เรื่องหลอนจากบังกะโล ตอน2
"GHost Detective File" เป็นผลงานซีรี่ย์สยองขวัญจากสมาชิกพันทิปนาม นาคาแห่งการพิธี ได้ดำนินมาถึงซี่ซั่นที่ 3 หากใครพลาด ซี่ซั่น 1เหงา ,ซีซั่นที่ 2 "พิธีกรรมสยองขวัญ" และ ซี่ซั่น 3 เรื่องหลอนจากบังกะโล ขอขอบคุณเรื่องราวสยองไว้ ณ ที่นี้ด้วย
"ภูแกได้ยินเสียงอะไรรึเปล่า" ท่ามกลางวงไพ่ที่ต้องใช้สมาธิอย่างสูง หูของผู้กองต้อมก็ได้ยินเสียงแว่วๆเหมือนหยดน้ำ ทุกคนในวงเริ่มตั้งใจฟังอย่างเงียบกริบ ชั่วเวลาอึกใจเหมือนว่ามันผ่านไปหลายชั่วโมง เสียง แปะๆๆๆ ของหยดน้ำยิ่งชัขึ้นเรื่องๆ ทำให้ผู้กองต้อมเกิดอาการขนลุกอย่างไม่ทราบสาเหตุ
"อ่อ สงสัยผมเผลอเปิดหยดไว้น่ะพี่" ภูนึกขึ้นได้ว่าเขาเปิดแบบหยดไว้ เนื่องจากติดเป็นนิสัยที่เปฺดน้ำหยดๆรองน้ำไว้เต็มตุ้ม ว่าแล้ว ภูก็เดินลุกขึ้นไปปิด อารมณ์ของผู้กองต้อมในตอนนี้ประมาณว่าถ้ามีอะไรอยู่ใกล้ๆมือก็คงจะขว้างใส่ภุโดยทันที
จากนั้นภูก็กลับมานั่งเล่นต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผู้กองต้อมเหมือนจะแอบเนียนลืมไม่เล่าต่อ จนทำให้หมอเจี๊ยบแผนตัวเอง เตือนสติด้วยการสกิดเบาๆด้วยฝ่ามือจนหัวทิ่ม
"อย่ามาเนียนแถวนี้ เล่าต่อเลยตานายแล้ว" หมอเจี๊ยบตวาด เพราะแผนของเะอเหมือนจะไม่ได้ผลเท่าที่ควร เธอจึงตั้งใจส่งไม้ต่อให้แฟนเพราะรู้ดีว่าผู้กองต้อมจะงัดไม้เด็ดสุดสยองมาเล่าแน่ๆ
............................................
PART2 : เรื่องของต้อม
ต้อม นายร้อยตำรวจไฮโซ ที่เป็นที่หมายตาของดาราและเซเลปทั่วฟ้าเมืองไทย ลูกชายนักธุรกิจใหญ่ของประเภท พึ่งกลับมาจากสามจังหวัดชายแดนภาคใต้หลังจากที่ไปอยู่ที่นั่นถึง3ปี โดยผู้เป็นพ่อใช้เส้นสายย้ายลูกตัวเองจากสามจังหวัดมาอยู่นครบาลเลย โดยมาอยู่สถานีตำรวจย่านชานเมืองก่อน
ต้อมจบจากโรงเรียนนายร้อยด้วยเกียรติประวัติดีเยี่ยม เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสืบสวนสอบสวนเป็นอันดับหนึ่งของรุ่น เขาเลือกที่จะไปชายแดนใต้ทันทีเพื่อหนีจากความเป็นไฮโซของตัวเอง แต่จนแล้วจนรอด ผู้เป็นพ่อก็ใช้เส้นสายย้ายเค้ากลับมาจนได้
และเพื่อเป็นรับขวัญลูกชายและฉลองดาวอีกดวงบนบ่า ทำให้ผู้เป็นพ่อซื้อบ้านหลังใหญ่ของโครงการหรูใกล้สถานีตำรวจเพื่อรับขวัญผู้หมวดต้อมลูกชาย
อันที่จริงบ้านหลังนี้ถือเป็นดอกเบี้ยของเจ้าของโครงการที่ยืมเงินพ่อของต้อมมาหมุนเพื่อทำธุรกิจโดยไม่คิดดอกดังนั้นเมื่อต้อมกลับมาเจ้าของโครงการจึงยกบ้านหลังนี้ให้แทนดอกเบี้ย และต้อมก็จำใจยอมรับอย่างเสียไม่ได้ เพราะอย่างน้อยบ้านหลังนี้ก็ยังเล็กกว่า "คฤหาสน์" ที่เขาเรียกว่าบ้านมากนัก
"บ้านใหม่ถูกใจมั้ยลูก" ผู้เป็นพ่อโทรเข้ามาถามเรื่องความเรียบร้อยในการย้ายข้ามาบ้านใหม่วันแรกของต้อม
"ครับพ่อ ไม่ต้องห่วงตอนนี้ก็กำลังขนเฟอร์นิเจอร์เข้ามาแล้ว" ต้อมบอกพลางมองดูคนงานที่ขนเฟอร์นิเจอร์เข้ามาวางในบ้านตามแบบที่นักตกแต่งภายในออกแบบไว้
เมื่อวางหูจากพ่อ ต้อมก็สนทนาปราศัยกับคนงานอย่างไม่ถือตัว และได้รับคำชมจากคนงานว่า ต้อมเป็นคนรักสะอาดขนาดบ้านใหม่ที่บริษัทออกแบบภายในจะต้องเอาของเข้ายังทำความสะอาดรอ ทำให้พวกเขาไม่เหนื่อยเท่าไหร่ผิดกับที่อื่นๆ
แต่นั่นก้ไม่ทำให้ต้อมเอะใจอะไร เพราะว่าบ้านคงปิดไว้ทำให้พวกฝุ่นไม่มากเท่าที่ควร
จนกระทั้งตอนเย็น เปอร์นิเจอร์ต่างๆจึงถูกนำมาวางไว้จนหมดตามแบบ และต้อมผู้ไม่ถือตัวจะอาสาเป็นเจ้ามือพาคนงานของบริษัทออกแบบไปเลี้ยงข้าวอย่างเป็นกันเอง
......................................
ที่ร้านอาหารต้อมสั่งอาหารอิสานมาเต็มโต๊ะเพื่อเลี้ยงคนงานเกือบสิบคน ทั้งโต๊ะนั้นทั้งกินทั้งดื่มอย่างเฮฮา จนคนงานมีอายุคนหนึ่งที่ถามต้อมด้วยความเมาได้ที่ วึ่งคำถามนั้นทำให้ต้อมรู้สึกคนลุก
"คุณตำรวจ ก่อนเข้าไปอยู่ก็หาพระเข้าบ้านซะนะ...โผมรู้สึกแปลกๆตั้งแต่ตอนเช้าละ" คนงานคนนั้นพูด แม้ภายนอกต้อมดูจะไม่คิดอะไร แต่ภายในเขารู้สึกกลัวมาก เพราะแม้จะเป็นตำรวจที่เก่งกาจแต่มีเพียงสองสิ่งที่เขากลัวจนขึ้นสมองนั่นคือ ผี กับตุ๊กแก
"ครับๆ" ถึงปากจะบอกแบบนั้นและพยายามไม่คิด แต่เรื่องซุบซิบของคนงานก็ทำให้ต้อมใจคอไม่ดี
และแล้วงานเลี้ยงก็ย่อมมีวัดเลือกรา เมื่อกลุ่มคนงานขอตัวกลับพร้อมกับขอบคุณที่ต้อมพามาเลี้ยงข้าว และเมื่อรู้ตัวอีกที เขากำลังขับรถกลับบ้านคนเดียว
แม้ว่าการที่แข็งใจเพื่อกลับไปนอนบ้านใหม่คนเดียวมันจะดูไม่เสี่ยงตายเหมือนกับตอนที่เขาจบนายร้อยใหม่ๆแล้วไปประจำการที่สามจังหวัดชายแดน ซึ่งเขาต้องเอาตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์สุ่มเสี่ยงต่อความเป็นความตายมาหลายครั้ง แต่สิ่งที่ต้อมกลัวไม่ใช่ความตาย แต่เป็นสิ่งที่ตายไปแล้วต่างหาก
.........................
ต้อมขับรถกลับมาบ้านอย่างอ่อนเพลีย เขาเปิดประตูบ้านด้วยรีโมทแล้วเลี้ยวรถเข้าไปในบ้านทันที โดยไม่ได้สังเกตอะไรเพราะมัวแต่คิดเรื่องที่คนงานพูดแต่จู่ๆเมื่อเขาก้าวเข้าบ้านเขาก็นึกอะไรขึ้นมาบางอย่าง
(นี่เราเปิดไฟทิ้งไว้งั้นเหรอ)
ไฟในบ้าน ทั้งที่อยู่ที่ประตูใหญ่และรั้ว โรงรถ และไฟบางดวงในบ้านนั้นเปิดอยู่ ซึ่งต้อมจำไม่ได้ว่าเขาได้เปิดไฟทิ้วไว้รึเปล่าก่อนออกไป หรือบางที่อาจจะคนงานหวังดีซักคนหนึ่งเปิดทิ้งไว้ให้ เพราะผู้ที่ย้ายมาอยู่ใหม่อย่างต้อม ก็ยังจำตำแหน่งต่างๆในบ้านพร้อมกับสวิทซ์ไฟไม่ได้
(คงอาจจะเป็นคนงานซักคนแหละ) ต้อมพยายามคิดในแง่ดี เพราะบางที่มันก็อาจจะเป็นความคิดมากจนจิตปรุงแต่งและหลอนไปเอง
ต้อมจึงตัดสินใจเปิดไฟให้มันสว่างทั้งบ้าน และหากว่าโทรทัศน์ของเค้าได้ติดเคเบิ้ลไว้ล่ะก้ เขาก็คงเปิดโทรทัสน์ไว้เป็นเพื่อนด้วยแน่ๆ
(จริงๆเราน่าจะขอคนรับใช้จากที่บ้านให้มาอยู่เป็นเพื่อนซักคนนะ)
แต่ทันทีที่เข้าหย่อนก้นลงนั่งบนโซฟาหนังแท้ตัวใหญ่ เขาก็สะดุ้งแล้วลุกขึ้นทันที
มันอุ่นเหมือนมีใครบางคนเพิ่งนั่งไป
ต้อมเริ่มใจคอไม่ดี แต่ก็ยังพยายามหาเหตุผลมาอธิบาย มันอาจจะเป็นเพราะไม่ได้เปิดเครื่องปรับอากาศ ทำให้อากาศในบ้านร้อนจนโซฟาอุ่นก็ได้
แต่ถึงแบบนั้นต้อมก็ขึ้นไปห้องนอนเพื่ออาบน้ำและนอนทันทีก่อนที่จิตใจจะเตลิดไป
บรรยากาสเหมือนจะไม่มีอะไรชวนขนลุกอีก ต้อมเข้าไปห้องนอนใหญ่และอาบน้ำทันที ความเย็นของสายน้ำทำให้จิตใจของเขาผ่อนคลายลง
(มาอยู่คนเดียวแท้ๆทำไมต้องมาอยู่บ้านหลังใหญ่ขนาดนี้ด้วยนะ)
ชั้นบนของบ้านนอกจากห้องนอนใหญ่ของต้อมแล้วยังมีห้องนอนขนาดเล็กลงมาอีกสามห้อง วึ่งต่างก็มีห้องน้ำส่วนตัวทั้งหมด
และเมื่อจิตใจผ่อนคลายลง ก็ไม่วายที่จะคิดฟุ้งซ่านอีกจนได้
(นอกจากเราแล้วห้องอื่นจะมีคนนอนมั้ยนะ)
ที่ต้อมคิดแบบนี้ไม่ใช่คิดถึงเรื่องผีแต่อย่างใด แต่เพราะเขานึกถงครอบครัวของเขา จนทำให้คิดว่าหากทุกคนอยู่พร้อมหน้าที่บ้านหลังนี้ก็คงจะดีไม่น้อย
แต่ทว่า...
เมื่อต้อมปิดน้ำจากฝักบัวหลังจากอาบเสร็จ เขายังได้ยินเสียงน้ำไหลจากฝังบัวที่ห้องน้ำของอีกห้องหนึ่งที่อยู่ติดกัน
ต้อมรีบวิ่งกระโดขึ้นเตียงโดยทันทีโดยที่ยังไม่ได้เช็ดตัวพระกับซุกตัวคลุมโปงใต้ผ้าห่ม
แต่เมื่อลองเงี้ยหูฟังดีๆมันก็ไม่มีเสียงน้ำอะไรอีกแล้ว
แต่ถึงกระนั้นเข้าก้ไม่กล้าออกมาจากใต้ผ้าห่มพร้อมกับหลับไปทั้งอย่างนั้นด้วยความเพลีย โดยที่เขาไม่รู้เลยว่า
ด้านนอกผ้าห่มตอนที่เขาหลับอยู่
ผมยาวเปียกสีดำเหมือนสาหร่ายของใครบางคนที่กำลังชะโงกตัวมามองเข้าอยู่จากปลายเตียง โดยที่ปลายของเส้นผมนั้นระไปกับผ้าห่ม
สายตาแดงก่ำของมันจ้องเขม็งจนแทบจะหลุดออกมาจากเบ้า ปากที่ฉีกถึงรูหูแสยะยิ้มราวกับชบชันในชะตากรรมของบุคลใต้ผ้าห่มยิ่งนัก
......................................
เช้าวันใหม่ มันเป็นเช้าที่สดใส แต่เมื่อตื่นมาต้องกลับเหมือนไม่ค่อยมีแรง กว่าจะลากสังขารไปอาบน้ำแต่งตัวก็ทุลักทุเลยิ่งนัก วันนี้เป็นวันที่เค้าต้องทำงานวันแรกในที่ทำงานใหม่ ทำให้แม้จะอ่อนเพลียแค่ไหนก็ตาม
เช้านี้ต้อมแต่เครื่องแบบเต็มยศร้อยตำรวจโท เนื่องจากว่าเช้านี้เขาไม่ค่อยสดชื่อนเท่าไหร่ ทำให้เขาดื่มแค่กาแฟนแก้วเดียวแล้วออกไปทำงาน แต่ขณะที่เข้ากำลังขับรถออกจากบ้าน เข้าก็นึกบางอย่างได้ขึ้นมา
(เวรแล้ว ลืมปิดไฟ)
เมื่อคืนที่ต้อมคิดมากไปจนหลอนทำให้เปิดไฟไว้ทั่วบ้านทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อคืน และเช้านี้เค้าก็ยังไม่ได้ปิดไฟเลย และเมื่อนึกได้ตามนั้นเค้าก็จอดรถไว้ที่หน้าบ้านแล้วรีบเดินเข้าบ้านไปทันที
แต่สิ่งที่เค้าเห็นมันทำให้ถึงกับเข่าอ่อน เมื่อไฟทั้งบ้านมันก็ถูกปิด ซึ่งต้อมเองเองก็จำได้แน่ๆว่าเค้าไม่ได้ปิดมัน แต่อีกความคิดนึงคือ เค้าอาจจะเพลียและเบลอ จนปิดไปแล้วจริงๆ แต่ไม่ว่าความจริงจะเป็นยังไง ต้อมก็รีบออกจากบ้านแล้วไปทำงานทันที
......................
ที่สถานีตำรวจวันแรก ต้อมที่เข้ามารายงานตัวกับผู้กำกับ ก้เป็นไปด้วยดีเกินไป เพราะต้อมเป็นลูกของนักธุรกิจใหญ่ ตระกูลดัง ซึ่งหากรักษาตัวดีๆก็อาจจะถึงขั้น ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติก้ได้ ซึ่งต้อมก็เออออไปตามเรื่อง เพราะต้อมก็ยังห่วงเรื่องที่บ้านอยู่ ว่าวันนี้เค้าจะกลับไปนอนที่บ้านดีมั้ย
"สวัสดีครับหมวด" เสียงทักทายของชายวัยกลางคน เขาคือดาบตำรวจวัย50ต้นๆ ชื่อว่าดาบตำรวจมิตรชัย คนเก่าคนแก่ประจำสถานี
ดาบมิตรสังเกตุสีหน้าอมทุกข์ของผู้หมวดใหม่ได้จึงเจรจาซักถาม ซึ่งผู้หมวดต้อมก็เห็นว่าดาบตำรวจคนนี้ดูมีอายุน่าจะมีประสบการณืและอีกทั้งมียศน้อยกว่าแก ยังไงซะคงไม่หัวเราะเรื่องราวของแกแน่ๆ
"ดาบครับ ที่บ้านผมมีผี ผมควรทำยังไงดี" จู่ๆผู้หมวดต้อมก็ซัดคำถามชวนอึ้งออกมา ดาบมิตรเงียบไปซักครู่หนึ่ง จึงแนะนำให้นิมนต์พระมาสวด ซึ่งผู้หมวดต้อมก็บอกว่าเค้าก็คิดจะทำตอนขึ้นบ้านใหม่เหมือนกัน แต่ก่อนจะถึงเวลนั้น เค้ายังไม่รู้จะทำยังไงดี อีกทั้งไม่รู้ว่า ที่เค้าเจอๆอยู่มันคือผีหรือว่าเค้าหลอนไปเอง
"แล้วผู้หมวดกลัวผีขนาดไหนเหรอครับ" ดาบมิตรถาม ซึ่งหมวดต้อมก็ตอบสวนไปทันทีว่ามาก
ต้อมเล่าให้ดาบที่เพื่องร่วมงานกันวันแรกฟังว่าตอนเค้าเด็กๆ เค้าและครอบครัวไปพักผ่อนที่รีสอร์ทหรูที่ภาคเหนือ แต่ เนื่องจากตระกูลเค้ารวยจึงถูกโจรลักพาตัวไปเรียกค่าไถ่ ด้วยค่าตัวสิบล้านบาท
และนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เค้ากลัวผีมากกว่ากลัวตายและเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เค้าอยากเป็นตำรวจ นั่นเพราะโจรที่ลักพาเค้าไปนั้น ถูกผีป่าฆ่าตายในกระท่อมกลางป่า วึ่งต้อมเองก้หวุดหวิดที่จะถูกกิน ดีที่มีสร้อยพระเส้นเล็กที่เค้าติดตัวตังแต่เด็กห้อยคออยู่ ผีป่านั้น มันฆ่า และกินกลุ่มโจรนั้นอย่างสยดสยอง ผ่านไปสามวันสามคืน ทุกคืนพวกผีป่า ก็ออกมากินศพโจร ครั้นฟ้าสางก้หายไป ต้อมตกอยู่ในความกลัวเพราะผีป่าพวกนั้นก้กะจะกินเค้าเหมือนกัน แต่ก็ทำไม่ได้ จนผ่านไปสามวันที่ต้อมต้องดำรงชีวิตด้วยผลไม้ ที่โจรนำมาเป็นเสบียง จนตำรวจมาช่วยได้ทัน
"ตำรวจคนนั้นเค้าช่วยผม กอดผมที่กำลังกลัวในตอนนั้น เค้าบอกว่าไม่เป็นไรตำรวจมาช่วยแล้ว แล้วเค้าก้ถอดหมวกที่มีตราตำรวจสวมให้ผม เค้าบอกว่าผีกลัวตราแผ่นดิน มันจะช่วยผมได้ จากนั้นผมก็มาเป็นตำรวจ ทุกครั้งที่ผมปฏิบัติงานในเครื่องแบบ ผมไม่เคยกลัวอะไร แต่พอไม่ได้ทำงาน ผมก็ยังกลัวผีเหมือนเดิม ผมกลัวที่จะเป็นเหมือนผีป่าพวกนั้น" หมวดต้อมเล่าเรื่องในวัยเด็กให้ดาบมิตรฟัง ทั้งสองคนกลายเป็นเพื่อนต่างวัยกันนอกจาก ลูกน้องและเพื่อนร่วมงาน
"ผู้หมวดลองไปบูชาพระมาซักองค์สิครับ เข้าบ้านใหม่ อย่างน้อยก็ต้องมีพระประจำบ้านนะ"ดาบมิตรแนะนำ ซึ่งต้อมก้เห็นด้วย ทั้งสองกะว่าพอออกเวรจะไปบูชาพระพุทธรูปมาซักองค์
............................
งานวันแรกที่ที่ทำงานใหม่ของต้อม ถ้ามองเผินๆก็เหมือนว่าจะมีแต่งานง่ายๆแต่สำหรับต้อมมันยิ่งทำให้เค้าไม่กล้าไปนอนที่บ้านมากขึ้น เพราะวันนี้ มีผู้หญิงสองคนมาเถียงกันบนสถานี เรื่องที่สุนัขที่อีกบ้านเลี้ยงไว้เห่าหอนไม่หยุดทั้งคืน ทำให้ข้างบ้านเกิดความรำคาญ แต่ประเด็นมันอยู่ที่ ผูหญิงสองคนนนี้อยู่ในหมู่บ้านเดียวกับหมวดต้อม และ ยังอยู่บ้านตรงข้ามอีกต่างหาก
เรื่องมันมีอยู่บ้านบ้านเจ้าปัญหานั้นเลี้ยงหมาไว้สามตัว ซึ่งปกติก็สงบเสงี่ยมดี แต่เมื่อคืนนั้น ทั้งสามตัวเห่าหอนชวนขนลุกอยู่ที่รั้วหน้าบ้านของมัน ซึ่งแค่นี้ก็น่าจะพอเดาได้ว่า มันคงเห็นอะไรที่บ้านของผู้หมวดแน่ๆถึงหอนได้อย่างนี้ และเพื่อเป็นการแก้ปัญหา ต้อมจึงแนะนำให้ลองเอาหมาเข้าบ้านเผื่อจะดีขึ้น ทำให้คู่กรณีทั้งสองตกลงกันได้
และเมื่อเลิกงาน ดาบมิตรจึงพาหมวดต้อมไปบูชาพระพุทธรูปที่วัดแถวนั้น และหลังนั้นพอหมวดต้อมกลับบ้านจึงวางพระพุทธรุปไว้บนตักขณะขับรถมาตลอดทาง
..................................
เมื่อกลับมาที่หมู่บ้าน ตรงบ้านตัวอย่างข้างสำนักงานขาย ต้อมเห็นเจ้าของโครงการกำลังรถน้ำต้นไม้อยู่ จึงลงรถไปทักทาย ส่วนหนึ่งก็เพราะอยากล่วงความลับว่าเค้ารู้เห็นที่บ้านของต้อมมีผีหรือไม่ถึงได้ยกให้ฟรีๆ
ไม่พูดพร่ำทำเพลง ต้อมก็เปิดประเด็นทันที จนเจ้าของโครงการต้องจูงแขนต้อมมาคุยในบ้าน
"ต้องขอโทรคุณต้อมด้วยนะครับ จริงๆผมก้อยากยกบ้านให้แทนดอกเบี้ยที่พ่อของคุณต้อมให้ยืมนั่นแหละ แต่อีกกรณีหนึ่งคือ หมู่บ้านเราถือว่าเป็นหมู่บ้านระดับหรู แต่บ้านหลังนั้น เป็นบ้านที่แพงที่สุด ขนาดใหญ่ที่สุด กลับไม่มีคนพักเลย ผมจึงเกรงว่าจะเกิดภาพลบกับโครงการก็เลยยกให้พ่อของคุณน่ะครับ" คำตอบของเจ้าของโครงการ ทำให้ต้อมเข้าใจว่าเขาคงไม่รู้ว่าบ้านนั้นมีผีหรือเปล่า แต่เพียงแค่ว่าไม่มีใครมาซื้อเลย อาจจะมีหลายสาเหตุที่ว่ามูลค่าบ้านอาจจะแพงเกินไป
"แล้วคุณเจ้าของโครงการไม่สงสัยบ้างเหรอครับว่าทำไมถึงขายไม่ออก" ต้อมถามกลับ แต่สีหน้าของเจ้าของโครงการก็ดูจะหนักใจ
"ผมก็ไม่ทราบครับ เรื่องราคาคงจะไม่มีปัยหาเพราะพอแจ้งราคาไปก็มีคนสนใจมากเหมือนกัน แต่ก็ไม่มีใครเอาซักคนเลย จนบางทีผมก็สงสัยนะว่ามันจะมีอะไรหรือเปล่า"
"มีอะไรเหรอครับ" ต้อมแกล้งถามไป แต่คำตอบที่ได้ ไม่นึกว่าเจ้าของโครงการจะตอบเขามาตรงๆ
"ผมสงสัยว่าจะมีผีน่ะครับ แต่ผมบอกใครไม่ได้ เดี๋ยวชาวบ้านจะตื่นกันหมด" คำตอยนั้นทำให้ต้อมถึงกับโกรธแต่ก็กลั้นเอาไว้ได้ เพราะเมื่อคิดดูอีกที เรื่องผีนั้นแม้แต่เจ้าของโครงการก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน
"ถ้าจะพูดไปผมก้เจอเรื่องแปลกๆเหมือนกัน" ต้อมตัดสินใจเล่าให้เจ้าของโครงการฟังถึงเรื่องแปลกที่เขาเจอ ทำให้สุดท้ายทั้งคู่ก้ได้ข้อสรุปมาว่าต้องทำอะไรซักอย่าง โดยที่ต้องหาสาเหตุและไม่ทำให้ชาวบ้านแตกตื่น
"ทั้งสองคนตัดสินใจค้นหา ใครซักคน ที่จะสามารถช่วยพวกเขาได้ จากในอินเตอร์เนต โดยคืนนี้ต้อมตัดสินใจนอนกับเจ้าของโครงการคืนนึง เพื่อช่วยกันค้นหาใครที่จะมาช่วยได้ เพราะต้อมก็รู้ดีว่าบ้านหลังนี้ก้ได้มาฟรีๆ จะเรียกร้องโวยวายก็ไม่ควร ยิ่งจะทำให้คนอื่นเสียหายอีก
เมื่อทั้งสองหาสิ่งที่เป็นไปได้ยากอยู่นานซึ่งส่วนมากก็พบแต่สำนักทรงไม่ก็ สำนักงานนักสืบปกติ แต่ก็มาสะดุดกับข่าวเล็กๆข่าวหนึ่ง
"ชมรมถ่ายภาพของนักศึกษาช่วยผู้ซื้อเรียกค้าเสียหายจากคนขายกรณีบ้านผีสิง"
...............................................
เช้าวันต่อมา ต้อมที่ยังอยู่ในชุดตำรวจตื่นขึ้นมาบนโซฟาในบ้านตัวอย่างของเจ้าของโครงการ เมื่อคืน หลังจากที่ร่วมมือกับเจ้าของโครงการ หาชื่อผู้ที่มะมาแก้ปัญหาเร่องนี้ได้ก็เล่นเอาวะดึก ซึ่ง ส่วนใหญ่จากที่ค้นเจอ ถ้าไม่ใช่สำนกงานนักสืบทั่วไป ก็จะเป็นสำนักทรงเจ้าเข้าผีซะมากกว่า แต่จนแล้วจนรอดทั้งคู่ก็ได้เจอกับข่าวๆหนึ่ง เป็นข่าวเล้กเมื่อปีที่แล้วเกี่ยวกับ กลุ่มนักศึกษาและรุ่นพี่ที่เพิ่งจบไป ได้ช่วยอาจารย์ของพวกเขาในการยื่นฟ้องศาลในกรณีพิพาทเกี่ยวกับการซื้อบ้านที่มีผีแล้วชนะคดี ซึ่งก็ยังถือว่าโชคชะตาปราณีที่ในข่าวยังแอบมีการโฆษณาโดยการทิ้งเบอร์ติดต่อของชมรมไว้
แต่เนื่องจากตอนนี้ยังเช้ามาก และคงไม่มีใครที่ไหนจะเข้าชมรมเช้าขนาดนี้ ต้อมก็เลยกะว่าจะรอซักเที่ยงค่อยโทรไป ดังนั้น เข้าจึงไปทำงานทันทีโดยเปลี่ยนแค่เสื้อข้างในที่มีติดไว้ในรถของเขา
ก่อนเข้าทำงานต้อมระดมสเปรย์ดับกลิ่นทั้งตัว เพราะเข้าไม่ได้อาบน้ำเพียงแต่เปลี่ยนเสื้อตัวในเท่านั้น เพราะว่าเขายังไม่กล้าเข้าไปในบ้านที่ยังไม่ยืนยันสถานะผู้อยู่อาศัยอื่น และเพราะเหตุนี้ ต้อมจึงหอบเอาพระพุทธรูปที่บูชาไว้ตั้งแต่เมื่อวานไปทำงานด้วย จนเพื่อนๆตำรวจด้วยกันต้องถามด้วยความสงสัย และเมื่อพากันถามหนักเข้า เขาจึงตอบไปว่า เขาศรัทธาในพระพุทธรูปองค์นี้มาก
...................................
เย็นวันนั้น หลังจากที่ต้อมติดต่อไปที่เบอร์ชมรมได้ตอนเที่ยง ทีแรกนักศึกษาที่รับสายก็ไม่รู้เรื่องอะไร จนกระทั่งประธานชมรมเข้ามา ซึ่งคนที่ต้อมตามหาตัวอยู่ก็คือภู
จากที่คุยโทรศัพทืกัน ภูเป็นประธานชมรมถ่ายภาพส่วนกลางของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ซึ่งเรื่องนี้ภูขอให้คุยรายละเอียดกันช่วงเย็น ที่ร้าน ปิ้ง ย่าง ส้มตำใกล้มหาวิทยาลัย เพราะเรื่องนี้ คนในชมรมไม่ค่อยรู้กันเท่าไหร่โดยเฉพาะพวกเด็กใหม่ เขาไไม่อยากให้ภาพลักษณ์ของชมรมเป็นเรื่องผีๆสางๆ เพราะคราวก่อนที่เป็นข่าว ชมรมถ่ายภาพก็เกือบโดน สภาฯตัดงบไปทีนึงแล้ว
เวลาประมาณเกือบ6โมงเย็น ผู้กองต้อมก็มาถึงร้านที่นัดกันไว้พร้อมกับพระพุทธรุปที่เอามาวางบนโต๊ะ เขาคิดว่าคงเป็นการไม่เคารพถ้าจะปล่อยพระพุทธรูปไว้ที่รถเพียงลำพัง ซึ่งเหตุนี้คนในร้านจึงมองเข้าแปลกๆที่ตำรวจแต่งตัวเต็มยศ พร้อมกับพระพุทธรูปมานั่งในร้านส้มตำ แต่กลับสั่งเพียงน้ำอักลมขวดเดียว
ซักครู่หนึ่ง นักศึกษาหนุ่มที่ท่าทางเหมือนดาราก็เดินเข้ามาหาต้อมพร้อมกับ ผู้หญิงสวยหุ่นนางแบบอีกคนที่ใส่ชุดกาวน์
"ใช่พี่ต้อมที่โทรมารึเปล่าครับ" นักศึกษาคนนั้นเข้ามาทัก ต้อมก็ตอบไปว่าใช่ แล้วเขาและผู้หยิงอีกคนก็นั่งที่โต๊ะเดียวกัน
"อยากทานอะไรก็สั่งเลยนะครับ เดี๋ยวผมเลี้ยงเอง" แม้จะเป็นคำพูดตามมารยาท แต่อีกฝ่ายกลับสั่งมาเต็มโต๊ะเหมือนไม่เกรงใจประมาณว่าจะกินให้อิ่มยันเช้า
ก่อนที่อาหารจะมาก็มีการแนะนำตัวเอง เริ่มจากเด็กหนุ่มชื่อภู เค้าเป็นนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ปีสุดท้ายและเป็นประธานชมถ่ายภาพของมหาวิทยาลัย ส่วนผู้หญิงอีกคน เป็นนักศึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านนิติเวช ที่ใช้ทุนไปด้วยเรียนไปด้วยชื่อว่าเจี๊ยบ ซึ่งเจี๊ยบนั้นอายุเท่ากับต้อม
เมื่ออาหารมาถึง ทุกคนก็ทานกันไปคุยกันไป ซึ่งต้อมก็เริ่มระบายความอัดอั้นของตัวเองให้ทั้งคู่ฟัง ซึ่งก็ดูเหมือนว่าทั้งภูและเจี๊ยบจะรู้สึกเฉยๆกับเรื่องของต้อม
"พี่ต้อมรู้ได้ยังไงครับว่าที่พี่ต้อมเล่ามานั้นไม่ได้รู้สึกไปเอง" คำพูดของภูนั้นทำให้ต้อมรู้สึกโมโหอยู่ลึกๆ ที่คิดว่าคนที่น่าจะเชื่อเค้ากลับบอกว่าเค้าคิดไปเอง
"ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่เชื่อคุณนะคะ เพียงแต่ที่คุณเล่านั้น มาจากความรู้สึกของตัวเอง อีกอย่างสภาพร่างกายของคุณในตอนนั้นก็เชื่อได้ว่าคุณอาจจะเบลอจนคิดว่ามันเป็นผี เพราะคุณก็ไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์อะไรซักอย่าง" เจี๊ยบอธิบายพร้อมกับจ้วงข้าวเหนียวไปด้วย
เมื่อได้ยินดังนั้นต้อมก็ฉุกคิดและสลดขึ้นมาทันที เพราะเค้าเป็นตำรวจแต่กลับลืมเรื่องหลักฐานไป ซึ่งตรงนี้ก็ทำให้ต้อมรู้สึกเสียหน้ามาก
"แต่ต่อให้ที่บ้านพี่มีผีจริงๆ พวกผมก็ไม่ใช่หมอผี ที่จะไล่ผีไปได้ แต่พวกผมคือนักสืบ ที่สามารถหาสาเหตุปรากฏการณ์ทางวิญญาณต่างๆ ซึ่งก็อาจจะมีหรือไม่มีทางแก้ไขให้พี่ได้ ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าพี่จะโอเครึเปล่า" ภูแสดงสีหน้าจริงจนต้อมรู้ได้ทันทีว่า คนๆนี้คงไม่ใช่พวกหลอกลวงแน่นอน
"ผมตกลง เรื่องค่าจ้างนั้นไม่มีปัญหา แต่อยากให้เคลียร์เรื่องนี้ให้จบก่อนทำบุญขึ้นบ้านใหม่จะได้มั้ย" ข้อเสนอของต้อมนั้นภูได้ตบปากรับคำ แต่เนื่องจาก มันค่อนข้างกะทันหัน ภูก็เลยให้ต้อมลองทำตามที่เขาบอกก่อนเพื่อเป็นการกรองว่าที่บ้านของต้อมนั้นมีผีจริงๆ
เจี๊ยบหยิบเครื่องอัดเสียงจากเทปยื่นให้ต้อม โดยภูต้องการให้ต้อมลองบันทึกและบรรยาย บรรยากาศและเหตุการณ์ต่างในบ้าน และให้ต้อมเอายาสีฟันป้ายสวิทช์ไฟ ทุกอันที่ต้อมได้เปิดไฟทิ้งไว้เพื่อดูว่า ต้อมจะเบลอแล้วเผลอปิดเองหรือเปล่า
แม้จะเป็นอะไรที่ง่ายๆ แต่มันอยากแค่อย่างดียวคือต้อมยังกล้าๆกลัวที่จะกลับไปที่บ้านของตัวเอง และเพื่อความสบายใจเข้าได้ขอเบอร์ติดต่อทั้งสองคนไว้เผื่อมีอะไรฉุกเฉิน
หลักจากที่ทั้งสามคนคุยงานกันเสร็จ พอตอนเช็คบิลก็สร้างความประหลาดใจให้กับต้อมมาก เพราะเขามากินกัน3คนหมดไปพันกว่าบาทโดยที่สั่งอาหารไปทุกอย่างที่ร้านนั้นมี จนต้อมตัดสินใจว่าจากนี้ไป เขาจะไม่เลี้ยงข้าวใครที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกอีกแล้ว
...............................
ช่วงค่ำ ก่อนกลับต้อมหาแวะร้านสะดวกซื้อเพื่ตุนเบียร์มาดื่มย้อมใจก่อนที่จะทำตามคำแนะนำของภู
เมื่อมาถึงบ้านต้อมจัดแจงอัยเชิญพระพุทธรุปที่เขาบูชามาจากวัดตั้งแต่เมื่อวาน มาวางบันชั้นวางของที่ดัดแปลงเป็นหิ้งพระ พร้อมกับสวดมนต์ตามบทสวดมนต์มาตรฐานเพื่อเป็นศิริมงคลและขวัญกำลังใจ
จากนั้นต้อมจึงตระเวณเปิดไฟแล้วเอายาสีฟันป้ายตรงสวิทช์ โดยไม่ลืมที่จะบันทึกเสียงการกระทำของเขาไว้ เมื่อจัดแจงทำตามที่ภูบอกเสร็จ ก็ถึงเวลอาบน้ำนอน
ซึ่งต้อมก็ทำเหมือนเคยเช่นวันแรกกที่มานอน แต่วันนี้ก็ไม่มีอะไรแปลกๆอย่างเช่นเสียงเปิดน้ำที่เขารู้สึกว่าจะได้ยินในวันแรกที่เข้ามา
ต้อมกลับมานอนทีเตียงด้วยความอิดโรยหลังจากอาบน้ำเสร็จ และเขาก้หลับไปอย่างรวดเร็ว
โดยที่เข้าลืมปิดเครื่องบันทึกเสียงไว้
และมันก็บันทึกเสียงทุกอย่างในขระที่ต้อมหลับไป จนสุดเทป
...........................................
เช้าวันรุ่งขึ้น ต้อมตื่นขึ้นมาด้วยความอ่อนเพลีย จนทำให้เขารู้สึกว่าบ้านหลังนี้ต้องมีอะไรแน่ๆ เพราะขนาดที่เขาไปนอนที่โซฟาของบ้านเจ้าของโครงการ ต้อมยังรู้สึกว่าเขายังนอนเต็มอิ่มมากกว่านี้เลย
แต่เมื่อเขาจะหยิบที่อัดเสียงจากบนหัวเตียงมาอัดคำพูดที่แสดงความรู้สึกไว้ เค้าก็ประหลาดใจที่ว่าเทปนั้นถูกอัดทิ้งไว้ แต่พอคิดๆดูก็อาจจะเป็นไปได้ว่าเขาคงลืมปิด ทำให้เทปถุกอัดทิ้งไว้จนหมด
(ยังเหลือสวิทช์ไฟ) ต้อมนึกขึ้นได้ว่าเขาเปิดไฟทิ้งไว้ทั้งบ้าน โดยเอายาสีฟันป้ายไว้ แต่เมื่อไปตรวจดูก็พบว่าไฟนั้นยังติดเหมือนเดิม และยาสีฟันที่ป้ายไว้ ก็ไม่มีรอยนิ้วมือคนไปกดด้วย
(หรือว่าเราจะคิดมากไปเอง)
เมื่อเตรียมตัวเสร็จ ต้อมก็ไล่ปิดไฟทั้งบ้าน แล้วก้ไปทำงานทันที แต่เช้านี้ ดาบมิตร ผู้เป็นเพื่อนต่างวัยของต้อมก็เข้ามาทักทายด้วยคำพูดที่แปลกไป
"ผู้หมวดไปทำอะไรมาเหรอครับ เหมือนดูไม่ค่อยสดใสเลย" เหมือนคำของดาบมิตร สีหน้าต้อมดูเศร้าหมองและอิดโรย แม้เค้าจะว่าไม่เป็นอะไรก็ตาม
ยังดี ที่วันนี้งานของต้อมยังไม่มากเท่าไหร่ เขาจึงคิดถึงเรื่องที่ผ่านๆมา การพิสูจน์ที่ภู เด็กหนุ่มนักศึกษาแนะนำนั้น ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่สภาพร่างกายของเขาที่ตื่นมาแล้วอิดโรย จนออกทางสีหน้านั้น มันก็หาคำตอบไม่ได้เช่นกัน
ต้อมจึงตัดสินใจโทรไปหาภูโดยหวังว่าเขาจะช่วยให้ต้อมคลายความสงสัยได้
"ฮัลโหล" รอสายไม่นานภูก็รับโทรศัพท์
"ไม่ทราบว่าสะดวกคุยรึเปล่าครับ" ต้อมบอกภูไปแค่นั้น แต่เหมือนกับว่า ภูจะรู้ว่าต้อม ตำรวจหนุ่มที่เมื่อวานเขาได้คุยด้วย เรื่องที่ว่าบ้านเค้าจะมีผีสิง ดังนั้นภูจึงนัดต้อมมาคุยที่วัดที่ภูอาศัยอยู่ในตอนเย็น
......................................
วัดที่ภูนัดมานั้น แม้จะอยู่กลางชุมชนกลางกรุง แต่ก็คงความสงบอย่างไม่น่าเชื่อ จนต้อม ถึงกับเปิดกระจกรถของเขาเพื่อที่จะรับสาลมนั้นให้เต็มปอด กูฏิท้ายวัดที่ภูนัดมานั้น เมื่อต้อมเดินขึ้นไปชั้นสองก็เห็นภู กับเจี๊ยบ หญิงสาวกินจุเมื่อวานนั่งอยู่
"ตื่นมาเจออะไรบ้างหรือเปล่าครับ" คำถามแรกที่ภูยิงมา ถึงกับทำให้ต้อมถอนหายใจ
"ไม่เจออะไรเลยครับ เพียงแต่ตอนเช้าตื่นขึ้นมาแล้วอ่อนเพลีย" ต้อมตอบไปตามความจริง
"อ่อนเพลียที่ว่า คล้ายๆกับอดนอน นอนไม่พอ ร่างกายมันหนักๆใช่มั้ย" เจี๊ยบถาม ซึ่งต้อมก้ได้แต่พยักหน้า จากนั้นทั้งสองคนก็หันไปคุยอะไรกันบางอย่าง ปล่อยให้ต้อมนั่งงงอยู่ตรงนั้น
"ผมว่าพี่คงเจอบ้านผีจริงๆซะแล้วล่ะ" คำตอบของภูทำให้ต้อมถึงกับอึ้ง ในเมื่อไม่มีการปิดไฟ และรอยยาสีฟันก็ยังอยู่ดดี แล้วทำไมภูถึงต้องบอกเค้าว่าที่บ้านมีผี
"ทำไมล่ะ ในเมื่อ วิธีที่คุณบอกก็ไม่เห็นมีอะไรเปลี่ยนไปเลย" ต้อมรีบสวนไปเมื่อได้ยินภูบอกมาว่าแบบนั้น มันเหมือนกับตัวเขาเองกำลังโดนหลอก
"ที่คุณว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนนี่มันยังไงกัน" เจี๊ยบถามย้อน
"ก็ไฟไม่ปิด ไม่มีรอยกดตรงยาสีฟันที่ป้ายไว้ "ต้อมตอบ
"แล้วหลังจากนั้นล่ะ พี่ทำยังไงกับยาสีฟันที่ป้ายไว้" ภูถามต่อไปอีก ซึ่งก็ทำให้ต้อมคิดว่าเขากวน
"ก็เช็ดออกน่ะสิ หรือจะให้เอาไปแปลงวัน" ทันทีที่ต้อมตอบแบบนั้น ก็ปรากฏรอยยิ้มบนหน้าของทั้งภูและเจี๊ยบ
"นี่นายไม่คิดบางเหรอว่ายาสีฟันที่ป้ายทิ้งไว้ค้างคืนจนเช้ามันจะไม่แห้งจนแข็งน่ะ ถ้าเป็นแบบนั้นมันคงลำบากนะ ที่นายจะเช้ดออกง่ายๆได้ทั้งหมด" คำพูดของเจี๊ยบทำให้ต้อมถึงกับสะดุ้ง เขาคิดไม่ถึงตรงจุดนี้จริงๆ
"ที่ผมให้ใช้ยาสีฟันก้เพราะว่าหาง่าย ถ้าพี่ละเมอไปปิดไฟ กลางดึก มันก็จะเป็นรอยและตอนเช้ามันก็จะแข็ง แต่ถ้ามันไม่แข็งจนถึงเช้า พี่คิดว่ายังไงล่ะ" มันเป็นข้อเท็จจริงที่ต้อมไม่อาจปฏิเสธได้ และมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เข้าเช็ดยาสีฟันออกง่ายๆเหมือนว่ามันถูกป้ายใหม่ๆโดยไม่ฉุกคิดซักนิด
"แล้วแบบนั้นมันหมายความว่ายังไง" ตอนนี้ต้อมรู้สึกกลัว แต่ภูก็เหมือนกับจะบอกเค้าว่าอย่าเพิ่งตกใจไป นี่เป็นเพียงข้อสังเกตเท่านั้น
"แล้วเทปที่ผมให้อัดไว้ล่ะครับ" ภูถามถึงเครื่องอัดเทปที่ให้ต้อม แต่ต้อมก็บอกว่า เมื่อคืนตอนที่เค้าหลับ เข้าไม่ได้กดปิด ทำให้เครื่องมันอัดเสียงไปจนหมด ทำให้ ที่เขาบันทึกเสียงไว้เหลือนิดเดียว
แต่ถึงอย่างนั้นภูก็ยังยืนยันว่าจะเปิดฟัง
เมื่อลองเปดฟังก็จริงอย่างที่ต้อมว่า เพราะท่อนที่ต้อมบันทึกเสียงไว้ มีไม่ถึงห้านาที จากนั้นก็เงียบหายไปและมีเสียงกรนของต้อมบ้างประปราย
"ผมต้องขอโทษด้วยนะ ี่กลายเป็นแบบนี้ไไปได้" แต่ดูเหมือนว่าภูจะมองว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
"จริงๆน่ะ จุดที่พวกเราคิดว่าน่าจะมีผีที่บ้านคุณก้เพราะอาการอ่อนเพลียของคุณนั่นแหละ" ต้อมก็ยังงที่เจี๊ยบบอกไปแบบนั้น จนภูต้องอธิบายให้ฟัง
ตามทฤษฏีของภูนั้น ภูติ ผี วิญญาณ คือสิ่งมีชีวิตรูปแบบหนึ่งที่ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตตามหลักวิทยาศาสตร์ นั่นก็คือ คาร์บอน แต่สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นอยู่บนพื้นฐานของกลุ่มก้อนพลังงาน ซึ่งจุดกำเนิดของพลังงานนั้นจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ อาจจะเป็น บุญ หรือกรรม ตามศาสนาพุทธ
มีหลักฐานหลายๆอย่างพบว่าการปรากฏตัวหรือปรากฏการณืทางวิญยาณนั้น อุรหภูมิจะลดลง หรือเกิดไฟฟ้าติดๆดับๆ วึ่งสันนิฐานว่า วิญญาณเหล่านั้นดูดพลังงานจากสิ่งรอบตัวเพื่อสร้างปรากฏการณ์ประหลาดๆ
แต่อีกหลายกรณีที่มีผู้พบว่าการปรากฏตัวของวิญญาณนั้นกลับรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัยนั่นอาจจะเป็นเพราะบางรูปแบบก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาพลังงานของสิ่งที่อยู่รอบตัว
ซึ่งนั้นหมายความว่า อาจจะมีวิญยาณแบบแรกอยู่รอบๆตัวต้อม ทำให้แม้แต่การนอนหลับ ร่างกายก็สูญเสียพลังงานไป จนทำให้ตื่นมาก็ยังรู้สึกอ่อนเพลีย
"ถ้าแบบนั้นแล้วผมต้องทำยังไงครับ" เมื่อต้อมฟังและนึกภาพตาม เค้าก็เกิดกลัวขึ้นมา
"เราก็อาจจะติดตั้งอุปกรณ์เพิ่ม แล้วก็ให้พี่ไปใช้ชีวิตอยู่เหมือนเดิมเพื่อดูปฏิกิริยาทางวิญยาณเพิ่มเติม เพียงแต่..."จู่ๆภูก็ไม่พูดต่อจนต้อมรู้สึกแปลกใจ
"คราวก่อนที่คุณเห็นตามข่าว เราใช้อุปกรณืไม่กี่ตัว ก็พอที่จะหาได้ แต่กรณีของคุณ เราเกรงว่าอุปกรณ์มันจะไม่พอน่ะสิ"เจี๊ยบพูดแทน ซึ่งเธอรู้ดีว่าภูคงไม่กล้าเอ่ยปาก
ต้อมกำลังลังเลอยู่ในใจ เพราะส่วนหนึ่ง แม้คำอธิบายของสองคนนั้นจะมีเหตุผล แต่อีกแง่หนึ่ง เค้าก็กลัวว่าจะโดนหลอกนั่นเอง
"คิกๆๆๆๆๆ" จู่ๆ เสียงแปลกปลอมจากเครื่องเล่นที่เปิดทิ้งไว้ก้ดังขึ้น จนทั้งสามคนต้องหยุดฟัง
และเมื่อกรอกับไปฟังใหม่ เสียงนั้นไม่ใช่เสียงกรน แต่มันเป็นเสียงของผู้หญิงกำลังหัวเราะจริงๆ
มันเป็นเสียงหัวเราะเย็นๆ ที่น่ากลัว และมันชัดกว่าเสียงกรนของต้อมที่อยู่ห่างออกไปซะอีก ราวกับว่า
เจ้าของเสียงมาหัวเราะใกล้ๆกับเครื่องอัด
แต่แค่นั้นยังไม่พอ นอกจากเสียงหัวเราะที่ดูน่ากลัวนั้น เสียงกรีดร้องอย่างโหยหัว จนมันเสียดไปถึงกระดูด ก้ปรากฏอย่างเงียบๆจนแทบฟังไม่ได้ถ้าไม่เปิดจนสุดเสียง
"ช่...ว...ย...ด้...ว...ย..."
......................................
ติดตามตอนต่อไป เรื่องหลอนจากบังกะโล ตอนจบ
Post a Comment