วมรักในท่าเบสิกของมนุษย์ พร้อมกับมีความรู้สึกประหลาด มันไม่ใช่อาการหรืออารมณ์ซ่านสยิวอย่างที่มนุษย์รู้สึกเมื่อได้กอดก่ายมีความสัมพันธ์ทางกายกัน รู้สึกแต่เพียงว่ามีคนกอดดิฉันเอาไว้จนเย็นวาบช่วงต้นคอไล่ลงมาถึงหัวไหล่ รวมถึงรู้สึกเหมือน ‘มีอะไรบางอย่าง’ ขยับเข้าออกภายในกาย

เล่ารายละเอียดถึงตรงนี้ คิดว่าทุกท่านคงจะเข้าใจ

แล้วคืนนั้นก็เป็นคืนแรกของเราหนึ่งคนกับอีกหนึ่งตน...โดยที่หลังจากนั้นก็เกิดเหตุการณ์นี้ซ้ำๆ ทั้งที่ดิฉันมีสติสัมปชัญญะครบถ้วนอีกหลายครั้ง ดิฉันก็ไม่ได้ขัดขืนแต่ประการใด ยินยอมพร้อมใจให้เขาได้กอดก่ายตามประสาคนรัก

กลับมาที่เหตุการณ์ปัจจุบัน หลวงลุงยังคงอยู่ที่บ้านของดิฉันอีกหลายวัน มีวันหนึ่งท่านได้สวดมนต์ทำวัดเย็นของท่าน พอเสร็จสิ้นแล้วก็เดินออกมาจากห้อง เห็นดิฉันที่นั่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าวกับแม่ก็ทักขึ้นมา

“เมื่อกี้หลวงลุงนั่งสมาธิ เห็นเจ้าที่ที่บ้านนะ เป็นผู้ชายโบราณ ไม่ใส่เสื้อ นุ่งโจงกระเบน หน้าตาดุๆ หน่อย มีหนวด แล้วก็มีผู้หญิงอีกคน”

ดิฉันเข้าใจคำว่าอึ้งงันเป็นอย่างไรก็คราวนี้ เรื่องผู้หญิงอีกคน ดิฉันเดาได้ว่าคือพี่ชมพู่ บริวารของพี่ขุน แต่ที่ทำให้ดิฉันต้องหยุดคิดไปก็คือการที่หลวงลุงพูดถึงลักษณะของพี่ขุนขึ้นมาโดยที่ท่านไม่เคยได้ยินเรื่องพี่ขุนมาก่อน นั่นทำให้ดิฉันคิดกลับไปอีกครั้ง

หรือพี่ขุน...มีตัวตนจริงๆ?

Part 14

แต่รักกันไม่ได้ มันผิดอาญาสวรรค์

ดิฉันได้ฟังประโยคนี้จากหลวงลุง ซึ่งก่อนที่หลวงลุงจะพูดประโยคนี้ ท่านก็ได้เล่าว่าเจ้าที่ที่บ้านนั้นน่าจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับดิฉันในอดีตชาติ เช่น คนรัก หรือคนในครอบครัวอะไรประมาณนั้น พอดิฉันถามขึ้นมาว่าแล้วชาตินี้เรารักกันได้ไหม

“ไม่ได้ มันผิดอาญาสวรรค์”

หลวงลุงถึงได้พูดขึ้นมา ดิฉันจัดการกับอารมณ์ของตัวเองไม่ถูก ในแวบแรกที่ดีใจที่พี่ขุนมีตัวตนอยู่จริงๆ แทบมลายหายไปสิ้นเพราะเกรงกลัวคำว่า ‘นรก’

ดิฉันไม่เข้าใจว่าผิดอาญาสวรรค์มันคืออะไร รู้แต่ว่าถ้าทำผิด ในทางศาสนาพุทธคือต้องตกนรก ความรู้เรื่องนรกสวรรค์ในทางศาสนาพุทธของดิฉันน้อยมากจริงๆ ค่ะ เท่าหางอึ่งก็ว่าได้

ดิฉันพยายามทำความเข้าใจกับเรื่องนี้ เรื่องที่ว่าคนจะภพละภูมิกันจะรักกันไม่ได้ อยู่ด้วยกันไม่ได้ แต่ขณะเดียวกัน ความสับสนก็เกิดขึ้นในใจอีกระลอก

ตกลงแล้วดิฉันจะรักหรือจะกลัวพี่ขุนก็ไม่อาจทราบได้ รู้แต่ว่าพอรู้ว่าเขาคือเจ้าที่ที่บ้านหลังนี้จริงๆ และมีอดีตเป็นคนรักของดิฉันจริงๆ ความรู้สึกภายในก็โหยหาถึงเขา โดยที่ตัวดิฉันเองก็พยายามจะสื่อสารกับเขา แต่อาการของดิฉันก็ช่างไม่สมประกอบเอาเสียเลย ยังคงพร่ำเพ้อและแพนิกอยู่ ทำให้ดิฉันต้องเลือกเอาสักทางว่าทางไหน โดยมีพี่ขุนเป็นคนช่วยตัดสินใจ

‘เลือกเอาว่าระหว่างผู้ชายกับพ่อแม่ เป็นห่วงใครกว่ากัน’

เสียงนั้นดังขึ้นหลังจากหลายวันที่ดิฉันพูดอยู่คนเดียวในทุกครั้งที่มีโอกาส พ่อแม่ในเวลานั้นเป็นห่วงดิฉันมาก แฟนดิฉันก็ไม่มีความเห็นอะไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยรู้ว่าดิฉันเคยตกอยู่ในภาวะเครียดเรื่องงาน จึงอาจจะทำให้มีอาการนี้ได้

สุดท้ายดิฉันก็เลือกพ่อแม่อีกครั้งเมื่อเห็นสังเกตเห็นในวันหนึ่งว่าสีหน้าท่าทางของพ่อช่างดูเหนื่อยล้าเหลือเกิน และในวันที่ดิฉันพูดถึงพี่ขุน พร่ำพรรณนาถึงความรักที่เขามีให้ แม่ก็ร้องไห้ออกมา

ไม่ใช่ร้องไห้เพราะเรื่องความรักระหว่างดิฉันกับพี่ขุน แต่ร้องไห้เพราะทำไมลูกสาวถึงได้เป็นอย่างนี้...

ดิฉันสะท้อนใจที่ตัวเองทำให้พ่อแม่น้ำตาตก กลายเป็นว่าจากที่พ่อแม่ต้องคอยปลอบให้หายหวาดระแวง ในวันนี้ดิฉันต้องปลอบพ่อกับแม่

“หนูสัญญาว่าหนูจะหายดี โอเคไหม ไม่ต้องร้อง แล้วก็ไม่ต้องเป็นห่วง”

แล้วหลังจากวันนั้นดิฉันก็พยายามจะฉุดตัวเองออกมาจากสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้

มันทรมานมากค่ะทุกคน...เป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก

หลายครั้งที่ดิฉันคิดจะฆ่าตัวตายเพราะทนกับการนอนแล้วตื่นขึ้นมาด้วยความว่างเปล่าไม่ไหว
หลายครั้งที่การนอนกลายเป็นเรื่องยากจนต้องพึ่งยานอนหลับในทุกๆ คืน
ทรมาน...ทรมานมากๆ

โดยเฉพาะกับเรื่องความรักที่ยังคุกรุ่นอยู่ในใจ ดิฉันยังคงเฝ้าพร่ำเพ้อถึงใครก็ไม่รู้ที่ไม่มีตัวตน และก็ไม่เชื่ออย่างสนิทใจด้วยว่าเขาจะมีตัวตนจริงๆ
มันยากมากค่ะกว่าจะผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ และดิฉันก็ไม่คิดด้วยว่าตัวเองจะผ่านมาได้ เพราะอาการนั้นมันทำให้ดิฉันเสียงานเสียการไปร่วมครึ่งปีเลยทีเดียว รวมถึงสุขภาพที่แย่ลง อาการที่ดิฉันคิดว่าคืออาการทางจิตเวชที่แย่ลงด้วย ดิฉันไม่สามารถนอนคนเดียวได้อีกเป็นระยะใหญ่ พ่อแม่ก็ไม่ยอมให้อยู่ห่างสายตา เก็บของทุกสิ่งที่คิดว่าดิฉันจะใช้เอามาฆ่าตัวตายได้ไว้ไกลมือ

ช่วงนี้ดิฉันละอายแก่ใจมากค่ะ แต่มันทรมานมากจนแทบจะหยัดยืนด้วยความมั่นใจไม่ไหวจริงๆ ช่วงนั้นหาเหตุผลที่จะมีชีวิตอยู่ไม่ได้ ตอนนั้นสิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจมีอยู่อย่างเดียวก็คือพ่อแม่

ดิฉันบอกกับตัวเองในทุกวันว่าไม่ว่าตัวเองจะเป็นอะไร จะเป็นบ้าแค่ไหน แต่ก็ห้ามตายก่อนพ่อแม่เด็ดขาด ทุกวันดิฉันจึงต้องพยายามลืมตาขึ้นมา ต้องพยายามอ้าปากกินข้าว ต้องมีชีวิต มีลมหายใจอยู่ต่อไปทั้งๆ ที่ใจไม่อยากจะอยู่แล้ว

ช่วงนี้หลวงลุงเรียกว่าช่วง ‘ดวงแรง’ เป็นอย่างมาก คือช่วงที่เหล่าเจ้ากรรมนายเวรพร่ำเพรียกหา รวมถึงตัวพี่ขุนด้วย ถึงแม้ว่าตอนนี้พี่ขุนจะยึดครอง ‘เก้าอี้’ ของดิฉันแล้วก็ตาม แต่การสื่อสารกันนั้นก็นับว่าเป็นอุปสรรคอยู่มากจากปากของหลวงลุง ทั้งเรื่องที่จิตดิฉันอ่อน ตั้งสติไม่ได้ บุญกรรมยังไม่สัมพันธ์กัน และอะไรอีกมากมายที่ดิฉันไม่ทราบ รู้เพียงอย่างเดียวว่าดิฉันถามตัวเองทุกวันว่าตกลงที่ผ่านมามันคืออะไรกันแน่

ไม่รู้ว่าสิ่งที่ดิฉันเผชิญมันทรมานเท่ากับการที่พี่ขุนต้องเฝ้ารอดิฉันให้กลับมายังที่ดินแห่งนี้หรือไม่ แต่ดิฉันคิดว่าเขาคงจะรับรู้ได้ว่าความรู้สึกของดิฉันเป็นอย่างไร เขาคงไม่อยากให้ดิฉันตาย ไม่อยากทำกรรมอะไรให้ดิฉันต้องจองล้างจองผลาญเขาเพราะเขารู้ว่าแท้จริงแล้ว ดิฉันเป็นคนรักครอบครัวมาก และเขาก็เคยบอกบ่อยๆ ว่ารักดิฉันมาก อยากชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างที่ได้คาดหวังไว้เช่นในอดีต อีกอย่าง เขาเคยพูดเอาไว้

‘พี่มาอยู่กับหนู พี่จะสอนให้หนูสร้างแต่ความดี อะไรไม่ดี พี่จะไม่สอน แล้วพี่ก็จะช่วยเหลือหนู หนูไม่ต้องกลัว พี่จะไม่ทำอันตรายหนูเด็ดขาด’

ถ้าเป็นเพราะคำพูดที่เขาเคยให้ไว้อย่างนั้น...เขาก็คงเลือกที่จะหายตัวไปจากชีวิตดิฉันในที่สุด

เสียงในหัวที่เคยได้ยิน ไม่ว่าจะเสียงของใคร ล้วนแล้วค่อยๆ เลือนหายไปทีละน้อยๆ อาจจะมีบ้างในบางครั้งที่สะดุ้งตัวตื่นขึ้นมาในกลางดึกราวกับว่ามีใครมาปลุก ทว่าดิฉันก็คิดว่าคงจะเป็นอาการทางกายภาพ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับผีสางอะไรทั้งนั้น

ที่แน่ๆ สำหรับดิฉันกับพี่ขุนแล้ว...ไม่มีคำร่ำลา ไม่มีการบอกว่าเสียงนั้นหายไปไหน ไม่มีถ้อยคำใดที่บ่งบอกว่าเขามีตัวตนจริงๆ ทิ้งแต่ปริศนาให้ดิฉันได้ครุ่นคิดและค้างคาใจมาตลอดว่าสิ่งที่ได้เจอมันคืออะไร

เขาเป็นอดีตคนรักของดิฉันที่ได้หวนกลับมาเจอกันในชาตินี้จริงไหม? หรือไม่เคยมีตัวตนอยู่เลย เป็นแค่ความคิดที่ดิฉันจินตนาการและสร้างตัวตนของเขาขึ้นมาเท่านั้น?

ระยะเวลาที่ใช้คิดครุ่นถึงเขาโดยที่ไม่มีเสียงในหัว ไม่มีอาการใดๆ เกิดขึ้นกับตัวเองมันช่างยาวนาน...

ดิฉันยังคงจดจำเรื่องราวทุกอย่างได้ รวมถึงไอเดียหนึ่งที่พี่ขุนได้เคยให้ไว้ตอนที่ดิฉันไปหาหมอในวันแรกหลังจากหยุดปีใหม่ด้วย

‘ถ้าหนูจะเขียนนิยายเกี่ยวกับเรื่องของเรา หนูตั้งชื่อนี้...’

“อะไรคะ”

‘อรุณรักษ์’

“ทำไมล่ะ”

‘อรุณ...หมายถึงเช้าวันใหม่ รักษ์...คือการรักษา ตั้งแต่เช้าวันนี้เป็นต้นไป พี่จะรักษาดูแลหนู ให้หนูไม่เป็นอย่างนี้อีก’

และใช่ค่ะ ดิฉันมีอาชีพเป็นนักเขียน ซึ่งนิยายเรื่องนี้ก็ได้ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นรูปเล่มแล้ว เกรงใจที่จะโฆษณามากๆ แต่อยากพูดถึง (หัวเราะ) เนื้อหาในเนื้อเรื่องนั้นมีเรื่องราวความเป็นจริงจากที่ดิฉันเล่าในกระทู้นี้ประกอบอยู่แค่บางส่วนเท่านั้น ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องเสริมเติมแต่งเข้ามา หากท่านใดที่สนใจอยากจะทดลองอ่าน ก็ลองเสิร์ชหาดูกันนะคะ

แล้วเจอกันในกระทู้ใหม่ เป็นภาคสองและบทสรุปของเรื่องราวเรื่องนี้ค่ะ



เรื่องจากพันทิป [หนูผีมีเรื่องเล่า]เมื่อแรงกรรมส่งข้าพเจ้ากลับมา...และ (ว่าที่) สามีในอดีตชาติยังติดบ่วงสัญญาดังเดิม...
เรื่องโดย สมาชิกพันทิป หนูผีตัวน้อย
ขอขอบคุณเรื่องราวสยองและขออนุญาตนำมาเผยแพร่ ณ ที่นี้ด้วย

ไม่มีความคิดเห็น