เรื่องหลอนจากบังกะโล ตอน จบ


   "GHost Detective File" เป็นผลงานซีรี่ย์สยองขวัญจากสมาชิกพันทิปนาม นาคาแห่งการพิธี ได้ดำนินมาถึงซี่ซั่นที่ 3 หากใครพลาด ซี่ซั่น 1เหงา  ,ซีซั่นที่ 2 "พิธีกรรมสยองขวัญ"  และ ซี่ซั่น 3 เรื่องหลอนจากบังกะโล  ขอขอบคุณเรื่องราวสยองไว้ ณ ที่นี้ด้วย

คืนนั้นต้อมถึงกับนอนที่กุฏิหลวงพ่อเนื่องจากในตอนนี้เขาไม่กล้าที่จะกลับไปนอนที่บ้านอีกเลย ซึ่งจากรูปการแล้วมันก็หมายความว่าเรื่องทั้งหมดจะยังไม่กระจ้าง ทำให้ภูต้องขอความช่วยเหลือไปที่อดีตประธานชมรมของเขา

ตอนเช้าก่อนที่ภูจะออกไปบิณฑบาตกับหลวงพ่อ ภูได้ขอให้ต้อมลางานในวันนี้เนื่องจาก ภูได้นัดแอ๊ด อดีตประธานชมรม ผู้ซึ่งเคยเป็นหนึ่งในทีมที่ไขคดีนั้นมาก่อน ซึ่งตอนนี้แอ๊ดทำงานเป็นช่างภาพอิสระให้กับนิตยสารแฟชั่นชั้นนำหลายๆเล่ม

"ผมอยากให้พี่ไปเก็บหลักฐานเพิ่มกับพี่แอ๊ดเค้า ถ้ามีหลักฐานชัดการนี้ พวกเราจะได้หาทางจัดการต่อไป"

แม้ภูจะบอกแบบนั้นและแม้ว่าจะเป็นกลางวัน แต่เสียงประหลาดจากเทป ยังคงก้องในหัวของต้อม จนเค้าไม่กล้าจะไปเหยียบบ้านตัวเองแม้จะเป็นตอนกลางวันก็ตาม

ช่วงสายๆ แอ๊ด รุ่นพี่ของภูก็ได้มาตามที่นัดกันไว้ แอ๊ด แม้จะแต่งตัวเซอร์ๆติสๆ ผมเผ้ายาวประบ่า ไว้หนวดเคราแต่ก็ดูหล่อดูดีเลยทีเดียว จนต้อมถึงกับแอบหมั่นไส้

"คุณต้อมใช่รึเปล่า"แอ๊ดเดินเข้ามาทักทายแบบกันเองเกินไปสำหรับคนที่เพิ่งเคยเจอครั้งแรกจนต้อมยกมือไหว้เก้อ

"ครับผม.."ยังไม่ทันที่ต้อมจะทันได้แนะนำตัวจนจบ แอ๊ดก็ให้เค้านั่งรถไปเลยทันที

"คุณเชื่อเรื่องผีหรือเปล่า" แอ๊ดถามต้อมด้วยน้ำเสียงเหนือๆจนต้อมยิ่งหมั่นไส้ขึ้นไปอีก แม้เค้าอยากตะแหกปากใส่รูหูของแอ๊ดว่าเขาไม่เพียงแค่เชื่อและโคตรจะกลัวผีแค่ไหน เขาก็ตอบได้แค่เพียงว่า "ครับ" อย่างสุภาพ

"ดีแล้วล่ะ ผมกลัวคุณจะว่าพวกเราเพี้ยนหรือว่าหลอกหากิน แต่ถ้าคุณเชื่อเราจะได้คุยกันง่ายขึ้น" คำพูดของแอ๊ดทำให้ต้อมสงสัยในตัวของหนุ่มเซอร์คนนี้ว่าจะมาไม้ไหน จากนั้นระหว่างทางแอ๊ดก็ได้เล่าเรื่องคดีนั้นให้ฟัง

มันเป็นเรื่องที่อาจารย์ที่ปรึกษาชมรมเค้าโดนหลอกให้ซื้อบ้านผีสิง เจ้าของเดิมนั้นย้อมแมวขาย ซึ่งเนื้อแท้แล้วเจ้าของนั้น กดดันบีบคั้นให้สาวใช้ฆ่าตัวตายในบ้านหลังนั้น จนหลอกให้อาจารย์ซื้อไปแล้วตัวเองจะได้ไปหาที่อยู่ใหม่ เมื่อพบว่าบ้านนั้นเป็นบ้านผีสิงและมีปรากฏการณ์แปลกๆชวนหลอนมากมาย ทำให้ แอ๊ด ภู และเจี๊ยบที่อยู่ชมรมในขณะนั้นต้องหาทางช่วยหาหลักฐานและฟ้องเรียกค่าเสียหาย โชคดีอีกอยางหนึ่งที่ ในบ้านนั้นเกิดปรากฏการณ์ผีโพโตไกส์ และด้วยสัญญาซื้อขายที่รัดกุม ทำให้สุดท้ายหลักฐานที่ชมรมได้มาในบ้านหลังนั้น เป็นเหตุให้ศาลเชื่อว่าเจ้าของได้ขายบ้านที่มีคุณสมบัติผิดไปจากสัญยาให้ จนศาลสั่งให้สัญยาซื้อขายเป็นโมฆะและให้เจ้าของชดใช้ค่าเสียหาย

แม้เหตุการจะจบลงด้วยดีและในฐานะคนที่พิสูจน์เรื่องราวทั้งหมดกลับทำใจไม่ได้กับการทคนที่บีบคั้นคนอื่นจนฆ่าตัวตายยังไม่ได้รับผลกรรมที่สาสมกับการกระทำของตน ประกอบกับวิญญาณที่น่าสงสารนั้นยังคงวนเวียนในบ้านหลังนั้นอย่างทรมาน

แต่แม้ว่าแอ๊ดจะเล่าเรื่องที่ผ่านมาให้ต้อมที่นั่งมาด้วยกันฟัง แต่ต้อมก็แทบจะไม่ได้ใส่ใจที่จะฟังเพราะเขากลัวจนไม่อยากฟังนั่นเอง

...........................................

แอ๊ดจอดรถหน้าบ้านของต้อม จากภายนอกมันก็เหมือนบ้านแถวๆนั้นจนเหมือนไม่มีอะไรแตกต่าง แต่สีหน้าเจ้าของบ้านที่ยังเหมือนดูกล้าๆกลัวๆที่จะไปเปิดประตูบ้านตัวเองนั้น ทำให้แอ๊ดพอจะเดาได้ว่ามันต้องมีอะไรแน่ๆ เมื่อเขาเตรียมกล้องถ่ายรูปแบบใช้ฟิล์มประจำตัวของเขาเสร็จ เขาก็เดินเข้าไปในบริเวณบ้านของต้อมทันที

แต่ก้าวแรกที่เข้ามาในบริเวณบ้าน แอ๊ดก็เหมือนว่ามีความรู้สึกกดดันอะไรบางอย่างจนนิ่งไป จนต้อมต้องเข้ามาถามว่าเป็นอะไร

"นี่คุณอยู่บ้านนี้ได้ยังไงกันเนี้ย"แอ๊ดถามต้อมด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่เมื่อเทียบกับปกติ จนต้อมรู้สึกกลัว แอ๊ดยืนทำใจอยู่นาน เขาก็เริ่มที่จะถ่ายรูปรอบๆบ้าน โดยแต่ละช็อตนั้นจะถ่ายสองรูปคือรูปที่มีต้อมอยู่และอีกรูปจะไม่มี ซึ่งเมื่อต้อมถามถึงเหตุผล แอ๊ดก็บอกแต่เพียงว่ารอให้เสร็จงานก่อน

และด้วยความเป็นกล้องฟิล์ม ทำให้การถ่ายแต่ละครั้ง แอ๊ดต้องเล็งแสง เงา มุม นานกว่าจะถ่ายได้ จนรูปหลังๆจากที่ต้อมโพสท่าถ่ายก็กลายเป็นยืนนิ่งๆเหมือนถ่ายรูปติดบัตร

"แค่นี้ก็น่าจะพอแล้ว ต่อไปก็ไปถ่ายในบ้านกัน" พอถ่ายด้านนอกจนพอใจ แอ๊ดก็ให้ต้อมเปิดบ้านเพื่อไปถ่ายในบ้านต่อ เมื่อเข้าบ้านสีหน้าแอ๊ดก็ดีขึ้นไม่แย่เหมือนตอนอยู่ข้างนอก

"ต้องถ่ายเหมือนเดินเหรอ" ต้อมถามเพราะเขาเริ่มเบื่อในการเป็นนายแบบถ่ายรูปซะแล้ว แต่เมื่อแอ๊ดบอกว่าใช่เขาก็ต้องทำต่อไป ซึ่งคราวนี้แอ๊ดถ่ายมันซะทุกห้อง ทุกซอก ทุกมุมในบ้าน จนต้องใช้ฟิล์มไปอีกม้วนนึง จนถ่ายเสร็จหมดก็ใช้เวลาไปนานจนเกือบเที่ยง

เมื่อถ่ายเสร็จ ต้อมขอตัวอาบน้ำ เพราะช่วงบ่ายเค้าต้องไปทำงานเพราะลาแค่ช่วงเช้า ซึ่งต้อมนั้นขอให้แอ๊ดนั่งเฝ้าเค้าตอนอาบและแง้มๆประตูไว้

"ตอนอยู่ข้างนอกคุณเป็นอะไรรึเปล่าสีหน้าไม่ค่อยดีเลย" ต้อมถามแอ๊ดขณะที่ตัวเองอาบน้ำอยู่

"บอกตรงๆนะ บริเวณบ้านคุณน่ะ มีผีแน่ๆมันแรงขนาดผู้สัมผัสวิญญาณอย่างผมถึงกับผะอืดผะอม"แอ๊ดตอบโดยที่เปิดเทปอัดเสียงไว้ด้วย

"ผู้สัมผัสวิญญาณ คืออะไรเหรอ" ต้อมสงสัยในสิ่งที่แอ๊ดบอก จนแอ๊ดต้องอธิบายให้ฟังว่าผู้สัมผัสวิญยาณคืออะไร

"งั้นก็เหมือนคนมีเซ้นท์น่ะสิ"เมื่อฟังที่แอ๊ดอธิบาย ต้อมก็ถามต่อ

"ไม่เชิงหรอก มันไม่เหมือนกันซะทีเดียว แม้คนมีเซ้นท์กับผู้สัมผัสวิญญาณจะไวต่อวิญญาณเหมือนกัน แต่ผู้สัมผัสวิญญาณจะมีความสามารถจำเพาะเพิ่มขึ้นมา อย่างผมก็คือ เมื่อใช้กล้องฟิล์ม สามารถที่จะถ่ายรูปติดวิญญาณได้" คำตอบของแอ๊ดพอที่จะทำให้ต้อมเข้าใจบ้าง

เมื่อต้อมอาบน้ำและแต่งตัวเสร็จ ทั้งคือก็ผิดบ้านและออกมา แต่ขณะที่กำลังจะเดินออกมา ความรู้สึกหนึ่งก็ผ่านเข้ามา ทำให้ต้อมต้องหันหลังกลับไปถ่ายอีกครั้ง

.................................................

เย็นวันนั้น ที่กุฏิหลวงพ่อ แอ๊ดก็นำฟิล์ม ที่ล้างเสร็จและรูปมาให้ทุกคนดู เนื่องจากที่บ้านของแอ๊ดเป็นร้านถ่ายรูปทำให้เขาสามารถล้างและอัดรูปได้เร็วขนาดนี้

และรูปที่อัดมาเสร็จ ทำให้ต้อมเจ้าของบ้านถึงกับเป็นลม ภาพนอกบ้านปรากฏเป็นเงาขมุกขมัว ไม่ชัด และภายในบ้านก็มีรูปแปลกๆมากมายทั้งรอยเหมือนหน้าคนที่ปรากฏบนเสา เงาของมือที่ปรากฏในภาพ ขาของคนบริเวณบันได รอยเท้าที่ปรากฏเต็มห้องน้ำ ไฟที่ติดเองในรูป แม้ตอนนั้นจะปิดไฟ

และที่สำคัญ

รูปสุดท้ายที่แอ๊ดหันหลังกลับไปถ่าย

เงาดำขมุกขมัวนั้น มันพุ่งสูงชะลูดจนบังบ้านทั้งหลัง

.....................................................
"พวกพี่ว่าภาพมันแปลกๆมั้ย"ภูขอความเห็นทุกคน แต่คงยกเว้นต้อมที่ดูเหมือนจะไม่มีสัญญาณตอบรับใดๆทั้งสิ้น

"แบบนี้ใช่มั้ย" เจี๊ยบเรียงรูป เป็นหมวดหมู่ โดยแบ่งเป็นรูปภายในบ้านและนอกบ้าน

"รูปในบ้านค่อนข้างชัดนะว่ามันก่อรูปเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา และยังตามพวกเราไปทุกเฟรมเลย แต่ภายนอกบ้าน...."แอ๊ดพูด

"ยังเป็นแค่กลุ่มก้อนพลังงานสินะ" ภูยกรูปภายนอกบ้านที่ถ่ายติดเงาทะมึนนั้นขึ้นมา

"เดี๋ยวก่อนนะ" เจี๊ยบสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง

สิ่งที่เจี๊ยบสังเกตก็คือ รูปถ่ายนอกบ้าน มีแค่บริเวณสนามหญ้าเท่านั้นที่ติดเงา แต่ตรงส่วนอื่นๆกลับไม่มี

"แบบนี้คงพอจะมีทางไปแล้วล่ะ" แอ๊ดพูด เขารูปซึ่งว่าเคสนี้ต้องมีอะไรที่ท่าทายอย่างมากแน่ๆ ทั้งหมดตัดสินใจบอกต้อม ในตอนที่เค้าพร้อมรับฟังมากกว่านี้

.................................

วันต่อมา เจี๊ยบจังแจงเมคใบรับรองแพทย์เพื่อให้ต้อมลางานเพื่อจะได้จัดการเรื่องบ้านของตัวเองให้เต็มที่ แต่ดูเหมือนว่าต้อมอยากไปทำงานมากกว่าเมื่อได้ยินแผนของทั้งสามคน

"วันนี้นายต้องลางานแล้วไปซื้อพวกอุปกรณ์มา ติดตั้งทั้งบ้านก่อนค่ำ วันนี้พวกเราจะไปค้างบ้านนาย" เจี๊ยบสั่งแบบนั้น แต่พอนึกๆดูมันก็ยังดีกว่าที่เค้าต้องนอนบ้านคนเดียว

เหมือนว่ามีการสั่งไว้ก่อน อุปกรณ์ต่างๆถูกนำมาที่บ้านต้อมตั้งแต่เที่ยง อุปกรณ์ต่างๆทั้งจัดหนักจัดเต็มแล้วยังลงบิลต้อมไว้ทั้งหมด

หลังจากทานข้าวเสร็จทั้งสี่คนมาพร้อมกันที่หน้าบ้านของต้อม คราวนี้เจี๊ยบขออาสา เข้าไปก่อน เพราะเธอคือผู้สัมผัสวิญญาณคนหนึ่งที่มีความสามารถมารถรับรู้ความรู้สึกของวิญญาณในบริเวณนั้นเมื่ออยู่คนเดียว

ทันที่ที่เจี๊ยบก้าวผ่านประตูหน้าบ้านเข้าไป เธอถึงกับทรุดลงกับพื้นทันที เหมือนจะเป็นลม เมื่อต้อมเห็นแบบนั้นจึงรีบเข้าไปรับตัวเธอก่อนที่จะล้มลง

"นี่ๆเป็นอะไร" ต้อมพยายามเรียกเจี๊ยบ ที่เหมือนจะหน้ามืด ขณะที่ภูกับแอ๊ดไปหายาดมมาช่วย จนเจี๊ยบได้สติ

"กลัว....น่ากลัว มาก" เจี๊ยบพูดแบบหน้าซีดปากสั่น เมื่อดูจากอาการ ก็พอจะบอกได้ว่าหนักมาก

"งั้นเดี๋ยวผมกับพี่แอ๊ดจะเข้าไปติดอุปกรณ์ข้างในก่อน พี่ต้อมช่วยดูแลพี่เจี๊ยบด้วยนะครับ" จากนั้นภูกับแอ๊ดจึงเข้าไปติดตั้งอุปกรณ์ในบ้าน ส่วนต้อม ประคองเจี๊ยบเพื่อไปพักบนรถ

"ไหวมั้ยเธอ" ต้อมถามด้วยความเป็นห่วง แต่สีหน้าของเจี๊ยบก็ค่อยๆดีขึ้นมาบ้างแล้ว

"แบบนี้มันไม่ปกติแล้ว" เจี๊ยบพูด

"แค่มีผีมันก็ไม่ปกติอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ" ต้อมถาม แต่เจี๊ยบที่เหมือนจะมีแรงก็เหวี่ยงมือตบหัวต้อมป๊าบ นึง ก็จะรู้ตัวเลยขอโทษต้อมซะยกใหญ่

"ขอโทษนะ ฉันลืมตัวไปหน่อย ก็นายเล่นพูดกวนแบบนั้นนี่นา" เจี๊ยบตอบด้วยท่าทีเขินอาย ต้อมที่กำลังมึนๆก็ผงกหัวรับ

"ไม่เป็นไร ว่าแต่ที่เธอว่าแปลกมันยังไงเหรอ" ต้อมถามอีกครั้งหนึ่ง

"เมื่อคืน พวกชั้นคิดว่าบ้านนายน่ะ ต้องสร้างทับที่ที่มีคนตายเยอะๆ ไม่ก็ที่ป่าช้าเก่าแน่ๆ แต่ก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่ เพราะเหมือนว่าเพื่อนบ้านนายก็เป็นปกติสุขดี แต่พอฉันเข้าไป ฉันถึงได้รู้ว่ามันแปลก" เจี๊ยบตอบ ต้อมก็ตั้งใจฟัง แต่ไม่รู้ว่าตั้งใจฟังอิท่าไหน ต้อมรู้สึกหลงเสน่หืหมอสาวคนนี้โดยไม่รู้ตัว

"ความรู้สึกที่ฉันสัมผัส ฉันรู้ได้ทันทีว่าบ้านนาย หรือก็คือบริเวณบ้านนาย มีวิญญาณจำนวนมาก แต่ทั้งหมด มีความรู้สึกเดียวกันคือ คื ความกลัว และขอความช่วยเหลือ เพราะแบบนี้แหละ ทำให้ฉันถึงกับหน้ามืดเพราะมันเหมือนเป็นความรู้สึกเดียวอันเข้ามาหนักๆในครั้งเดียวไง" ถึงเจี๊ยบจะอธิบาย แต่ต้อมก็ไม่ค่อยเข้าใจที่เธอสื่อเท่าไหร่ เพราะความรู้สึกเดียวตอนนี้ของเขาคือ เป็นห่วงเจี๊ยบ

................................................

ซักพักใหญ่ เมื่อภูกับแอ๊ดติดอุปกรณ์ทุกอย่างเสร็จ ก็ออกมาจากตัวบ้าน เพื่อไปตั้งฐานที่ บ้านตัวอย่างของเจ้าของโครงการ ซึ่งต้อมได้ติดต่อไว้แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นด้วยข้อจำกัดของอุปกรณ์ที่มีพวกภูจึงทำได้แค่ถ่ายภาพและบันทึกเสียงทิ้งไว้แล้วไปตามเก็บเอาทีหลัง

และในระหว่างนั้น เจี๊ยบก็ได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้ทุกคนฟัง รวมทั้งเจ้าของโครงการด้วย ประกอบกับหลังฐานก่อนหน้านี้ ทั้งเทปและรูปถ่าย ก็พอจะยืนยันระดับหนึ่งได้แล้วว่าบ้านของต้อม มีผีอยู่จริงๆ

"แล้วพวกคุณไล่ผีได้รึเปล่า" เจ้าของโครงการถามขึ้นมา แต่ภูก็ยังยืนยันพวกเขาไม่สามารถไล่ได้ แต่ว่า หากหาสาเหตุได้ ก็อาจจะแก้ไขได้

"จากข้อมูลที่มีในตอนนี้ เรารู้แน่ๆว่าบ้านพี่ต้อมมีผี แต่ในบ้านและนอกบ้านกลับเป็นคนละส่วนกัน ซึ่งตอนนี้เราพอจะรู้ว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับบ้านหลังนั้น จากรูปถ่าย และความรู้สึกของพี่เจี๊ยบที่รู้จะเห็นได้ว่าบริเวณนอกบ้านนั้นมีกลุ่มก่อนของพลังงานวิญญาณขนาดใหญ่ แต่ยังไม่มีพลังงานถึงขั้นปรากฏรูปร่างได้เหมือนในบ้าน แต่ทั้งหมดนั้นต่างมีความรู้สึกเดียวกันนั่นคือ ความกลัว และขอความช่วยเหลือ" ภูอธิบาย

"จากประสบการณ์นะ ผมว่าถ้าไม่สร้างทับที่ป่าช้า ก็ต้องมีการตายหมู่ในบริเวณนั้น ว่าแต่ว่าคุณเจ้าของโครงการไปได้ที่นี้มาจากไหน" แอ๊ถามเจ้าของโครงการ

"เป็นที่นาครับ ลูกหลานเจ้าของเค้าไม่ทำต่อเลยขาย ผมเห็นว่าทำเลดีเลยซื้อมาสร้างเป็นหมู่บ้าน ผมขอยืนยันเลยว่าไม่ได้สร้างทับที่ป่าช้าหรืออะไรหรอก" เจ้าของโครงการยืนยันหนักเน้น

"แต่ถ้าเป็นคดีฆาตกรรมล่ะ" ต้อมซึ่งเป็นตำรวจตั้งข้อสงสัย

"เรื่องนั้นยิ่งเป็นไปไม่ได้ครับ เราเป็นหมู่บ้านใหม่ บ้านทุกหลังเป็นมือหนึ่งทั้งนั้น และถ้ามีการฆาตกรรมกันมากขนาดนั้นผมก็ต้องรู้แล้ว" เจ้าของโครงการยังยืนยันเหมือนเดิม วึ่งหากคำบอกเล่าเป็นจริงก้แปลว่าแทบจะหาประเด็นอะไรมาโยงไม่ได้เลย

"ว่าแต่ว่าผมสงสัยอยู่อย่างว่าทำไมบ้านพี่ต้อมถึงใหญ่กว่าหลังอื่นแล้วก็ถึงอยู่ท้ายหมู่บ้านด้วย" ภูถาม

"จริงๆบ้านหลังนั้นผมตัดสินใจสร้างในตอนท้ายๆครับ เพราะเดิมนั้นผมกะสร้างเป็นสวนสาธารณะ แต่ว่าตอนหลังก็เสียดาย เพราะที่มันก็ไม่มากพอจะสร้างเป็นสวนให้คนทั้งหมู่บ้านได้ และก็จะแบ่งสร้างที่มันก็ไม่สวยก็เลยตัดสินใจสร้างบ้านแบบพรีเมี่ยมแพงๆขึ้นมา ตอนพอสร้างเสร็จกลับไม่มีคนซื้อเลย ก็เลยตัดสินใจยกบ้านให้กับทางคุณต้อมเค้าน่ะครับ" เจ้าของโครงการเล่าถึงที่ไปที่มาของบ้าน แต่เมื่อดูๆแล้วมันก็ไม่มีจุดเชื่อมโยงอยู่ดี

........................................

ในตอนค่ำ หลังจากที่เก็บภาพและเสียงที่ถ่ายในบ้านและด้านนอกตอนไม่มีคนอยู่ช่วงบ่ายไปแล้ว วึ่งต้อมละเจี๊ยบจะพักในบ้านโดยแยกห้องนอนกัน ในขณะที่แอ๊ดตั้งเต้นท์อยู่บริเวณสนาม และภู อยู่ที่บ้านตัวอย่างเพื่อัพหลักฐานทั้งหมดลองคอมพิวเตอร์ โดยทั้งหมด ติดต่อกันผ่านทางวิทยุสื่อสาร

ค่ำคืนนั้นค่อยผ่านไปอย่างช้าๆจวบจนพระจันทร์เต็มดวงลอยอยู่เหนือหัว แอ๊ดที่ตั้งเต้นท์อยู่ตรงสนามหญ้าไม่อาจถ่างตาตื่นได้ เพราะตอนบ่ายก็ติดกล้องทั้งบ้านพร้อมกับภู แต่เมื่อดวงตากำลังจะปิด จู่ก็เหมือนมีลมใหญ่พัดกระหน่ำจนเหมือนเต้นท์จะปว แอ๊ดโผล่หน้าออกมาจากตเนท์ว่าเกิดอะไรขึ้น ภาพที่เข้าเห็นอยู่ตรงหน้านั้น มันยิ่งกว่ารูปถ่ายที่เขาเคยถ่ายได้จากบ้านหลังนี้

เงาดำทะมึนรูปร่างคน ยืนล้อมเต้นท์เขาอยู่เต็มสนาม จนไม่อาจเห็นตัวบ้านเสียงพัดกระหนึ่ำจากสายลม ที่มาจากไหนก็ไม่รู พร้อมกับเสียงหวีดหวิวบาดลึกสุดขั้วหัวใจของเงาเหล่านั้น ก้องอยู่ในหัว มันเป็นเสียงที่น่ากลัวชนิดที่เรียกว่าแอ๊ดจะไม่ได้ยินที่ไหน จนชั่วชีวิต

"ช่...ว...ย....ด้...ว....ย....."

................................................

"กรี๊ดๆๆๆๆๆๆๆ" เจี๊ยบกรีดร้องเสียงดังลั่นบ้าน เมื่อบนหน้าอกของเธอ มีผู้หญิงยืนทับอยู่ แม้ในความมืดส่วนลำตัวของเธอคนนั้นเหมือนหมอกควันก่อตัวเป็นรูปร่างมนุษย์ แต่ส่วนหัวนั้นเป็นผู้หญิงผมยาวแห้งหยาบ ผมนั้นยวจนเกือบจะถึงหน้าเธอ ดวงตาสีแดงก่ำจนมองเห็นชัดในความมืด ปากนั้นแสยะยิ้มจนถึงรูหู เสียงหัวเราะนั้นแห้งและเย็น เหมือนกึ่งหยอกเจี๊ยบอยู่กลายๆ

ต้อมที่อยู่อีกห้องหนึ่งวิ่งมาหาเจี๊ยบเมื่อได้ยินเสียง แต่ทันทีที่เขาเปิดประตูเข้าไป ขาทั้งสองก็เหมือนจะแข็งอยู่กับที่เมื่อผู้หญิงที่ยืนทับเจี๊ยบอยู่หันหน้ากับมา180องศาแล้วอ้าปากกว้างถึงอกเหมือนเป็นการทักทาย

"ช่วย...ด้วย..."เสียงขอความช่วยเหลือของเจี๊ยบเหมือนจะไม่มีแรง ต้อมที่ยืนกล้าๆกลัวๆที่ประตูก็ตัดสินใจพุ่งตัวเข้าไปด้วยความกล้าทั้งหมดที่มีเพื่อจะต่อยหน้าผี แต่แล้ว มันก็หายไปต่อหน้าต่อตา ทิ้งไว้แต่เสียงหัวเราะดังก้องปานจะเย้ยหยัน

"ไม่ไหวแล้ว เราออกจากบ้านนี้กันเถอะต้อม" เจี๊ยบโผตัวเข้ามาซบด้วยความกลัว

"อืม ยังไงติดต่อ แอ๊ดกับภูก่อนก็แล้วกัน" ต้อมเสนอความคิด จึงติดต่อกลับไปหาคนทั้งสองโดยวิทยุสื่อสาร

แต่แปลก...

เสียงในวิทยุสื่อสารกลับเป็นเสียงผู้หญิงเย็นยะเยือกบาดขั้วหัวใจ

"จะรีบไปไหนกัน....." เสียงตอบรับน่ากลัวนั้นก็ขาดหายไป จนต้อมตกใจทิ้งวิทยุสื่อสารลงกับพื้นทันที

ต้อมประคองเจี๊ยบที่ไม่ค่อยมีแรง เดินออกมาจากห้อง พอก้าวพ้นประตูห้อง ก็เหมือนบ้านทั้งหลังสั่นไหวราวกับเจอแผ่นดินไหวระดับเก้า

"เราต้องรีบแล้ว" ต้อมตัดสินใจอุ้มเจี๊ยบด้วยแขนทั้งสองข้างของเขาแล้วค่อยเดินงมาจากบ้านอย่างระมัดระวัง

เหตุการณืร้ายยังไม่หมดอยู่แค่นั้น ไฟในบ้านก็ดับทั้งหลังพร้อมกับการสั่นไหวที่สงบลง แต่มันก็มีเสียงดังตึงตัง ราวกับมีใครทุบบ้าน พอต้อมเหลียวหันหลังไป ดวงตาสีแดงคู่หนึ่ง ประกฏบนเพดานทางเดิน เงาดำสนิทที่ตัดกับความมืดกำลังคลายมาจากเพดานไล่หลังมาพร้อมกับเสียงหัวเราะ

ต้อมรีบอุ้มเจี๊ยบลงมาอย่างไม่คิดชีวิต แต่มันก็เหมือนทางในบ้านช่างยาวนักกล้าจะผ่านสถานการณ์น่ากลัวแบบนั้นในบ้านมาได้ก็แทบแย่

แต่ก็เหมือนคราวเคราะห์ยังไม่หมด เมื่อออกมาจากตัวบ้านเสียงหัวเราะก้ดังขึ้นมาอีกครั้ง ผู้หยิงคนนั้นกำลังใช้บ้านทั้งหลังราวกับเก้าอี้แล้วเธอก็นั่งหัวเราะมันอยู่อย่างนั้น ในเต้นท์ของแอ๊ด มีเสียงร้องไห้ของผู้ชายที่เหมือนจะกลัวสุดขีดอยู่ ต้อมจึงวางเจี๊ยบลงให้ยืนเอง แล้วเดินเข้าไปดูที่เต้นท์ก็เจอแอ๊ดนอนขดตัวสั่นด้วยความกลัว

..............................................

ต้อม เจี๊ยบ และแอ๊ด ผ่านค่ำคืนอันน่ากลัวนั้นมาด้วยความทุลักทุเล กว่าจะติดต่อภูที่อยู่ที่บ้านตัวอย่างได้ ก็ต้องพาทั้งสองคนออกมานอกบ้านแล้ววิ่งไปตามภูมา

"คงไม่ต้องพิสูจน์อะไรอีกแล้วมั้ง"ภูพูด เมื่อตอนเช้า เขา เจี๊ยบ และแอ๊ด เข้าไปดูผลงานเมื่อคืน ส่วนต้อมยังคนนอนอยู่เพราะเมื่อคืนเขาเจอมาหนักเหมือนกัน

เมื่อเข้าไปในตัวบ้าน ทุกคนก็ตกตะลึง ทั้งบ้าน ไม่ว่าจะเป็นผนัง หรือเพดาน มีคลาบเลือดเป็นรอยมือรอยเท้าอยู่เต็มไปหมด และเสากลางบ้านก็มีเลือดแห้งกรังไหลลงมาจากหัวเสาจนถึงโคน

"ไม่ธรรมดาซะแล้วสิ" แอ๊ดรีบคว้ากล้องมาถ่าย ภาพทั้งหมดเก็บไว้

เมื่อเคลียร์และเก็บหลักฐานที่บ้านต้อมจบ ทุกคนก็กลับมาที่ฐานคือบ้านของเจ้าของโครงการ แต่เหมือนสิ่งที่เกินขาดการจะมาถึง เพราะพ่อของต้อม มาที่บ้าน พร้อมกับสีหน้าที่ดูเป็นกังวล

ต้อมบอกทุกคนฟังว่าจริงมันใกล้ถึงงานขึ้นบ้านใหม่แล้ว ตอนแรกเขาคิดว่าจะจัดการปัญหาได้ในอาทิตย์เดียว แต่ดูเหมือนสถานการณ์จะยุ่งยากขึ้นก็เลยลืมบอกพ่อของเขาไป จนพอเขามาเยี่ยมจนได้เจอต้อม ตอนที่กำลังออกมาส่งพวกภูที่หน้าบ้านตัวอย่างเลยเข้าไปถาม และต้อมก้ได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้พ่อของเขาฟัง

"แล้วที่ลูกผมไปจ้างพวกคุณมา จนมีสภาพเป็นแบบนี้ พวกคุณมีข้อสรุปว่ายังไง"พ่อของต้อมถามอย่างเคร่งเครียด

"จากที่ผมเจอเมื่อคืน ผมว่ามันเหมือนกับหลายๆเหตุการณอย่างพวกที่ไปสร้างบ้านที่สุสานเก่าหรือสุสานทหารนิรนามที่เมืองกาญครับ" แอ๊ด ผมอยู่ในเหตุการณืตรงสนามหญ้านอกบ้านบอก

"ส่วนในบ้านพวกหนูคงรอข้อสรุปจากทางแอ๊ดเค้าก่อน แต่ดูเหมือนว่าวิญญาณที่อยู่ในบ้านจะมีปฏิกิริยากับพวกหนู" เจี๊ยบเสริม

"ส่วนผม ก็รวบรวมข้อมูลของตอนบ่ายเมื่อวาน ตอนนี้ก็เจอสิ่งที่น่าสนใจครับ" ภูบอกพร้อมกับวีดีโอที่เขาถ่ายข้อมูลลงคอมพิวเตอร์ให้ทุกคนดู

ภูตัดมาเฉพาะเหตุการณ์ที่แปลกๆ เช่นไฟ เปิดปิดเอง เหมือนกับมีคนใช้ในชีวิตประจำวัน ประตูเปิดปิดเอง เก้าอี้ ขยับ เหมือนมีคนใช้ชีวิตประจำวันไม่มีผิด เพียงแต่ไม่เห็นตัวคนเท่านั้น

"แล้วก็นี่เป็นรูปถ่ายในบ้านสดๆร้อนๆเมื่อกี้ครับ" แอ๊ดเปิดรูปจากกล้องดิจิตอลให้พ่อของต้อมดู ขณะที่ต้อมเบือนหน้าหนี

พอดูไม่กี่รูปพ่อของต้อมก็บอกให้พอ ความรู้สึกตอนนี้ พ่อของต้อม ไม่รู้จะกลัว โกรธ หรืออะไรดี เพราะบ้านก็ได้มาฟรีเพราะเจ้าของโครงการยกให้เนื่องจากพ่อของต้อมให้เงินยืมมาทำโครงการโดยไม่คิดดอกซักบาท

"แล้วพวกเธอจะทำยังไงต่อไปล่ะ" พ่อของต้อมถาม และดูเหมือนเจ้าของโครงการจะลุ้นฟังคำตอบอีกคน

"พวกผมก็ไม่ใช่หมอผี การจะไล่ผีก็คงทำไม่ได้ คงได้แต่ลองหาหลักฐานแล้วแก้มันที่ต้นเหตุครับ ส่วนผลลัพท์ก็คงแล้วแต่วิญญาณพวกนั้นเอง" คำพูดของภู พ่อของต้อมก็เห็นด้วย เพราะจริงๆเขาก็อยากให้ลูกชายกลับไปอยู่บ้านหลังจากไปรับราชการที่ใต้มานาน

"เอาแบบนี้ละกัน ถ้าพวกเธอไขเรื่องที่บ้านนั้นได้หมด ฉันยกบ้านหลังนั้นให้ไปเลย เพราะลูกชายฉันฉันรู้นิสัยดี เขาคงไม่อยู่แบบนั้นอีกแล้ว" พ่อของต้อมพูด

ซึ่งทั้งสามคนก็บอกปฏิเสธทันควันเพราะบ้านหลังนั้นมันมากเกินไปจริงๆ

"ลูกชายฉันเล่าเรื่องให้ฉันฟังหมดแล้ว โดยเฉพาะเะอ" พ่อของต้อมมองมาที่ภู

"แม้จะเจอกันไม่กี้ครั้ง ดูเหมือนลูกชายฉันถูกชะตากับเธอดีนะ นอกจากบ้านแล้ว เธอเรียนจบอยากจะมาทำงานกับฉัน หรือจะตั้งสำนักงานนักสืบเองฉันก็จะช่วยเต็มที่" พ่อของต้อมเป็นคนพูดคำไหนคำนั้นและที่สำคัญ ถ้าเขาถูกชะตาใคร เขาก็ดันเต็มที่อย่างไม่เสียดายเงิน

"ก้ดีนะ นายจะได้ตั้งสำนักงานนักสืบแลพอจบก็เป็นทนายไปด้วยไง" เจี๊ยบกระซิบภู แต่เาก็ขอเวลาปรึกษาหลวงพ่อดูก่อน

............................................

วันต่อมาบ้านของต้อมถูกขึงผ้ารอบบ้าน แล้วบอกกับเพื่อนบ้านว่า จะขุดสระสำหรับเลี้ยงปลา ซึ่งในความจริงแล้ว ต้อม กับตำรวจที่โรงพักพร้อมกับคนงานมาขุดบริเวณสนามหญ้าหน้าบ้าน ตามข้อสันนิฐานของพวกภู เมื่อเริ่มขุดลึกลงไป ความลับของปริศนาก็เริ่มปรากฏ เมื่อพบศพที่เริ่มย่อม นับสิบๆศพนอนเรียงที่ก้อนหลุมครอบคลุมบริเวณทั้งสนามหญ้า

แม้จะเตรียมใจกันมาบ้างแต่จำนวนที่เยอะขนาดนี้ทำให้บางคนถึงกับเบือนหน้าหนี ส่วนร้อยตำรวจโท ต้อมถึงกับเป็นลมเมื่อศพที่เริ่มย่อยหนอนเยิ้มตาถลนศพหนังเหมือนจะหันคอมาสบตาเขา

...........................................................

"แล้วตกลงศพที่ฝังไว้ที่สนามหญ้าคือศพใครเหรอ" ดาวถามผู้กองต้อมขณะที่ทั้งสี่คนเล่นไพ่กันอยู่

"เหยื่อจากขบวนการค้ามนุษย์น่ะ" ผู้กองตามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

"แต่เท่าที่ฉันจำได้นะ นายไม่ใช่เหรอที่กรี๊ดจนฉันกับแอ๊ดต้องเข้าไปช่วย" หมอเจี๊ยบขัดผู้กองขึ้นมา ทำให้ดาวงงว่าเรื่องเป็นไงกันแน่

"ก็วันนั้นน่ะ ตอนที่กำลังตรวจในบ้านอยู่ จู่ๆเจ้านี่ก็ร้องกรี๊ดลั่นบ้านเลย พี่ก็รีบไปดูที่ห้องปรากฏว่าเห็นต้อมมันคลุมโปงตัวสั่น พูดจาก็ไม่รู้เรื่องพูดอยู่แต่ว่า ผีหลอกๆ จนตจ้องไปตามแอ๊ดที่กางเต้นท์ข้างนอกมากว่าจะเอาอกมาได้ก็ทุลักทุเล วันต่อมาก็จับไข้ จนต้องโทรไปบอกพ่อเค้าน่ะ" เรื่องที่หมอเจี๊ยบเล่าทำให้ผู้กองนั้นหน้าแหกอยู่ข้างๆ

"โห ก้เล่าให้มันน่ากลัวไม่ใช่เหรอไง นี่ก็เล่าแบบน่ากลัวสุดๆแล้วนะ" ผู้กองต้อมแก้ตัว

"แหม...มันก็เกินป่ะ" จู่ๆภูที่เงียบมาตลอดก็น็อคขึ้นมา ทำให้หมอเจี๊ยบหัวเสีย เพราะแต้มเธอยังไม่กระเตื้องขึ้นมาเลย

"จะพูดแบบนั้นพี่ต้อมก็เสียหายแย่นะครับ เพราะในส่วนของคดีพี่เค้าจัดการเองทั้งหมดนะ"ภูแก้ตัวแทน

เสียงรถจากข้างนอกก็เงียบไป ซึ่งหมอเจี๊ยบก็ใช้เป็นข้ออ้างว่าเพราะเสียงรถข้างนอกทำให้เธอเสียสมาธิในการเล่น แม้จะดึกแต่หมอเจี๊ยบก็ยังรบเร้าให้เล่นต่อเพราะเดิมพันครั้งนี้สูงนัก

"เห็นพูดถึงเรื่องเหยื่อค้ามนุษย์ อย่าบอกนะว่าเจ้าของโครงการเค้ามีเอี่ยวด้วยน่ะ" ดาวถาม

"เปล่าหรอก เจ้าของโครงการไม่รู้เรื่องเลย พวกผู้รับเหมาต่างหากล่ะ" ผู้กองต้อมตอบ ดาวพยายามจินตนาการตามถึงศพนับสิบๆศพนอนตายในหลุมก็รู้สึกสยองขึ้นมา

....................................

ศพนับสิบๆศพ ถูกขนย้ายออกมาจากหลุมที่สนามของบ้านต้อม แม้จะมีชาวบ้านแถวนั้นมามุงดู แต่ต้อมก็ตอบไปว่าจะขุดสระสำหรับเลี้ยงปลา

"ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าที่บ้านผู้หมวดจะเจอแจ๊คพ็อตใหญ่แบบนี้" ผู้กำกับของสถานี ถึงกับลงพื้นที่เองมาทักทายต้อมผู้ซึ่งฟื้นจากการจับไข้

"ครับ แค่นึกแล้วยังสยองเลย แต่ไม่รู้ว่าผลตรวจจากทางนิติเวชจะใช้เวลานานเท่าไหร่ เพราะผมก็ไม่อยากให้มันเป็นเรื่องใหญ่เหมือนกัน" ตอนนี้ต้อมเป็นห่วงรูปคดีมากกว่า เพราะหากปล่อยไว้นานคนร้ายตัวจริงอาจจะลอยนวล แต่สำหรับเรื่องนี้ มีข้อดีนอกจากไม่ใช้ชาวบ้านแตกตื่น ก็ยังปิดข่าวเพื่อไม่ให้คนร้ายตัวจริงไหวตัวด้วย

วันนั้นตำรวจใช้เวลาทั้งวันในการขนศพโดยปิดไม่ให้ใครรู้ และการทำงานต้องหยุดก่อนพระอาทิตย์ตกโดยต้อมก็ไม่บอกให้ใครรู้เช่นกัน สำหรับ ภู เจี๊ยบและแอ๊ดถูกกันตัวไว้เป็นพยาน ซึ่งคืนนั้นต้อมต้องนัดแนะกับทุกคนเพื่อให้ให้การกับตำรวจไม่ในทิศทางเดียวกัน

"จะให้บอกไปเลยว่าเจอผีมาเข้าฝันไม่ได้เหรอ" แอ๊ดถาม เขาผู้ซึ่งฝันเห็นผีผู้ตายที่ถูกฝังไว้มาบอกเขาตอนที่หลับในเต้นท์

"แบบนั้นมันก็เป็นข่าวน่ะสิพี่ นักข่าวไทยยิ่งสรรหาข่าวแปลกๆอยู่" ภูร้องทัก

"งั้นก็บอกไปเลยว่าฉันจะขุดสระก็แล้วกัน" ต้อมเสนอไอเดียแบบดื้อๆ ทุกคนก็เห็นพ้องเพราะไม่มีอะไรจะแถแล้ว

"แต่เรื่องผีในบ้านจะเอาไง" ต้อมพูดถึงเรื่องนี้ เพราะเขาโดนผีผู้หญิงหลอกซะจนจับไข้

"พวกพี่ว่าจะเกี่ยวกับศพที่ถูกฝังมั้ย" ภูตั้งขอสังเกต เพราะหลักฐานในบ้านที่รวบรวมมา ทั้งรอยเลือดที่ไหลจากเสากลางบ้น และรอยฝ่ามือตรงผนัง ตรงนี้ แอ๊ดบอกว่ามันเป็นสัญญาณแสดงถึงการอาฆาตของวิญญาณ

"ถ้าแบบนั้นก็คงต้องพิสูจน์แล้วล่ะ แต่เราไม่มีหลักฐานอะไรบ่งชี้เลยนะ" ต้อมเป็นห่วงว่าจะมีศพถูกฝังไว้ในตัวบ้านของเขาอีก

"แต่ฉันว่าไม่นะ ที่นายเล่า นายแต่ผีผู้หญิงแค่ตัวเดียว ถ้าจะมีหลุมอื่นในบริเวณบ้านนายอีก ผีนั่นคนไม่ออกมาตัวเดียวแน่ๆ"เจี๊ยบตั้งข้อสังเกต

"แล้วนายเชื่อเรื่องไสยศาสตร์มั้ย" จู่ๆแอ๊ดก็ถามต้อม แต่ถึงแม้ไม่ต้องบอกตจอนนี้ต้อมก็คงเชื่อเพราะว่าเจอจังๆขนาดนั้น

ข้อสันนิฐานของแอ๊ดก็คือผีผู้หญิงคนนั้น อาจจะถูกคุณไสยผูกมัดให้อยู่กับบ้านนั้นได้

หลักจากคุยกันอยู่นานข้อสันนิฐานที่ออกมาก็คือคนร้ายน่าจะใช้คาถาอาคมผูกวิญญาณผู้หยิงคนนั้นไว้กับบ้าน เพื่อไม่ให้มีผู้ซื้อบ้านหลังนั้นจนทำให้วันข้างเหนือเรื่องชั่วช้าจะถูกเปิดเผย เพราะจากคำบอกเล่าของเจ้าของโครงการ มีคนที่สนใจซื้อบ้านหลังนั้นมากมายแต่ พอเอาเข้าจริงเมื่อมาเดินดูก็ไม่มีใครตัดสินใจซื้อซักคน

......................................

"จากนั้นผลชันสูตรก็ออกมา สพเหล่านั้นไม่ได้ถูกฆ่า แต่น่าจะเสียชีวิตมาก่อน จากนั้นก็จับผู้รับเหมาได้ โดยเค้าสารภาพว่า นำเข้าแรงงานผิดกฏหมาย แต่ทั้งหมดขาดอากาศหายใจระหว่างเดินทาง  ทำให้ต้องฝังศพไว้ในพื้นที่ที่ตอนแรกจะทำเป็นสวนสาธารระต่อก็มาเกิดเปลี่ยนไปสร้างบ้านที่หลัง จากั้นก็มีการขุดศพผู้หญิงคนหนึ่งขึ้นมา ซึ่งตอนตายมีครรถ์อ่อนๆมาเผาแล้วนำเถ้าผสมกับปูนหล่อเป็นเสาหลักของบ้านแล้วสะกดวิญญาณไว้ จนเป็นที่มาของผีผู้หยิงในบ้านนั่นแหละ" ผู้กองต้อมเล่าบทสรุปให้ฟัง

"แต่หลังจากนั้น ฉันก็ได้ลองปลดปล่อยเธอนะ แต่คงเพราะผลกรรมมั้ง จนบัดนี้เธอก็ยังอยู่ในบ้าน" ภูบอก เพราะหลังจากที่ผู้ได้รับมอบบ้าน เธอคนนั้นก็ยังไม่ไปไหน จนภูต้องปล่อยเลยตามเลย

ทุกวันนี้ผีผู้หญิงคนนั้น ตอนภูไม่อยู่บ้านเค้าก็ค่อยดูแลบ้านให้ จนคนในหมู่บ้านคิดว่าเธอเป็นสาวใช้ที่บ้านของภูเพราะบางวันก็มีคนเห็นออกมาให้อาหารปลา ตัดหญ้า หรือรดน้ำต้นไม้ และถ้ามีใครบางคนไปที่บ้านของภูตอนภูไม่อยู่ ก็เจอดีเกือบทุกรายไป

"ก็ถึงบอกไงว่าอย่าไปบ้านภูมันตอนที่มันไม่อยู่บ้าน"ผู้กองต้อมบอก

"นี่ก็ดึกแล้วเราพอกันแล้วมั้ย พรุ่งนี้ตจ้องออกเดินทางแต่เช้านะ" ภูที่เริ่มง่วง ก็บอกให้พอ แต่หมอเจี๊ยบ ซึ่งตอนนี้ถ้าเลิก เธอจะแพ้ เธอจึงห้ามไว้แล้วบอกว่าภูยังไม่ได้เล่าเรื่องเลย

"พี่เจี๊ยบถึงจะบอกแบบนั้นแจต่ผมก็ยังไม่เคยเจอผีเลยนะ" ภูบอกปัดแต่เมื่อหมอเจี๊ยบยืนยันเข้าก็ไม่รู้จะปฏิเสธยังไง

"ก็เรื่องนั้นไง เรื่องที่นายไปถ่ายรายการผีไง" หมอเจี๊ยบพยายามกดดันภุให้ได้จนภูต้องปล่อยเลยตามเลย

........................................

PART3 : เรื่องของภู

"ภูแกช่วยไปออกรายการคนสู้ผีหน่อยได้มั้ยวะ" แอ๊ดขอร้องภูหลังจากที่เค้าเรียกภูออกมาทานข้าว

"ทำไมล่ะพี่ นึกยังไงให้ผมไปออกรายการผีเนี้ย" ภูก้สงสัยเพราะจู่ๆแอ๊ดก็มาขอให้เขาไปออกรายการผี

"พอดีมีคนรู้จักเค้าจะไปออกน่ะ แต่เค้ากลัวว่ามันจะเตี๊ยมไง เลยอยากให้นายไปช่วยดูให้หน่อย" แต่ภูก็พยายามบ่ายเบี่ยง แต่ก้เหมือนมัดมือชก เพราะแอ๊ดบอกว่าเขาใช้เส้นสายส่งชื่อให้ภูไปเป็นอาสาสมัครของเทปหน้าเรียบร้อยแล้ว ซึ่งทีนี้ภูก็จนปัญยาจะปฏิเสธ

ในวันที่ถ่ายทำ บ้านร้างทรงไทยที่อยุธยา มีรายงานจากชาวบ้านแถวนั้นว่า สมัยปู่ย่าตัวทวดก็มีการเล่าถึงผีผู้หญิงชุดไทย ที่บ้านร้างหลังนั้นแล้ว และที่แปลกคือ แม้ไม่มีคนอยู่บ้านหลังนั้นแล้ว แต่ไม่ว่าจะฝนตกแดดออก พายุจะแรงปานไหน บ้านหลังนั้นก้ไม่พังไปตามกาลเวลา

"เอาล่ะๆ เดี๋ยวน้องอาสาสมัครกับเจ ต้องไปทำกรรมวิธีในบ้านหลังนั้นนะ คือจะมีตากล้องตามน้องไปคนหนึ่ง แต่พอเข้าไปในบ้านจะมีกล้องที่พวกพี่เซตไว้ตามจุดต่างๆ ถึงตอนนั้นพวกน้องต้องเข้าไปคนเดียวเข้าใจมั้ย" พิธีกรอธิบายให้ภู และ เจ เจอราร์ด สตีเฟนสัน ดาราวัยรุ่นชื่อดังฟัง โดย รอบแรกจะให้เจ เจอราร์ดไปก่อน จากนั้นถึงเป็นภู

เมื่อมองไปยังบ้านร้างหลังนั้น แม้แต่ภูยังรู้สึกเลยว่าบรรยากาศน่ากลัว แม้ภูจะไม่เห็นหรือสัมผัสถึงภูติผีวิญญาณใดๆได้ แต่ที่ภูกังวลคือ จะมีการเตี๊ยมหลอกผีกันรึเปล่า

........................................
"ดูน่ากลัวจริงๆนะครับ บ้านหลังนั้นน่ะ" เจ เดินเข้ามาทักภูที่มาในฐานะอาสาสมัคร แม้ภูไม่ค่อยได้ติดตามวงการบันเทิงเท่าไหร่แต่ก็รู้ว่าเจ เป็นดาราวัยรุ่นมาแรงอันดับหนึ่งคนหนึ่งของเมืองไทยเลยทีเดียว ดังนั้นเขาจึงพยายามกลั้นความตื่นเต้นเต็มที่เลย

"นั่นสิครับ แล้วคุณเจกลัวผีหรือเปล่า" ภูถามเจแบบเกร็งๆ ดาราหนุ่มเงียบไปซักพักหนึ่ง

"ไม่รู้สิครับ ผมก้ไม่เคยเจอผีก็เลยไม่รู้ว่าจะกลัวหรือเปล่า แต่ว่าพอดูดีๆ คุณก็พอจะเข้าวงการได้เลยนะครับ" เจหันมาคุยกับภู เหมือนมีออร่าของซุปเปอร์สตาร์พุ่งออกมาจากหน้าของเค้า

"อย่างผมคงไม่เหมาะหรอกครับ" ภูตอบพร้อมกับหัวเราะ แต่เมื่อมองหน้าดาราชายคนนี้ เขาสัมผัสได้ถึงความเหงาที่ออกมาจากแววตา

ซักครู่หนึ่ง ทีมงานก็เรียกตัวเจ ให้เข้าไปในบ้าน ภูขอดูภาพที่เจเข้าไปข้างในจากทีมงานโดยอ้างว่าอยากรู้ว่าต้องทำอย่างไรบ้าง แต่จริงๆแล้วภูกำลังสังเกตจากมุมกล้องว่ามีการเตี๊ยมหรือมีการแกล้งหลอกผีหรือไม่

ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง เจได้ทำตามกรรมวิธีที่ทีมงามกำหนดทุกขั้นตอนซึ่งก็ผ่านไปด้วยดี จากตรงมอนิเตอร์ ภูไม่สังเกตเห็นความผิดปกติใดๆจากมุมกล้องและเสียงที่แทรกออกมา สอดคล้องกับการสนทนาโต้ตอบของเจ ซึ่งก็เป็นไปตามบรรยากาศ ที่เงียบ กดดันตามสถานการณ์ในบ้านร้างทรงไทยหลังนี้ แต่แค่ตรงนี้ก็ยังไม่สามารถสรุปได้ว่ารายการนี้เตี๊ยมหรือว่าหลอกผีตามที่ผู้ว่าจ้างให้ภูมาสืบหรือเปล่า ดังนั้นจึงเหลือแค่ว่าเค้าต้องไปพิสูจน์เอง

เมื่อเจเดินออกมาจากบ้านร้าง นั่นหมายถึงว่านี่คือคิวของภู อุปกรณ์สื่อสาร ไมค์ หรือกล้อง ถูกติดตั้ง พร้อมกับคำแนะครั้งสุดท้าย ภูเดินเข้าไปในบ้าน เพื่อสำรวจตามคำบอกของทีมงาน ภายในบ้านนั้นเงียบและมืด มีเพียงไฟฉายที่ทีมงานเอาให้เท่านั้นที่พอจะให้เขามองเห็นทาง สำหรับภูที่เป็นผู้สัมผัสวิญญาณ ที่ปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติทั้งปวงจะไม่มีผลในอาณาเขต ดังนั้นสิ่งที่ภูกลัวตอนนี้คือสัตว์มีพิษ เพราะทางเดินค่อยข้างรก

ภายในบ้านเป็นบ้านทรงไทย ภูมองเห็นกล้องที่ทีมงานเซตไว้แต่สำหรับภูที่ทำงานด้านนี้อยู่แล้ว การเซตกล้องแบบนี้มันอาจจะทำให้เกิดจุดอับในบางจุดนั่นหมายความว่า ทีมงานอาจจะใช้จุดอับของกล้องให้เป็นประโยชน์ในการสร้างสถานการณืหลอนแบบปลอมๆขึ้นมา

"คุณภูลองเดินสำรวจบ้านดู จากนั้นก็เริ่มกรรมวิธีที่หนึ่งตรงเสาเอกได้เลยครับ" ทีมงานจากด้านนอกติดต่อมา ภูได้แต่ตอบรับและเดินสำรวจตามคำสั่ง

ภายในบ้านดูแข็งแรงซึ่งแตกต่างจากบ้านร้างที่ถูกทิ้งมาหลายสิบปี ไม่ได้ผุพังตามกาลเวลาแต่อย่างใด มีเพียงฝุ่นและใยแมงมุมเท่านั้นที่พอจะทำให้รู้ว่าบ้านหลังนี้เก่าจริงและไม่ได้เตี๊ยมแต่อย่างใด

เมื่อเดินสำรวจพอสมควร ก็ถึงเวลาที่ต้องทำตามกรรมวิธี แม่กรรมวิธีของภูนั้นก็เหมือนทีมงานแกล้ง เพราของเจที่เป็นดาราดังนั้นเป็นอะไรที่กิ๊กก๊อกมาก ไม่ว่าจะมองทะลุบาตร หวีผมหน้ากระจก เล่นผีถ้วยแก้ว แต่สำหรับภูนั้น แค่อย่างแรกก็ประเดิมที่ว่าเอาดินที่อ้างว่าเป็นดินเจ็ดป่าช้าป้ายเปลือกตา แล้วมองลอดใต้หว่างขาไปที่เสาเอกที่ว่ากันว่าตกน้ำมัน

แต่ไม่ว่าดินเจ็ดป่าช้าที่ว่าจะเป็นของจริงหรือของปลอม มันก็ไม่มีผลกับภู เขาทำตามกรรมวิธีแต่โดยดี แล้วตั้งสมาธิไปที่ตาและหู เพื่อหาสิ่งแปลกปลอมทั้งภาพและเสียง ซึ่งหมายความว่าหากมีอะไรแปลกๆขึ้นมานั่นหมายความว่า รายการนี้หลอกผีแน่ๆ

แต่ก็ไม่มีอะไเกิดขึ้น เสาก็ยังคงเป็นเสา เสียงก็มีแต่จิ้งหรีด กรรมวิธีผ่านไปด้วยดี แต่พอภูถามถึงกรรมวิธีใหม่ แต่คราวนี้มันชักแปลกๆ

เพราะไม่มีเสียงตอบกลับใดๆจากทีมงาน

ภูพยายามพุดคุยแต่ก็ไม่มีเสียงตอบใดๆทั้งสิ้น จะว่าไมค์เสียก็ไม่ใช่ เพราะถ้าทีมงานติดต่อไม่ได้ เขาคงเข้ามาหาภูแล้ว แต่นี่ก้ไม่มี

ภูจึงตัดสินใจเดินออกมาหาทีมงานเองแทนที่จะรอทีมงานเข้ามาหาตามที่นัดแนะไว้

เมื่อเดินออกมาจากบ้าน ตรงจุดที่ทีมงานอยู่ ข้าวของอุปกรณือยู่ครบ ไฟเปิด มอนิเตอร์เปิด ทุกอย่างใช้ได้ดี แต่ทีมงานตั้งแต่พิธีกรภาคสนามยันเด็กยกของกลับไม่อยู่ซักคน แต่แต่เจดาราสุดหล่อก็ไม่อยู่ ตอนนี้ภูไม่สามารถติดต่อใครได้ โทรศัพท์ก้ถูกทีมงานยึดไว้ ส่วนการเดินทางก็มากับรถทีมงาน วึ่งถ้าวัดจากสถานการณ์ตอนนี้ ภูเดินแต่เดินออกมาหาบ้านชาวบ้านเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่บ้านหลังนี้ก็อยู่ลึกพอสมควร

เมื่อเดินออกมาถึงถนนใหญ่ ภูก็เจอกลุ่มทีมงานที่หายไปยืนจับกลุ่มตัวสั่น ถามตอบไม่รู้เรื่องอะไร บอกแค่ว่าผีหลอกๆ แต่ก็ยังโชคีที่มีเจดาราชื่อดังที่พอจะคุยได้จึงได้ความว่า พอภูเข้าไปได้ซักพัก พิธีกรภาคสนามก็ร้องขึ้นว่าผีหลอก แล้วก็วิ่งออกไป พร้อมกับทีมงานคนอื่นๆ ที่ก็วิ่งหนีไม่คิดชีวิต ดูจากท่าทางคงไม่ใช่ตื่นตามกันแต่คงเจอจริงๆ ส่วนตัวเจเองเห็นเค้าวิ่งก้เลยวิ่ง ซึ่งบทสรุปคือภุก็ไม่รู้ว่าทีมงานเจอผีหลอกยังไง แต่ที่แน่ๆ ถ้าจะให้เดา ความสามารถภูคงทำผิดเพราะผีที่อยู่ในบ้านคงหนีออกมา และเจอกลุ่มทีมงาน จากนั้นก็คงอย่างที่เจเล่า ทำให้ภูก็ไม่สามารถสรุปได้ว่ารายการนี้เตี๊ยมกันหรือเปล่า

..........................................

"แค่เนี้ยนะไม่เห็นจะน่ากลัวตรงไหนเลย" หมอเจี๊ยบบ่น เพราะเมื่อภูเล่าจบ เธอก็แพ้การเล่นครั้งนี้นั่นหมายความว่าเมื่อกลับไปเะอต้องเลี้ยงข้าว ทำให้หัวเสียพอสมควร

"แต่คนอย่างนายเนี้ยนะไปออกรายการคนสู้ผี ฉันดูประจำยังไม่เห็นนายออกทีวีเลย" ดาวย้อนเพราะเธอไม่ค่อยเชื่อภูกับเรื่องนี้เท่าไหร่

"ถ้าเธอดูตลอดคงจำได้ว่ามีครั้งหนึ่งที่เค้าเอาเทปเก่ามาออกสองสัปดาห์ติด เพราะเทปนั้น เค้ายกเลิกเพราะกองล้ม" ภูตอบ แต่ดาวก็เหมือนไม่ค่อยเชื่ออยู่ดี

คืนนั้นวงไพ่และการเล่าเรื่องผีก็จบลงด้วยความพ่ายแพ้ของเจ้าแผนการคือหมอเจี๊ยบ คืนนั้นทั้งสี่คนต้องนอนอัดกันบนเตียงเพราะผู้กองต้อมปฏิเสธแบบหัวเด้ดตีนขาดว่าเขาจะไม่นอนข้างล่างเด็ดขาดเพราะกลัวว่ามีอะไรอยู่ใต้เตียง

.........................................

เจ็ดโมงเช้า ทุกคนทยอยตื่น ภูตื่นคนแรก สภาพที่เขาเห็นมันเละเทะมาก เพราะหมอเจี๊ยบ นั้นนอนดิ้นมาก เพราะเขาเคยนอนด้วยกันตอนที่มาค้างที่กุฏิหลวงพ่อ จำได้ว่าครั้งแรกหมอเจี๊ยบนอนดิ้นจนเอาเท้ายันใส่ก้านคอภูจนเคล็ดไปหลายวัน

ต่อมาดาวก็ตื่น แบบสะลึมสะลือ เพราะเธอนอนไม่ค่อยหลับเพราะหมอเจี๊ยบนอนดินมาก เพราะตอนนี้หมอเจี๊ยบนอนกลับหัวกลับหาง เอาเท้าฟาดปากผู้กองต้อมแล้วนอนห้อยหัวลงจากเตียง ภูจึงแอบถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐาน

เกือบแปดโมง ที่ทุกคนตื่นและทำธุระส่วนตัวเสร็จ หมอเจี๊ยบแค่แปลงฟันแล้วบอกว่าจะไปอาบน้ำที่บ้าน เพราะเธอจะไปเปิดคลีนิคไม่ทัน เมื่อเก็บของออกมา ภาพแรกที่ทุกคนเห็นถึงกับคนลุก เพราะโรงแรมที่เขามาพักเมื่อคืนยังมีคนเต็มโรงแรม แต่ตอนนี้เหมือนกลายเป็นโรงแรมร้าง รถขอแขกหายไปหมด และไม่มีคนเดินไปเดินมาซักคนแม้แต่พนักงานโรงแรม

"ชักไม่ดีละว่ะภู เรารีบกลับกันเถอะ สงสัยเราโดยผีหลอกแล้ว" ผู้กองต้อมที่กลัวจนลนลานเสนอให้กลุ่มรีบขับรถชิ่ง เพราะพวกเขาคงโดนโรงแรมผีหลอกแน่ๆ แต่ภูก็เบรคไว้ว่าถ้ามีภูอยู่ด้วย ผีไม่มีทางหลอกแน่ๆ

"ผมว่าเราไปที่เคาเตอร์ก่อนดีกว่าเผื่อมีพนักงานอยู่" ว่าแล้วภูก็นำทุกคนเดินนำไป หลังจากเอาของไปเก็บที่รถเสร็จ

ที่เคาเตอร์เช็คอินนั้นเงียบไม่มีคน แต่เมื่อฟังดีๆมีเสียงครางฮือๆอยู่ใกล้ๆ เมื่อหมอเจี๊ยบชธโงก ดูก็เจอ ผู้จัดการกับพนักงานสองสามคนนั่งเอาผ้าห่มพันตัว ตัวสั่นอยู่แบบนั้น

"ผีหลอกๆ" ทั้งหมดพูดได้แค่นี้จริงๆ จนพวกภูเอาทั้งหมดมานั่งสงบสติอารมณ์คุยกัน ผู้จัดการที่เหมือนจะได้สติก่อนใครก็ตอบแบบกล้าๆกลัวๆว่า

จริงๆห้องที่ภูพักเค้าจะปิดไว้ไม่ให้ใครพัก เพราะมันมีการฆ่ากันตายมาก่อน โดยฆ่าตัดหัวผู้หญิงไปว่อนบนเพดานในห้องน้ำ แล้วซ่อนศพไว้ใต้เตียง คนที่มาพักรายไหนรายนั้น ไม่เคยอยู่ได้เกินครึ่งคืน ตอนที่พวกภูเรียกไปจับตุ๊กแกก็นึกว่าเจอดีซะแล้ว แต่ภูก็อยู่ได้เป็นปกติ แต่พอกลางคืนเท่านั้น ผีผู้หยิงก็หิ้วหัวร้องไห้ไปเคาะตามห้องต่างๆเพื่อขออยู่ด้วยจนแขกกระเจิง ไม่เว้นแม้แต่พนักงานโรงแรม ที่ผีมาขออยู่จนถึงเคาเตอร์ แล้วก็มานั่งอยู่ค้างๆพวกเขายันเช้า ถึงจะหายไป สงสัยว่าเพราะเป็นวันพระะ ก็เลยเฮี้ยนเป็นพิเศษ

พอได้ฟังแบบนั้น จะให้โกรธ ก้บอกไม่ถูกเพราะก็ไม่โดนผีหลอก จะขำก็สงสารสภาพของพวกพนักงาน พวกภูก็เลยจ่ายเงินแล้วกลับกันเลย

"ฉันรู้แล้วว่าทีมงานที่นายเล่าเจออะไร นายนี่มันตัวซวยสำหรับผีและคนรอบข้างจริงๆนะ" ดาวพูด ทุกคนก็หัวเราะ มีแต่ภูที่หัวเราะไม่ออก

"คราวหลังถ้าฉันเข้าบ้านไหนพวกนายก็อย่าตามมาละกัน แล้วจะตลกไม่ออก"ภูค้อน

"อย่าไปว่ามันเลย บ้านมันมันยังสร้างศาลอีกหลังให้ผีในบ้านมาอยู่ตอนที่มันอยู่ในบ้าน คิดดูดิ คนข้างบ้านโทรไปบอกว่าภูมันรังแกแม้บ้านไม่ยอมให้เค้าเค้าบ้าน เค้าเห็นผู้หญิงเดินจูงลูกรอบบ้านทั้งคืน แล้วโทรมาหาพี่ ตอนเข้าเวรให้ไปช่วยคุยกะมันคิดดูละกัน" ผู้กองต้อมพูด ทุกคนก้หัวเราะเข้าไปอีก

"เป็นผีบ้านผีเริ่มบ้านนายนี่ก็ลำบากเหมือนกันนะ ฮ่าๆๆๆ" หมอเจี๊ยบขับรถอย่างมีความสุขจนลืมไปว่ามื้อเย็นเธอต้องเลี้ยงข้าวทุกคน

จู่ๆโทรศัพท์ของภูก็ดังขึ้น เมื่อเขารับสายก็พบว่าแอ๊ด รุ่นพี่ของเค้าโทรมา

"เฮ้ยภูเย็นนี้ ตามไอ้เจี๊ยบกับต้อมมาคุยกับพี่ด้วยแล้วก็เด็กใหม่ของแกที่แกเคยเล่าให้ฟังด้วยก้ดี พี่มีงานให้แกทำว่ะ"

.....................................................



เรื่องจากพันทิป  เรื่องหลอนจากบังกะโล
เรื่องโดย  นาคาแห่งการพิธี


ไม่มีความคิดเห็น