พิธีกรรมสยองขวัญ ตอน จบ


     "GHost Detective File" เป็นผลงานซีรี่ย์สยองขวัญจากสมาชิกพันทิปนาม นาคาแห่งการพิธี ได้ดำนินมาถึงซี่ซั่นที่ 2 หากใครพลาด ซี่ซั่น 1เหงา โดยซีซั่นที่ 2 "พิธีกรรมสยองขวัญ" มีทั้งหมด 24 ตอนเราจึงรวบรวมได้แบ่งเป็น 3 ช่วง ขอขอบคุณเรื่องราวสยองไว้ ณ ที่นี้ด้วย

จากข่าวที่ได้รับ ดาวจึงต้องไปปรึกษากับครูพิลาวรรณ เรื่องที่ม.จะทำพิธีปัจฉิมลับกันในวันนี้ ซึ่งเมื่อรู้ ครูพิลาวรรณก็ตกใจ ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะความฝันของเธอ เธอจึงไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอย และอีกอย่างการทำพิธีอาจจะเป็นการซ้ำเติมเรื่องให้เลวร้ายลงไปอีก

"เย็นนี้เลยเหรอ"ครูพิลาวรรณถามดาว เพราะที่เธอรู้พิธีปัจฉิมลับนั้นจะทำในช่วงก่อนปัจฉิมนิเทศของชั้นม.6 ซึ่งเวลานี้ถือว่าเร็วผิดปกติ

ทั้งสองคนจึงใช้เวลาช่วงพักเที่ยงคบคิดหาวิธีหยุด หรืออย่างน้อยก็ต้องเลื่อนออกไปก่อน

"ไม่คิดว่าข่าวลือมันจะแพร่สะพัดได้เร็วขนาดนี้ เราจะทำยังไงต่อไปดีคะ" เมื่อคิดจนหมดสมอง ดาวจึงถามครูพิลาวรรณอย่างไร้ความหวัง

"ครูก็ยังไม่มีวิธีดีๆเลย อย่างน้อยก็น่าจะขวางไว้ก่อน เพราะตามที่ทำๆกันมามันก็ยังไม่ถึงเวลา"ครูพิลาวรรณตอบ แม้ดาวจะเห็นด้วย แต่ข่าวลือว่าหากไม่ทำพิธีนั้น ม.6หรืออาจจะรวมไปถึงนักเรียนทั้งโรงเรียนจะไม่ปลอดภัย ซึ่งหากทำอะไรผิดพลาดขึ้นมา ผลลัพท์ที่น่ากลัวอาจจะเกิดขึ้นก็ได้

"หรือเราจะบอกความจริงไปดีว่ามันเกิดอะไรขึ้น"ครูพิลาวรรณคิดว่าหากบอกว่าเกิดอะไรขึ้นกับโรงเรียนโดยอ้างจากข้อสรุปเมื่อวานนี้ พวกม.6อาจจะเชื่อ หรืออย่างน้อยอาจจะเลื่อนไปได้บ้าง

แต่ในความเป็นจริงๆเรื่องที่เล่าต่อๆกันมาจนหาต้นทางไม่ได้ มันยังมีน้ำหนักกว่าเรื่องจากคนสองคนที่เอาเรื่องอะไรไม่รู้ไปบอก

สุดท้าย แม้จะไม่มีวิธีการดีๆแต่ ทั้งสองก็ตกลงที่จะไปห้ามให้ได้ ส่วนข้ออ้างนั้นค่อยไปด้นสดตามน้ำเอา

..................................

ช่วงบ่าย ทางตำรวจได้ส่งคนมาดูดน้ำออกจากสระเพื่อหาหลักฐาน ภูและผู้กองต้อมในฐานะที่เจ้าของพื้นที่

"ทำหน้าเครียดอะไรตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว"ผู้กองต้อมสังเกตสีหน้าที่ดูเหมือนกับคิดอะไรอยู่ของภูเลยเอ่ยปากถาม

"มันสังหรณ์อะไรพิกลน่ะ สัญชาตญาณมันบอกว่า ข้อสรุปเมื่อคืนมันผิด แต่ผมก็หาข้อสันนิฐานที่ดีกว่าไม่ได้ หลักฐาน ข้อมูลมันน้อยเกินไป"

"ฉันก็คิดว่ามันง่ายไปเหมือนกัน แต่นายสงสัยเรื่องไหนเหรอ"ผู้กองต้อมก็รู้สึกเหมือนกันว่ามันต้องมองข้ามอะไรไปซักอย่าง

"พี่ต้อม คิดตามผมนะ ถ้าปีศาจมันอยู่ในต้นไทร ทำไมต้องเสียเวลาทำพิธีผนึก ทำไมไม่ตัดออกไปจากบ้านให้รู้แล้วร฿้รอดไปเลยล่ะ"ภูตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับต้นไทรหลังโรงเรียน อันที่จริงภูก็ติดประเด็นนี้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว แต่ไม่มีข้อมูลสนับสนุนเพียงพอ

"ต้นไทรนะเว้ย ตัดไม่ได้หรอก คนโบราณเค้าถือ ต้นโพธิ์ต้นไทร เค้าไม่ตัดกันหรอกมันไม่ดี" ตามคำโบราณที่ผู้กองต้อมบอกว่าไม่ควรตัดต้นไทร แต่หากต้นไทรเป็นปีศาจจะสู้ตัดไปเลยไม่ดีกว่าหรือ

"หรือต้นไทรนั่นไม่ใช่ตัวการ"ภูพูดขึ้นมาเบาๆ แต่ถึงอย่างนั้นผู้กองต้อมก็ได้ยินอยู่ดี

"ถ้าไม่ใช่ตัวการ แล้วตะปูที่ทำพิธีตรึงวิญญาณนั้นไว้ล่ะหมายความว่ายังไง" ผู้กองต้อมแย้ง ซึ่งข้อแย้งนี้ภูก็รู้ดี แต่ก็หาเหตุผลมาอธิบายไม่ได้

"งั้นเรามาลองคิดเล่นดูมั้ยพี่ ถ้าไม่ใช่ต้นไทรแล้วจะเป็นอะไร"คำถามของภุเหมือนจะเป็นเรื่องเล่นๆ  แต่บางทีมันอาจจะนำไปสู่คำตอบก็ได้

"เจ้าที่รึเปล่า เจี๊ยบเคยบอกว่าในหมู่วิญญาณที่ยึดติดกับอาณาเขต เจ้าที่ถือว่ามีอำนาจที่สุด นอกจากป้องกันไม่ให้วิญญาณอื่นเข้ามา ยังปกครองวิญญาณในอาณัติได้ด้วย"คำตอบเล่นๆของผู้กองต้อม ทำให้ภูฉุกคิดขึ้นมาได้

"เจ้าที่ ใช่แล้ว ปีศาจนั่นคือเจ้าที่"

"แต่ที่ฉันรู้เจ้าที่เป็นเทวดานี่นา จะทำเรื่องแบบนี้ได้ยังไง"ผู้กองต้อมถามด้วยความสงสัยจนภูต้องอธิบายให้ฟัง

"ไม่จำเป็นหรอกพี่ บางที่ เจ้าที่เป็นเปรต หรือปีศาจอสุรกายก็ได้ ทางเหนือ ที่ดินบางที่เรียกว่าที่ผีกะ เพราะมีผีกะเป็นเจ้าที่ที่ดิน และในกรณีนี้อาจจะเป็นไปได้ที่ปีศาจนั่นคือเจ้าที่" แต่ผู้กองต้อมก็ยังงงอยู่

"แต่ถ้าเป็นเจ้าที่ ต้นไทรหลังโรงเรียนก็น่าจะใช่ไม่ใช่เหรอ" แต่ผู้ก็แย้งพร้อมกับข้อสันนิฐานที่บ่งชี้ว่าต้นไทร ไม่ใช่ตัวการอย่างแน่นอน

"เพราะเรื่องลึกลับที่บอกว่าเห็นคนผูกคอตายที่ต้นไทรยังไงล่ะ ถ้าเป็นวิญญาณอาฆาตที่ผูกขอตาย แน่นอนว่ามันอาจจะกลายเป็นปีศาจได้ แต่จะมีอำนาจขนาดที่เป็นเจ้าที่ของทั้งโรงเรียนได้ มันเป็นไปไม่ได้"

ข้อสันนิฐานของภูยิ่งชัดขึ้น เมื่อตำรวจสูบน้ำจนแห้ง ปลาในสระลดลงไป ส่วนหนึ่งจากที่ผู้ตายมาเอาไป แต่มันไม่น่าจะเยอะเมื่อเทียบกับจำนวนที่หายไป

"ภูนายมาดูอะไรนี่สิ"ผู้กองต้อมเรียกภู เพื่อมาดูร่องรอยอะไรบางอย่างที่มุมของสระ มันเป็นเหมือนรอยมือคนกำลังตะกุยอะไรบางอย่าง ซึ่งเดาได้ทันทีว่ารอยตะกุยนี่เป็นสาเหตุที่เล็บมือของผู้ตายมีเศษดินติดอยู่

"พี่ต้อมผมขอดูอะไรหน่อยนะ หลังจากถ่ายภาพเก็บไว้ ภูสังเกตอะไรบางอย่างที่ฝังตัวอยู่ที่รอยตะกุยนั้น ภูดึงมันออกมา

มันเป็นแท่งหินขนาดประมาณขวดน้ำอัดลม รอบสลักอักขระประหลาดไว้จนเต็มทั้งก้อน ภูขออนุญาตผู้กองต้อมนำกลับไปให้หลวงพ่อที่วัดดู บางที่หลวงพ่ออาจจะพอรู้อะไรบ้าง

"มันก้ได้นะที่นายจะเอาไป แต่ถ้ามันเป็นของลงอาคมมันจะไม่แย่เหรอ"ผู้กองต้อมถามด้วยความเป็นห่วง

"ไม่เป็นไรพี่ ถ้ามันลงอาคมจริง ผมจับมัน มันก็หายไปหมดแล้ว ผมยืมคืนเดียวพรุ่งนี้ผมจะเอามาคืน แล้วก็นะ อย่าเพิ่งปล่อยน้ำลงนะพี่" เมื่อได้หลักฐานมาภุก็ขอตัวกลับทันที

..................................

ตอนเย็นหลังเลือกเรียน ที่หอประชุม ตามข่าวที่อุ๊แจ้งมา ม.6ได้แอบทำพิธปัจฉิมลับ ขณะที่พิธีกำลังดำเนินไป ครูพิลาวรรณจึงเดินออกมา พร้อมกับดาวที่เดินมาข้างๆ จนทำให้ผู้ร่วมพิธีทั้งหมดตะลึง เพราะมีครูเข้ามาและดาวที่ยังอยู่ชั้นม.5อยู่

"ครูอยากให้ทุกคนหยุดทำพิธีนี่ก่อน"ครูพิลาวรรณคว้าไมค์จากรุ่นพี่ที่จบไปมา เพื่อประกาศหยุดพิธี ซึ่งมีเสียงโห่ ดังมาเป็นระยะๆจากนักเรียน ดาวได้แต่ยืนก้มหน้า หมดท่านักเรียนดีเด่น

"เพื่อนผมตาย ถ้าไม่ทำพิธีนี้ แล้วถ้ามีคนตายครูจะรับผิดชอบไหวเหรอ" เสียงนักเรียนคนเหนึ่งตะโกนขึ้นมา ทำให้ครูดาวต้องตะคอกผ่านไมค์ว่าให้เงียบทั้งน้ำตา

พวกเธอไม่รู้หรอกว่ากำลังทำอะไรลงไป ที่เธอทำมันอาจทำให้เรื่องแย่ลง ครูกับอิงดาวจึงอยากขอร้องให้พวกเธอหยุด หรืออย่างน้อยก็เลือดไปก่อน

เสียงโห่ของม.6ก็ดังมาอีกครั้งคราวนี้มีเสียงด่าทออิงดาวด้วยที่เป็นม.5แต่ยุ่งไม่เข้าเรื่อง

"ครูบอกให้หยุดไง" ครูพิลาวรรณตะคอกอีกครั้ง

"มีปีศาจอยู่ในโรงเรียนเรา มันอยู่มานานแล้วโดยที่เราไม่รู้ตัว มันเคยฆ่าอาของครู และมันอาจจะฆ่าทิวเมฆ สิ่งที่เราทำมารุ่นแล้วรุ่นเล่า อาจจะเป็นการเพิ่มอำนาจให้มัน ครูจึงอยากให้เธอหยุดก่อน ครู ตำรวจกับทีมงานของอิงดาวกำลังสืบหาตัวตนของมันอยู่ และหลายคนอาจจะไม่เชื่อ ถ้าเราทำมันได้ เราจะจำ7เรื่องลึกลับ กับพิธีนี่ไปตลอดเลยก็ได้ และหากเธอยังดื้อดึง ครูจะใช้ความเป็นครูหยุดกิจกรรมนี้ซะ" ครูพิลาวรรณพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ทั้งห้องประชุมเงียบกริบ บางคนเริ่มทะยอยออกไป พร้อมกับคำๆ

"เราจะคอยดู ถ้ามีคนตายอีก พวกครูต้องรับผิดชอบ"

ทุกคนออกไปจนหมด เหลือเพียงครูพิลาวรรณ ดาว และอุ๊ที่รออยู่

"ขอบใจมากนะที่เอาเรื่องมาบอกอิงดาว ไม่อย่างนั้นคงเกิดเรื่องแน่ๆ" ครูพิลาวรรณบอกพร้อมกับกอดอุ๊

"ขอบคุณด้วยนะคะพี่อุ๊" ดาวที่ยินตัวแข็งทื่อเมื่อซักครู่ก้เดินเข้ามากอด

"ไม่เป็นไรค่ะ หนูฟังเรื่องของครูจากอิงดาวแล้ว หนูก็ไม่อยากให้เพื่อนคนสำคัญของหนูต้องมีชะตากรรมที่น่าเศร้าเหมือนกัน" อุ๊เหลียวมองไปด้านหลังที่มีตุ๊กตาวางอยู่บนโต๊ะ

.................................

ช่วงหัวค่ำ ที่กุฏิหลวงพ่อ หลังจากที่ภูเอาก้อนหินลงอักขระที่ได้มาจากริมสระน้ำให้หลวงพ่อดู ก็ได้ความว่าน่าจะเป็นก้อนหินที่ใช้ในพิธีผนึกอะไรซักอย่างซึ่งเป็นศาสตร์เฉพาะ ซึ่งหมายความว่ารอบๆสระนั้นก็น่าจะมีก้อนหินแบบนี้อยู่ แต่ที่น่าห่วงคือ การที่ภูไปเอาก้อนหินนี่ออกมามันจะเป็นเพียงการทำให้ผนึกอ่อนลง หรือจะทำลายผนึกทั้งหมดกันแน่

มีโทรศัพท์ฺมาหาภูจากครูพิลาวรรณ เธอแจ้งเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนเย็นให้ภูทราบ ทั้งสองคุยเรื่องที่พบใจในวันนี้ให้แต่ละฝ่ายทราบ เพราะดาวก็อยู่กับครูพิลาวรรณด้วย วึ่งดาวที่ฟังอยู่ข้างๆก็แอบเจ็บใจที่ภูสามารถหาสมมติฐานมาหักล้างแนวคิดของเธอได้

"คุณภูคะ คือปู่หลงออกจากโรงพยาบาลแล้ว ปู่เค้าบอกว่าพรุ่งนี้อยากให้ฉันพาคุณภูไปเจอที่บ้านปู่เค้าหน่อย ไม่ทราบว่าตอนบ่ายคุณภูไปกับฉันได้มั้ยคะ"

"ได้ครับ ผมก็มีเรื่องอยากถามปู่เค้าเรื่องหินนี่เหมือนกัน"

.........................................................................

วันต่อมาหลังจากที่ภูได้หลักฐานสำคัญสระน้ำ ทางฝ่ายผู้กองต้อมจึงสั่งให้หยุดหาหลักฐานทันทีเพราะจากข้อมูลที่ได้มานั้น ยังมี "ผนึก" ลักษณะเดียวกันอยู่หลายอัน และยังไม่แน่ "ผนึก" ที่ว่าจะถูกทำลายลงไปแล้วหรือไม่

รอบสระถูกกั้นด้วยแถบของสำนักงานตำรวจเพื่อแสดงเขตหวงห้าม และเพียงแค่ช่วงเข้าข่าวซุบซิบเกี่ยวกับเหตุการที่เกิดขึ้นยิ่งหนาหูมากขึ้น มันลามไปชั้นอื่นๆนอกจากม.6แล้ว

ดาวที่มาเรียนในตอนเช้ารู้สึกแปลกๆและเย็นสันหลังวาบจากสายตาที่จ้องมองที่มันเปลี่ยนไป โดยเฉพาะจากรุ่นพี่ม.6  จากที่เคยชื่นชมฐานะนักเรียนดีเด่นของโรงเรียน กลายเป็นพวกสะเออะ ชอบโชว์พาว หลังจากที่เมื่อวานที่เธอตามครูพิลาวรรณไปหยุดพิธีปัจฉิมลับของพวกม.6

"ดาว แกเป็นอะไรสีหน้าไม่ค่อยดีเลย" มิ้นที่เข้ามาทักทายเห็นสีหน้าของดาวผิดแปลกไปจึงถาม แต่ดาวก็ตอบแค่ว่าไม่มีอะไรลูกเดียว

วันนั้นมลมาเรียนหลังจากที่หยุดไปหนึ่งวัน และเพื่อนทั้งสองของมิ้นก็เหมือนจะมีอะไรแปลกๆ มลก็เหมือนจะหลบหน้าหลบตา ดาวก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตา จนมิ้นต้องไปลากทั้งสองคนมาคุย

"นี่พวกแกเป็นอะไรหะ ไม่คุยกันเลย พวกแกมีอะไรรึเปล่า" มิ้นถึงกับต้องถามตรงๆด้วยท่าทางจริงจัง จนทั้งสองยอมบอก

"ฉันยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่อ่ะแก" มลบอก แต่มิ้นไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่

"ฉันรู้สึกแปลกๆว่ะแก มันแบบเหมือนโดนจิตสังหารคุกคามยังงั้นแหละ" ดาวไม่รู้จะสรรหาคำอะไรมาอธิบายปรากฏการณ์ที่ พวกม.6พร้อมใจกันมองเธอแบบจงเกลียดจงชังในวันเดียว

"ดาว ฉันว่าแกดูหนังเยอะไปแล้วนะ จิตสังหงจิตสังหารอะไรกัน แกนี่ถ้าจะเพี้ยน" มิ้นเบือนหน้าหนี มาทางฟากของมล ซึ่งเธอก็เข้าใจดี เพราะอาการแบบมลคือ มโนไปเองแล้วก็อกหักไปเอง

"น้องอิงดาวอยู่รึเปล่า" คนที่ดาวไม่อยากเจอหน้ามากที่สุดก็เข้ามาหาเธอ อุ๊มาหาดาวหลังจากที่เมื่อคือครูพิลาวรรณก็ได้บอกถึงความคืบหน้าให้แก่อุ๊ผู้เสียหายด้วยเช่นกัน

"พี่อุ๊มาทำไมเหรอคะ" ดาวถาม เพราะคราวนี้อุ๊เดินเข้ามาหาเธอถึงในห้องเลย ท่าทางที่อุ๊เหมือนจะสนิทสนมกับดาวเป็นพิเศษ(ในสายตามล) และท่าทางที่ดาวเหมือนไม่อยากเจอหน้ารุ่นพี่ที่มาหา(ในสายมล) มันทำให้มลถึงกับลุกออกจากที่นั่งไป ทำไม่มิ้นเดินตามไปพร้อมกับชักสีหน้าใส่ดาวทีนึง

"ครูดาวได้เล่าให้ฟังแล้ว ตอนนี้ได้หลักฐานสำคัญแล้วเหรอ" อุ๊ถาม ดาวพยักหน้าไปหนึ่งที

"ดีจัง ที่นี้เราก็จะได้จัดการปีศาจที่มันทำร้ายพี่เอิร์นได้ซะที"อุ๊พูดอย่างดีใจ แต่เมื่อดาวได้ยินแบบนั้นก็เบรคอุ๊แทบไม่ทัน

"ดะ..เดี๋ยวนะคะ คือว่าพวกเราเป็นนักสืบนะคะไม่ใช่หมอผี ต่อให้รู้เรื่องทั้งหมด แต่ถ้ามันเป็นอะไรที่เราจัดการไม่ได้ เราก็จนปัญญาค่ะ" ความหวังของอุ๊พังลงไปในพริบตา

"ถ้าสิ่งที่ถูกผนึกไว้คือวิญญาณเพียวเลย ไม่มีสื่อนำหรืออะไรที่วิญญาณนั้นยึดเหนี่ยว เราก็จัดการมันไม่ได้ค่ะ หรือต่อให้มีก็ไม่แน่ว่ามันจะได้ผล" นี่คือความจริงที่ดาวบอกอุ๊ บางสิ่งที่ถูกผนึกอยู่ในสระ ไม่ว่าจะจัดการมันได้หรือไม่ แต่ "กรรม"คือสิ่งที่ยุติธรรมเสมอ และไม่ว่า ปีศาจนั้นจะแข็งแกร่งแค่ไหน มันก็หนี"กรรม"ไม่พ้น

.........................................

บ่ายแก่ๆภูกับครูพิลาวรรณก็มาถึงบ้านของปู่หลง ตามที่ได้นัดไว้ บ้านของปู่อยู่ไม่ไกลจากบ้านครูพิลาวรรณมากนัก รู้สึกว่าคุณหลวงฯกับพ่อของปู่จะสนิทสนมกันจนคุณหลวงฯแบ่งที่ดินให้พ่อของปู่เป็นที่อาศัย

บริเวณบ้านปลูกต้นไม้จนครึ้ม มีบ้านอยู่หลายๆหลังเข้าใจว่าเป็นบ้านของลูกๆหลานๆ แต่มีบ้านไม้ทรงไทยหลังเล็กๆอยู่ตรงกลาง เป็นบ้านของปู่หลง ซึ่งแกอยู่คนเดียวที่บ้านหลังนี้คนเดียว ครูพิลาวรรณได้ยินว่าบ้านหลังนี้ผีดุ เพราะทั้งปู่และพ่อของปู่เป็นคนเล่นของจนแม้กระทั่งลูกหลานของแกเองยังไม่กล้าเข้าใกล้

"สวัสดีครับคุณหนู" คุณปู่ที่นั่งรถเข็นยกมือไหว้ต้อนรับครูพิลาวรรณ ซึ่งครูพิลาวรรณต้องไหว้ตอบแทบไม่ทัน วึ่งก้ไม่แปลก เพราะว่าปู่แกถือว่าเธอเป็นลูกหลานเจ้านาย แม้รุ่นลูกๆหลานๆที่สนิทกันก็ถือกันเป็นเพื่อ พี่น้องมากกว่า จะมีแต่ปู่คนเดียวที่ยังคิดแบบนี้อยู่

"ต้องขอโทษด้วยนะครับ ที่ขอให้มากะทันหันแบบนี้" ชายแก่ให้สัญญาณให้คนดูแลเข็นแกเข้าไปในบ้านหลังหนึ่งซึ่งเป็นบ้านของลูกแก ภูกับครูพิลาวรรณเดิมตามเข้ามาในบ้าน ก่อนที่ครูพิลาวรรณจะแยกไปในครัวเพื่อช่วยคุณป้าที่เป็นลูกสะใภ้ลุงยกน้ำมา ซึ่งปล่อยให้ภูคุยกับปู่กันสองคน

"พ่อหนุ่มคงมีวิชาสินะ พอเข้ามา เด็กๆในบ้านพากันเงียบเชียว" จู่ๆปู่ก็ทักภูขึ้นมา แต่ภุก็ปฏิเสธมาตัวเองไม่ได้มีวิชาอะไรทั้งนั้น

"ผมไม่มีวิชาอะไรหรอกครับ ผมเป็นผู้สัมผัสวิญญาณ" คำพูดของภูทำให้ปู่งงว่าผู้สัมผัสวิญญาณคืออะไร จนภูต้องอธิบาย

"ผู้สัมผัสวิญญาณก็คือคนที่มีความสามารถทางวิญญาณติดตัว จะมีมากมีน้อย หรือลักษณะแตกต่างกันไป อย่างผมก็คือในอาณาเขต ปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติทั้งหมด รวมถึงภูติผีปีศาจ จะไร้ผลครับ" แม้ว่าภูจะอธิบายแต่ปู่ก็ยังไม่เข้าใจ จนภูต้องสรุปเอาว่าตัวเองเป็นคนที่ผีจะกลัวไม่กล้าเข้าใกล้

"อย่างนี้นี่เอง ว่าแต่คุณหนูบอกว่าพ่อหนุ่มไปเจออะไรมาเหรอ" ปู่ถาม เพราะเมื่อเช้าครูพิลาวรรณมาบอกเขาว่าภูเจอก้อนหินอะไรบางอย่าง จึงอยากเอามาให้ปู่ที่เป็นคนเก่าแก่ของตระกูลดู

"นี่ครับ" ภูหยิบก้อนหินออกมาจากกระเป๋ายื่นให้ปู่ ตอนแรกปู่ก็ไม่กล้าจะแตะแต่ภูบอกว่าของผ่านมือภูมาแล้วถือว่าปลอดภัย นอกเสียจากว่าจะเอาไปฟาดหัวใครเท่านั้น

พอปู่หยิบหินขึ้นมาดูอย่างใกล้ชิดซักพักก่อนจะวางลงพร้อมกับถอนหายใจ ซึ่งจังหวะนั้น ครูพิลาวรรณก็เข้ามาพอดี

"มีอะไรเหรอคะ"ครูพิลาวรรณที่ยกน้ำมาเสิร์ฟเอ่ยถาม

"มันเป็นหินผนึกไม่ผิดแน่ แต่ถ้ามันอยู่ในที่ดินของคุณหลวงคิดว่าต้องเกี่ยวข้องกับพ่อแน่ๆ"ปู่หลง พูดถึงพ่อของตัวเอง ซึ่งพ่อของปู่เป็นคนใกล้ชิดของหลวงนรินทร์ปกเกล้า ซึ่งถือว่าเป็นผู้ทรงวิชาอาคมที่หาตัวจับยากผู้หนึ่งในสมัยนั้น ท่านได้ถ่ายทอดวิชาให้ปู่หลงซึ่งเป็นลูก แม้ปู่จะเรียนรู้ไม่ทั้งหมด แต่พ่อของปู่ก็ทิ้งบันทึกวิชาต่างๆไว้ให้

"ยังไงเดี๋ยวเราที่บ้านหลังกลางกัน"ปู่หลงชวนให้ภูกับครูพิลาวรรณไปที่บ้านซึ่งเก็บบันทึกของพ่อของปู่ไว้ เผื่อจะมีบอกอะไรเกี่ยวกับก้อนหินผนึกนี้บ้าง

.......................................

ช่วงเย็นหลังเลิกเรียน วันนั้นดาวเป็นเวรจึงเอาขยะมาทิ้งเป็นคนสุดท้าย วันทั้งวัน ดาวแทบไม่ออกจากห้องเลย ด้วยเพราะสายตาแปลกๆที่พวกรุ่นพี่ม.6มองเธอ หลังจากที่เธอเสนอหน้าไปหยุดพิธีกับครูพิลาวรรณเมื่อวาน

(รีบหน่อยดีกว่าเดี่ญวจะได้กลับ)ดาวหิ้วถังขยะ ที่เพิ่งทิ้งเพื่อเอากลับเข้าไปในห้อง แต่พอเดินผ่านห้องน้ำ คนกลุ่มหนึ่งก็โผล่มาจากข้างหนังพร้อมกับล็อคตัวเธอไว้ ไม่ทันที่ดาวจะตะโกนขอความช่วยเหลือ หนึ่งในนั้นก็เอาผ้าชุบน้ำอะไรซักอย่างมาอุดปากเธอไว้แล้วลากเข้าห้องน้ำไป

"เก่งมากใช่มั้ยนักเรียนดีเด่น อยากเสนอหน้าดีนัก" เสียงๆหนึ่งพูด ดาวพยายามดิ้นอย่างสุดแรง แต่เพราะพวกนั้นเอาผ้าชุบครอโรฟอร์มอุดปากเธอไว้ แล้วด้วยฤทธิ์ของมัน แม้จะไม่ทำให้สลบทันทีเหมือนในละคร แต่มันก็ทำให้เธอมึนๆเวียนหัวได้

พวกมันเหวี่ยงร่างของดาวเข้าไปในห้องน้ำห้องหนึ่ง จากนั้นพวกมันก้ปิดแล้วเอาไม้มาดามประตูไว้เพื่อขังดาวให้อยู่ในนั้น

ก่อนที่จะหมดสติ เพราะอาการมึนๆจากฤทธิ์ครอโรฟอร์ม และเนื่องจากที่หัวของดาวไปฟากับผนังห้องน้ำ เธอก้ได้ยินเสียงของพวกมันก่อนที่จะสลบไป

"ให้มันอยู่ในนั้นซักคืน จะได้รู้ว่าเรื่องลึกลับมันจริงมั้ย อยากห้ามพวกเราดีนัก ไม่ให้เอาตุ๊กตาสังเวย ก็เอาคนเป็นๆสังเวยเลยละกัน"

..............................................

ทันทีที่เดินเข้ามาในห้องพิธี วึ่งมีแต่ปู่หลงกับภูที่เข้ามาได้ เพราะครูพิลาวรรณเป็นผู้หญิงจึงต้องรออยู่นอกห้อง ทันที่ที่ภูก้าวเข้ามาในห้อง ห่อผ้าเก่าๆห่อหนึ่งก็ตกลงมาจากเพดานต่อหน้าต่อตาภูและปู่หลง ความทรงจำช่วงหนึ่ง เป็นคำพูดที่พ่อของปู่บอกไว้ก่อนเสียก็หวนหลับมา

"ถ้าคนที่ทำให้ห่อบันทึกลับที่พ่อเก็บไว้ตกลงมา ให้เอาบันทึกที่อยู่ในนั้นให้คนๆนั้น เค้าจะช่วย......ได้"

.............................................
ในห่อผ้าที่ตกลงมามีสมุดบันทึกเก่าๆเล่มหนึ่ง หน้าปกนั้นหลุดออกไปแล้วเหลือแต่กระดาษสีเหลืองที่อยู่ด้านใน

"ถึงผู้ที่เปิดอ่าน" ข้อความบนหน้าแรกของสมุด มันเขียนด้วยตัวหวัดสวยงาม

ภูหยิบสมุดบันทึกนั้นขึ้นมาอ่าน ตามคำแนะนำของปู่หลง ผู้ซึ่งพ่อของปู่ได้สั่งเสียเอาไว้

"ลองอ่านเถอะพ่อหนุ่ม พ่อของปู่บอกว่าให้คนที่ทำให้สมุดบันทึกนี้ตกลงมาจากขื่อได้อ่านและทำตามที่เขียนเอาไว้"

ภูลองอ่านดูตามคำแนะนำ เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นก็ปรากฏแก่สายตาของภูและครูพิลาวรรณ ตัวตนของปีศาจ และเรื่องร้ายๆทั้งหมด

"ถึงผู้ที่ได้เปิดอ่าน ข้า นายเรือง เป็นคนสนิทของคุณหลวงนรินทร์ปกเกล้า วันหนึ่งข้าตามคุณหลวงกลับไปที่บ้านเดิมของคุณหลวง ที่ซึ่งเป็นมรดกตกแก่ ขุนคีตรจนาผู้เป็นพี่ชายของคุณหลวง เดิมคุณหลวงนั้นมาเพื่อสะสางมรดกของตระกูลที่ท่านสละให้ผู้พี่ไป บัดนั้น ท่านขุนผู้พี่ได้เสียชีวิตลง แต่เรื่องราวมันกลับพิลึกพิลั่น ศพของท่านขุนไม่อาจย้ายออกจากเรือนได้ กลางคืนก็กลายเป็นผีดิบไล่กัดกิน หมูหมาแลเป็ดไก่ที่เลี้ยงไว้ จนบ่าวไพร่พากันหนีหาย ไม่อาจอาศัยที่บริเวณบ้านตอนกลางคืนได้แม้แต่คุณหลวงเอง จวบจนสามวันถึงเผา แต่ศพของท่านขุนกลับไม่ไหม้ คุณหลวงจึงจนใจข้าผู้พอมีวิชาติดตัวอยู่บ้างจึงอาสาปลงศพ แต่ด้วยปีศาจท่านขุนนั้นเกินกำลังข้านัก ครั้นได้หารือกับคุณหลวง ข้าจึงทำอาถรรพ์ ฝังศพท่านขุนไว้ทั้งโลงลงในบ่อน้ำ ให้ลึกพอที่จะไม่มีใครเจอ ให้ตื้นพอที่คนมีวิชามากพอจะมาเจอ จากนั้นจึงซ่อนบ่อน้ำไว้โดยขุดเป็นสระ แล้วจึงฝังอาถรรพ์ไว้สี่มุม เป็นข่ายกากบาท เพื่อไม่ให้ปีศาจท่านขุนออกจากสระมาอาละวาดได้ และด้วยความสงสารคุณหลวงจึงปล่อยปลาลงในสระ แล้วลงโองการกำกับไว้ให้ปีศาจนั้นกินเป็นอาหาร

ครั้นปลงศพแล้วท่านจึงให้บ่าวไพร่ท่านขุนไปอาศัยเลี้ยงชีพยังเรือกสวนไร่นาของตระกูลท่านที่มีมาก แลเมื่อสอบสวนทวนความบ่าวไพร่แล้วจึงได้ความว่า เมื่อแม่ชื่นภริยาท่านขุนเสียลง ท่านจึงวิปลาศ โมโหร้าย โบยตีบ่าว จนบางคนทนไม่ไหวผูกคอตายไปก็มี ด้วยเหตุนี้คุณหลวงจึงเวทนาเพราะบางคนก็เป็นข้าเก่ามาตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ ส่วนเรือนท่านก็ปล่อยทิ้งไว้ให้โทรมไปเอง ทรัพย์สินมีค่าท่านก็เก็บไว้

ล่วงมาจนหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง หลวงได้ถือเอาที่ดินขุนนางเก่าไปคุณหลวงไม่พอใจจึงยกที่ดินเดิมให้ นัยว่าเพื่อให้เกิดความวิบัติเพราะปีศาจนั้น แต่ภายหลังเมื่อทราบว่าหลวงท่านจะทำเป็นโณงเรียน ครั้นรู้จึงละอาย ท่านจึงอำนวยความสะดวกช่วยเหลือ เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายแก่ชาวบ้านที่มาช่วยกันสร้างโรงเรียน จนแล้วเสร็จ

พอช่วงสงคราม ชาวพระนครได้หนีมายังนอกเมืองได้ถือเอาโรงเรียนเป็นที่พักบ้าง จนเกิดเหตุสลดอยู่บ่อยครั้ง ทั้งลงไปเล่นในสระจนถูกปีศาจนั้นจับกิน บ้างก็ตายไปโดยไม่ทราบสาเหตุ คุณหลวงจึงให้ข้ามาแก่ไข จนทราบว่า ปีศาจนั้นใช้ให้ผีบ่าวที่ภักดีมาทำร้ายเพื่อให้วิญญาณไปเป็นข้า ตัวข้าจึงจนปัญญาแก้ไข จึงแก้เคล็ดโดยให้ชาวบ้านทำเป็นหุ่น แล้วฆ่าเสียเพื่อสังเวยแก่ปีศาจไปเป็นข้า เรื่องจึงสงบลง แต่ก็ไม่มีใครกล้าพักในเขตโรงเรียนอีกเลย และหลังจากเกิดเรื่องมากมาย คุณหลวงจึงตรอมใจไปเสีย

และท้ายนี้ข้ารู้ว่าตัวจะอยู่ได้อีกไม่นาน จึงหาทางแก้ไข โดยเขียนบันทึกนี้ไว้แล้วให้วิชาคาถาอาคมทั้งหมดของข้าปกปักรักษารอผู้มีวิชาที่แก่กล้ากว่ามาเพื่ออ่านบันทึกนี้ เพื่อทำลายปีศาจนั้น ตามคำสั่งเสียสุดท้ายของคุณหลวง

เรือง"

เมื่อภูและครูพิลาวรรณได้อ่านข้อความทั้งหมด ชิ้นส่วนต่างๆของปริศนาก็กระจ่าง ทั้งบ่อน้ำที่หายไป และที่สำคัญตัวตนของปีศาจ

"อย่างรี้นี่เอง"ภูยิ้มอย่างมีชัย เขารู้ทางที่จะจัดการปีศาจตัวนี้เพื่อปิดฉากเรื่องราวทั้งหมด ในขณะที่ทางครูพิลาวรรณนั้นได้แต่อึ้งอยู่เมื่อรู้ว่าบรรพบุรุษของตัวเอง อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมด และยังฆ่าลูกหลานคือ อาแท้ๆของเธออีกด้วย

จู่ๆเสียงโทรศัพท์ของครูพิลาวรรณก็ดังขึ้น เมื่อเธอหยิบมาดูก็รู้ว่าดาวโทรมา เธอจึงกดรับเพื่อจะบอกเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง แต่ผิดคาด เสียงในโทรศัพท์นั้นไม่ใช่ดาว แต่เป็นเสียงที่ทำให้เธอรู้สึกขนลุก

"วรรณ ๆ ช่วยด้วย เด็กของเธอ อยู่ที่นี่ มันรู้ตัวแล้ว มันกำลังมา ช่วยด้วย" เสียงปลายสายที่ไม่ใช่ดาวนั้นพูดอย่างร้อนรน เสียงขาดๆหายๆ แต่ครูพิลาวรรณนั้นรู้ดีว่านี่คือเสียงของใคร

"กระซุ่" เธอหลุดพูดชื่อๆนั้นออกมา ชื่อของเพื่อนที่เธอได้ "ฆ่า"ในพิธีปัจฉิมลับในรุ่นของเธอ

........................................

(ที่นี่ที่ไหน) ดาวจำได้ว่าเธอถูกคนจำนวนนึงทำร้ายแล้วขังในห้องน้ำ แต่ตอนนี้เธอรู้สึกว่าเธออยู่ที่ระเบียงทางเดินตรงตึกเรียน บรรยากาศรอบตัวมันขนลุกอย่างบอกไม่ถูก และเมื่อหันหน้าออกไปที่ด้านนอกอาคาร กลุ่มควันทะมึนจะขนลุกปกคลุมทั้งโรงเรียน มันรู้สึกน่ากลัว สยดสยองอย่างบอกไม่ถูก

"ขอโทษนะที่ช่วยอะไรเะอไม่ได้"เสียงๆหนึ่งพูดมาจากด้านหลังดาว เมื่อเธอหันไปมอง ก็เป็นนักเรียนหญิง ที่ดูเหมือนจะรุ่นราวคราวเดียวกับเธอ เธอใส่ชุดนักเรียนเหมือนกับดาว อกขวาปักอักษรย่อของโรงเรียน เพียงแต่ไม่มีเลขประจำตัว ส่วนอกซ้ายปักคือคำว่า "กระซู่"

"นี่ฉันตายแล้วเหรอคะ" ดาวถามนักเรียนคนนั้นถึงสถานภาพของเธอในตอนนี้ แต่นักเรียนหญิงคนนั้นส่ายหน้า

"เปล่าหรอก เธอแค่หลับไป เธอคือคนที่ฉันรอนะ น่าเสียดายที่วันนั้นผิดแผนไปหน่อย" ดาวโล่งอกเมื่อได้ยินเช่นนั้น แต่ก็ยังสะกิดใจที่เธอพูดถึงคำว่าวันนั้น

"วันนั้น วันไหนเหรอ แล้วชื่อของเธอนี่ดูคุ้นๆจัง"ดาวถามนักเรียนแปลกหน้าคนนั้น

"เธอน่าจะรู้จักฉันแล้ว ฉันเป็นเพื่อนของวรรณ ซึ่งตอนนี้คือครูของเธอ ชื่อกระซุ่ เป็นคนที่พวกเธอทั้งหลายเรียกว่าเพื่อนคนพิเศษ" ดาวตกใจเมื่อได้ยินแบบนั้น และทันใดนั้น "เพื่อนคนพิเศษ" คนอื่นๆ ทั้งชายหญิง ก็เดินออกมาจากห้องต่างๆ มาบนระเบียงเต็มไปหมด

"เดี๋ยวนะ พวกคือ เพื่อนคนพิเศษ ทั้งหมดเลยเหรอ" เพื่อนคนพิเศษคนอื่นๆก็พร้อมใจกันพยักหน้า

"ต้องขอบคุณที่โรงเรียนสร้างตึกนี้ พอผ่านพิธี พวกเราจึงมีที่หลบปีศาจร้ายนั่น พวกรุ่นก่อนหน้าเราและบางคนที่ทนหิวไม่ได้ ก็ไม่ได้โชคดีอย่างนี้ พวกเค้าต้องตกเป็นทาสของปีศาจนั่น และตอนนี่เหมือนมันจะรู้แล้วว่า เธออยู่ที่นี่และมันกำลังจะมา"กระซุ่บอกให้ดาวฟัง เธอสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวภายนอกนั่น มันกำลังคืบคลานเข้ามา เพื่อที่จะกินดาว ผู้ที่เป็นผู้สัมผัสวิญญาณ

"ถ้าอย่างนั้นปีศาจที่ว่านั่นจะเข้ามาฆ่าฉันงั้นเหรอ" ดาวถามด้วยความกลัว กระซุ่เมื่อได้ฟังก็แสดงสีหน้าไม่สู้ดีนัก

"นั่นขึ้นอยู่กับเวลา ตึกนี้คืออาณาเขตของฉัน ปีศาจนั่นเข้ามาไม่ได้ง่ายๆ แต่พวกฉันก็ไม่รู้ว่าจะต้านมันได้นานแค่ไหน แต่ฉันโทรบอกวรรณให้แล้ว เพื่อนของเธอนั้นจะต้องมาช่วยเธอแน่ๆ" เพื่อนที่กระซุ่พูดถึงดาวรู้ได้ทันทีว่าหมายถึงภู เธอดูจะใจชื่นขึ้นมาบ้าง

"แล้วเรื่องวันนั้นที่คุณพูดถึงหมายความว่ายังไงเหรอคะ"ดาวถาม

"วันนั้นฉันให้ กุ๋กกู๋เพื่อนของเธอ ไปเตือนเธอผ่านเพื่อน จกนั้นฉันก็ทำให้เกิดอุบัติเหตุกับเธอ เพื่อพวกเธอจะได้พิสูจน์ แต่ผิดคาด ที่วรรณกลับอาสาทำแทนเธอ ซึ่งฉันไม่สามารถพูดคุยกับเธอได้แบบนี้ วรรณจึงเห็นความทรงจำของฉันแทน"คำตอบของกระซุ่นั้นทำให้ดาวกระจ่างขึ้นมา และรู้สึกเสียใจอยู่ลึกๆที่เข้าใจ กระซุ่ผิดไป และหากวันนั้นเป็นเธอ เรื่องอาจจะจบลงเร็วกว่านี้

โครม

เสียงทุบอะไรบางอย่างดังนั้นราวกับระเบิด เพื่อนคนพิเศษทั้งหมดต่างตกใจไม่ต่างจากดาว

"มันมาแล้ว ทุกคน ปกป้องดาวไว้ให้ได้" เสียงร้องตะโกนของกระซุ่ ดาวรู้ได้ทันทีว่าปีศาจนั้น

มันเริ่มแล้ว

.....................................
"รีบมาๆ....มันจะมากันแล้ว" สายจากเครื่องของดาวโทรเข้ามาเครื่องของครูพิลาวรรณก่อนจะขาดหายไป เป็นสัญญาณเตือนถึงอันตรายที่กำลังคืบคลานสู่ชีวิตของดาว

ภูที่กำลังขับรถให้เร็วที่สุดก็กำลังขบคิด ถึงทางออกของเรื่องนี้ เมื่อก่อนหน้านี้เขาโทรหา ผู้กองต้อมกับหมอเจี๊ยบถึงเรื่องที่รู้มา แต่ถึงอย่างนั้น ทั้งสองคนก็ไม่อาจฝ่ารถติดมาช่วยได้ทัน โดยเฉพาะผู้กองต้อมที่วันนี้ติดธุระเรื่องทุจริตของผอ.โรงเรียน การจะปลีกตัวออกมาจึงไม่สะดวกนัก

"ครูคิดยังไงกับเรื่องนี้ครับ" ภูถามครูพิลาวรรณที่นั่งมาด้วยกันถึงเรื่องที่ได้รับรู้ที่บ้านของปู่หลง ซึ่งสาเหตุที่ถามยังไงซะปีศาจนั่นก็คือบรรพบุรุษของครูพิลาวรรณ และเรื่องที่ดาวกำลังตกอยู่ในอันตรายเป็นเรื่องด่วน ซึ่งหมายความว่าถึงที่สุดแล้วอาจจะต้องทำลายศพที่ถูกฝังไว้ของท่านขุน

"หมายถึงเรื่องที่พี่ชายของคุณทวดเป็นปีศาจที่อยู่เบื้องหลังของเรื่องนี้ใช่มั้ยคะ" ภูพยักหน้ารับ

"ท่านทวดใหญ่เสียไปแล้วค่ะ และที่ที่ฉันจะทำต่อจากนี้ คือการปกป้องนักเรียนของฉัน ในทุกวิถีทางค่ะ"ครูพิลาวรรณตอบอย่างหนักแน่น เธอเชื่อว่าแม้จะเป็นคุณพ่อของเธอก็ต้องตัดสินใจแบบนี้เหมือนกัน แต่ถึงอย่างนั้น การจะขุดศพขึ้นมาในตอนนี้ก็คงมีแค่สองมือคนเท่านั้น

.....................................

"ติดต่อเค้าไปแล้วเหรอคะ" ดาวถามกระซุ่ที่เมื่อครู่พึ่งติดต่อผ่านโทรศัพท์ของดาวไปหาครูพิลาวรรณ เนื่องจากเธอต้องแบ่งพลังมาป้องกันเขตแดนด้วย ทำให้การส่งต่อคำพูดนั้นไม่ดีนัก แต่ก็เชื่อว่า พวกภูจะเข้าใจและรีบมา

"ค่ะ แต่ไม่รู้ว่าเค้าจะมาทันรึเปล่า ยังไงก็คงได้แต่ภาวนา"  แม้คำพูดของกระซุ่ที่บอกกับดาวจะชวนสิ้นหวัง แต่เธอก็เชื่ออยู่ลึกๆว่าภูจะต้องมาช่วยเธอแน่ๆ

(ก็นายสัญญาไว้กับฉันแล้วนี่)

ฝูงภูติผีที่อยู่ใต้อำนาจปีศาจท่านขุน กรูกันเข้ามาประชิดเขตแดนที่กั้นระหว่างที่ดินโรงเรียนกับตึกเรียน มันเหมือนกำแพงที่มองไม่เห็น ฝูงภูติผีเหล่านั้น บ้างก็ดัน บ้างก็ทุบเสียงดังสนั่น และส่งเสียงหวีดร้องน่าสยดสยอง แต่เหล่าเพื่อคนพิเศษ ทั้งตึกก็รวบรวมสมาธิกั้นเขตแดนนั้นอย่างสุดกำลัง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะต้านได้นานแค่ไหน เพราะเท่าที่ดูจากสีหน้า แต่ละคนนั้นดูเหนื่อยอ่อนยิ่งนัก แต่ดาวก็ได้แต่ยืนดูเพราะเธอก็ไม่รู้ว่าจะช่วนยังไงเหมือนกัน เธอทำได้แต่แผ่เมตตาให้เท่านั้นโดยหวังว่าจะช่วยได้บ้าง

"เลือด.......เอามันมาให้ข้า....." เสียงร้องชวนสยดสยองลอยมากับสายลม ร่างปีศาจทะมึนค่อยๆผุดขึ้นมาจากสระ พร้อมกับส่งเสียงอย่างหิวกระหาย จนแม้แต่เพื่อนคนพิเศษยังตื่นตระหนก

ปีศาจท่านขุนค่อยๆก้าวขึ้นมาจากสระฉับผลันร่างนั้นก็สูงใหญ่ ราวกับยักษ์ ดวงตาสีแดงนั้นมองเห็นได้แต่ไกล ดาวไม่กล้สสบแต่ตาด้วยเหมือนมีอำนาจบางอย่างทำให้ดาวละสายตาจากมันไม่ได้

"เอาเลือด เอาเลือดของมันมา" ปีศาจนั้นกู่ร้องคำราม ฝูงภูติผีที่ตกเป็นทาสต่างระดมทุบเขตแดนนั้น จนมือแหลกเหลว แต่มันก็ยังไม่หยุด ด้วยความกลัวปีศาจผู้เป็นนาย

เมื่อเห็นทีถ้าว่าเหล่าทาสจะทำได้ไม่สมดังใจ มันก็ร้องคำรามจนฝูงผีนั้นหลีกหนี สองเท้า นั้นค่อยยกเขยือน ยามเหยียบผืนดินก็สนั่นราวกับแผ่นดินไหว

และยิ่งมันเข้าใกล้ กลิ่นสาบ กลิ่นคาวเลือด ลอยมาแตะจมูก ของดาวจนเธอสุดจะกลั้น และยิ่งใกล้ เหล่าเพื่อนคนพิเศษกลับตื่นตระหนก


"โครม" เสียงดังสนั่นราวกับตึกจะถล่ม ปีศาจนัดหวดกำปั้นเหวี่ยงใส่เขตแดนอย่างแรง จนกำแพงที่มองไม่เห็นปรากฏรอยร้าว ในจุดที่ถูกทุบ เหล่าเพื่อนคนพิเศษหวาดกลัวจนเสียสมาธิ ซึ่งก็ทำให้เขตแดนนั้นอ่อนแอลงไป

มันแสยะยิ้ม เพราะรับรู้ถึงความกลัว แต่ทันใดนั้นปีศาจก็ทำท่าทางตื่นตระหนก มันหันหลังไปมอง ที่สระน้ำ มันรับรู้ถึงอันตราย พร้อมกับโทรศัพท์ที่ดังขึ้นจากที่ครูพิลาวรรณโทรเข้ามา ดาวพยายามที่จะรับสายแต่ก็ทำไม่ได้ เนื่องจากตัวตนของเธอนั้นเป็นเพียงร่างจิตแห่งความฝัน ที่สามารถสื่อสารกับวิญญาณในความจริง ทำให้กระซุ่ต้องรวบรวมสมาธิรับสาย ข้อความที่เธอได้ยินเป็นข่าวจากครูพิลาวรรณซึ่งตอนนี้มาถึงโรงเรียนแล้ว เพียงแต่เธอไม่ได้เข้ามาในโรงเรียน มีเพียงแค่ภูที่แบกจอบวิ่งเข้าไป

เมื่อได้ยินแบบนั้นดาวรู้สึกใจชื่นขึ้นมาที่ภูมาช่วย แต่ก็เหมือนเธอจะผิดหวัง เมื่อภูเลือกที่จะไปที่สระ มากกว่าจะมาช่วยเธอที่อยู่ที่อาคาร จากการที่เธอได้ยินเสียงปีศาจท่านขุนสั่งให้ภูติผี ไปขัดขวางภู ที่เข้าไปในสระ

ฝูงภูติผีจำนวนหนึ่งกรูกันไปที่สระ เพื่อจะหยุดยั้งภู ที่กำลังขุดดินตรงกลางสระ แต่มันเหมือนกับกองไฟ ที่ฝูงแมลงเมื่อบินเข้าใกล้ก็จะมอดไหม้ ฝูงผีเหล่านั้น ไม่สามารถเข้าใกล้ภูในบริเวณสระได้เลย บางตนที่กลัวท่านขุนมากกว่าก็ก้โจนเข้าไป แต่ร่างนั้นก็มลายหายไปต่อหน้าต่อตา

เสีนงกรีดร้องขอปีศาจดังสนั่น วึ่งคงจะมีเพียงภูคนเดียวที่ไม่ได้ยิน ยังคงตั้งหน้าตั้งตาขุดต่อไป

ตอนนี้ปีศาจนั้นคงรู้สึกเสียใจที่ตัวเองประมาท เพราะแทนที่ตัวเองจะย้ายร่างของตัวเองไปที่ใต้ดินจุดอื่นจากการที่เขตแดนของสระถูกทำลาย แต่กลับกระหายต่อเลือด เนื้อของผู้สัมผัสวิญญาณอย่างดาว จนตัวเองออกมา โดยไม่นึกไม่ฝันว่า ตัวตนที่เป็นปฏิปักษ์ต่อสิ่งลี้ลับทั้งปวง จะมาปรากฏอยู่เหนือร่างของตัวเองที่ถูกฝังไว้

เมื่อหันหลังกลับไม่ได้ มันก็เร่งกระหน่ำทุบเขตแดนอย่างบ้าคลั่ง โดยหวังว่าเลือดของผู้สัมผัสวิญญาณจะเพิ่มพลังให้มันต่อกรกับอันตรายอย่างใหญ่หลวงครั้งนี้ไปได้

ครู่ใหญ่ กำแพงเขตแดนนั้นก็พังลง ราวกับกระจกที่ถูกทุบแตก เขตแดนนั้นก็ทะลุ มันสอดมือทั้งสองเพื่อหมายว่าจะกระฉากเจตแดนให้กระจุยไปในคราวเดียว ภาพที่ดาว ละเหล่าเพื่อนคนพิเศษเห็นประหนึ่งภาพสุดท้ายของชีวิต ด้วยความกลัวตรงหน้า กำแพงเขตแดนก็ทลายลงในฉับพลัน

แต่รอยยิ้มแห่งความบ้าคลั่งของปีศาจร่างยักษ์ ที่เพิ่งฉีกยิ้มได้เพียงครู่ก็สะดุดหยุดลง แสงสีเหลืองทองแปล่งออกมาตึกรับรอง ราวกับเปิดไฟสปอร์ตไลท์ไว้ภายใน พร้อมกับเสียงอันนุ่มนวลอบอุ่นเสียงหนึ่ง ที่ดังกังวาล

"หยุดแค่นี้เถอะเจ้าค่ะท่านขุน อิฉันขอร้อง" สิ้นเสียงนั้น กำแพงอาณาเขตใหม่สีเหลืองทองกระกางกั้นขึ้นมาอีกชั้น คราวนี้มันผนักท่อนแขนของปีศาจท่อนขุนไว้ในระหว่างเขตแดน ไม่ให้ขยับไปได้ แต่ดูเหมือนมันจะไม่สิ้นฤทธิ์ไปเสียทีเดียว มันขวานหาร่างของดาว แต่มันก็สุดจะเอื้อม จนดาวและเหล่าเพื่อนคนพิเศษต้องถอยหนี ไปที่ห้องน้ำที่ดาวติดอยู่

"ใครกัน หยุดนะ ข้าบอกให้หยุด ข้าจะกิน ข้าจะฆ่า" ปีศาจนั้นคำราว ราวกับไม่ได้ยินเจ้าของเสียงอันอบอุ่นนั้น ภูติผีที่เป็นทาสราวกับจะหลุดจากอำนาจ ต่างพากันถอยหนี ไปยังซอกหลืบที่ตัวเองสถิต บ้างก็หนีไปที่อาคารเรียน บ้างก็หนีไปเรือนนาฏศิลป์ บ้างก็หนีไปที่ต้นไทร

ฉับพลัน ต่อหน้าดาวและเหล่าเพื่อนคนพิเศษ สตรีในชุดไทยก็ปรากฏกายขึ้นต่อหน้า นางแนะนำตัวเองกับทุกคนนั้นว่า ตัวเองชื่อรื่น เป็นภรรยาท่านขุน จากนั้น รื่นก็ได้เล่าเรื่องเกิดขึ้นให้ทุกคนฟัง

....................................

รื่นผู้เป็นภรรยาของขุนคีตรจนา เธอเป็นผู้มีเสียงไพเราะอ่อนหวาน และยามขับกล่อมเสียงเพลงคู่กับดนตรีท่านขุน ก็ราวกับทิพยดุริยางค์แห่งสวรรค์ ท่านขุน รักรื่นมากจนสุดหัวใจ จวบจนเศรษฐกิจตกต่ำ ท่านขุนถุกดุล แม้จะมีทรัพย์มากเพียงได้ ในภาวะข้าวยากหมากแพงก็ยากที่จะหาหยูกยามารักษารื่น ที่ป่วยได้ ทำให้รื่นเสียชีวิตไป ท่านขุนโศกเศร้าเสียใจจากการตายของภรรยา จนเปลี่ยนไปกลายเป็นคนละคน แม้จะเผาศพรื่นไป ด้วยความโศกเศร้าอาวรณ์ ท่านมักจะไปที่ป่าช้า คนเดียว เพื่อหวังว่าดวงวิญยาณของรื่นจะขับร้องบรรเลงคู่กับดนตรีของท่าน

ใช่แล้ว ท่านขุนเป็นผู้สัมผัสวิญญาณ ท่านสามารถสดับเสียงของวิญญาณยามท่านอยู่คนเดียว ท่านก็รู้ตัวจึงใช้วิธีนี้เพื่อฟังเสียงภรรยาอีกครั้ง แต่อนิจจา ในป่าช้านั้นไม่มีดวงวิญยาณของรื่น เธอมาเกิดเป็นเทพธิดา สิงสู่ที่เสาเรือนตน เพราะจิตที่อาลัยต่อสามี แต่ท่านขุนกลับไปบรรเลงเพลงในป่าช้าแต่ผู้เดียว แน่นอนว่า สรรพเสียงที่ได้ยิน มันคือเสียงของวิญยาณ ที่โศฏเศร้า แค้นเคือง สิ้นหวัง ที่ความตายได้มาพรากชีวิตไป เสียงดนตรีที่เหมือนเพลงสวรรค์ ก็กลับกลายเป็นเสียงยะเยือกหดหู่ หวาดกลัวราวกับดนตรีจากนัก จิตใจท่านขุนกัลบกลายเป็นวิปลาศ เมื่อกลับมาถึงบ้าน ก็เพียรบันทึก และเล่นเพลงจากป่าช้านั้นคนเดียว จนบาวไพร่พากันหวาดกลัว ซ้ำกลายเป็นคนโมโหร้าย โบยตีบ่าวไพร่ แม้จะไม่ใช่ทาส แต่บางคนก็เป็นคนเก่าแก่ไม่มีที่ไป บางคนก้หนีไปเอาดาบหน้า บ้างก็ลักของไปด้วย ครั้นถูกจับได้ บ้างก็ถูกโบยอย่างหนัก ก็ตายคาหวาย ร่างที่ถูกมัดกับต้นไทรหลังบ้าน ก็ถูกปลงเอาฝังไว้ ใต้ต้นนั้น บ้างก็ทันไม่ไหว คิดสั้นผูกคอตายไปกับต้นไทรก็มี และเมื่อเป็นเช่นนั้นท่านขุนก็สั่งให้หมอผี ตอกตะปูตรึงวิญยาณเหล่านั้นไม่ให้มารบกวน

และด้วยผลกรรม ไม่นานท่านก็ตายลง ด้วยจิตวิปลาสโหดร้าย ท่านก็กลายเป็นปีศาจผีดิบไป ยามค่ำ ก็สิงสู่ร่างตน เที่ยวหากินของสดของคาว บ้างก็ เป็ดไก่ หมูหมาในบ้าน จนบ่าวไพร่หวาดกลัว รู้ถึงหูคุณหลวงน้องชาย ท่านจำมาปลงศพ ผนึกไว้ที่บ่อน้ำและปิดปากหลุมด้วยสระ สมองกรรมที่เคยผนึกวิญยาณบ่าวไพร่ด้วยตะปู

"ถ้าอิฉันจะบอกว่ายกโทษให้ท่านขุนก็คงจะเกินไป แต่อิฉันอยากให้อโหสิกรรมให้ท่านขุน เพราะท่านจะสิ้นกรรมในอัตภาพนี้ในวันนี้แล้ว" พูดจบรื่นก็น้ำตาไหลราวกับรู้จุดจบของสามีที่บัดนี้กลายเป็นปีศาจกระหายเลือดไป ดาวละเหล่าเพื่อนคนพิเศษ ก็ต่างพากันอโหสิกรรมให้ จากนั้นไม่นานเสียงร้องโหยหวนราวกับเจ็บปวดทรมานก็ดังขึ้น ดาวจึงวิ่งออกไปดู พร้อมกับรื่นและกระซุ่ ร่างยักษ์ของปีศาจนั้นก้หดเล็กลง บัดนี้ภูขุดเจอโลงศพนั้นแล้ว ในระดับความลึกที่ลึกพอสมควร มือทั้งสองแตกเป็นเลือด เหมือนว่าเขาขุดโดยไม่พักเลย เมื่อโดนโลงศพ จึงกระทุ้งโลงที่ผุ แสงไฟจากไฟฉายมีถือส่องเห็นรูจากโลงไม่ ภูจึงเอื้อมไปแตะ และเมื่อมือของภูสัมผัสกับศพ พันธะของปีศาจนั้นที่ยึดเหนี่ยวกับศพก็มลายหาย ปีศาจท่านขุนไม่เหลือพันธะใดกับโลกนี้แล้ว จึงกลายจากปีศาจที่ยึดเหนี่ยวร่างมนุษย์ไว้และด้วยดวงจิตดำมืด ร่างนั้นจึงดำดิ่งสู่ขุมนรกจากจิตของท่านขุนนั้นเสมอด้วยดวงจิตแห่งนรกภูมิ

..............................................

หลังจากสอบวันสุดท้าย ดาวเหนื่อยอ่อนมาก วันนี้เธอแบกกุ๋กกู๋กลับบ้านมาด้วย เพราะเรื่องที่เกิดขึ้น ทำให้ทุกคนกลัวกัน ดาวจึงอาสาเอากุ๋ฏฏู๋มาไว้ที่บ้านก่อนรอจบเรื่องค่อยว่ากันต่อ วันรุ่งขึ้นหลังจากที่ภูไปช่วย จึงมีการขุดศพท่านขุนขึ้นมา ญาติ ได้นิมน๖ืพระมาสวดและเผาในวันนั้นเลย แต่สิ่งที่ศพท่านขุนกำไว้แน่น คือสมุดที่บันทึกทำนองเพลงจากป่าช้านั้น และกรอบรูปที่ ท่านขุนถ่ายคู่กับรื่น สมุดกับรูปนั้นถูกเก็บไว้ที่ตึกรับรอง โดยเฉพาะสมุดบันทึกถูกเก็บไว้อย่างดี เพราะไม่มีใครรู้ว่าหากบรรเลงเพลงในนั้นจะเกิดผลอะไรขึ้นมา

ผอ.ถูกจับกุมข้อหาทุจริต จากหลักฐานเชิงลึก กับ การล่อเพื่อรับเงินจากคนที่กันไว้เป็นพยาน โดยมีหลักฐานเป็นเงิน และภาพจากกล้องที่ถ่ายไว้จากห้องทำงาน ผอ. โรงเียนจึงแต่งตั้งรอง ผอ.ขึ้นมารักษาการแทน

เรื่องราวทั้งหมดคลี่คลายญาติของผู้เสียชีวิตต่างพอใจข้อสรุปของภู เรื่องลึกลับของโรงเรียนบัดนี้ถูกเปิดเผยถึงสาเหตุทั้งหมด ไม่มีพิธีปัจฉิมลับอีกแล้ว พวกม.6พอใจกับข้อสรุป แต่กับคนที่คิดสั้น ไปทำร้ายดาวในวันนั้น ถูกพักการเรียน แลกกับการที่ไม่แจ้งความ เหล่าตุ๊กตาเพื่อนคนพิเศษ ทุกคนพร้อมใจกันยกให้สำเร็จการศึกษาไปด้วยกัน ในพิธีจบการศึกษาจริงๆที่จะมาถึง

วันนั้นดาวหลับไปด้วยความเพลีย เพราะเธอโหมอ่านหนังสือโต้รุ่งเพื่อชดเชยช่วงที่ต้องไขคดี

"หวัดดีดาว ไม่เจอกันนานเลยนะ" กุ๋กู๋ทักดาวในความฝัน เธอเป็นเด็กหญิงน่ารักท่าทางเปล่งปลั่ง ทักทายดาวด้วยความคุ้นเคย

"กุ๋กกู๋งั้นเหรอ" ดาวถาม แล้วก็พลางไปสวมกอด กระซู่เล่าเรื่องชองกุ๋กกู๋ให้ดาวฟังจนทำให้เธอรู้สึกขอบคุณเพื่อนคนนี้มาก

"ขอบคุณนะที่ช่วยพวกเรา ถ้าไม่อยากนั้น ฉันคงมีชะตากรรมไม่ต่างกันกับพี่กระซู่กับพวกพี่ๆ"กุ๋กกู๋พูด ดาวก็บอกว่าไม่เป็นไร จากนั้นทั้งคู่จึงถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกัน

"ทำไมวันนี้ถึงมาเจอฉันได้ล่ะ ก่อนหน้านี้ไม่เห็นเจอเะอเลย" ดาวถามเพราะแปลกใจ เธอเอากุ๋กู๋มาบ้านก็หลายครั้ง แต่ไม่เตยฝันถึง

"ก็มะ...เอ้ย เจ้าที่บ้านเธอเค้าอนุญาตแล้วไง" ถึงดาวจะไม่เข้าใจนักแต่ก็พยักหน้าเออออไป

"ตอนนี้โรงเรียนเราอ่ะ ดีขึ้นแล้วนะ คุณรื่นกลายเป็นเจ้าที่ของโรงเรียนต่อ ส่วนพี่กระซู่ก็เป็นเจ้าที่ของตึกเรียน ส่วนพี่ๆคนอื่นบ้างก็ไปเกิด บ้างก็ยังช่วยดูแลโรงเรียนของเราอยู่"

"แล้วเธอล่ะกุ๋กกู๋ เธอไม่ไปเกิดกับเค้าเหรอ" ดาวพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ เพราะรู้ดีว่าสุดท้าย กุ๋กกู๋ก็ต้องไปเกิดอยู่ดี

"จะไปได้ยังไง พวกเรายังอยู่ม.5อยู่นะ เอาไว้เราจบด้วยกันแล้วค่อยคิดเถอะ" คำพูดของกุ๋กกู๋ทำให้ดาวดีใจ เพราะอย่างน้อยเธอก็ยังมีเพื่อนดีๆแบบนี้อยู่ด้วยตั้งปีนึง

"แล้วเธอไปง้อมลละยังล่ะ" กุ๋กกู๋ถาม เพราะเห็นว่าหลังจากวันนั้น มลยังหลบหน้าดาวอยู่

"หายัยมลงอนฉันเหรอ "ดาวถามด้วยความสงสัย ในขณะที่เรื่องนี้แม้แต่กุ๋กกู๋ยังรู้เลย

"แฟงล่ะ เปิดเรียนก็รีบไปง้อซะ สงสัยคงงอลเรื่องติวมั้ง" กุ๋กกู๋บอก ซึ่งดาวก็นึกได้ว่าเธอลืมเรื่องนัดติวกับมลอีกรอบไป

"ว่าแต่พรุ่งนี้พวกภูจะชวนกันไปทะเล เธอไปด้วยกันมั้ย" ดาวชวนกุ๋กกู๋ ซึ่งหมายถึงเธอจะหอบตุ๊กตาไปด้วย แต่กุ๋กกู๋ก็ปฏิเสธเพราะกลัวว่าถามภูเผลอแตะ เธอจะหลุดออกจากร่างตุ๊กตาง่ายๆ

"งั้นไว้ เช้าฉันจะโทรบอกมิ้นให้มารับเธอละกันนะ" ดาวบอกเพราะกลัวว่ากุ๋กู๋จะเหงา ทั้งสองคุยกันถึงเช้า ซึ่งเป็นการปิดฉากคดีนี้อย่างสมบูรณ์ หมดเรื่องราว ไม่มีเรื่องลึกลับอีกต่อไปเว้นต่....

บทเพลงในสมุด หากจะมีใครซักคนเอามาบรรเลงตาม ก็ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นหรือไม่

..............................................................



เรื่องจากพันทิป  พิธีกรรมสยองขวัญ
เรื่องโดย  นาคาแห่งการพิธี

ไม่มีความคิดเห็น