เมื่อข้าพเจ้ามีญาณโดยไม่ได้ตั้งใจ...และสามีคนละภพก็ไม่ยอมไปไหนสักที...(บทสรุป)
เว็บเเทงบอลออนไลน์
Part 15
สวัสดีค่ะ หนูผีกลับมาอีกแล้ว ยังคงเป็นเรื่องเล่าของดิฉันกับพี่ขุน (ว่าที่) สามีในอดีตชาติที่รอข้ามภพข้ามชาติเพื่อที่จะมาครองรักกันตามคำมั่นสัญญาในชาตินี้
ตอนแรกคิดว่าจะเล่าให้จบในกระทู้เดียว แต่เห็นว่ากระทู้เริ่มตกแล้ว ก็เลยตั้งกระทู้ใหม่เพื่อมาเล่าต่อเป็นภาค 2 ค่ะ
ท่านใดที่ยังไม่เคยอ่านเรื่องราวก่อนหน้า สามารถติดตามได้ที่กระทู้นี้ >> [หนูผีมีเรื่องเล่า]เมื่อแรงกรรมส่งข้าพเจ้ากลับมา...และ (ว่าที่) สามีในอดีตชาติยังติดบ่วงสัญญาดังเดิม... https://pantip.com/topic/39768624
ส่วนท่านที่ติดตามกันมาอยู่แล้ว เชิญอ่านต่อกันได้เลยค่ะ
อย่างที่ดิฉันได้บอกตบท้ายไปในกระทู้ที่แล้วว่าหลังจากที่พี่ขุนได้ถือครอง ‘เก้าอี้’ ของดิฉัน กอปรกับดิฉันคิดว่าตัวเองป่วยเป็นโรคทางจิตเภทจนไม่สามารถใช้ชีวิตได้เป็นปกติด้วย ก็ทำให้เสียงและการสื่อสารสัมผัสต่างๆ ระหว่างดิฉันกับพี่ขุนค่อยๆ หายไปทีละน้อย จนกระทั่งหายไปชนิดที่ว่าไม่ได้ยินเสียงใดๆ ในหัวอีกแล้ว ทำให้ระยะนี้ดิฉันคิดว่าคงเป็นเพราะการทานยาทางจิตเวชแน่ๆ อาการหูแว่ว ประสาทหลอนถึงได้หายไป
พอไม่มีเสียงอะไรหรือใครมารบกวนแล้ว ดิฉันก็ค่อยๆ พยายามพยุงตัวเองให้กลับไปใช้ชีวิตได้อย่างเดิม การกระทำนี้ก็ต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากเพราะดิฉันไม่ปกติเอาเสียเลย ยังคงคิดอยากตาย ไม่อยากตื่นมาใช้ชีวิตอยู่เรื่อยๆ
คราวนี้ดิฉันไม่ต้องไปสู้รบปรบมือกับผีหรือวิญญาณที่ไหนแล้วค่ะ สู้กับความรู้สึกของตัวเองนี่แหละ
ผ่านไปหลายเดือนเข้า ก้าวย่างเข้าสู่เดือนที่สี่ อาการของดิฉันก็เริ่มดีขึ้น เริ่มกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้ กระนั้นก็ยังทำงานเต็มที่ยังไม่ได้เพราะยังคงมีอาการอ่อนล้า ไม่อยากจะทำอะไรอยู่ แต่ช่วงนี้ดิฉันก็กลับมานอนคนเดียวได้แล้ว ระหว่างนี้ดิฉันใช้เวลาในการดูอะไรต่อมิอะไรทางอินเทอร์เน็ตเป็นการฆ่าเวลาแก้เครียดค่อนข้างบ่อยจนกลายเป็นกิจวัตรประจำวันหลักๆ ไปแล้ว
เหมือนจะลืมพี่ขุนไปได้แล้วใช่ไหมคะ?
ยังค่ะ ยังลืมไม่ได้
ในระหว่างที่ดิฉันพยายามพยุงอาการของตัวเอง หลวงลุงก็ยังคงยืนกรานด้วยความมั่นใจว่าพี่ขุนนั้นมีตัวตนจริงๆ และเป็น ‘เทวดา’ ของดิฉันที่มีความสัมพันธ์เป็นเจ้ากรรมนายเวร
ย้อนกลับไปสักเล็กน้อยว่าตอนที่ดิฉันได้ยินคำว่าเจ้ากรรมนายเวรเป็นครั้งแรก ดิฉันกลัวมากด้วยรู้สึกว่าคำคำนี้มันเป็นคำในเชิงลบ แต่ก็ได้พี่ขุนสั่งสอน
‘เจ้ากรรมนายเวรที่หวังดีก็มี เช่นพ่อแม่หรือญาติพี่น้องของเรา เมื่อหมดอายุขัยไปแล้ว ได้ไปอยู่ในภพภูมิที่ดีกว่า แต่ถ้าจิตยังห่วงหา ก็อดอาลัยอาวรณ์จนต้องกลับมาคอยช่วยเหลือคนที่ยังอยู่ในภพภูมิต่ำกว่าไม่ได้ ส่วนจะช่วยได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่ที่บุญกรรมสัมพันธ์กัน ไม่ใช่ว่าจะช่วยได้หมดทุกเรื่อง’
ดิฉันถึงได้รู้ว่าเจ้ากรรมนายเวรประเภทนี้จะเรียกว่า ‘เจ้าคุณนายคุณ’
อย่างไรก็ตาม เวลาผ่านไปสามสี่เดือนแล้ว ดิฉันก็ยังลืมพี่ขุนไม่ได้ สาเหตุที่ลืมไม่ได้ก็คือ...
หนึ่ง...ความสงสัยว่าตกลงแล้วเขามีจริงหรือไม่?
และสอง...ความรัก ความโหยหาที่ยังมีต่อเขา ทำให้ดิฉันพยายามที่จะสื่อกับเขาอีกครั้ง
ดิฉันเฝ้าพร่ำคิด (คุย) ในใจคนเดียว หวังว่าสักวันจะได้ยินเสียงพี่ขุนอย่างที่เคยได้ยิน แต่ก็ไม่เคยมีเสียงอะไรตอบกลับมาเลย กระทั่งดิฉันถอดใจและคิดจริงๆ แล้วว่า...พี่ขุนไม่ใช่เรื่องจริงอย่างที่หลวงลุงพูดได้เสียแล้ว
ตอนนี้ดิฉันเริ่มตัดใจค่ะ ตัดใจจากอะไรก็ไม่รู้ ไม่มีตัวตน มองไม่เห็น ไม่สามารถติดต่อสื่อสารพูดคุยได้
ผ่านมาหลายวันก็เริ่มนิ่ง อันที่จริงใจก็ยังคิดถึงพี่ขุนอยู่นั่นล่ะ มีโอกาสไปทำบุญทำอะไรก็อุทิศให้เขาทุกครั้ง กระทั่ง...
“หยุดสงกรานต์นี้จะไปทำบุญใหญ่ให้ยายนะ ไปทำที่บ้านหลวงลุง”เว็บเเทงบอลออนไลน์
แม่พูดถึงการทำบุญใหญ่ให้วันตายของยายที่หมุนเวียนมาบรรจบอีกปี ส่วนสถานที่ก็เป็นบ้านของหลวงลุงที่นครสวรรค์ ต้องขออธิบายไว้นิดหนึ่งค่ะว่าบ้านของหลวงลุงนั้นจะมีแค่ป้าสะใภ้กับลูกพี่ลูกน้องอยู่ ขณะที่หลวงลุงจะอยู่ที่วัด แต่วัดที่หลวงลุงอยู่นั้นก็ห่างจากบ้านแค่ไม่กี่ร้อยเมตร เดินไปมาหาสู่กันได้ตามประสาวิถีคนชนบท
พวกเรานิมนต์พระมาเลี้ยงเพลตามความประสงค์ของผู้ใหญ่ ดิฉันเป็นแค่ผู้เข้าร่วมงานบุญในครั้งนี้เท่านั้น ขณะที่ทำบุญ ดิฉันก็ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวตลอดเวลา เอาแต่พะวักพะวนคิดถึงพี่ขุน ใจมีคำถามอยากจะถามหลวงลุงมากมายโดยเฉพาะคำถามที่ว่า ‘พี่ขุนเป็นของจริงไหม’ เพราะในเวลานี้ เขาได้หายไปจากชีวิตดิฉันระยะหนึ่งแล้ว
สุดท้ายดิฉันก็ตัดใจไม่ถาม เพราะถ้าหากว่าเรื่องที่ดิฉันเผชิญที่ผ่านมาเป็นเรื่องของความเจ็บป่วยทางจิต ดิฉันก็ขอที่จะยุติเรื่องราวนี้ไว้เท่านี้จะดีกว่า ทว่าระหว่างที่เรากรวดน้ำให้ยายกันนั้น ดิฉันก็ไพล่คิดไปถึงพี่ขุน แล้วก็อธิษฐานในใจ
‘ถ้าหากพี่มีจริง ก็ขอให้พี่ได้รับส่วนบุญส่วนกุศลจากการทำบุญของหนูในครั้งนี้ด้วย...’
เขาจะได้รับไหม ดิฉันไม่ทราบ รู้แต่ว่าหลังจากที่พวกเราทำบุญกันเสร็จแล้ว พ่อและแม่ของดิฉันจะเดินทางไปที่พิษณุโลก ต่อ เพื่อเยี่ยมเยือนน้องสาวของดิฉันตามปกติ ครั้งนี้ดิฉันก็ไปด้วย หากทว่าระหว่างที่นั่งรถไปนั้น ดิฉันก็คิดทบทวนถึงเรื่องราวในวันนี้ รวมถึงคิดถึงพี่ขุนขึ้นมา จึงได้คิดในใจไปลอยๆ ว่า ‘หนูคิดถึงพี่นะ’
เพียงไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น เสียงที่ดิฉันไม่คิดว่าจะได้ยินอีกแล้วในชาตินี้ก็ดังขึ้น
‘หนูได้ยินพี่ไหม’
ดิฉันทั้งตกใจ ทั้งดีใจในคราวเดียว ถึงกับกระเด้งตัวขึ้นนั่งหลังตรง พอเริ่มเก็บอาการได้ก็รีบถามเขากลับ
“พี่เหรอ”
‘ใช่ พี่เอง’
“ทำไมจู่ๆ หนูถึงได้ยินเสียงพี่ล่ะ”
‘ก็หนูคิดถึงพี่ไม่ใช่เหรอ’ เขาถาม
ดิฉันไม่มีคำตอบหรือคำถามอะไรกลับ ได้แต่นั่งฟังเขาด้วยความดีใจที่พร่างพรายเข้ามาเท่านั้น
‘พี่...ก็คิดถึงหนูเหมือนกัน’
ดิฉันคิดถึงเขามาก...เป็นสิ่งเดียวที่รับรู้ได้ในเวลานี้ค่ะ
Part 16
การกลับมาของเขาทำให้ดิฉันสับสนกับตัวเองอีกครั้ง หากแต่ในครั้งนี้ ดิฉันมีสติมากกว่าครั้งก่อน พอตั้งหลักได้แล้วว่าเสียงนั้นเป็นเสียงของพี่ขุนแน่แท้ ดิฉันก็ได้ถามเขา
“แล้วก่อนหน้านี้ พี่หายไปไหนมา”
‘พี่ไม่ได้หายไปไหน’
“งั้นทำไมหนูถึงไม่ได้ยินเสียงของพี่ล่ะ”
‘เพราะพี่คิดว่าการที่ชีวิตหนูไม่มีพี่อยู่น่าจะดีกว่า พี่เลยเงียบไป ไม่คุยกับหนู’
“...”
‘แต่พี่ไม่เคยหายไปไหนเลยนะ’
“...”
‘อยู่ข้างหนูตลอดเวลา...’
เขาบอกด้วยน้ำเสียงระคนเศร้า ดิฉันถามเพิ่มเติมอีกจนได้ความว่าแท้ที่จริงแล้ว อาการได้ยินเสียงในหัวของดิฉันที่หายไปนั้น หากไม่ได้อ้างอิงตามหลักวิทยาศาสตร์ ก็ไม่ใช่เพราะว่าดิฉันทานยารักษาอาการทางจิตเวชแล้วอาการมันหายไป แต่เป็นเพราะพี่ขุนซึ่งอยู่กับดิฉันตลอดเวลานั้นเลือกที่จะเงียบ ไม่พูดอะไรออกมา เฝ้าดูดิฉันใช้ชีวิตในฐานะมนุษย์โดยที่เขาตั้งใจว่าจะไม่ติดต่อสื่อสารใดๆ กับดิฉันอีกแล้ว
เขาบอกกับดิฉันว่าถ้าดิฉันต้องเป็นอย่างที่ผ่านมา เขาสู้เฝ้ามองอยู่เงียบๆ คอยดูแลดิฉันโดยที่ดิฉันไม่รู้จะดีกว่า แต่เพราะดิฉันไปบอกว่าคิดถึงเขา ซึ่งครั้งนั้นก็ไม่ใช่ครั้งแรกด้วย ดิฉันเฝ้าบอกเขาอยู่หลายต่อหลายครั้ง ทำให้ครั้งนี้เขาทนไม่ไหว ต้องพูดคุยกับดิฉันอีกครั้งจนได้
‘พี่ก็คิดถึงหนูมาก...คิดถึงเสมอ...’
‘อยากดูแล อยากอยู่ใกล้ๆ ไม่ว่าหนูจะเป็นอะไร ไม่ว่าเราจะอยู่คนละภพละภูมิอย่างไหน พี่ก็จะดูแลหนูเฉกเช่นที่พี่เคยสัญญาสาบาน...’
เพราะเหตุนี้เองที่เขายอมเป็นฝ่ายเฝ้ามองดิฉันอยู่คนเดียวเงียบๆ...
ถึงอย่างนั้นดิฉันก็ยินดีที่จะได้ยินเสียงเขามากกว่า คิดแล้วในวินาทีนั้นว่าเป็นบ้าก็เป็นบ้าวะ! ขอให้มีเสียงของผู้ชายคนนี้อยู่ในหัวก็พอ
และเพราะอย่างนั้น การเดินทางไปพิษณุโลก ของดิฉันในครั้งนี้จึงเป็นการเดินทางไปกราบเทวดาผู้ใหญ่เป็น ‘ครั้งแรก’ หลังเกิดเหตุการณ์วุ่นวายต่างๆ ก่อนหน้า
ดิฉันขอให้พ่อขับรถพาไปส่งยังที่หมาย ลงจากรถได้ก็ไปบูชาธูปและดอกไม้ ไหว้ด้านล่างเสร็จก็ขึ้นบันไดไปบนศาล ตั้งจิตขอขมาและอโหสิกรรมต่อพระพักตร์ แล้วก็ขออีกเรื่องที่ดิฉันได้ตกลงกับพี่ขุนตั้งแต่ที่อยู่ในรถ
“หนูจะไปขอพี่กับท่านนะ”
ที่ว่าอย่างนี้เป็นเพราะจำได้ว่าสมเด็จท่านเคยตรัสว่า ‘ถ้าอยู่ด้วยกันไม่ได้ก็ไม่ต้องอยู่’ การที่พี่ขุนกลับมาในครั้งนี้ เท่ากับว่าดิฉันตั้งใจที่จะใช้ชีวิตอยู่กับเขาอีกครั้ง เลยมีความรู้สึกว่าจะต้องบอกเรื่องนี้แก่ผู้หรับผู้ใหญ่
“หนูขอให้พี่ขุนได้อยู่กับหนูนะคะ...”
ดิฉันอธิษฐานสั้นๆ ง่ายๆ ต้องใช้ความกล้ามากทีเดียวในการกลับมาไหว้ในครั้งนี้ และน่าประหลาดเป็นอย่างมากที่หลังจากดิฉันกราบเสร็จ เมื่อยืนขึ้นมาก็รู้สึกเหมือนมีลมแรงไหลเวียนเข้ามาปะทะร่าง ก่อนที่จะรู้สึกวิงเวียนมึนหัวคล้ายๆ กับอาการบ้านหมุน
ดิฉันพยายามบังคับตัวเองให้เป็นปกติ เพราะการมาไหว้ครั้งนี้ พ่อแม่ดิฉันได้บอกให้แฟนในขณะนั้นตามมาดูด้วยเป็นห่วงว่าดิฉันจะไปไหนมาไหนคนเดียวไม่ได้ พอไหว้เสร็จ ดิฉันก็เดินมาใส่รองเท้า ในใจก็ไม่มั่นใจสักเท่าไรนักว่าที่ทำลงไปทั้งหมดนั้นจะไปในทิศทางดีหรือร้าย เพราะก็ใช่ว่าพี่ขุนกลับมาแล้ว ดิฉันจะได้ยินเสียงพี่ขุนชัดเจนอย่างเคย มันเลือนรางมาก ในบางครั้งก็ไม่รู้ว่าเขาพูดอะไร รวมถึงสิ่งอื่นๆ ที่ต้องการสื่อกับดิฉันด้วย
ดิฉันจึงตั้งใจจะปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปด้วยคิดว่าอาจจะเป็นการอุปาทานของดิฉันเองก็ได้ หากแต่พอมาสวมรองเท้า จู่ๆ ตัวของดิฉันก็รู้สึกราวกับมีอะไรบางอย่างมาดันที่แผ่นหลัง แล้วดิฉันก็พูดออกมาเบาๆ ว่า
“อยากได้ก็เอาไป แล้วอยู่ด้วยกันให้ดี”
Part 17
ได้ยินอย่างนั้น ความกลัว ความพะวักพะวนก่อนหน้าก็แทบจะมลายหายไปเลยค่ะ
ดิฉันไม่ได้คิดไปเอง ไม่ได้พูดออกมาเอง มั่นใจอย่างนั้นแน่นอน
และในคืนนั้น พี่ขุนก็แสดงถึงการมีตัวตนของเขาด้วยการมากอดก่ายดิฉันในคืนนั้นอีกครั้ง
คืนนั้น...เราแทบไม่ได้คุยอะไรกัน ก็แน่ล่ะค่ะ เพราะดิฉันยังสื่อกับพี่ขุนได้ไม่ดี พยายามที่จะคุยไปก็เหนื่อยเปล่า เรื่องนี้ทางหลวงลุงเขาบอกว่าบุญยังไม่สัมพันธ์กัน จิตเลยสื่อถึงกันได้ไม่ดีนัก ถึงจะแทบไม่ได้คุยอะไรกันเลย ขณะเดียวกัน ดิฉันก็แทบไม่ได้นอนตลอดทั้งคืนเหมือนกัน
น่าจะเพราะความห่างหาย ความคิดถึงคะนึงหาที่ทำให้เขากอดก่ายดิฉันไม่เลิกราอย่างนี้ พูดตรงๆ ก็คือเรามีความสัมพันธ์ทางกายกันค่ะ มันก็เป็นความสัมพันธ์ที่...ดิฉันไม่รู้สึกอะไรนอกจากรู้สึกว่ามีใครมาโอบกอด มาล่วงล้ำร่างกายเท่านั้น ซึ่งดิฉันก็เต็มใจ
หลังจากวันนั้น ดิฉันก็ไม่แน่ใจนักว่าเริ่มคุยกับพี่ขุนได้ชัดเจนขึ้นกว่าเดิมมันใช้เวลานานแค่ไหน รู้แต่ว่าพอเริ่มสื่อสารกับเขาได้ชัดเจนขึ้นแล้ว เขาก็เริ่มสั่งสอนดิฉันอีกครั้ง
‘ถ้าหนูเลือกพี่ หนูจะต้องรักษาสัญญาที่เคยให้ไว้ไม่ว่าจะกับใคร แล้วก็ต้องรักษาศีลห้า’
“รักษาศีลห้า?”
‘ใช่ เพราะฉะนั้น ไอ้อีคนไหนที่หนูคบหาอยู่ หนูไปจัดการให้เรียบร้อยซะ ไม่อย่างนั้นหนูจะผิดศีลข้อสาม’
เขาหมายถึงให้ดิฉันไปคุยกับแฟน ณ ขณะนั้นว่ามันเกิดอะไรขึ้น และดิฉันเลือกที่จะไปต่อในเส้นทางไหน
อันที่จริงแล้ว แฟนของดิฉันก็พอจะรู้เรื่องราวของพี่ขุนอยู่บ้างค่ะ มาจากปากของดิฉันนี่แหละที่เล่าในช่วงที่พี่ขุนหายไปว่าที่จู่ๆ ดิฉันก็ดูบ้าๆ บอๆ ขึ้นมานั้น เป็นเพราะอะไร แล้วถามว่าเขาเชื่อไหม?
บอกเลยว่าไม่แม้แต่นิดเดียวค่ะ เขาก็แค่รับฟังเฉยๆ เท่านั้น ไม่ได้ยี่หระอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น บอกตามตรงว่าความสัมพันธ์ระหว่างดิฉันกับแฟนก็ไม่ค่อยดีเท่าไรค่ะ ด้วยความที่เราคบหากันมานานหลายปี และเขาก็เป็นคนที่ไม่โรแมนติกใดๆ ทำให้ความใกล้ชิดระหว่างกันมันจางหาย ความสัมพันธ์จืดจางมานานแล้ว ซึ่งก็เป็นปัญหาที่ทำให้เราทะเลาะกันเรื้อรังมาอยู่หลายปี จนสุดท้ายความสัมพันธ์ในรูปแบบคนรักก็หมดลง เหลือแต่ความเป็นเพื่อนสนิทที่มีอะไรก็คุยกันไปสัพเพเหระมากกว่า
และเพราะเหตุนี้ ดิฉันจึงได้ตัดสินใจบอกกับแฟนในเวลานั้นว่าให้ลดสถานะลงมาเหลือแค่เพื่อนกัน แฟนของดิฉันก็ไม่ได้ว่าอะไร เขายินดีที่จะรับสถานะนั้น ตอนนี้เองที่เราได้แยกห้องนอนกัน โชคดีที่เราไม่ได้แต่งงานกัน แค่อยู่ด้วยกันก่อนเฉยๆ การปรับสถานะระหว่างกันเลยเป็นไปโดยง่าย แล้วดิฉันก็ให้เหตุผลว่าที่ดิฉันตัดสินใจขอลดสถานะอย่างนี้เป็นเพราะอะไร
ใช่ค่ะ ดิฉันเล่าเรื่องพี่ขุนให้เขาฟังอีกรอบ คราวนี้เล่าด้วยว่าเพราะดิฉันตัดสินใจที่จะเลือกพี่ขุนแล้ว ดังนั้นจึงจะมีเขาไม่ได้
แฟนซึ่งกลายเป็นอดีตแฟนก็ไม่ได้ใส่ใจ หาว่าดิฉันบ้าเสียด้วยซ้ำ หัวเราะให้กับสิ่งที่ได้ยิน ดิฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรค่ะ ปล่อยให้เขาเข้าใจไปแบบนั้น ถึงตอนนี้ดิฉันไม่ต้องการให้ใครมาเข้าใจอะไรกับสิ่งที่ดิฉันเผชิญแล้ว
‘พี่ไม่ชอบมัน อยากให้มันออกไป’
ถึงจะเลิกกันแล้ว แต่อดีตคนรักของดิฉันก็ยังอาศัยอยู่ที่บ้านค่ะ ด้วยเขาเป็นคนต่างชาติ และคบหากันมาตั้งแต่สมัยเรียน เลยทำให้การกลับไปดินแดนมาตุภูมิของเขาเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่เป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก ต่อให้พี่ขุนบอกให้ดิฉันออกปากไล่ ทว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น เพราะมันมีปัจจัยอื่นๆ ประกอบอีกมากมาย เขาเลยต้องอยู่ไปอย่างนี้ก่อน
‘ขนาดพี่ยื่นมือเข้ามายุ่งกับกรรมของหนูกับมันแล้ว มันยังไม่ไสหัวไปอีก!’
พี่ขุนดูหัวเสียในช่วงนี้ ดิฉันก็พยายามอธิบาย แต่เขาก็ไม่อยากจะฟัง
‘ไม่ต้องพูด หนูคิดอะไร รู้สึกยังไง ต่อให้ไม่พูด พี่ก็รู้หมด พี่แค่ไม่ชอบ ไม่อยากให้หนูไปยุ่งกับผู้ชายคนไหน หนูเป็นเมียของพี่’
เขาแสดงความเป็นเจ้าของอย่างเต็มที่ ดิฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรค่ะ ยอมรับว่าก็มีความสุขดี และช่วงนั้นดิฉันก็พยายามที่จะเรียนรู้การสื่อสารกับเขาอีกครั้ง ขณะเดียวกันก็ยังคงอุปนิสัยแบบเดิมซึ่งจุดนี้เองที่เป็นจุดที่ดิฉันกับพี่ขุนตระหนักกันได้ว่านอกจากเรื่องภพภูมิที่ไม่อาจเข้ากันได้แล้ว อุปนิสัยของคนในแต่ละยุคสมัยก็ไม่สามารถเข้ากันได้อีก
เขาเป็นผู้ชายโบราณ...
ดิฉันเป็นผู้หญิงสมัยใหม่...
สามีเป็นช้างเท้าหน้า ภรรยาเป็นช้างเท้าหลังคืออะไร ดิฉันไม่สนใจทั้งนั้น พูดถึงแต่ความเสมอภาคเท่าเทียม แม้พี่ขุนจะพยายามบอกว่า...
‘หนูไม่ต้องอยากมาเท่าเทียมพี่หรอก ทำตามพี่ก็พอ พี่จะคอยบอก’
“ไม่เอา เดี๋ยวนี้ผู้หญิงกับผู้ชายเท่าเทียมกันแล้วค่ะ หนูไม่เป็นช้างเท้าหลังหรอกนะ”
‘แล้วหนูจะเอาไง’
“ถ้าพี่เป็นช้างเท้าหน้า หนูก็จะเป็นควาญช้าง”
มันเป็นการพูดเล่นที่แฝงไปด้วยความจริงจัง...และมันก็ทำให้ดิฉันต้องถูกสั่งสอนอีกยกใหญ่เป็นระลอกที่สอง หากแต่คราวนี้เป็นการสั่งสอนโดย ‘พี่ขุนคนเดียว’
ขอบคุณทุกท่านที่ยังติดตามเรื่องราวนี้นะคะ
ดีใจที่มีคนตามอ่าน นึกว่าจะคุย (เขียน) อยู่คนเดียวซะแล้ว ฮา
เรื่องที่ดิฉันเล่านี้ ถ้าจะคิดว่าเป็นนิยายมันก็เป็นนิยาย
ถ้าจะคิดว่าเป็นเรื่องจริง มันก็อยู่ที่วิจารณญาณของแต่ละบุคคลนะคะ
ขอให้อ่านเพื่อความบันเทิงไปแล้วกัน นึกเสียว่ากำลังฟังเพื่อนคนนึงเล่าเรื่องนะคะ
Part 18
ในวันที่ดิฉันหลุดพูดเล่นออกไปว่าจะเป็น ‘ควาญช้าง’ ดิฉันก็ไม่ได้รับรู้เลยว่าเขาไม่พอใจเลยแม้แต่น้อย มีแต่อาการผิดปกติที่เกิดขึ้นกับตัวเอง นั่นคือการที่ดิฉันเริ่มพูดคนเดียวออกมา ซึ่งก็คือคุยกับพี่ขุนนั่นแหละค่ะ แต่ไม่สามารถควบคุมตัวเองให้คุยในใจได้ ต้องพูดออกมาจนเริ่มหวาดกลัวตัวเองขึ้นมาอีกครั้งว่าอาการนี้เป็นอาการป่วยหรือเปล่า
อาการนั้นทำให้ดิฉันไม่ยอมกินอะไรเลยทั้งวันแม้ว่าพี่ขุนจะเฝ้าพร่ำบอก
‘กินอะไรลงไปบ้าง ไม่ใช่เอาแต่คุยกับพี่จนไม่กินอะไรอย่างนี้’
ทว่าสติของดิฉันก็ไม่อยู่กับร่องกับรอย จนกระทั่งตกเย็น พี่ขุนต้องบังคับร่างกายดิฉันให้กินข้าว
ข้าวในเย็นวันนั้น ดิฉันเป็นคนตักมาเอง กะว่าจะกินเพื่อไม่ให้ร่างกายอ่อนเพลีย หากแต่เมื่อกินแล้ว กลับกินได้เพียงไม่กี่คำ พี่ขุนจึงต้องบังคับอีกระลอกเป็นเสียงมาในหัว
‘กินเข้าไปอีก อย่ากินน้อยอย่างนี้’
“หนูกินเพิ่มอีกสามคำนะ”
‘ได้ กินเข้าไป’
ดิฉันตักข้าวเข้าปาก แต่ก็กินได้เพียงคำเดียวเท่านั้น เนื่องจากไม่รู้สึกอยากอาหารเลย
“หนูไม่กินแล้วนะ อิ่มแล้ว เท่านี้พอ”
แต่พี่ขุนไม่ยอม ‘รับปากว่าจะกินเพิ่มอีกสองคำ ต้องกินเข้าไปอีก’
“แต่หนูอิ่มแล้ว”
‘อย่าให้พี่ต้องบังคับไปมากกว่านี้นะ’
คำว่า ‘บังคับไปมากกว่านี้’ หมายถึงการที่เขามาแฝงร่างดิฉันหรือทำอะไรสักอย่างที่ทำให้ร่างกายดิฉันเคลื่อนไหวไปตามความต้องการของเขา ดิฉันถูกจับให้นั่งอยู่บนเก้าอี้นิ่งๆ อีกครั้ง ขณะที่มือก็ตักข้าวคำใหม่ขึ้นมา
‘กินเข้าไปอีกสองคำ คำใหญ่ๆ’
มือที่ตักข้าวขึ้นมาเป็นข้าวคำใหญ่จริงๆ ดิฉันจำใจต้องอ้าปากรับเอาข้าวเข้ามา และการกินข้าวเพิ่มอีกสองคำก็เป็นอะไรที่ดิฉันต่อต้านเป็นอย่างมาก เพียงคำเดียวก็เคี้ยวเอื้องอยู่นาน ไม่ยอมกลืนสักที จนเขาต้องขู่เข็ญ พอกลืนลงไปได้ก็ทำท่าอิดออดจะไม่ยอมกินอีกคำ พยายามสู้แรงของพี่ขุนด้วยคิดว่าร่างกายนี้เป็นของเรา ใครจะมาบังคับไม่ได้ แต่ก็พ่ายแพ้ให้กับแรงของเขาในที่สุด
‘กินเข้าไป อย่าดื้อ’
เขาว่า ดิฉันกินเข้าไปจนได้ ข้าวคำนี้เป็นความทรมานอย่างหนึ่งในภาวะที่ไม่อยากอาหารเป็นอย่างมาก เคี้ยวไปก็ฝืดคอไป อะไรไม่ว่า ยังจะเริ่มน้ำตาคลอที่ถูกบังคับอีกด้วย ถ้าดิฉันไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเอง ต่อให้ดุแค่ไหน เขาก็น่าจะแพ้ทางน้ำตา จึงดึงมือดิฉันให้คว้าแก้วน้ำมากระดกดื่มจนกลืนข้าวลงคอได้หมด
‘รับปากอะไรไว้ อย่ารับปากส่งเดช ต้องทำให้ได้ด้วย...รักษาสัญญาไม่ว่าจะให้ไว้กับใคร’
เขาสั่งสอนตบท้าย ดิฉันได้ยินแล้วก็เออออไปทั้งๆ ที่ใจอยากจะดื้อให้มากกว่านี้เต็มแก่
หลังจากวันนั้น ดิฉันก็ดื้ออย่างที่ตั้งใจไว้จริงๆ ค่ะ ด้วยความที่ประกอบอาชีพอิสระและใช้ชีวิตค่อนข้างตามใจตัวเอง ทำให้ดิฉันพบว่าการกลับมาของพี่ขุนในครั้งนี้ เราหนึ่งคนกับอีกหนึ่งตน...ไม่มีอะไรเข้ากันได้เลย
พี่ขุนมักเตือนดิฉันเสมอว่าอย่ามาขลุกอยู่แต่ในห้องเพื่อพูดคุยกับเขาทั้งวัน ทว่าดิฉันก็ไม่ฟัง พยายามที่จะสื่อสารตลอดจนร่างกายเหนื่อยอ่อน จะได้ความคิดถึงหรืออะไรก็แล้วแต่ ดิฉันก็ไม่อาจทราบได้ แต่ยิ่งอยู่ใกล้ชิดกัน เขาก็ยิ่งเห็นความไม่น่ารักของดิฉัน
‘ทำไมถึงพูดจากับพ่อแม่อย่างนั้น’
เขามักจะไม่พอใจเรื่องนี้เสมอด้วยดิฉันมักจะพูดจากับพ่อแม่เสมอเหมือนเป็นเพื่อนที่สามารถคุยกันได้ทุกเรื่อง ซึ่งมันก็ไม่เข้าหูพี่ขุนเป็นอย่างมาก
‘พี่เป็นคนโบราณ พี่เห็นหนูทำอย่างนี้แล้วพี่ไม่ชอบใจ’
เขาเริ่มวางอำนาจ สั่งสอนดิฉันราวกับว่าดิฉันเป็นลูกหลาน
“แต่นี่หนูมาเกิดใหม่แล้ว เป็นคนสมัยใหม่แล้ว จะให้ไปเจ้าคะเจ้าขามันก็ไม่ใช่เรื่อง”
‘อย่างน้อยก็พูดให้น้ำเสียงน่าฟัง’
“หนูก็เป็นของหนูอย่างนี้ พ่อแม่หนูยังไม่เห็นว่าอะไรเลย พี่จะมาว่าอะไรหนู”
‘พี่สั่งสอนอยู่ อย่ามาเถียง!’
เขาขึ้นเสียง ดูฮึดฮัดอึดอัดเป็นอย่างมาก ดิฉันก็เลยเลือกที่จะไม่คุยกับเขา เรียกว่างอนนั่นแหละค่ะ ทว่า ‘ผู้ชายโบราณ’ จะไปเข้าใจอะไรกับคำว่างอน พอเห็นดิฉันไม่ยอมพูดจา เอาแต่สะบัดสะบิ้ง เขาก็ดุมาอีก
‘อย่ามาประชดประชัน พี่ไม่ชอบ’
นั่นก็ไม่ดี นี่ก็ไม่ใช่ โน่นก็ไม่ชอบ จะเอาอย่างไร!?
ดิฉันเริ่มหัวเสียแล้วเหมือนกัน แต่ถึงอย่างนั้น...ก็ไม่ยอมให้เขาไปไหนอยู่ดี
ในเมื่อไม่ยอมให้เขาไปไหน ดิฉันก็ยังพยายามสื่อสารกับเขาอยู่อย่างนั้น
คุย...จนแทบแยกไม่ได้ว่าอะไรคืออีกภพ อะไรคือชีวิตจริง ดิฉันเริ่มมีอาการคล้ายกับตอนที่เพ้อในตอนแรกกลับมา แต่ในครั้งนี้ไม่ได้หวาดกลัวว่าตัวเองจะตาย พ่อแม่จะตาย หรือมีใครมาทำร้ายอีก เพราะสิ่งที่สื่อสารได้นั้นมีเพียงพี่ขุนคนเดียวเท่านั้น ทว่ายิ่งคุย...ก็ยิ่งค้นพบว่าเราไม่มีอะไรเข้ากันได้เลย
เข้ากันไม่ได้สักเรื่อง ไม่เว้นแม้แต่เรื่องภพภูมิที่ไม่เหมาะสมกันสักนิด แม้แต่เรื่องการกินลูกอมของดิฉัน ก็เป็นเรื่องที่ทำให้เขาไม่พอใจและทะเลาะกันได้ เวลาดิฉันกินลูกอมจะติดนิสัยอย่างหนึ่งคือชอบเอาลิ้นไปดุนแล้วพลิกลูกอมไปมาในปาก เขาคงจะรำคาญถึงได้บอกดิฉัน
‘จะอมก็อมดีๆ อย่าเล่น’
ดิฉันได้ยินเสียงนั้นชัดเจน ทว่าก็ไม่หยุด ให้เขาเตือนมาอีก
‘พี่บอกให้อมดีๆ ยังไม่หยุดอีก’
ไม่หยุดจริงๆ ค่ะ จนเขาต้องบังคับให้ดิฉันกลืนมันลงไป เพียงแต่ว่าการบังคับครั้งนี้ไม่ใช่การพูด แต่เป็นการที่เขาใช้อิทธิฤทธิ์ที่เขามีทำให้ลูกอมในปากของดิฉันมันไหลลงคอไป ดิฉันตกใจเป็นอย่างมาก รีบจับลำคอตัวเองพลันคิดในใจ
“ถ้ามันติดคอหนูจะทำยังไง”
‘พี่ไม่ทำให้หนูตายหรอก’ เขาว่า แล้วก็ดุส่งท้าย ‘ถ้าอมดีๆ ไม่ได้ก็ไม่ต้องอม’
และมีอีกหลายเรื่องที่ดิฉันจำไม่ได้เท่าไรว่าเรื่องอะไรบ้าง แต่มีเรื่องหนึ่งที่ดิฉันจำได้ฝังใจ นั่นก็คือตอนที่ดิฉันนั่งรถไปต่างจังหวัดกับพ่อแม่ แล้วจู่ๆ ก็เกือบจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น
ขอเล่ารายละเอียดก่อนสักนิดค่ะ ส่วนตัวแล้วดิฉันขับรถไม่เป็น โดยปกติจะเป็นพ่อที่ขับรถ ส่วนแม่กับดิฉันก็จะเป็นผู้โดยสาร ช่วงนั้นดิฉันมักชอบใช้เวลาตามลำพัง ทำให้เวลาขึ้นรถก็จะเอาหูฟังอุดหูเพื่อฟังเพลงตลอด และก็ชอบฟังเพลงเสียงดังๆ เสียด้วย ส่วนแนวเพลงที่ฟังก็จะเป็นเพลงร็อกหรือกึ่งเมทัลอะไรประมาณนั้น
อ่านมาถึงตรงนี้อาจจะคิดว่าแนวเพลงที่ฟังมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้
ต้องขอบอกก่อนว่าตัวพี่ขุนเองไม่ชอบเพลงแนวนี้เป็นอย่างมาก มีครั้งหนึ่งเขาได้ยินสิ่งที่ดิฉันฟังแล้วก็พูดขึ้นมา
‘เหมือนสัมภเวสีร้องขอส่วนบุญ’
ฟังดูเป็นเรื่องขำๆ ซึ่งตอนที่เขาพูดประโยคนี้มันก็น่าขำจริงๆ แต่มันขำไม่ออกกับเหตุการณ์ในครั้งนี้ เพราะเขาต้องการให้ดิฉันพูดคุยกับคนอื่นบ้าง ไม่ใช่เอาแต่ครุ่นคิดอะไรอยู่คนเดียวหรือหมกมุ่นคุยกับเขา
แน่นอนว่าดิฉันปฏิเสธคำสั่งนั้น รวมถึงไม่ยอมทำตามความประสงค์อีกอย่างของเขาด้วย
‘อย่าฟังดังขนาดนี้ เดี๋ยวหูแตก’
เหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์วันเดียวกับเหตุการณ์ลูกอม ด้วยความที่ยังขุ่นเคืองเขาที่เอาแต่บังคับสั่งสอนให้ดิฉันทำตามใจเขา ดิฉันเลยปฏิเสธเสียงของเขา ไม่พูดไม่จา ทำเมินเฉยอยู่หลายครั้งจนเขาต้องว่า
‘อย่าเมินพี่อย่างนี้ พี่รู้ว่าหนูได้ยิน’
ได้ยินจริงอย่างที่เขาว่า ทว่าก็ยังทำเฉยจนเขาบอกให้ลดเสียงเพลงอยู่หลายครั้ง กระทั่งเขาน่าจะทนไม่ไหวจนพูดเสียงดังออกมา
‘พี่บอกให้ลดเสียง!’
ฉับพลันรถที่พ่อดิฉันขับอยู่ก็เกือบจะเฉี่ยวชนกับรถอีกคัน ทำให้เกิดการหักหลบกะทันหัน เคราะห์ดีที่ไม่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้น มีแต่เสียงร้องตกใจกับเสียงก่นด่าตามประสาของคนขับรถเท่านั้น
“ขับรถยังไงวะ!”
พ่อสบถ ส่วนดิฉันใจเต้นแรงเป็นอย่างมาก ก่อนที่ความหวาดกลัวจะเริ่มพร่างพรายเข้ามาเมื่อประจักษ์ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคงจะเป็นฝีมือของพี่ขุน
‘อย่าท้าทายพี่’
เขาบอกแค่นั้น ดิฉันทั้งกลัวทั้งโกรธจนต้องเถียงเขาออกไป แต่ก็เป็นการเถียงที่อ้อมแอ้ม
“ทำไมพี่ต้องทำแบบนี้ด้วย”
‘ก็หนูไม่ฟัง’
“แล้วพ่อแม่หนูเกี่ยวอะไรด้วย พี่ถึงต้องดึงเข้ามายุ่ง!?”
“...”
“อย่าทำแบบนี้อีก ถ้าจะทำก็ทำหนูคนเดียว”
เขาไม่ตอบอะไรกลับมา ไม่แน่ใจนักว่าเขาคิดอะไรอยู่ มีแต่ความรู้สึกอึดอัด หวาดกลัว และขัดแย้งกัน เขาก็คงน่าจะรู้สึกผิดเหมือนกันที่ทั้งๆ ที่ตัวเองอยู่ในภูมิเทวดาแต่กลับทำตัวเหมือนผีร้ายอย่างนี้ เขาไม่ได้พูดหรอกค่ะ เป็นความรู้สึกในใจเขาที่ส่งผ่านมาให้ดิฉัน ซึ่งดิฉันก็เลือกที่จะเมินเฉยกับสิ่งนี้
หลังจากนั้นเราก็เริ่มมีปัญหากันมากขึ้น จนดิฉันเริ่มคิด...
เทวดากับมนุษย์...หรืออะไรก็แล้วแต่ที่เป็นสิ่งที่อยู่คนละภพภูมิ...เป็นอะไรที่ใช้ชีวิตร่วมกันไม่ได้เลยจริงๆ
Part 20
บอกตามตรงว่าในตอนนี้ดิฉันเริ่มแคลงใจในตัวเขาแล้วค่ะว่าเป็นเทวดาอย่างที่เขาบอกจริงๆ หรือ?
ดิฉันถามเขาหลายต่อหลายครั้ง เขาก็ยืนยันว่าเขาคือเทวดา แต่พอถามมากๆ เข้า เขาก็คงจะรำคาญ
‘ถ้าหนูคิดว่าพี่เป็นเทวดา พี่ก็เป็นเทวดา ถ้าคิดว่าพี่เป็นผี พี่ก็เป็นผี’
คำตอบกำกวมทำให้ดิฉันเริ่มไม่ค่อยไว้ใจเขาเท่าไรแล้ว ส่วนเขาก็ชอบพูดให้ได้ยินบ่อยๆ ว่าเขาเป็นคนโบราณ เขารับไม่ได้ที่ดิฉันซึ่งในอดีตชาติเป็นคนหัวอ่อนกลายมาเป็นคนที่ดื้อและไม่เชื่อฟังผู้หรับผู้ใหญ่เท่าไรเลยในชาตินี้ เขาจึงสั่งสอนดิฉันครั้งใหญ่อีกครั้งด้วยการทำแบบเดิม
ใช่ค่ะ ดิฉันหมายถึงการเปิดทางให้บรรดาเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายของดิฉันเข้ามาสัมผัสกับดิฉันได้
ในตอนนั้นดิฉันเริ่มเพ้อด้วยความหวาดกลัวอีกครั้ง ในส่วนนี้ขอสารภาพตามตรงเลยว่าจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างเพราะสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย ขวัญเสียเป็นอย่างมาก มีเสียงผู้คนมากมายในหัว บ้างก็บอกว่าเป็นเทพองค์นั้นองค์นี้ บ้างก็บอกว่าเป็นคนมีญาณที่มีชื่อเสียงที่มาสื่อกับดิฉันผ่านเทพบางองค์ บ้างก็เป็นเสียงของคนที่ดิฉันไม่ทราบว่าเป็นใคร ที่แน่ๆ ไม่มีเสียงของพี่ขุนเลยแม้แต่นิดเดียว
ดิฉันเริ่มทนกับอาการของตัวเองไม่ได้ ขอร้องพ่อแม่ให้พาไปโรงพยาบาลหน่อยเพราะเริ่มกลับมาคิดว่าตัวเองป่วยทางจิตอีกแล้ว วันนั้นเราสามคนพ่อแม่ลูกจึงพากันไปโรงพยาบาลตั้งแต่เช้ามืด ก่อนไปโรงพยาบาล ดิฉันถูกใครสักคนสั่งให้อย่าใส่คอนแทคเลนส์ไป (ดิฉันเป็นคนสายตาสั้นค่ะ เลยต้องใส่คอนแทคเลนส์) โดยให้เหตุผลมาว่าเดี๋ยวดิฉันจะได้เห็นอะไรที่ไม่สมควรเห็น
ระหว่างที่อยู่โรงพยาบาล เกิดอะไรขึ้นบ้างนั้น ก็จำไม่ค่อยได้เหมือนกันค่ะ รู้แต่ว่าแม่เป็นคนพาไปติดต่อแผนกต่างๆ จนกระทั่งเสร็จสิ้น ก่อนจะจบลงด้วยการที่ดิฉันถูกฉีดยาตัวหนึ่งที่ทำให้สงบ เพราะเวลานั้น ยานอนหลับก็เอาดิฉันไม่อยู่แล้ว รวมถึงดิฉันก็ได้เห็นในสิ่งที่ไม่สมควรเห็น
สิ่งที่ว่านั้นถ้าจะเรียกว่าผีก็ใช่ จะเรียกว่าวิญญาณก็อาจจะใช่ ดิฉันหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าในตอนนั้นเห็นจริงหรือไม่ แต่ตอนที่เห็น มันรู้สึกว่าคนคนนี้ไม่ใช่มนุษย์ สีผิวสีเนื้อจะดูซีดเซียวกว่าคนปกติ มันไม่ใช่ความซีดขาวอะไรอย่างนั้น ออกไปในลักษณะซีดเทาๆ บอกไม่ถูกเหมือนกันค่ะ และดิฉันก็ไม่คิดจะหาคำตอบในส่วนนี้ด้วย ไม่ต้องการรับรู้
พอกลับมาบ้าน ดิฉันก็มีอาการอ่อนล้าเป็นอย่างมาก พยายามที่จะนอน ทว่าก็ถูกรบกวนจนนอนไม่ได้ มีเสียงหนึ่งที่ทำให้ดิฉันต้องฝืนไม่ยอมหลับเพราะเสียงนั้นบอกว่า
‘ถ้าไม่ทิ้งทองกับพระที่ใส่คออยู่ลงชักโครก พ่อแม่จะเอามีดมาแทงกันนะ’
เล่าย้อนกลับมาตรงนี้อีกหน่อยนะคะ เพราะดิฉันกลัวว่าพี่ขุนจะเป็นผี เป็นวิญญาณร้ายหรือเจ้ากรรมนายเวรฝั่งร้ายที่มาปองร้ายดิฉัน เขาก็เลยให้ดิฉันสวมสร้อยห้อยพระประจำวันเกิดเอาไว้ด้วยเหตุผลว่า
‘ถ้าพี่เป็นผีจริงๆ หนูสวมพระเอาไว้ อย่างน้อยพี่ก็ไม่กล้าแตะตัวหนูหรือทำอันตรายให้หนูอีก’
นี่เป็นเหตุการณ์หลังจากที่เขามาขอโทษดิฉันในเรื่องใช้อิทธิฤทธิ์ในทางที่ผิดแล้วค่ะ
ย้อนกลับมาที่เหตุการณ์ปัจจุบันที่เล่าอยู่ พอได้ยินอย่างนั้น ดิฉันก็ไม่รอช้า รีบถอดสร้อยออกทิ้งลงชักโครกแล้วกดน้ำ โดยไม่สนใจว่าทองเส้นนั้นจะราคาเท่าไรเลยแม้แต่น้อย เพราะถ้าสิ่งที่ดิฉันได้ยินเป็นจริง ดิฉันยินดีที่จะทิ้งทุกอย่างเพื่อรักษาชีวิตพ่อแม่ ซึ่งในขณะนั้นพ่อแม่ดิฉันก็ดูค่อนข้างเครียดและเหนื่อยล้าเพราะดิฉันไม่ได้สติเสียที
Part 21
หลวงลุงถูกนิมนต์มาที่บ้านอีกครั้งจากการร้องขอของดิฉัน ด้วยดิฉันเกรงว่าสิ่งที่ได้ยินนั้นจะเป็นเรื่องจริง หากแต่พอหลวงลุงมา ทุกอย่างก็ค่อยๆ เงียบไปจนไม่ได้ยินอะไรอีก ส่วนหลวงลุงก็บอกด้วยความสบายใจ
“ไม่มีอะไรหรอก แค่เทพของเรายังไม่นิ่ง เราเองก็บุญไม่ถึงเขาด้วย หลวงลุงคุยกับเขาแล้ว อาจต้องใช้เวลาปรับตัวกันสักนิด”
บอกตามตรงว่าดิฉันไม่เข้าใจสิ่งที่หลวงลุงบอกหรอก ไม่รู้ด้วยว่าเขาคุยอะไรกัน แต่หลังจากเหตุการณ์วันนั้น ดิฉันก็เริ่มกลับมาสื่อสารกับพี่ขุนอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่ใช่ฝ่ายดิฉันที่เริ่มก่อน อันที่จริงดิฉันคิดจะตัดใจจากเขาแล้วด้วยซ้ำ เพราะคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมาตลอดระยะเวลาเกือบหนึ่งปีนี้มันไม่โอเคเลย นอกจากดิฉันจะทำงานทำการอย่างเดิมไม่ได้แล้ว ยังจะทำให้ครอบครัวต้องเป็นกังวลอีกด้วย
หากทว่าในขณะที่ดิฉันหลับไปด้วยฤทธิ์ยา เขาก็มาเข้าฝันโดยการบอกผ่านกับบุคคลหนึ่งในความฝันว่า ‘ชีวิตของเธอจะไม่เหงาหรอก เพราะเธอมีคนคนนี้’
บุคคลนั้นเป็นใคร ดิฉันขอไม่พูดถึง ขอบอกเอาไว้แต่เพียงว่าเป็นการสร้างภาพนิมิตของพี่ขุนที่ดึงบุคคลที่สามเข้ามาเกี่ยวด้วยเขาคิดว่าหากคุยกับดิฉันผ่านบุคคลนี้ ดิฉันอาจจะหายหวาดกลัวเขาแล้วเบาใจขึ้นมาได้บ้าง
แล้วก็น่าแปลกค่ะ ทั้งๆ ที่ตั้งใจว่าจะตัดใจจากเขาแล้ว แต่เมื่อเห็นเขาในความฝัน ดิฉันก็น้ำตาซึมออกมาด้วยความดีใจว่าเขายังไม่ได้ไปไหน ซึ่งตอนนั้นเอง เขาก็ได้ขอโทษ
‘พี่ขอโทษในสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด พี่สัญญาว่าจะไม่ทำร้ายหนูอีกแล้ว จะรักและดูแลหนูตามอย่างสัญญาที่เคยให้ไว้’
เขาก็ผิดสัญญาที่เคยให้ไว้กับดิฉันเหมือนกันค่ะ ผิดเพราะเขาไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ หลังจากวันนั้น เขาก็มาสื่อสารกับดิฉันน้อยลง จะมาวันละนิดวันละหน่อย ซึ่งนั่นทำให้อาการของดิฉันฟื้นตัวได้เร็วกว่าในครั้งแรกอยู่โข ช่วงนี้เองที่สัมผัสได้ว่าเขายอมถอยสุดลิ่มทิ่มประตู ดิฉันสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนจากเขาได้มากขึ้น ไม่วางอำนาจบาตรใหญ่เหมือนก่อนหน้านี้แล้ว
‘ถ้าหนูหายกลัวแล้ว ไปที่วัดหน่อยนะ พี่อยากจะไปไหว้พระกับหนู’
เขาบอกดิฉันในวันหนึ่ง ดิฉันไม่ได้รับปาก แต่ก็ตั้งใจว่าถ้ารู้สึกว่าตัวเองกลับมาเป็นปกติแล้ว ก็จะไปไหว้พระกับเขาอย่างที่เขาต้องการ ซึ่งวัดนั้นก็คือวัดพนัญเชิง วัดที่เขาเคยพาดิฉันไปสาบานเอาไว้เมื่อชาติที่แล้ว
แต่เชื่อไหมคะ การไปวัดนั้นมันไม่ได้ทำให้ดิฉันรู้สึกดีสักนิด เนื่องจากครั้งสุดท้ายที่มาวัดนี้ ดิฉันเจอเข้ากับประสบการณ์ไม่น่าประทับใจ ลงจากรถมา ใจก็หวั่นๆ ว่าครั้งนี้จะเกิดอะไรที่ไม่คาดฝันขึ้นไหม
ตอนที่จุดธูปแล้วไหว้พระประธานข้างหน้าวัดในจุดที่จัดเตรียมไว้ให้ ดิฉันก็รู้สึกได้ถึงความอึดอัดบางอย่างที่ถาโถมเข้ามาจนมึนหัวนิดๆ
‘ไม่เป็นไร ไม่ต้องกลัว พี่ไม่ทำอะไร’
เขาคอยบอกดิฉันตลอดเวลาจนกระทั่งดิฉันเข้ามาด้านในและก้มกราบหลวงพ่อโตข้างในนั้น วินาทีนี้ก็เกิดสิ่งไม่คาดฝันขึ้นจริงๆ ค่ะ
เขาสาบาน...
เป็นการสาบานที่เกิดขึ้นในชาตินี้...
‘ข้าพเจ้า...อริญชย์เพียงสวัสดิ์ ขอให้สัตย์สาบานว่าไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหน ก็จะดูแลนางสืบต่อไป ไม่มีวันที่จะทำร้ายอย่างที่เคยผ่านมาอีก ขอให้หลวงพ่อและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวง ณ ที่แห่งนี้ช่วยเป็นพยาน…’
จะหันมองหน้าใครก็ไม่ได้เพราะสิ่งที่ได้ยินมีเพียงดิฉันคนเดียวที่รับรู้ ได้แต่นั่งนิ่งพนมมืออยู่อย่างนั้นจนเขาถาม
‘สบายใจแล้วหรือยัง?’
สบายใจค่ะ...สบายใจมากอย่างน่าประหลาด
ยิ่งประหลาดมากขึ้นไปอีกว่าตอนที่ดิฉันกลับมาถึงบ้านและเข้าห้องน้ำจะทำความสะอาดร่างกาย จู่ๆ สายตาก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างในคอห่าน ซึ่งนั่นก็คือสร้อยคอของดิฉันที่เคยทิ้งชักโครกแล้วกดลงไป ไม่ทราบว่ามันมาได้อย่างไรเหมือนกัน หรือบางทีดิฉันจะเบลอ เพ้อไปเองที่จู่ๆ ก็มาเจอสร้อยคอในคอห่านทั้งๆ ที่กดทิ้งชักโครกไปหลายวันแล้ว
‘เรื่องวันนั้น พี่ขอโทษ พี่เอาสร้อยของหนูมาคืนแล้วนะ อย่าโกรธพี่เลย’
เป็นฝีมือของพี่ขุนนั่นแหละค่ะ เรื่องนี้ดิฉันหาคำอธิบายให้กับตัวเองไม่ได้ มีแต่ความเชื่อที่ค่อยๆ เพิ่มพูนขึ้นมาว่าพี่ขุนนั้น...คงจะเป็นของจริงอย่างที่เขาพูดแล้ว
Part 22
มาถึงตอนนี้ก็ไม่มีเรื่องอะไรที่น่าหวาดกลัวเกิดขึ้นแล้วค่ะ จะมีก็แต่ภาวการณ์ยอมรับในการมีตัวตนของพี่ขุนอยู่เท่านั้น ดิฉันคิดว่าหากเขาจะเป็นอาการทางจิตเวชของดิฉัน ก็ให้มันเป็นไป เพราะดูจากท่าทางแล้ว ต่อให้รักษาอย่างจริงจังแค่ไหน เสียงนี้ก็คงจะไม่หายไปจากหัวได้ง่ายๆ แน่นอน (ซึ่งดิฉันก็ปรึกษากับคุณหมอในเรื่องนี้ในการรักษาอย่างจริงจังนะคะ เอาทุกทางเลยไม่ว่าจะทางวิทยาศาสตร์หรือความเชื่อทางศาสนา) และถ้าหากเขาเป็นคนที่มาจากคนละภพภูมิ ดิฉันก็ยินดีให้เขาอยู่ใกล้ๆ ให้ได้สร้างกรรมใหม่เพื่อผูกพันเราเข้าไว้ด้วยกัน
กรรมที่หมายถึง คือกรรมดีนะคะ ดิฉันเชื่อว่าเขาจะสั่งสอนดิฉันแต่สิ่งดีๆ ซึ่งหลังจากที่ดิฉันฟื้นคืนสติได้เป็นต้นมา เขาก็ค่อยๆ ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือดิฉันทีละเล็กละน้อย อันดับแรกคือการทำให้ดิฉันกลับมาทำงานได้อีกครั้ง
อย่างที่เผยกันไปนิดๆ ในกระทู้ที่แล้วว่าดิฉันเป็นนักเขียน สิ่งแรกที่เขาช่วยก็คือการเขียนนิยายที่มีเรื่องราวอ้างอิงเกี่ยวกับเขา
การเขียนนิยายเรื่องนี้เป็นการเดินทางที่ยาวนานมากค่ะ แต่ก็เป็นเรื่องที่ทำให้ดิฉันได้รับโอกาสใหม่ๆ ในสายงานตัวเองอย่างไม่คาดฝันเอาไว้ ทำให้ดิฉันต้องค่อยๆ ปรับอุปนิสัยตัวเองให้เข้ากับเขาได้ ไม่ว่าจะเรื่องการปฏิบัติตนกับผู้หรับผู้ใหญ่หรือกับเขา ทุกอย่างดูจะนุ่มนวลขึ้นกว่าเดิม ในขณะเดียวกัน พี่ขุนเองคอยพยุงอารมณ์ อุปนิสัย รวมถึงการพูดจาให้อ่อนนุ่มมากขึ้นด้วย
เรียกว่าเป็นการที่ต่างคนต่างปรับเข้าหากันค่ะ เพราะดูแล้ว เราคงจะหนีกันไม่พ้นในชาตินี้ ด้วยหลังจากเกิดเหตุการณ์นี้ ก็มีหลายคนที่บอกกับดิฉันว่าให้ตัดกรรมกับเขา
‘พี่ไม่ตัด ต่อให้หนูตัด ก็จะเป็นฝ่ายหนูเท่านั้นที่ตัด พี่จะไม่ไปไหน จะอยู่อย่างนี้ ดูแลหนูไปทุกภพทุกชาติไม่ว่าจะเป็นอะไร พี่จะทำตามคำสัญญาที่พี่ได้ให้ไว้’
เขายืนกราน ทำให้ดิฉันรู้ว่าความตั้งใจของคนสมัยก่อนช่างแน่วแน่เหลือเกิน ยิ่งเขาเป็นชายชาตินักรบด้วยแล้ว ความหนักแน่นของเขาก็ยิ่งมีมาก
‘ให้พี่ได้อยู่กับหนูเถอะนะ จนกว่าหนูจะหมดอายุขัยในชาตินี้ ขอให้พี่ได้อยู่กับหนู...’
แล้วดิฉันจะทำอย่างไรได้ ในเมื่อตัวเขาเองไม่อยากไป ตัวดิฉันก็ไม่ได้อยากให้เขาไป เพียงแต่มีความกังวลว่าการอยู่ด้วยกันของคนต่างภพอย่างนี้มันจะไม่ถูกต้อง แล้วมันจะทำให้เขาต้องรับเคราะห์กรรมอะไรที่ดิฉันไม่ทราบมากกว่าเดิมเพราะเขาเป็นคนเริ่มเรื่องนี้
แต่คำของใครหลายๆ คนที่สามารถสัมผัสกับพี่ขุนได้ก็ทำให้ดิฉันฉุกคิด
“เขามาอยู่ด้วยแรงคิดถึงคะนึงหา คนที่รักเรามากขนาดนี้ น้องลองคิดดูว่าเขาจะทำร้ายเราเหรอ”
“เขาก็ไม่ได้อยากไปไหนนะ อยากอยู่ดูแล คอยช่วยเหลือให้ชีวิตของเธอดีขึ้น”
“คนที่รักกันน่ะค่ะพี่ ถ้ารักกันแล้วพากันไปในทางที่ดี มีแต่จะสร้างความดีเพิ่ม จะภพจะภูมิไหนมันก็ไม่สำคัญหรอก หนูว่ามันเป็นเรื่องที่ดีนะคะ”
“เขาไม่อยากไปไหนก็ให้เขาอยู่ด้วยเถอะโยม สงสารเขา ถ้าเขาช่วยเหลือเรา ก็ให้เขาอยู่ต่อไปนั่นแหละ ไม่ต้องไปตัดกรรมอะไรหรอก”
“ถ้าตั้งใจจะให้เทพของเราถือครองเก้าอี้แล้ว หนูก็ต้องหมั่นทำบุญอุทิศให้เขานะ เขาจะได้มีกำลัง”
ส่วนหลังจากนั้น จากที่เคยไม่ศรัทธาในศาสนา ดิฉันก็เริ่มกลับมาทำบุญทำทานอีกครั้ง และทุกครั้งก็มักจะนึกถึงพี่ขุน มันไม่ใช่การทำบุญที่ดิฉันเป็นฝ่ายอุทิศให้ แต่เป็นการทำบุญที่ดิฉันชวนให้เขาทำด้วย
ทำร่วมกัน...เผื่อกุศลผลบุญจะได้มาบรรจบกันอีกในชาติอื่นๆ
แต่ถึงจะไม่ได้พบกันในชาติอื่นๆ ชาตินี้ก็ถือว่าพี่ขุนได้ทำในสิ่งที่เขาปรารถนาแล้ว
‘พี่ขอสมรักสักชาติ’
เขาเคยบอกเอาไว้ ดิฉันก็ได้แต่หวังว่าการที่เขาได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของดิฉัน ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม เขาจะมีความสุขและไม่ใช่การตัดสินใจที่ผิดพลาด ส่วนตัวดิฉันในวันที่สติสัมปชัญญะครบถ้วนจนมานั่งเขียนเรื่องราวเรื่องนี้ได้นั้น ดิฉันก็คิดว่าตัวเองตัดสินใจไม่ผิดเลยที่มาผูกพันกับเขาอีกครั้ง เพราะเขาทำให้ดิฉันมีความสุขในทุกๆ วันที่ยังหายใจอยู่ ไม่เว้นแม้แต่วันนี้...
วันที่ดิฉันได้บอกเล่าเรื่องราวนี้กระทั่งจบลง แต่มันก็จะจบลงในส่วนของการเล่าเท่านั้น ส่วนความผูกพันของดิฉันและพี่ขุนจะจบลงวันไหน ดิฉันก็ไม่อาจรู้ได้ ดิฉันอาจจะไม่ได้กล้าหาญพอที่จะสัญญาสาบานเหมือนเขาว่าจะรักและขอพบเจอกับเขาไปทุกภพทุกชาติ ได้แต่ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตาม ‘แรงกรรม’ ที่ดิฉันและเขาได้มีร่วมกัน
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมีเหตุมีผลเสมอ และอย่างที่บอก...แรงใดเสมอเหมือนซึ่งแรงกรรมนั้นไม่มี
ขอบคุณที่เขาเฝ้ารอไม่ไปไหน
ขอบคุณความรักมากมายที่มีให้ไม่ว่าดิฉันจะอยู่ในชาติภพไหน
และขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้
ขอให้บุญรักษา เทวดาคุ้มครอง มีความสุขในทุกๆ วันค่ะ
ถึงตรงนี้ ดิฉันขอเสริมเล็กๆ น้อยๆ ค่ะ เผื่อมีท่านใดที่มีข้อสงสัย
- ปัจจุบันนี้ ดิฉันกับพี่ขุนก็ยังอยู่ร่วมกันค่ะ เป็นไปในลักษณะถ้อยทีถ้อยอาศัยตามประสาคนรัก เรื่องทะเลาะอะไรกันไม่ค่อยมีแล้ว อาจจะมีขัดใจกันบ้าง แต่ก็ไม่ได้รุนแรงเหมือนที่เคยเป็นมา ซึ่งตอนนี้ครอบครัวของดิฉันก็รับรู้ถึงการมีอยู่ของพี่ขุนเป็นอย่างดี เป็นเรื่องยากจะอธิบายให้คนในครอบครัวเข้าใจเหมือนกันค่ะ กระทั่งคนในครอบครัวประสบกับเหตุการณ์ ‘ช่วยเหลือ’ ของพี่ขุนในรูปแบบต่างๆ จึงเริ่มเชื่อกันว่าเขามีตัวตนอยู่จริงๆ
- ดิฉันไม่สามารถดูกรรมหรือเจ้ากรรมนายเวรของใครได้นะคะ เนื่องจากว่าสามารถสื่อสารได้แต่กับพี่ขุนได้เพียงคนเดียว (เอาจริงๆ คือดิฉันกลัวที่จะต้องไปสื่อกับคนอื่นต่างภพภูมิที่ไม่ใช่พี่ขุนด้วยค่ะ เลยไม่สามารถทำได้) อาจจะให้คำปรึกษาได้บ้าง แต่ถ้าแบบแนะนำเป็นกิจจะลักษณะเลย อาจจะต้องปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านนี้จริงๆ พอดีมีหลังไมค์มากันหลายคน ต้องขออภัยด้วยนะคะที่ช่วยอะไรไม่ได้ ;w;
- ที่ดิฉันเขียนเรื่องราวนี้ลงกระทู้ จริงๆ แล้วตั้งใจว่าจะไม่เปิดเผยตัวตนเพราะอยากจะรักษาความเป็นส่วนตัว แต่ก็น่าจะมีคนรู้บ้างแล้วว่าดิฉันเป็นใคร ก็เลยฝากผลงานไว้กลายๆ ในท้ายกระทู้ที่แล้ว ก็ขอฝากผลงานที่อ้างอิงเกี่ยวกับเรื่องของพี่ขุนไว้ในสปอยล์เลยนะคะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
- สำหรับเรื่องราวนี้จะถูกปรับแต่งและเขียนเป็นนิยายขนาดสั้นเช่นกันค่ะ เนื้อหาอาจจะมีการปรับปรุงในส่วนของการพรรณนาโวหารบ้าง แต่หลักๆ ประเด็นที่ต้องการกล่าวถึงก็คงเดิม จะใช้ชื่อเรื่องว่า บ่วงบุพกรรม นะคะ เผื่อใครอยากตามต่อในแพทฟอร์มอื่น
- สำหรับผู้ที่ติดตามกระทู้เรื่องพี่ขุนมาตั้งแต่ต้น ดิฉันมีรูปมีขุนจะให้ดูค่ะ จะซ่อนไว้ในสปอยล์นะคะ ไม่ต้องทำใจก่อนดู ไม่มีอะไรน่ากลัวค่ะ ^^
เรื่องจากพันทิป [หนูผีมีเรื่องเล่า]เมื่อแรงกรรมส่งข้าพเจ้ากลับมา...และ (ว่าที่) สามีในอดีตชาติยังติดบ่วงสัญญาดังเดิม...
เรื่องโดย สมาชิกพันทิป หนูผีตัวน้อย
ขอขอบคุณเรื่องราวสยองและขออนุญาตนำมาเผยแพร่ ณ ที่นี้ด้วย
Part 15
สวัสดีค่ะ หนูผีกลับมาอีกแล้ว ยังคงเป็นเรื่องเล่าของดิฉันกับพี่ขุน (ว่าที่) สามีในอดีตชาติที่รอข้ามภพข้ามชาติเพื่อที่จะมาครองรักกันตามคำมั่นสัญญาในชาตินี้
ตอนแรกคิดว่าจะเล่าให้จบในกระทู้เดียว แต่เห็นว่ากระทู้เริ่มตกแล้ว ก็เลยตั้งกระทู้ใหม่เพื่อมาเล่าต่อเป็นภาค 2 ค่ะ
ท่านใดที่ยังไม่เคยอ่านเรื่องราวก่อนหน้า สามารถติดตามได้ที่กระทู้นี้ >> [หนูผีมีเรื่องเล่า]เมื่อแรงกรรมส่งข้าพเจ้ากลับมา...และ (ว่าที่) สามีในอดีตชาติยังติดบ่วงสัญญาดังเดิม... https://pantip.com/topic/39768624
ส่วนท่านที่ติดตามกันมาอยู่แล้ว เชิญอ่านต่อกันได้เลยค่ะ
อย่างที่ดิฉันได้บอกตบท้ายไปในกระทู้ที่แล้วว่าหลังจากที่พี่ขุนได้ถือครอง ‘เก้าอี้’ ของดิฉัน กอปรกับดิฉันคิดว่าตัวเองป่วยเป็นโรคทางจิตเภทจนไม่สามารถใช้ชีวิตได้เป็นปกติด้วย ก็ทำให้เสียงและการสื่อสารสัมผัสต่างๆ ระหว่างดิฉันกับพี่ขุนค่อยๆ หายไปทีละน้อย จนกระทั่งหายไปชนิดที่ว่าไม่ได้ยินเสียงใดๆ ในหัวอีกแล้ว ทำให้ระยะนี้ดิฉันคิดว่าคงเป็นเพราะการทานยาทางจิตเวชแน่ๆ อาการหูแว่ว ประสาทหลอนถึงได้หายไป
พอไม่มีเสียงอะไรหรือใครมารบกวนแล้ว ดิฉันก็ค่อยๆ พยายามพยุงตัวเองให้กลับไปใช้ชีวิตได้อย่างเดิม การกระทำนี้ก็ต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากเพราะดิฉันไม่ปกติเอาเสียเลย ยังคงคิดอยากตาย ไม่อยากตื่นมาใช้ชีวิตอยู่เรื่อยๆ
คราวนี้ดิฉันไม่ต้องไปสู้รบปรบมือกับผีหรือวิญญาณที่ไหนแล้วค่ะ สู้กับความรู้สึกของตัวเองนี่แหละ
ผ่านไปหลายเดือนเข้า ก้าวย่างเข้าสู่เดือนที่สี่ อาการของดิฉันก็เริ่มดีขึ้น เริ่มกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้ กระนั้นก็ยังทำงานเต็มที่ยังไม่ได้เพราะยังคงมีอาการอ่อนล้า ไม่อยากจะทำอะไรอยู่ แต่ช่วงนี้ดิฉันก็กลับมานอนคนเดียวได้แล้ว ระหว่างนี้ดิฉันใช้เวลาในการดูอะไรต่อมิอะไรทางอินเทอร์เน็ตเป็นการฆ่าเวลาแก้เครียดค่อนข้างบ่อยจนกลายเป็นกิจวัตรประจำวันหลักๆ ไปแล้ว
เหมือนจะลืมพี่ขุนไปได้แล้วใช่ไหมคะ?
ยังค่ะ ยังลืมไม่ได้
ในระหว่างที่ดิฉันพยายามพยุงอาการของตัวเอง หลวงลุงก็ยังคงยืนกรานด้วยความมั่นใจว่าพี่ขุนนั้นมีตัวตนจริงๆ และเป็น ‘เทวดา’ ของดิฉันที่มีความสัมพันธ์เป็นเจ้ากรรมนายเวร
ย้อนกลับไปสักเล็กน้อยว่าตอนที่ดิฉันได้ยินคำว่าเจ้ากรรมนายเวรเป็นครั้งแรก ดิฉันกลัวมากด้วยรู้สึกว่าคำคำนี้มันเป็นคำในเชิงลบ แต่ก็ได้พี่ขุนสั่งสอน
‘เจ้ากรรมนายเวรที่หวังดีก็มี เช่นพ่อแม่หรือญาติพี่น้องของเรา เมื่อหมดอายุขัยไปแล้ว ได้ไปอยู่ในภพภูมิที่ดีกว่า แต่ถ้าจิตยังห่วงหา ก็อดอาลัยอาวรณ์จนต้องกลับมาคอยช่วยเหลือคนที่ยังอยู่ในภพภูมิต่ำกว่าไม่ได้ ส่วนจะช่วยได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่ที่บุญกรรมสัมพันธ์กัน ไม่ใช่ว่าจะช่วยได้หมดทุกเรื่อง’
ดิฉันถึงได้รู้ว่าเจ้ากรรมนายเวรประเภทนี้จะเรียกว่า ‘เจ้าคุณนายคุณ’
อย่างไรก็ตาม เวลาผ่านไปสามสี่เดือนแล้ว ดิฉันก็ยังลืมพี่ขุนไม่ได้ สาเหตุที่ลืมไม่ได้ก็คือ...
หนึ่ง...ความสงสัยว่าตกลงแล้วเขามีจริงหรือไม่?
และสอง...ความรัก ความโหยหาที่ยังมีต่อเขา ทำให้ดิฉันพยายามที่จะสื่อกับเขาอีกครั้ง
ดิฉันเฝ้าพร่ำคิด (คุย) ในใจคนเดียว หวังว่าสักวันจะได้ยินเสียงพี่ขุนอย่างที่เคยได้ยิน แต่ก็ไม่เคยมีเสียงอะไรตอบกลับมาเลย กระทั่งดิฉันถอดใจและคิดจริงๆ แล้วว่า...พี่ขุนไม่ใช่เรื่องจริงอย่างที่หลวงลุงพูดได้เสียแล้ว
ตอนนี้ดิฉันเริ่มตัดใจค่ะ ตัดใจจากอะไรก็ไม่รู้ ไม่มีตัวตน มองไม่เห็น ไม่สามารถติดต่อสื่อสารพูดคุยได้
ผ่านมาหลายวันก็เริ่มนิ่ง อันที่จริงใจก็ยังคิดถึงพี่ขุนอยู่นั่นล่ะ มีโอกาสไปทำบุญทำอะไรก็อุทิศให้เขาทุกครั้ง กระทั่ง...
“หยุดสงกรานต์นี้จะไปทำบุญใหญ่ให้ยายนะ ไปทำที่บ้านหลวงลุง”เว็บเเทงบอลออนไลน์
แม่พูดถึงการทำบุญใหญ่ให้วันตายของยายที่หมุนเวียนมาบรรจบอีกปี ส่วนสถานที่ก็เป็นบ้านของหลวงลุงที่นครสวรรค์ ต้องขออธิบายไว้นิดหนึ่งค่ะว่าบ้านของหลวงลุงนั้นจะมีแค่ป้าสะใภ้กับลูกพี่ลูกน้องอยู่ ขณะที่หลวงลุงจะอยู่ที่วัด แต่วัดที่หลวงลุงอยู่นั้นก็ห่างจากบ้านแค่ไม่กี่ร้อยเมตร เดินไปมาหาสู่กันได้ตามประสาวิถีคนชนบท
พวกเรานิมนต์พระมาเลี้ยงเพลตามความประสงค์ของผู้ใหญ่ ดิฉันเป็นแค่ผู้เข้าร่วมงานบุญในครั้งนี้เท่านั้น ขณะที่ทำบุญ ดิฉันก็ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวตลอดเวลา เอาแต่พะวักพะวนคิดถึงพี่ขุน ใจมีคำถามอยากจะถามหลวงลุงมากมายโดยเฉพาะคำถามที่ว่า ‘พี่ขุนเป็นของจริงไหม’ เพราะในเวลานี้ เขาได้หายไปจากชีวิตดิฉันระยะหนึ่งแล้ว
สุดท้ายดิฉันก็ตัดใจไม่ถาม เพราะถ้าหากว่าเรื่องที่ดิฉันเผชิญที่ผ่านมาเป็นเรื่องของความเจ็บป่วยทางจิต ดิฉันก็ขอที่จะยุติเรื่องราวนี้ไว้เท่านี้จะดีกว่า ทว่าระหว่างที่เรากรวดน้ำให้ยายกันนั้น ดิฉันก็ไพล่คิดไปถึงพี่ขุน แล้วก็อธิษฐานในใจ
‘ถ้าหากพี่มีจริง ก็ขอให้พี่ได้รับส่วนบุญส่วนกุศลจากการทำบุญของหนูในครั้งนี้ด้วย...’
เขาจะได้รับไหม ดิฉันไม่ทราบ รู้แต่ว่าหลังจากที่พวกเราทำบุญกันเสร็จแล้ว พ่อและแม่ของดิฉันจะเดินทางไปที่พิษณุโลก ต่อ เพื่อเยี่ยมเยือนน้องสาวของดิฉันตามปกติ ครั้งนี้ดิฉันก็ไปด้วย หากทว่าระหว่างที่นั่งรถไปนั้น ดิฉันก็คิดทบทวนถึงเรื่องราวในวันนี้ รวมถึงคิดถึงพี่ขุนขึ้นมา จึงได้คิดในใจไปลอยๆ ว่า ‘หนูคิดถึงพี่นะ’
เพียงไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น เสียงที่ดิฉันไม่คิดว่าจะได้ยินอีกแล้วในชาตินี้ก็ดังขึ้น
‘หนูได้ยินพี่ไหม’
ดิฉันทั้งตกใจ ทั้งดีใจในคราวเดียว ถึงกับกระเด้งตัวขึ้นนั่งหลังตรง พอเริ่มเก็บอาการได้ก็รีบถามเขากลับ
“พี่เหรอ”
‘ใช่ พี่เอง’
“ทำไมจู่ๆ หนูถึงได้ยินเสียงพี่ล่ะ”
‘ก็หนูคิดถึงพี่ไม่ใช่เหรอ’ เขาถาม
ดิฉันไม่มีคำตอบหรือคำถามอะไรกลับ ได้แต่นั่งฟังเขาด้วยความดีใจที่พร่างพรายเข้ามาเท่านั้น
‘พี่...ก็คิดถึงหนูเหมือนกัน’
ดิฉันคิดถึงเขามาก...เป็นสิ่งเดียวที่รับรู้ได้ในเวลานี้ค่ะ
Part 16
การกลับมาของเขาทำให้ดิฉันสับสนกับตัวเองอีกครั้ง หากแต่ในครั้งนี้ ดิฉันมีสติมากกว่าครั้งก่อน พอตั้งหลักได้แล้วว่าเสียงนั้นเป็นเสียงของพี่ขุนแน่แท้ ดิฉันก็ได้ถามเขา
“แล้วก่อนหน้านี้ พี่หายไปไหนมา”
‘พี่ไม่ได้หายไปไหน’
“งั้นทำไมหนูถึงไม่ได้ยินเสียงของพี่ล่ะ”
‘เพราะพี่คิดว่าการที่ชีวิตหนูไม่มีพี่อยู่น่าจะดีกว่า พี่เลยเงียบไป ไม่คุยกับหนู’
“...”
‘แต่พี่ไม่เคยหายไปไหนเลยนะ’
“...”
‘อยู่ข้างหนูตลอดเวลา...’
เขาบอกด้วยน้ำเสียงระคนเศร้า ดิฉันถามเพิ่มเติมอีกจนได้ความว่าแท้ที่จริงแล้ว อาการได้ยินเสียงในหัวของดิฉันที่หายไปนั้น หากไม่ได้อ้างอิงตามหลักวิทยาศาสตร์ ก็ไม่ใช่เพราะว่าดิฉันทานยารักษาอาการทางจิตเวชแล้วอาการมันหายไป แต่เป็นเพราะพี่ขุนซึ่งอยู่กับดิฉันตลอดเวลานั้นเลือกที่จะเงียบ ไม่พูดอะไรออกมา เฝ้าดูดิฉันใช้ชีวิตในฐานะมนุษย์โดยที่เขาตั้งใจว่าจะไม่ติดต่อสื่อสารใดๆ กับดิฉันอีกแล้ว
เขาบอกกับดิฉันว่าถ้าดิฉันต้องเป็นอย่างที่ผ่านมา เขาสู้เฝ้ามองอยู่เงียบๆ คอยดูแลดิฉันโดยที่ดิฉันไม่รู้จะดีกว่า แต่เพราะดิฉันไปบอกว่าคิดถึงเขา ซึ่งครั้งนั้นก็ไม่ใช่ครั้งแรกด้วย ดิฉันเฝ้าบอกเขาอยู่หลายต่อหลายครั้ง ทำให้ครั้งนี้เขาทนไม่ไหว ต้องพูดคุยกับดิฉันอีกครั้งจนได้
‘พี่ก็คิดถึงหนูมาก...คิดถึงเสมอ...’
‘อยากดูแล อยากอยู่ใกล้ๆ ไม่ว่าหนูจะเป็นอะไร ไม่ว่าเราจะอยู่คนละภพละภูมิอย่างไหน พี่ก็จะดูแลหนูเฉกเช่นที่พี่เคยสัญญาสาบาน...’
เพราะเหตุนี้เองที่เขายอมเป็นฝ่ายเฝ้ามองดิฉันอยู่คนเดียวเงียบๆ...
ถึงอย่างนั้นดิฉันก็ยินดีที่จะได้ยินเสียงเขามากกว่า คิดแล้วในวินาทีนั้นว่าเป็นบ้าก็เป็นบ้าวะ! ขอให้มีเสียงของผู้ชายคนนี้อยู่ในหัวก็พอ
และเพราะอย่างนั้น การเดินทางไปพิษณุโลก ของดิฉันในครั้งนี้จึงเป็นการเดินทางไปกราบเทวดาผู้ใหญ่เป็น ‘ครั้งแรก’ หลังเกิดเหตุการณ์วุ่นวายต่างๆ ก่อนหน้า
ดิฉันขอให้พ่อขับรถพาไปส่งยังที่หมาย ลงจากรถได้ก็ไปบูชาธูปและดอกไม้ ไหว้ด้านล่างเสร็จก็ขึ้นบันไดไปบนศาล ตั้งจิตขอขมาและอโหสิกรรมต่อพระพักตร์ แล้วก็ขออีกเรื่องที่ดิฉันได้ตกลงกับพี่ขุนตั้งแต่ที่อยู่ในรถ
“หนูจะไปขอพี่กับท่านนะ”
ที่ว่าอย่างนี้เป็นเพราะจำได้ว่าสมเด็จท่านเคยตรัสว่า ‘ถ้าอยู่ด้วยกันไม่ได้ก็ไม่ต้องอยู่’ การที่พี่ขุนกลับมาในครั้งนี้ เท่ากับว่าดิฉันตั้งใจที่จะใช้ชีวิตอยู่กับเขาอีกครั้ง เลยมีความรู้สึกว่าจะต้องบอกเรื่องนี้แก่ผู้หรับผู้ใหญ่
“หนูขอให้พี่ขุนได้อยู่กับหนูนะคะ...”
ดิฉันอธิษฐานสั้นๆ ง่ายๆ ต้องใช้ความกล้ามากทีเดียวในการกลับมาไหว้ในครั้งนี้ และน่าประหลาดเป็นอย่างมากที่หลังจากดิฉันกราบเสร็จ เมื่อยืนขึ้นมาก็รู้สึกเหมือนมีลมแรงไหลเวียนเข้ามาปะทะร่าง ก่อนที่จะรู้สึกวิงเวียนมึนหัวคล้ายๆ กับอาการบ้านหมุน
ดิฉันพยายามบังคับตัวเองให้เป็นปกติ เพราะการมาไหว้ครั้งนี้ พ่อแม่ดิฉันได้บอกให้แฟนในขณะนั้นตามมาดูด้วยเป็นห่วงว่าดิฉันจะไปไหนมาไหนคนเดียวไม่ได้ พอไหว้เสร็จ ดิฉันก็เดินมาใส่รองเท้า ในใจก็ไม่มั่นใจสักเท่าไรนักว่าที่ทำลงไปทั้งหมดนั้นจะไปในทิศทางดีหรือร้าย เพราะก็ใช่ว่าพี่ขุนกลับมาแล้ว ดิฉันจะได้ยินเสียงพี่ขุนชัดเจนอย่างเคย มันเลือนรางมาก ในบางครั้งก็ไม่รู้ว่าเขาพูดอะไร รวมถึงสิ่งอื่นๆ ที่ต้องการสื่อกับดิฉันด้วย
ดิฉันจึงตั้งใจจะปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปด้วยคิดว่าอาจจะเป็นการอุปาทานของดิฉันเองก็ได้ หากแต่พอมาสวมรองเท้า จู่ๆ ตัวของดิฉันก็รู้สึกราวกับมีอะไรบางอย่างมาดันที่แผ่นหลัง แล้วดิฉันก็พูดออกมาเบาๆ ว่า
“อยากได้ก็เอาไป แล้วอยู่ด้วยกันให้ดี”
Part 17
ได้ยินอย่างนั้น ความกลัว ความพะวักพะวนก่อนหน้าก็แทบจะมลายหายไปเลยค่ะ
ดิฉันไม่ได้คิดไปเอง ไม่ได้พูดออกมาเอง มั่นใจอย่างนั้นแน่นอน
และในคืนนั้น พี่ขุนก็แสดงถึงการมีตัวตนของเขาด้วยการมากอดก่ายดิฉันในคืนนั้นอีกครั้ง
คืนนั้น...เราแทบไม่ได้คุยอะไรกัน ก็แน่ล่ะค่ะ เพราะดิฉันยังสื่อกับพี่ขุนได้ไม่ดี พยายามที่จะคุยไปก็เหนื่อยเปล่า เรื่องนี้ทางหลวงลุงเขาบอกว่าบุญยังไม่สัมพันธ์กัน จิตเลยสื่อถึงกันได้ไม่ดีนัก ถึงจะแทบไม่ได้คุยอะไรกันเลย ขณะเดียวกัน ดิฉันก็แทบไม่ได้นอนตลอดทั้งคืนเหมือนกัน
น่าจะเพราะความห่างหาย ความคิดถึงคะนึงหาที่ทำให้เขากอดก่ายดิฉันไม่เลิกราอย่างนี้ พูดตรงๆ ก็คือเรามีความสัมพันธ์ทางกายกันค่ะ มันก็เป็นความสัมพันธ์ที่...ดิฉันไม่รู้สึกอะไรนอกจากรู้สึกว่ามีใครมาโอบกอด มาล่วงล้ำร่างกายเท่านั้น ซึ่งดิฉันก็เต็มใจ
หลังจากวันนั้น ดิฉันก็ไม่แน่ใจนักว่าเริ่มคุยกับพี่ขุนได้ชัดเจนขึ้นกว่าเดิมมันใช้เวลานานแค่ไหน รู้แต่ว่าพอเริ่มสื่อสารกับเขาได้ชัดเจนขึ้นแล้ว เขาก็เริ่มสั่งสอนดิฉันอีกครั้ง
‘ถ้าหนูเลือกพี่ หนูจะต้องรักษาสัญญาที่เคยให้ไว้ไม่ว่าจะกับใคร แล้วก็ต้องรักษาศีลห้า’
“รักษาศีลห้า?”
‘ใช่ เพราะฉะนั้น ไอ้อีคนไหนที่หนูคบหาอยู่ หนูไปจัดการให้เรียบร้อยซะ ไม่อย่างนั้นหนูจะผิดศีลข้อสาม’
เขาหมายถึงให้ดิฉันไปคุยกับแฟน ณ ขณะนั้นว่ามันเกิดอะไรขึ้น และดิฉันเลือกที่จะไปต่อในเส้นทางไหน
อันที่จริงแล้ว แฟนของดิฉันก็พอจะรู้เรื่องราวของพี่ขุนอยู่บ้างค่ะ มาจากปากของดิฉันนี่แหละที่เล่าในช่วงที่พี่ขุนหายไปว่าที่จู่ๆ ดิฉันก็ดูบ้าๆ บอๆ ขึ้นมานั้น เป็นเพราะอะไร แล้วถามว่าเขาเชื่อไหม?
บอกเลยว่าไม่แม้แต่นิดเดียวค่ะ เขาก็แค่รับฟังเฉยๆ เท่านั้น ไม่ได้ยี่หระอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น บอกตามตรงว่าความสัมพันธ์ระหว่างดิฉันกับแฟนก็ไม่ค่อยดีเท่าไรค่ะ ด้วยความที่เราคบหากันมานานหลายปี และเขาก็เป็นคนที่ไม่โรแมนติกใดๆ ทำให้ความใกล้ชิดระหว่างกันมันจางหาย ความสัมพันธ์จืดจางมานานแล้ว ซึ่งก็เป็นปัญหาที่ทำให้เราทะเลาะกันเรื้อรังมาอยู่หลายปี จนสุดท้ายความสัมพันธ์ในรูปแบบคนรักก็หมดลง เหลือแต่ความเป็นเพื่อนสนิทที่มีอะไรก็คุยกันไปสัพเพเหระมากกว่า
และเพราะเหตุนี้ ดิฉันจึงได้ตัดสินใจบอกกับแฟนในเวลานั้นว่าให้ลดสถานะลงมาเหลือแค่เพื่อนกัน แฟนของดิฉันก็ไม่ได้ว่าอะไร เขายินดีที่จะรับสถานะนั้น ตอนนี้เองที่เราได้แยกห้องนอนกัน โชคดีที่เราไม่ได้แต่งงานกัน แค่อยู่ด้วยกันก่อนเฉยๆ การปรับสถานะระหว่างกันเลยเป็นไปโดยง่าย แล้วดิฉันก็ให้เหตุผลว่าที่ดิฉันตัดสินใจขอลดสถานะอย่างนี้เป็นเพราะอะไร
ใช่ค่ะ ดิฉันเล่าเรื่องพี่ขุนให้เขาฟังอีกรอบ คราวนี้เล่าด้วยว่าเพราะดิฉันตัดสินใจที่จะเลือกพี่ขุนแล้ว ดังนั้นจึงจะมีเขาไม่ได้
แฟนซึ่งกลายเป็นอดีตแฟนก็ไม่ได้ใส่ใจ หาว่าดิฉันบ้าเสียด้วยซ้ำ หัวเราะให้กับสิ่งที่ได้ยิน ดิฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรค่ะ ปล่อยให้เขาเข้าใจไปแบบนั้น ถึงตอนนี้ดิฉันไม่ต้องการให้ใครมาเข้าใจอะไรกับสิ่งที่ดิฉันเผชิญแล้ว
‘พี่ไม่ชอบมัน อยากให้มันออกไป’
ถึงจะเลิกกันแล้ว แต่อดีตคนรักของดิฉันก็ยังอาศัยอยู่ที่บ้านค่ะ ด้วยเขาเป็นคนต่างชาติ และคบหากันมาตั้งแต่สมัยเรียน เลยทำให้การกลับไปดินแดนมาตุภูมิของเขาเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่เป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก ต่อให้พี่ขุนบอกให้ดิฉันออกปากไล่ ทว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น เพราะมันมีปัจจัยอื่นๆ ประกอบอีกมากมาย เขาเลยต้องอยู่ไปอย่างนี้ก่อน
‘ขนาดพี่ยื่นมือเข้ามายุ่งกับกรรมของหนูกับมันแล้ว มันยังไม่ไสหัวไปอีก!’
พี่ขุนดูหัวเสียในช่วงนี้ ดิฉันก็พยายามอธิบาย แต่เขาก็ไม่อยากจะฟัง
‘ไม่ต้องพูด หนูคิดอะไร รู้สึกยังไง ต่อให้ไม่พูด พี่ก็รู้หมด พี่แค่ไม่ชอบ ไม่อยากให้หนูไปยุ่งกับผู้ชายคนไหน หนูเป็นเมียของพี่’
เขาแสดงความเป็นเจ้าของอย่างเต็มที่ ดิฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรค่ะ ยอมรับว่าก็มีความสุขดี และช่วงนั้นดิฉันก็พยายามที่จะเรียนรู้การสื่อสารกับเขาอีกครั้ง ขณะเดียวกันก็ยังคงอุปนิสัยแบบเดิมซึ่งจุดนี้เองที่เป็นจุดที่ดิฉันกับพี่ขุนตระหนักกันได้ว่านอกจากเรื่องภพภูมิที่ไม่อาจเข้ากันได้แล้ว อุปนิสัยของคนในแต่ละยุคสมัยก็ไม่สามารถเข้ากันได้อีก
เขาเป็นผู้ชายโบราณ...
ดิฉันเป็นผู้หญิงสมัยใหม่...
สามีเป็นช้างเท้าหน้า ภรรยาเป็นช้างเท้าหลังคืออะไร ดิฉันไม่สนใจทั้งนั้น พูดถึงแต่ความเสมอภาคเท่าเทียม แม้พี่ขุนจะพยายามบอกว่า...
‘หนูไม่ต้องอยากมาเท่าเทียมพี่หรอก ทำตามพี่ก็พอ พี่จะคอยบอก’
“ไม่เอา เดี๋ยวนี้ผู้หญิงกับผู้ชายเท่าเทียมกันแล้วค่ะ หนูไม่เป็นช้างเท้าหลังหรอกนะ”
‘แล้วหนูจะเอาไง’
“ถ้าพี่เป็นช้างเท้าหน้า หนูก็จะเป็นควาญช้าง”
มันเป็นการพูดเล่นที่แฝงไปด้วยความจริงจัง...และมันก็ทำให้ดิฉันต้องถูกสั่งสอนอีกยกใหญ่เป็นระลอกที่สอง หากแต่คราวนี้เป็นการสั่งสอนโดย ‘พี่ขุนคนเดียว’
ขอบคุณทุกท่านที่ยังติดตามเรื่องราวนี้นะคะ
ดีใจที่มีคนตามอ่าน นึกว่าจะคุย (เขียน) อยู่คนเดียวซะแล้ว ฮา
เรื่องที่ดิฉันเล่านี้ ถ้าจะคิดว่าเป็นนิยายมันก็เป็นนิยาย
ถ้าจะคิดว่าเป็นเรื่องจริง มันก็อยู่ที่วิจารณญาณของแต่ละบุคคลนะคะ
ขอให้อ่านเพื่อความบันเทิงไปแล้วกัน นึกเสียว่ากำลังฟังเพื่อนคนนึงเล่าเรื่องนะคะ
Part 18
ในวันที่ดิฉันหลุดพูดเล่นออกไปว่าจะเป็น ‘ควาญช้าง’ ดิฉันก็ไม่ได้รับรู้เลยว่าเขาไม่พอใจเลยแม้แต่น้อย มีแต่อาการผิดปกติที่เกิดขึ้นกับตัวเอง นั่นคือการที่ดิฉันเริ่มพูดคนเดียวออกมา ซึ่งก็คือคุยกับพี่ขุนนั่นแหละค่ะ แต่ไม่สามารถควบคุมตัวเองให้คุยในใจได้ ต้องพูดออกมาจนเริ่มหวาดกลัวตัวเองขึ้นมาอีกครั้งว่าอาการนี้เป็นอาการป่วยหรือเปล่า
อาการนั้นทำให้ดิฉันไม่ยอมกินอะไรเลยทั้งวันแม้ว่าพี่ขุนจะเฝ้าพร่ำบอก
‘กินอะไรลงไปบ้าง ไม่ใช่เอาแต่คุยกับพี่จนไม่กินอะไรอย่างนี้’
ทว่าสติของดิฉันก็ไม่อยู่กับร่องกับรอย จนกระทั่งตกเย็น พี่ขุนต้องบังคับร่างกายดิฉันให้กินข้าว
ข้าวในเย็นวันนั้น ดิฉันเป็นคนตักมาเอง กะว่าจะกินเพื่อไม่ให้ร่างกายอ่อนเพลีย หากแต่เมื่อกินแล้ว กลับกินได้เพียงไม่กี่คำ พี่ขุนจึงต้องบังคับอีกระลอกเป็นเสียงมาในหัว
‘กินเข้าไปอีก อย่ากินน้อยอย่างนี้’
“หนูกินเพิ่มอีกสามคำนะ”
‘ได้ กินเข้าไป’
ดิฉันตักข้าวเข้าปาก แต่ก็กินได้เพียงคำเดียวเท่านั้น เนื่องจากไม่รู้สึกอยากอาหารเลย
“หนูไม่กินแล้วนะ อิ่มแล้ว เท่านี้พอ”
แต่พี่ขุนไม่ยอม ‘รับปากว่าจะกินเพิ่มอีกสองคำ ต้องกินเข้าไปอีก’
“แต่หนูอิ่มแล้ว”
‘อย่าให้พี่ต้องบังคับไปมากกว่านี้นะ’
คำว่า ‘บังคับไปมากกว่านี้’ หมายถึงการที่เขามาแฝงร่างดิฉันหรือทำอะไรสักอย่างที่ทำให้ร่างกายดิฉันเคลื่อนไหวไปตามความต้องการของเขา ดิฉันถูกจับให้นั่งอยู่บนเก้าอี้นิ่งๆ อีกครั้ง ขณะที่มือก็ตักข้าวคำใหม่ขึ้นมา
‘กินเข้าไปอีกสองคำ คำใหญ่ๆ’
มือที่ตักข้าวขึ้นมาเป็นข้าวคำใหญ่จริงๆ ดิฉันจำใจต้องอ้าปากรับเอาข้าวเข้ามา และการกินข้าวเพิ่มอีกสองคำก็เป็นอะไรที่ดิฉันต่อต้านเป็นอย่างมาก เพียงคำเดียวก็เคี้ยวเอื้องอยู่นาน ไม่ยอมกลืนสักที จนเขาต้องขู่เข็ญ พอกลืนลงไปได้ก็ทำท่าอิดออดจะไม่ยอมกินอีกคำ พยายามสู้แรงของพี่ขุนด้วยคิดว่าร่างกายนี้เป็นของเรา ใครจะมาบังคับไม่ได้ แต่ก็พ่ายแพ้ให้กับแรงของเขาในที่สุด
‘กินเข้าไป อย่าดื้อ’
เขาว่า ดิฉันกินเข้าไปจนได้ ข้าวคำนี้เป็นความทรมานอย่างหนึ่งในภาวะที่ไม่อยากอาหารเป็นอย่างมาก เคี้ยวไปก็ฝืดคอไป อะไรไม่ว่า ยังจะเริ่มน้ำตาคลอที่ถูกบังคับอีกด้วย ถ้าดิฉันไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเอง ต่อให้ดุแค่ไหน เขาก็น่าจะแพ้ทางน้ำตา จึงดึงมือดิฉันให้คว้าแก้วน้ำมากระดกดื่มจนกลืนข้าวลงคอได้หมด
‘รับปากอะไรไว้ อย่ารับปากส่งเดช ต้องทำให้ได้ด้วย...รักษาสัญญาไม่ว่าจะให้ไว้กับใคร’
เขาสั่งสอนตบท้าย ดิฉันได้ยินแล้วก็เออออไปทั้งๆ ที่ใจอยากจะดื้อให้มากกว่านี้เต็มแก่
หลังจากวันนั้น ดิฉันก็ดื้ออย่างที่ตั้งใจไว้จริงๆ ค่ะ ด้วยความที่ประกอบอาชีพอิสระและใช้ชีวิตค่อนข้างตามใจตัวเอง ทำให้ดิฉันพบว่าการกลับมาของพี่ขุนในครั้งนี้ เราหนึ่งคนกับอีกหนึ่งตน...ไม่มีอะไรเข้ากันได้เลย
พี่ขุนมักเตือนดิฉันเสมอว่าอย่ามาขลุกอยู่แต่ในห้องเพื่อพูดคุยกับเขาทั้งวัน ทว่าดิฉันก็ไม่ฟัง พยายามที่จะสื่อสารตลอดจนร่างกายเหนื่อยอ่อน จะได้ความคิดถึงหรืออะไรก็แล้วแต่ ดิฉันก็ไม่อาจทราบได้ แต่ยิ่งอยู่ใกล้ชิดกัน เขาก็ยิ่งเห็นความไม่น่ารักของดิฉัน
‘ทำไมถึงพูดจากับพ่อแม่อย่างนั้น’
เขามักจะไม่พอใจเรื่องนี้เสมอด้วยดิฉันมักจะพูดจากับพ่อแม่เสมอเหมือนเป็นเพื่อนที่สามารถคุยกันได้ทุกเรื่อง ซึ่งมันก็ไม่เข้าหูพี่ขุนเป็นอย่างมาก
‘พี่เป็นคนโบราณ พี่เห็นหนูทำอย่างนี้แล้วพี่ไม่ชอบใจ’
เขาเริ่มวางอำนาจ สั่งสอนดิฉันราวกับว่าดิฉันเป็นลูกหลาน
“แต่นี่หนูมาเกิดใหม่แล้ว เป็นคนสมัยใหม่แล้ว จะให้ไปเจ้าคะเจ้าขามันก็ไม่ใช่เรื่อง”
‘อย่างน้อยก็พูดให้น้ำเสียงน่าฟัง’
“หนูก็เป็นของหนูอย่างนี้ พ่อแม่หนูยังไม่เห็นว่าอะไรเลย พี่จะมาว่าอะไรหนู”
‘พี่สั่งสอนอยู่ อย่ามาเถียง!’
เขาขึ้นเสียง ดูฮึดฮัดอึดอัดเป็นอย่างมาก ดิฉันก็เลยเลือกที่จะไม่คุยกับเขา เรียกว่างอนนั่นแหละค่ะ ทว่า ‘ผู้ชายโบราณ’ จะไปเข้าใจอะไรกับคำว่างอน พอเห็นดิฉันไม่ยอมพูดจา เอาแต่สะบัดสะบิ้ง เขาก็ดุมาอีก
‘อย่ามาประชดประชัน พี่ไม่ชอบ’
นั่นก็ไม่ดี นี่ก็ไม่ใช่ โน่นก็ไม่ชอบ จะเอาอย่างไร!?
ดิฉันเริ่มหัวเสียแล้วเหมือนกัน แต่ถึงอย่างนั้น...ก็ไม่ยอมให้เขาไปไหนอยู่ดี
ในเมื่อไม่ยอมให้เขาไปไหน ดิฉันก็ยังพยายามสื่อสารกับเขาอยู่อย่างนั้น
คุย...จนแทบแยกไม่ได้ว่าอะไรคืออีกภพ อะไรคือชีวิตจริง ดิฉันเริ่มมีอาการคล้ายกับตอนที่เพ้อในตอนแรกกลับมา แต่ในครั้งนี้ไม่ได้หวาดกลัวว่าตัวเองจะตาย พ่อแม่จะตาย หรือมีใครมาทำร้ายอีก เพราะสิ่งที่สื่อสารได้นั้นมีเพียงพี่ขุนคนเดียวเท่านั้น ทว่ายิ่งคุย...ก็ยิ่งค้นพบว่าเราไม่มีอะไรเข้ากันได้เลย
เข้ากันไม่ได้สักเรื่อง ไม่เว้นแม้แต่เรื่องภพภูมิที่ไม่เหมาะสมกันสักนิด แม้แต่เรื่องการกินลูกอมของดิฉัน ก็เป็นเรื่องที่ทำให้เขาไม่พอใจและทะเลาะกันได้ เวลาดิฉันกินลูกอมจะติดนิสัยอย่างหนึ่งคือชอบเอาลิ้นไปดุนแล้วพลิกลูกอมไปมาในปาก เขาคงจะรำคาญถึงได้บอกดิฉัน
‘จะอมก็อมดีๆ อย่าเล่น’
ดิฉันได้ยินเสียงนั้นชัดเจน ทว่าก็ไม่หยุด ให้เขาเตือนมาอีก
‘พี่บอกให้อมดีๆ ยังไม่หยุดอีก’
ไม่หยุดจริงๆ ค่ะ จนเขาต้องบังคับให้ดิฉันกลืนมันลงไป เพียงแต่ว่าการบังคับครั้งนี้ไม่ใช่การพูด แต่เป็นการที่เขาใช้อิทธิฤทธิ์ที่เขามีทำให้ลูกอมในปากของดิฉันมันไหลลงคอไป ดิฉันตกใจเป็นอย่างมาก รีบจับลำคอตัวเองพลันคิดในใจ
“ถ้ามันติดคอหนูจะทำยังไง”
‘พี่ไม่ทำให้หนูตายหรอก’ เขาว่า แล้วก็ดุส่งท้าย ‘ถ้าอมดีๆ ไม่ได้ก็ไม่ต้องอม’
และมีอีกหลายเรื่องที่ดิฉันจำไม่ได้เท่าไรว่าเรื่องอะไรบ้าง แต่มีเรื่องหนึ่งที่ดิฉันจำได้ฝังใจ นั่นก็คือตอนที่ดิฉันนั่งรถไปต่างจังหวัดกับพ่อแม่ แล้วจู่ๆ ก็เกือบจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น
ขอเล่ารายละเอียดก่อนสักนิดค่ะ ส่วนตัวแล้วดิฉันขับรถไม่เป็น โดยปกติจะเป็นพ่อที่ขับรถ ส่วนแม่กับดิฉันก็จะเป็นผู้โดยสาร ช่วงนั้นดิฉันมักชอบใช้เวลาตามลำพัง ทำให้เวลาขึ้นรถก็จะเอาหูฟังอุดหูเพื่อฟังเพลงตลอด และก็ชอบฟังเพลงเสียงดังๆ เสียด้วย ส่วนแนวเพลงที่ฟังก็จะเป็นเพลงร็อกหรือกึ่งเมทัลอะไรประมาณนั้น
อ่านมาถึงตรงนี้อาจจะคิดว่าแนวเพลงที่ฟังมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้
ต้องขอบอกก่อนว่าตัวพี่ขุนเองไม่ชอบเพลงแนวนี้เป็นอย่างมาก มีครั้งหนึ่งเขาได้ยินสิ่งที่ดิฉันฟังแล้วก็พูดขึ้นมา
‘เหมือนสัมภเวสีร้องขอส่วนบุญ’
ฟังดูเป็นเรื่องขำๆ ซึ่งตอนที่เขาพูดประโยคนี้มันก็น่าขำจริงๆ แต่มันขำไม่ออกกับเหตุการณ์ในครั้งนี้ เพราะเขาต้องการให้ดิฉันพูดคุยกับคนอื่นบ้าง ไม่ใช่เอาแต่ครุ่นคิดอะไรอยู่คนเดียวหรือหมกมุ่นคุยกับเขา
แน่นอนว่าดิฉันปฏิเสธคำสั่งนั้น รวมถึงไม่ยอมทำตามความประสงค์อีกอย่างของเขาด้วย
‘อย่าฟังดังขนาดนี้ เดี๋ยวหูแตก’
เหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์วันเดียวกับเหตุการณ์ลูกอม ด้วยความที่ยังขุ่นเคืองเขาที่เอาแต่บังคับสั่งสอนให้ดิฉันทำตามใจเขา ดิฉันเลยปฏิเสธเสียงของเขา ไม่พูดไม่จา ทำเมินเฉยอยู่หลายครั้งจนเขาต้องว่า
‘อย่าเมินพี่อย่างนี้ พี่รู้ว่าหนูได้ยิน’
ได้ยินจริงอย่างที่เขาว่า ทว่าก็ยังทำเฉยจนเขาบอกให้ลดเสียงเพลงอยู่หลายครั้ง กระทั่งเขาน่าจะทนไม่ไหวจนพูดเสียงดังออกมา
‘พี่บอกให้ลดเสียง!’
ฉับพลันรถที่พ่อดิฉันขับอยู่ก็เกือบจะเฉี่ยวชนกับรถอีกคัน ทำให้เกิดการหักหลบกะทันหัน เคราะห์ดีที่ไม่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้น มีแต่เสียงร้องตกใจกับเสียงก่นด่าตามประสาของคนขับรถเท่านั้น
“ขับรถยังไงวะ!”
พ่อสบถ ส่วนดิฉันใจเต้นแรงเป็นอย่างมาก ก่อนที่ความหวาดกลัวจะเริ่มพร่างพรายเข้ามาเมื่อประจักษ์ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคงจะเป็นฝีมือของพี่ขุน
‘อย่าท้าทายพี่’
เขาบอกแค่นั้น ดิฉันทั้งกลัวทั้งโกรธจนต้องเถียงเขาออกไป แต่ก็เป็นการเถียงที่อ้อมแอ้ม
“ทำไมพี่ต้องทำแบบนี้ด้วย”
‘ก็หนูไม่ฟัง’
“แล้วพ่อแม่หนูเกี่ยวอะไรด้วย พี่ถึงต้องดึงเข้ามายุ่ง!?”
“...”
“อย่าทำแบบนี้อีก ถ้าจะทำก็ทำหนูคนเดียว”
เขาไม่ตอบอะไรกลับมา ไม่แน่ใจนักว่าเขาคิดอะไรอยู่ มีแต่ความรู้สึกอึดอัด หวาดกลัว และขัดแย้งกัน เขาก็คงน่าจะรู้สึกผิดเหมือนกันที่ทั้งๆ ที่ตัวเองอยู่ในภูมิเทวดาแต่กลับทำตัวเหมือนผีร้ายอย่างนี้ เขาไม่ได้พูดหรอกค่ะ เป็นความรู้สึกในใจเขาที่ส่งผ่านมาให้ดิฉัน ซึ่งดิฉันก็เลือกที่จะเมินเฉยกับสิ่งนี้
หลังจากนั้นเราก็เริ่มมีปัญหากันมากขึ้น จนดิฉันเริ่มคิด...
เทวดากับมนุษย์...หรืออะไรก็แล้วแต่ที่เป็นสิ่งที่อยู่คนละภพภูมิ...เป็นอะไรที่ใช้ชีวิตร่วมกันไม่ได้เลยจริงๆ
Part 20
บอกตามตรงว่าในตอนนี้ดิฉันเริ่มแคลงใจในตัวเขาแล้วค่ะว่าเป็นเทวดาอย่างที่เขาบอกจริงๆ หรือ?
ดิฉันถามเขาหลายต่อหลายครั้ง เขาก็ยืนยันว่าเขาคือเทวดา แต่พอถามมากๆ เข้า เขาก็คงจะรำคาญ
‘ถ้าหนูคิดว่าพี่เป็นเทวดา พี่ก็เป็นเทวดา ถ้าคิดว่าพี่เป็นผี พี่ก็เป็นผี’
คำตอบกำกวมทำให้ดิฉันเริ่มไม่ค่อยไว้ใจเขาเท่าไรแล้ว ส่วนเขาก็ชอบพูดให้ได้ยินบ่อยๆ ว่าเขาเป็นคนโบราณ เขารับไม่ได้ที่ดิฉันซึ่งในอดีตชาติเป็นคนหัวอ่อนกลายมาเป็นคนที่ดื้อและไม่เชื่อฟังผู้หรับผู้ใหญ่เท่าไรเลยในชาตินี้ เขาจึงสั่งสอนดิฉันครั้งใหญ่อีกครั้งด้วยการทำแบบเดิม
ใช่ค่ะ ดิฉันหมายถึงการเปิดทางให้บรรดาเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายของดิฉันเข้ามาสัมผัสกับดิฉันได้
ในตอนนั้นดิฉันเริ่มเพ้อด้วยความหวาดกลัวอีกครั้ง ในส่วนนี้ขอสารภาพตามตรงเลยว่าจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างเพราะสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย ขวัญเสียเป็นอย่างมาก มีเสียงผู้คนมากมายในหัว บ้างก็บอกว่าเป็นเทพองค์นั้นองค์นี้ บ้างก็บอกว่าเป็นคนมีญาณที่มีชื่อเสียงที่มาสื่อกับดิฉันผ่านเทพบางองค์ บ้างก็เป็นเสียงของคนที่ดิฉันไม่ทราบว่าเป็นใคร ที่แน่ๆ ไม่มีเสียงของพี่ขุนเลยแม้แต่นิดเดียว
ดิฉันเริ่มทนกับอาการของตัวเองไม่ได้ ขอร้องพ่อแม่ให้พาไปโรงพยาบาลหน่อยเพราะเริ่มกลับมาคิดว่าตัวเองป่วยทางจิตอีกแล้ว วันนั้นเราสามคนพ่อแม่ลูกจึงพากันไปโรงพยาบาลตั้งแต่เช้ามืด ก่อนไปโรงพยาบาล ดิฉันถูกใครสักคนสั่งให้อย่าใส่คอนแทคเลนส์ไป (ดิฉันเป็นคนสายตาสั้นค่ะ เลยต้องใส่คอนแทคเลนส์) โดยให้เหตุผลมาว่าเดี๋ยวดิฉันจะได้เห็นอะไรที่ไม่สมควรเห็น
ระหว่างที่อยู่โรงพยาบาล เกิดอะไรขึ้นบ้างนั้น ก็จำไม่ค่อยได้เหมือนกันค่ะ รู้แต่ว่าแม่เป็นคนพาไปติดต่อแผนกต่างๆ จนกระทั่งเสร็จสิ้น ก่อนจะจบลงด้วยการที่ดิฉันถูกฉีดยาตัวหนึ่งที่ทำให้สงบ เพราะเวลานั้น ยานอนหลับก็เอาดิฉันไม่อยู่แล้ว รวมถึงดิฉันก็ได้เห็นในสิ่งที่ไม่สมควรเห็น
สิ่งที่ว่านั้นถ้าจะเรียกว่าผีก็ใช่ จะเรียกว่าวิญญาณก็อาจจะใช่ ดิฉันหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าในตอนนั้นเห็นจริงหรือไม่ แต่ตอนที่เห็น มันรู้สึกว่าคนคนนี้ไม่ใช่มนุษย์ สีผิวสีเนื้อจะดูซีดเซียวกว่าคนปกติ มันไม่ใช่ความซีดขาวอะไรอย่างนั้น ออกไปในลักษณะซีดเทาๆ บอกไม่ถูกเหมือนกันค่ะ และดิฉันก็ไม่คิดจะหาคำตอบในส่วนนี้ด้วย ไม่ต้องการรับรู้
พอกลับมาบ้าน ดิฉันก็มีอาการอ่อนล้าเป็นอย่างมาก พยายามที่จะนอน ทว่าก็ถูกรบกวนจนนอนไม่ได้ มีเสียงหนึ่งที่ทำให้ดิฉันต้องฝืนไม่ยอมหลับเพราะเสียงนั้นบอกว่า
‘ถ้าไม่ทิ้งทองกับพระที่ใส่คออยู่ลงชักโครก พ่อแม่จะเอามีดมาแทงกันนะ’
เล่าย้อนกลับมาตรงนี้อีกหน่อยนะคะ เพราะดิฉันกลัวว่าพี่ขุนจะเป็นผี เป็นวิญญาณร้ายหรือเจ้ากรรมนายเวรฝั่งร้ายที่มาปองร้ายดิฉัน เขาก็เลยให้ดิฉันสวมสร้อยห้อยพระประจำวันเกิดเอาไว้ด้วยเหตุผลว่า
‘ถ้าพี่เป็นผีจริงๆ หนูสวมพระเอาไว้ อย่างน้อยพี่ก็ไม่กล้าแตะตัวหนูหรือทำอันตรายให้หนูอีก’
นี่เป็นเหตุการณ์หลังจากที่เขามาขอโทษดิฉันในเรื่องใช้อิทธิฤทธิ์ในทางที่ผิดแล้วค่ะ
ย้อนกลับมาที่เหตุการณ์ปัจจุบันที่เล่าอยู่ พอได้ยินอย่างนั้น ดิฉันก็ไม่รอช้า รีบถอดสร้อยออกทิ้งลงชักโครกแล้วกดน้ำ โดยไม่สนใจว่าทองเส้นนั้นจะราคาเท่าไรเลยแม้แต่น้อย เพราะถ้าสิ่งที่ดิฉันได้ยินเป็นจริง ดิฉันยินดีที่จะทิ้งทุกอย่างเพื่อรักษาชีวิตพ่อแม่ ซึ่งในขณะนั้นพ่อแม่ดิฉันก็ดูค่อนข้างเครียดและเหนื่อยล้าเพราะดิฉันไม่ได้สติเสียที
Part 21
หลวงลุงถูกนิมนต์มาที่บ้านอีกครั้งจากการร้องขอของดิฉัน ด้วยดิฉันเกรงว่าสิ่งที่ได้ยินนั้นจะเป็นเรื่องจริง หากแต่พอหลวงลุงมา ทุกอย่างก็ค่อยๆ เงียบไปจนไม่ได้ยินอะไรอีก ส่วนหลวงลุงก็บอกด้วยความสบายใจ
“ไม่มีอะไรหรอก แค่เทพของเรายังไม่นิ่ง เราเองก็บุญไม่ถึงเขาด้วย หลวงลุงคุยกับเขาแล้ว อาจต้องใช้เวลาปรับตัวกันสักนิด”
บอกตามตรงว่าดิฉันไม่เข้าใจสิ่งที่หลวงลุงบอกหรอก ไม่รู้ด้วยว่าเขาคุยอะไรกัน แต่หลังจากเหตุการณ์วันนั้น ดิฉันก็เริ่มกลับมาสื่อสารกับพี่ขุนอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่ใช่ฝ่ายดิฉันที่เริ่มก่อน อันที่จริงดิฉันคิดจะตัดใจจากเขาแล้วด้วยซ้ำ เพราะคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมาตลอดระยะเวลาเกือบหนึ่งปีนี้มันไม่โอเคเลย นอกจากดิฉันจะทำงานทำการอย่างเดิมไม่ได้แล้ว ยังจะทำให้ครอบครัวต้องเป็นกังวลอีกด้วย
หากทว่าในขณะที่ดิฉันหลับไปด้วยฤทธิ์ยา เขาก็มาเข้าฝันโดยการบอกผ่านกับบุคคลหนึ่งในความฝันว่า ‘ชีวิตของเธอจะไม่เหงาหรอก เพราะเธอมีคนคนนี้’
บุคคลนั้นเป็นใคร ดิฉันขอไม่พูดถึง ขอบอกเอาไว้แต่เพียงว่าเป็นการสร้างภาพนิมิตของพี่ขุนที่ดึงบุคคลที่สามเข้ามาเกี่ยวด้วยเขาคิดว่าหากคุยกับดิฉันผ่านบุคคลนี้ ดิฉันอาจจะหายหวาดกลัวเขาแล้วเบาใจขึ้นมาได้บ้าง
แล้วก็น่าแปลกค่ะ ทั้งๆ ที่ตั้งใจว่าจะตัดใจจากเขาแล้ว แต่เมื่อเห็นเขาในความฝัน ดิฉันก็น้ำตาซึมออกมาด้วยความดีใจว่าเขายังไม่ได้ไปไหน ซึ่งตอนนั้นเอง เขาก็ได้ขอโทษ
‘พี่ขอโทษในสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด พี่สัญญาว่าจะไม่ทำร้ายหนูอีกแล้ว จะรักและดูแลหนูตามอย่างสัญญาที่เคยให้ไว้’
เขาก็ผิดสัญญาที่เคยให้ไว้กับดิฉันเหมือนกันค่ะ ผิดเพราะเขาไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ หลังจากวันนั้น เขาก็มาสื่อสารกับดิฉันน้อยลง จะมาวันละนิดวันละหน่อย ซึ่งนั่นทำให้อาการของดิฉันฟื้นตัวได้เร็วกว่าในครั้งแรกอยู่โข ช่วงนี้เองที่สัมผัสได้ว่าเขายอมถอยสุดลิ่มทิ่มประตู ดิฉันสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนจากเขาได้มากขึ้น ไม่วางอำนาจบาตรใหญ่เหมือนก่อนหน้านี้แล้ว
‘ถ้าหนูหายกลัวแล้ว ไปที่วัดหน่อยนะ พี่อยากจะไปไหว้พระกับหนู’
เขาบอกดิฉันในวันหนึ่ง ดิฉันไม่ได้รับปาก แต่ก็ตั้งใจว่าถ้ารู้สึกว่าตัวเองกลับมาเป็นปกติแล้ว ก็จะไปไหว้พระกับเขาอย่างที่เขาต้องการ ซึ่งวัดนั้นก็คือวัดพนัญเชิง วัดที่เขาเคยพาดิฉันไปสาบานเอาไว้เมื่อชาติที่แล้ว
แต่เชื่อไหมคะ การไปวัดนั้นมันไม่ได้ทำให้ดิฉันรู้สึกดีสักนิด เนื่องจากครั้งสุดท้ายที่มาวัดนี้ ดิฉันเจอเข้ากับประสบการณ์ไม่น่าประทับใจ ลงจากรถมา ใจก็หวั่นๆ ว่าครั้งนี้จะเกิดอะไรที่ไม่คาดฝันขึ้นไหม
ตอนที่จุดธูปแล้วไหว้พระประธานข้างหน้าวัดในจุดที่จัดเตรียมไว้ให้ ดิฉันก็รู้สึกได้ถึงความอึดอัดบางอย่างที่ถาโถมเข้ามาจนมึนหัวนิดๆ
‘ไม่เป็นไร ไม่ต้องกลัว พี่ไม่ทำอะไร’
เขาคอยบอกดิฉันตลอดเวลาจนกระทั่งดิฉันเข้ามาด้านในและก้มกราบหลวงพ่อโตข้างในนั้น วินาทีนี้ก็เกิดสิ่งไม่คาดฝันขึ้นจริงๆ ค่ะ
เขาสาบาน...
เป็นการสาบานที่เกิดขึ้นในชาตินี้...
‘ข้าพเจ้า...อริญชย์เพียงสวัสดิ์ ขอให้สัตย์สาบานว่าไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหน ก็จะดูแลนางสืบต่อไป ไม่มีวันที่จะทำร้ายอย่างที่เคยผ่านมาอีก ขอให้หลวงพ่อและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวง ณ ที่แห่งนี้ช่วยเป็นพยาน…’
จะหันมองหน้าใครก็ไม่ได้เพราะสิ่งที่ได้ยินมีเพียงดิฉันคนเดียวที่รับรู้ ได้แต่นั่งนิ่งพนมมืออยู่อย่างนั้นจนเขาถาม
‘สบายใจแล้วหรือยัง?’
สบายใจค่ะ...สบายใจมากอย่างน่าประหลาด
ยิ่งประหลาดมากขึ้นไปอีกว่าตอนที่ดิฉันกลับมาถึงบ้านและเข้าห้องน้ำจะทำความสะอาดร่างกาย จู่ๆ สายตาก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างในคอห่าน ซึ่งนั่นก็คือสร้อยคอของดิฉันที่เคยทิ้งชักโครกแล้วกดลงไป ไม่ทราบว่ามันมาได้อย่างไรเหมือนกัน หรือบางทีดิฉันจะเบลอ เพ้อไปเองที่จู่ๆ ก็มาเจอสร้อยคอในคอห่านทั้งๆ ที่กดทิ้งชักโครกไปหลายวันแล้ว
‘เรื่องวันนั้น พี่ขอโทษ พี่เอาสร้อยของหนูมาคืนแล้วนะ อย่าโกรธพี่เลย’
เป็นฝีมือของพี่ขุนนั่นแหละค่ะ เรื่องนี้ดิฉันหาคำอธิบายให้กับตัวเองไม่ได้ มีแต่ความเชื่อที่ค่อยๆ เพิ่มพูนขึ้นมาว่าพี่ขุนนั้น...คงจะเป็นของจริงอย่างที่เขาพูดแล้ว
Part 22
มาถึงตอนนี้ก็ไม่มีเรื่องอะไรที่น่าหวาดกลัวเกิดขึ้นแล้วค่ะ จะมีก็แต่ภาวการณ์ยอมรับในการมีตัวตนของพี่ขุนอยู่เท่านั้น ดิฉันคิดว่าหากเขาจะเป็นอาการทางจิตเวชของดิฉัน ก็ให้มันเป็นไป เพราะดูจากท่าทางแล้ว ต่อให้รักษาอย่างจริงจังแค่ไหน เสียงนี้ก็คงจะไม่หายไปจากหัวได้ง่ายๆ แน่นอน (ซึ่งดิฉันก็ปรึกษากับคุณหมอในเรื่องนี้ในการรักษาอย่างจริงจังนะคะ เอาทุกทางเลยไม่ว่าจะทางวิทยาศาสตร์หรือความเชื่อทางศาสนา) และถ้าหากเขาเป็นคนที่มาจากคนละภพภูมิ ดิฉันก็ยินดีให้เขาอยู่ใกล้ๆ ให้ได้สร้างกรรมใหม่เพื่อผูกพันเราเข้าไว้ด้วยกัน
กรรมที่หมายถึง คือกรรมดีนะคะ ดิฉันเชื่อว่าเขาจะสั่งสอนดิฉันแต่สิ่งดีๆ ซึ่งหลังจากที่ดิฉันฟื้นคืนสติได้เป็นต้นมา เขาก็ค่อยๆ ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือดิฉันทีละเล็กละน้อย อันดับแรกคือการทำให้ดิฉันกลับมาทำงานได้อีกครั้ง
อย่างที่เผยกันไปนิดๆ ในกระทู้ที่แล้วว่าดิฉันเป็นนักเขียน สิ่งแรกที่เขาช่วยก็คือการเขียนนิยายที่มีเรื่องราวอ้างอิงเกี่ยวกับเขา
การเขียนนิยายเรื่องนี้เป็นการเดินทางที่ยาวนานมากค่ะ แต่ก็เป็นเรื่องที่ทำให้ดิฉันได้รับโอกาสใหม่ๆ ในสายงานตัวเองอย่างไม่คาดฝันเอาไว้ ทำให้ดิฉันต้องค่อยๆ ปรับอุปนิสัยตัวเองให้เข้ากับเขาได้ ไม่ว่าจะเรื่องการปฏิบัติตนกับผู้หรับผู้ใหญ่หรือกับเขา ทุกอย่างดูจะนุ่มนวลขึ้นกว่าเดิม ในขณะเดียวกัน พี่ขุนเองคอยพยุงอารมณ์ อุปนิสัย รวมถึงการพูดจาให้อ่อนนุ่มมากขึ้นด้วย
เรียกว่าเป็นการที่ต่างคนต่างปรับเข้าหากันค่ะ เพราะดูแล้ว เราคงจะหนีกันไม่พ้นในชาตินี้ ด้วยหลังจากเกิดเหตุการณ์นี้ ก็มีหลายคนที่บอกกับดิฉันว่าให้ตัดกรรมกับเขา
‘พี่ไม่ตัด ต่อให้หนูตัด ก็จะเป็นฝ่ายหนูเท่านั้นที่ตัด พี่จะไม่ไปไหน จะอยู่อย่างนี้ ดูแลหนูไปทุกภพทุกชาติไม่ว่าจะเป็นอะไร พี่จะทำตามคำสัญญาที่พี่ได้ให้ไว้’
เขายืนกราน ทำให้ดิฉันรู้ว่าความตั้งใจของคนสมัยก่อนช่างแน่วแน่เหลือเกิน ยิ่งเขาเป็นชายชาตินักรบด้วยแล้ว ความหนักแน่นของเขาก็ยิ่งมีมาก
‘ให้พี่ได้อยู่กับหนูเถอะนะ จนกว่าหนูจะหมดอายุขัยในชาตินี้ ขอให้พี่ได้อยู่กับหนู...’
แล้วดิฉันจะทำอย่างไรได้ ในเมื่อตัวเขาเองไม่อยากไป ตัวดิฉันก็ไม่ได้อยากให้เขาไป เพียงแต่มีความกังวลว่าการอยู่ด้วยกันของคนต่างภพอย่างนี้มันจะไม่ถูกต้อง แล้วมันจะทำให้เขาต้องรับเคราะห์กรรมอะไรที่ดิฉันไม่ทราบมากกว่าเดิมเพราะเขาเป็นคนเริ่มเรื่องนี้
แต่คำของใครหลายๆ คนที่สามารถสัมผัสกับพี่ขุนได้ก็ทำให้ดิฉันฉุกคิด
“เขามาอยู่ด้วยแรงคิดถึงคะนึงหา คนที่รักเรามากขนาดนี้ น้องลองคิดดูว่าเขาจะทำร้ายเราเหรอ”
“เขาก็ไม่ได้อยากไปไหนนะ อยากอยู่ดูแล คอยช่วยเหลือให้ชีวิตของเธอดีขึ้น”
“คนที่รักกันน่ะค่ะพี่ ถ้ารักกันแล้วพากันไปในทางที่ดี มีแต่จะสร้างความดีเพิ่ม จะภพจะภูมิไหนมันก็ไม่สำคัญหรอก หนูว่ามันเป็นเรื่องที่ดีนะคะ”
“เขาไม่อยากไปไหนก็ให้เขาอยู่ด้วยเถอะโยม สงสารเขา ถ้าเขาช่วยเหลือเรา ก็ให้เขาอยู่ต่อไปนั่นแหละ ไม่ต้องไปตัดกรรมอะไรหรอก”
“ถ้าตั้งใจจะให้เทพของเราถือครองเก้าอี้แล้ว หนูก็ต้องหมั่นทำบุญอุทิศให้เขานะ เขาจะได้มีกำลัง”
ส่วนหลังจากนั้น จากที่เคยไม่ศรัทธาในศาสนา ดิฉันก็เริ่มกลับมาทำบุญทำทานอีกครั้ง และทุกครั้งก็มักจะนึกถึงพี่ขุน มันไม่ใช่การทำบุญที่ดิฉันเป็นฝ่ายอุทิศให้ แต่เป็นการทำบุญที่ดิฉันชวนให้เขาทำด้วย
ทำร่วมกัน...เผื่อกุศลผลบุญจะได้มาบรรจบกันอีกในชาติอื่นๆ
แต่ถึงจะไม่ได้พบกันในชาติอื่นๆ ชาตินี้ก็ถือว่าพี่ขุนได้ทำในสิ่งที่เขาปรารถนาแล้ว
‘พี่ขอสมรักสักชาติ’
เขาเคยบอกเอาไว้ ดิฉันก็ได้แต่หวังว่าการที่เขาได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของดิฉัน ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม เขาจะมีความสุขและไม่ใช่การตัดสินใจที่ผิดพลาด ส่วนตัวดิฉันในวันที่สติสัมปชัญญะครบถ้วนจนมานั่งเขียนเรื่องราวเรื่องนี้ได้นั้น ดิฉันก็คิดว่าตัวเองตัดสินใจไม่ผิดเลยที่มาผูกพันกับเขาอีกครั้ง เพราะเขาทำให้ดิฉันมีความสุขในทุกๆ วันที่ยังหายใจอยู่ ไม่เว้นแม้แต่วันนี้...
วันที่ดิฉันได้บอกเล่าเรื่องราวนี้กระทั่งจบลง แต่มันก็จะจบลงในส่วนของการเล่าเท่านั้น ส่วนความผูกพันของดิฉันและพี่ขุนจะจบลงวันไหน ดิฉันก็ไม่อาจรู้ได้ ดิฉันอาจจะไม่ได้กล้าหาญพอที่จะสัญญาสาบานเหมือนเขาว่าจะรักและขอพบเจอกับเขาไปทุกภพทุกชาติ ได้แต่ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตาม ‘แรงกรรม’ ที่ดิฉันและเขาได้มีร่วมกัน
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมีเหตุมีผลเสมอ และอย่างที่บอก...แรงใดเสมอเหมือนซึ่งแรงกรรมนั้นไม่มี
ขอบคุณที่เขาเฝ้ารอไม่ไปไหน
ขอบคุณความรักมากมายที่มีให้ไม่ว่าดิฉันจะอยู่ในชาติภพไหน
และขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้
ขอให้บุญรักษา เทวดาคุ้มครอง มีความสุขในทุกๆ วันค่ะ
ถึงตรงนี้ ดิฉันขอเสริมเล็กๆ น้อยๆ ค่ะ เผื่อมีท่านใดที่มีข้อสงสัย
- ปัจจุบันนี้ ดิฉันกับพี่ขุนก็ยังอยู่ร่วมกันค่ะ เป็นไปในลักษณะถ้อยทีถ้อยอาศัยตามประสาคนรัก เรื่องทะเลาะอะไรกันไม่ค่อยมีแล้ว อาจจะมีขัดใจกันบ้าง แต่ก็ไม่ได้รุนแรงเหมือนที่เคยเป็นมา ซึ่งตอนนี้ครอบครัวของดิฉันก็รับรู้ถึงการมีอยู่ของพี่ขุนเป็นอย่างดี เป็นเรื่องยากจะอธิบายให้คนในครอบครัวเข้าใจเหมือนกันค่ะ กระทั่งคนในครอบครัวประสบกับเหตุการณ์ ‘ช่วยเหลือ’ ของพี่ขุนในรูปแบบต่างๆ จึงเริ่มเชื่อกันว่าเขามีตัวตนอยู่จริงๆ
- ดิฉันไม่สามารถดูกรรมหรือเจ้ากรรมนายเวรของใครได้นะคะ เนื่องจากว่าสามารถสื่อสารได้แต่กับพี่ขุนได้เพียงคนเดียว (เอาจริงๆ คือดิฉันกลัวที่จะต้องไปสื่อกับคนอื่นต่างภพภูมิที่ไม่ใช่พี่ขุนด้วยค่ะ เลยไม่สามารถทำได้) อาจจะให้คำปรึกษาได้บ้าง แต่ถ้าแบบแนะนำเป็นกิจจะลักษณะเลย อาจจะต้องปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านนี้จริงๆ พอดีมีหลังไมค์มากันหลายคน ต้องขออภัยด้วยนะคะที่ช่วยอะไรไม่ได้ ;w;
- ที่ดิฉันเขียนเรื่องราวนี้ลงกระทู้ จริงๆ แล้วตั้งใจว่าจะไม่เปิดเผยตัวตนเพราะอยากจะรักษาความเป็นส่วนตัว แต่ก็น่าจะมีคนรู้บ้างแล้วว่าดิฉันเป็นใคร ก็เลยฝากผลงานไว้กลายๆ ในท้ายกระทู้ที่แล้ว ก็ขอฝากผลงานที่อ้างอิงเกี่ยวกับเรื่องของพี่ขุนไว้ในสปอยล์เลยนะคะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
- สำหรับเรื่องราวนี้จะถูกปรับแต่งและเขียนเป็นนิยายขนาดสั้นเช่นกันค่ะ เนื้อหาอาจจะมีการปรับปรุงในส่วนของการพรรณนาโวหารบ้าง แต่หลักๆ ประเด็นที่ต้องการกล่าวถึงก็คงเดิม จะใช้ชื่อเรื่องว่า บ่วงบุพกรรม นะคะ เผื่อใครอยากตามต่อในแพทฟอร์มอื่น
- สำหรับผู้ที่ติดตามกระทู้เรื่องพี่ขุนมาตั้งแต่ต้น ดิฉันมีรูปมีขุนจะให้ดูค่ะ จะซ่อนไว้ในสปอยล์นะคะ ไม่ต้องทำใจก่อนดู ไม่มีอะไรน่ากลัวค่ะ ^^
เรื่องจากพันทิป [หนูผีมีเรื่องเล่า]เมื่อแรงกรรมส่งข้าพเจ้ากลับมา...และ (ว่าที่) สามีในอดีตชาติยังติดบ่วงสัญญาดังเดิม...
เรื่องโดย สมาชิกพันทิป หนูผีตัวน้อย
ขอขอบคุณเรื่องราวสยองและขออนุญาตนำมาเผยแพร่ ณ ที่นี้ด้วย
Post a Comment