อยู่ด้วยรักและผูกพัน


     "อยู่ด้วยรักและผูกพัน" เรื่องราวประสบการณ์จริงของสมาชิกพันทิปชื่อว่า TharaJF เล่าถึงเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นกับน้องชายคนเล็ก ที่มีอาการแปลกๆเช่นอิ่มทั้ง ๆ ที่เพิ่งกินข้าว ,น้ำเสียงแปลก ,ร้องไห้ หมดแรง เธอเชื่อว่าส่วนหนึ่งที่เป็นเหตุของอาการต่างๆนั้นเกิดขึ้นจาก.......... ขอขอบคุณประสบการณ์สยองจาก สมาชิกพันทิปชื่อว่า TharaJFไว้ ณ ที่นี้ด้วย

นี่เป็นครั้งแรกในการตั้งกระทู้นะคะ โปรดใช้วิจารณญานในการอ่าน หากอ่านแล้วไม่ชอบใจก็อย่าด่ากันแรง ๆ ให้เกียรติซึ่งกันและกันนะคะ (ยิ้มอ่อน) เรื่องไม่ได้น่ากลัวอะไร แต่อยากมาแบ่งปันเรื่องราวให้ฟัง และไม่มีเจตนาจะหลอกลวงใคร และขอยืนยันว่าเป็นเรื่องจริงที่เกิดกับเราจริง
               ครอบครัวของเรามี 4 คน พ่อ แม่ เรา น้องชาย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครอบครัวเริ่มจากน้องชายที่ชอบปวดหัวประจำ ตั้งแต่อนุบาล ด้วยความที่ตอนนั้นน้องเด็กมาก เวลาปวดหัวก็จะร้องไห้งอแงไม่อยากไปเรียน หนักเข้าก็นอนดิ้นกับพื้น จนพ่อต้องพาไปรพ.หมอก็บอกปกติ น้องเป็นแบบนี้เรื่อยมา จนกระทั่งขึ้นป.5
               - อิ่มทั้ง ๆ ที่เพิ่งกินข้าว       
               เวลานั่งกินข้าว น้องก็นั่งก้มหน้า แล้วเงยหน้ามาอีกที จะวางช้อน ส้อม แล้วใช้มือหยิบข้าวเข้าปากแล้วบอกอร่อย มองหน้าเรากับแม่แล้วก็ยิ้ม สักพักก็ก้มหน้า เงยหน้าขึ้นมาใหม่ บ่นว่า "ทำไมมือน้องเลอะล่ะแม่" เรากับแม่ก็ทำหน้างง แล้วน้องก็บ่นว่าเหมือนกินไปนิดเดียวเองแต่ทำไมอิ่มจัง บางครั้งก็พูดขึ้นมาว่าใช้อันนี้ (ช้อน) ไม่ถนัดเลย ใช้มืออร่อยกว่า แล้วก็เอามือควักข้าว น้ำพริก น้ำแกงกิน     
               - น้ำเสียงแปลก
               บางครั้งนั่งคุยกัน น้องก็พูดคุยปกติ เสียงเด็กผู้ชายธรรมดา พอสักพักเสียงจะเปลี่ยน เป็นเป็นเสียงเล็ก ๆ พูดงึมงำในลำคอ เรียกเราว่าพี่หญิงเรียกแทนตัวเองว่า หนู ซึ่งปกติแล้วน้องเราจะเรียกชื่อของเขาเอง เราก็ไปเล่าให้แม่ฟัง แม่ก็บอกแปลก ๆ แต่ยังไม่มั่นใจ ขอดูไปเรื่อย ๆ ก่อน
               - ร้องไห้ หมดแรง
               มีอยู่ครั้งหนึ่ง ระหว่างที่น้องชายเลิกเรียนกลับมา ก็เข้ามากอดแม่ แล้วก็ร้องไห้ แม่ก็ถามร้องทำไม เป็นอะไรลูก น้องก็บอกว่า หนูคิดถึงแม่จังแล้วก็ร้องสะอื้นจนฟังไม่ได้ศัพท์ แม่ก็บอกว่า คิดถึงอะไรก็เพิ่งเจอกันเมื่อเช้าเอง น้องก็ยังร้องต่อไป พูดว่าหนูไม่ได้เจอแม่ตั้งนาน กว่าจะคุยกับแม่ได้ หนูรอนานมากเลย แม่ก็งงว่าทำไมน้องพูดจาแปลก ๆ แม่เลยถามว่า หนูเป็นใครล่ะ มาจากไหน เป็นลูกของแม่หรือเปล่า? น้องก็บอกว่า "หนูเป็นลูกแม่ รอแม่มานาน รอจนแม่ผ่านมาทางบ้านของเรา หนูก็เลยขอติดมาด้วย" พอพูดจบน้องก็หลับตานิ่งแล้วลืมตาขึ้นมาใหม่ก็ทำหน้างง แล้วบอกว่า "อ้าว ถึงบ้านแล้วหรอ ทำไมเหมือนนั่งหลับบนรถ ตื่นมาก็อยู่ตรงนี้แล้ว" แม่เลยให้น้องไปอาบน้ำ แล้วทำการบ้านแล้วนอน
               - พาไปวัด
               คืนหนึ่ง น้องชายบอกแม่ให้พาไปหาหลวงพ่อที่ตัวสูง ๆ หน่อย อยากเจอท่าน แม่ก็ถามว่าหลวงพ่อที่ว่าอยู่ที่ไหน แม่ไม่รู้จัก แล้วลูกไปรู้จักได้อย่างไร น้องก็บอกว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าจะมีคนพาเราไปหาหลวงพ่อ แล้วก็หันมาหาเราว่า พี่ตื่นเช้าหน่อยนะ อย่าสายล่ะ!!
               เช้าต่อมา ยายข้างบ้านก็มาตะโกนเรียกแม่ชวนไปทำบุญที่วัดแถวสะพานใหม่  แม่ก็รีบอาบน้ำแต่งตัวแล้วพาเรากับน้องชายไปวัดด้วยกัน ระหว่างทางน้องก็นั่งนิ่งเงียบ แม่ก็คิดว่าเพราะเช้าล่ะมั้งน้องเลยซึม พอไปถึงวัดยายก็พาทำบุญแล้วเข้าไปที่กุฏิหลวงพ่อ     
               ปรากฏว่าหลวงพ่อที่เห็นนั้นคือ หลวงพ่อสูง ท่านสูง 2.32 เมตร (ข้อมูลจากอิเทอร์เน็ต) พวกเราก็เข้าไปกราบไหว้ หลวงพ่อก็ยิ้มทักทาย แล้วหันมามองน้องชาย เรียกเข้าไปหาบอกว่ามานั่งใกล้ ๆ หน่อยสิ น้องชายก็คลานเข้าไป หลวงพ่อก็ถามว่าจะมาอยู่กับแม่หรอ น้องชายก็พยักหน้า หลวงพ่อบอกว่า ตามหากันจนเจอนะ ต้องมาอยู่ด้วยกันตามคำสัญญา ไม่ว่าจะกี่ภพกี่ชาติก็ต้องมาชดใช้กันจนกว่าจะหมดสัญญานั่นล่ะ ตอนนี้มาเจอกันแล้ว เป็นคุณให้แม่นะ ดูแลครอบครัวแม่ด้วย อย่าซนล่ะอาตมาจะเบิกเนตรให้ พอพูดจบหลวงพ่อก็เอานิ้วชี้ไปที่หน้าผากน้องแล้วก็สวดมนต์ สักพักก็เป่าหน้าผาก 1 ทีน้องชายก็เงยหน้าขึ้นมายิ้ม พวกเราตอนนั้นนั่งนิ่งเพราะแปลกใจว่าน้องรู้ได้ยังไงว่ามีหลวงพ่อตัวสูง แล้วจะมีคนพาไปวัด แล้วพอมาถึงวัดยังไม่มีใครเล่าอะไรให้หลวงพ่อฟัง แต่หลวงพ่อก็พูดคุยกับน้องโดยที่น้องก็นั่งฟังนิ่ง ๆ
               หลวงพ่อหันมาบอกกับแม่และเราว่าโยมมีลางสังหรณ์อยู่แล้ว แต่ลูกของโยมอยากให้โยมแน่ใจว่าสิ่งที่โยมสังหรณ์ใจเป็นความจริงเขาเลยพามาหาอาตนาที่นี่ คำสัญญาไม่ว่าอย่างไรก็ต้องชดใช้กัน ไม่ว่าจะกี่ภพกี่ชาตินะโยม สัญญาอะไรกับใครไว้ถ้าไม่ไปถอนก็จะเป็นบ่วงกรรมกันไปทุกภพทุกชาติ แต่ละคนเกิดมาไม่เท่ากัน กรรมบุญไม่เท่ากัน จะเกิดพร้อมกันอีกไหมก็สุดคาดเดา พูดจบหลวงพ่อก็หันไปหาญาติโยมคนอื่น พวกเรากราบหลวงพ่อเสร็จก็พากันกลับมาบ้าน เราหันไปมองน้องชายบางทีก็รู้สึกกลัวว่าใครวะ? 55 แต่น้องชายก็คุยกับเราปกติ เล่นกันกินข้าวด้วยกันปกติ
               แต่ถ้าเขาจะเปลี่ยนไป เขาก็จะบอกว่ามาแล้วนะ ก็เป็นรู้กันของเรากับแม่ ว่าจะมีอีกคนหนึ่งมาแฝงน้องเรา.

      มาถึงตอนนี้อยากจะเล่าที่มาที่ไปของเรื่องนี้สักนิด จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ มีที่มาจากสมัยกรุงศรีอยุธยา (จะเล่าตามคำบอกเล่าของน้องนะคะ) น้องเล่าว่าเมื่อสมัยอดีตมีพ่อ แม่ น้องและน้องอีก 1 คน พวกเขาก็เป็นครอบครัวชาวบ้านธรรมดา พอเกิดสงครามพ่อกับแม่พาน้องไปหลบที่แห่งหนึ่ง แล้วบอกว่าอย่าออกไปข้างนอกให้รออยุ่ตรงนี้อย่าไปไหนจนกว่าพ่อกับแม่จะกลับมานะ น้องก็รอจนเวลาผ่านไป พ่อกับแม่ก็ไม่กลับมา รอจนน้องทั้ง 2 เสียชีวิตอยู่ตรงนั้น (ตอนที่น้องเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง เรากับแม่น้ำตาไหลมันจุกอก มันทรมานอย่างบอกไม่ถูก) ระหว่างที่น้องเล่าเรื่องนี้ น้องก็เล่าไปร้องไห้ไป
               จนกระทั่ง วันหนึ่งพ่อกับแม่เราในยุคปัจจุบัน ได้นั่งรถไปเที่ยวที่อยุธยาผ่านโบราณสถานที่หนึ่ง น้องที่นั่งรออยู่ตรงนั้นเห็นพ่อกับแม่ก็ดีใจตะโกนเรียกแล้ววิ่งตามรถมาถึงบ้าน เหตุการณ์ก็ปกติดีจนกลับมากรุงเทพฯ น้องชายถึงเริ่มมีอาการปวดหัวและปวดมาเรื่อย ทุกครั้งที่น้องปวด คือเขาพยายามที่จะมาสื่อสาร แต่ด้วยน้องชายเรายังเป็นเด็กพูดก็ยังไม่ชัด เวลาเขามาสื่อสารก็ฟังไม่รู้เรื่อง และน้องเขาเองก็ไม่มีพลังมากพอ เป็นเหมือนวิญญานทั่วไปที่รอคอยคนที่รักอย่างใจจดใจจ่อ
               น้องมีอาการแบบนี้มาตลอดปวดหัวบ้างไม่ปวดหัวบ้าง ที่บ้านก็รักษาตามอาการ จนน้องโตขึ้นประถมนั่นแหละค่ะ ถึงเริ่มสำแดงฤทธิ์เดชต่าง ๆ จนถึงพาไปหาหลวงพ่อ เราเคยถามน้องว่าทำไมถึงเข้ามาอยู่ในบ้านด้วยกันได้ล่ะไม่กลัวพระหรอ น้องบอกไม่กลัวพระเพราะหนูไม่ได้มาทำร้ายใคร แต่ก่อนที่ยังไม่ได้ไปเบิกเนตรกับหลวงพ่อ หนูก็อยู่ในบ้านแบบเงียบ ๆ ไม่มีพลังมาก แต่พอเบิกเนตรแล้วหนูจะทำอะไรก็ได้ แต่หนูต้องทำดีและสวดมนต์กับหลวงตา (พระในบ้าน) ทุกวัน ท่านจะให้หนูอยู่ หนูจะอยู่กับแม่จนกว่าแม่จะตายถ้าแม่ตายหนูก็จะไป
               ยังมีอีกหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบ้าน แล้วทำให้เราเชื่อว่าเขามีจริงและอยู่ข้างเราและครอบครัวตลอดเวลา จะมาทยอยเล่าวีรกรรมระหว่างเรากับน้อง (ที่มาแฝง) ให้ฟังนะคะว่าเป็นยังไงบ้าง.

      สำหรับวีรกรรมระหว่างเรากับน้อง เรียกว่าเรื่องราวดีๆดีกว่า เมื่อสมัยเป็นวัยรุ่นมีแฟนอยู่คนหนึ่ง เคยพามาให้แม่รู้จักที่บ้าน พอแฟนกลับบ้านไป น้องก็จะมาแฝงที่น้องชายเราแล้วบอกว่า "คนนี้ไม่ดีนะ เดี๋ยวตำรวจก็มาจับ หนูเห็นเม็ดสีๆอยู่ในกระเป๋า" จากนั้นไม่นาน เขาก็โดนจับจริงเรื่องยาเสพย์ติด เราเป็นอันเลิกไป
               อีกครั้งหนึ่งเมื่อตอนฮอตๆมีหนุ่มจะพาไปเที่ยวงานลอยกระทง น้องชายพ่อแม่ไปต่างจังหวัด ส่วนเราอยู่กรุงเทพฯกับญาติ เย็นวันนั้นก็ซ้อนมอไซหนุ่มขี่รถชมวิวจะไปลอยกระทงอะนะ ขับตรงไปเรื่อยๆ ทันใดนั้นเองรถปิคอัพเจ้ากรรมโผล่ออกมาจากซอย มอไซเราเบรคไม่ทัน จังหวะนั้นคือ ถ้าพุ่งไปข้างหน้าก็จะประสานงาชนกันจังๆ แต่ถ้าไม่ชนก็ต้องหักลงข้างตลาดแผงแม่ค้าคงกระจาย แต่ถ้าหักขวาอาจจะเจอรถที่สวนเลนมาแน่แท้ ชั่วแวบเดียวผู้ชายตัดสินใจหักรถให้ล้มลงตรงนั้นรถก็ไถลเป็นสเก็ตเลย นึกภาพตามนะคะ เวลาเรานั่งมอไซจะนั่งตรงๆ ทีนี้ผู้ชายหักแฮนด์รถทางซ้าย เราก็จะตะแคงซ้ายทั้งคัน แต่ขาก็ยังคาที่รถทั้งคู่ แล้วรถก็ไถลไปทั้งตะแคงแบบนั้นเลยค่ะ คิดดูว่าร่างกายผิวหนังแขนขาและหัวแถบข้างซ้ายสีไปกับพื้นถนน พอรถหยุดนิ่งเราก็ไม่มีแรงลุกเลยคือตอนนั้นยังไม่แสบหรือเจ็บ มันคงชาๆ ก็มีชาวบ้านพ่อค้าแม่ค้ามาช่วยยกรถออก ผู้ชายก็ลุกขึ้นแถบข้างซ้ายกางเกงแขนเสื้อขาดหมด หัวข้างซ้ายก็มีเลือดไหลออกมา ส่วนเราน่ะหรอ สตั๊นค้างอยู่ท่านั้นขยับไม่ได้เหมือนคนช็อค ป้าคนหนึ่งก็วิ่งมาดูว่าตายรึเปล่า 55 แล้วช่วยพยุงเราลุกขึ้น เขาก็ช่วยปัดเสื้อกางเกงที่เปื้อนฝุ่นถนนและขาดรุ่งริ่ง เรามองไปที่ผู้ชายเขาเริ่มนั่งลงกับพื้นแล้วร้องโอดโอยเจ็บหัว เลือดไหลออกมาไม่หยุด ชาวบ้านก็ช่วยกันดู ป้าเลยมองเราเห็นเรามีแผลแค่ที่ต้นขาด้านซ้าย แถวของกางเกงในน่ะค่ะ กางเกงแถบนั้นเราขาดหมดเลย แต่เกงในยังอยู่นะ ^^ แผลเหวอะมาก พอเราเห็นเท่านั้นแหละร้องไห้เลย เจ็บแสบขึ้นมาทันที เจ็บแสบใช่ไหมแบบนี้ (ทำนองเพลงเจ็บแปลบ) ป้าก็มองมาที่หัวเราจับหัวเราว่าเราหัวแตกมีเลือดไหม ปรากฏว่าหัวเราแถบซ้ายไม่มีแผลเลยแม้แต่นิดเดียว หูยังอยู่ดี แก้มยังแดงระเรื่อจากอุทัยทิพย์ ผมยังสวยจากน้ำยายืด ไม่กระเซอะกระเซิงแม้แต่นิด
          พอปฐมพยาบาลกันเสร็จก็แยกย้ายเข้าบ้านใครบ้านมันละ งานวัดอะไรก็ไม่ไปละ เราก็เดินกระเผลกเข้าบ้านไม่กล้าแสดงออกเยอะว่าเจ็บกลัวญาติจะมอง แต่ลืมดูสารรูปตัวเองว่าข้างซ้ายน่ะ ผ้ามันขาดหมดเหมือนแฟชั่นยุคฉันสร้างเอง ขำก็ขำอายก็อายเจ็บก็เจ็บ โชคยังดีญาติไปลอยกระทงยังไม่กลับ เราเลยรีบเปลี่ยนชุดกินยาแก้ปวดแล้วเข้าห้องนอน
          ยังไม่ทันนอนแม่ก็โทรมาถามว่า "ไงลอยกระทงสนุกไหม๊ แม่กำลังกลับนะคงถึงพรุ่งนี้เช้า สนุกไหม๊ไปวัดถนนมา" เราก็ตกใจว่าแม่รู้ได้ไงเนี่ย แต่ก็คิดดักไว้ละว่าน้องคงบอก แม่พูดต่อว่า"รู้ไหมตอนแรกทีทน้องมาบอกว่าเรารถล้ม แม่จะกลับบ้านตั้งแต่ตอนนั้นเลย แต่น้องบอกว่าเราไม่เป็นไรมากเพราะน้องไปอุ้มหัวเอามือมารองหัวเราไว้ ไม่งั้นเจ็บหนักเข้ารพ.แน่" เราเลยถามแม่กลับไปว่าถ้าน้องรู้ว่ารถจะล้มทำไมไม่มาช่วยกันก่อนที่จะล้ม หรือถ้าช่วยแล้วทำไมขาเราถึงได้เหวอะขนาดนี้ พูดไปก็มีอารมณ์นิดนุง หะหะ แม่ตอบว่า"คงเป็นวิบากกรรมเราที่ต้องรับเอง เขามาช่วยไม่ให้ตายไวแล้วยังปากดี ถ้าเขาไม่ช่วยแล้วจะรู้สึก" แป่ววว เราเงิบเลย เลยบอกค่ะๆรู้แล้ว แล้วก็วางไป.

               เวลาที่บ้านเราจะเกิดเหตุหรือคนในบ้าน ในครอบครัวรวมถึงบรรดาญาติสนิท คนใกล้ชิดจะมีปัญหาหรือเกิดสิ่งใดที่ไม่ดีขึ้น มักจะสัมผัสที่6มาสื่อให้รับรู้ได้ตลอดเวลา บ้างก็ฝันตื่นเช้ามาก็มีเหตุการณ์เกิดขึ้นจริง บ้างน้องก็จะมาแฝงกับน้องชายแล้วบอกตรงๆว่าจะมีอะไร ทั้งลางดีและลางร้าย แต่ถามว่าเมื่อเรารู้แล้วเราทำอะไรกับมันได้ ทำไม่ได้หรอกค่ะเพราะทุกอย่างมันเป็นเรื่องของกฏแห่งกรรม มาช้ามาเร็วยังไงก็ต้องมา เพียงแต่ข้อดีที่เราล่วงรู้ก่อนทำให้เรามีสติและตั้งรับมันได้เท่านั้นเอง
               ที่ไม่ค่อยได้เอ่ยถึงพ่อเท่าไกร่เพราะพ่อเราเป็นทหาร วัฏจักรก็จะวนแบบเดิมคืออยู่บ้าน2อาทิตย์ไปราชการตจว.1อาทิตย์ กลับมาอยู่บ้าน1อาทิตย์ไปตจว.2อาทิตย์วนอยู่แบบนี้แหละค่ะ อีกอย่าง น้องที่มาแฝงเคยบอกว่า "หนูกลัวพ่ออะพ่อดุ เวลาพ่ออยู่บ้านหนูจะไม่ออกมานะ" 555 ขนาดน้องยังกลัวแล้วคนจะเหลือหรอ? แต่พ่อเราใจดีนะแค่เผ็นคนหัวแข็งไม่เชื่ออะไรที่พิสูจน์ไม่ได้ แต่เมื่อลูกเมียลงทุนสร้างหิ้งให้น้องอยู่ มีถวายอาหาร ขนม นมเนย ของเล่นซะเต็มหิ้งขนาดนั้น ถึงมันจะดูย้อนแย้งกับความรู้สึกพ่อก็เถอะ แต่พ่อก็ไม่ว่าอะไร"
               ครั้งหนึ่งพ่อนั่งดูบอลอยู่ข้างล่างคนเดียว มีตุ๊กตาหุ่นยนต์ที่ต้องใส่ถ่านแล้วกดออน ปืนก็จะยิงมีเสียง ปังปังแง แช่แช่แช่ เสียงประมาณนี้555 แต่หุ่นยนต์เจ้ากรรมมันไม่ได้ใส่ถ่านนี่สิ มันยิงปืนเองได้อย่างไร พ่อหันไปดูปืนก็หยุด พอหันกลับปืนยิงอีกรอบ ทีนี้แหละพ่อวิ่งกระเจิงจากชั้น1 ขึ้นมาในห้องแล้วกระโดดขึ้นเตียงห่มผ้านิ่งเลย เรานี่แหละลุกมาถามพ่อว่า "ขึ้นมาทำไมไม่ปิดไฟกะทีวีข้างล่าง ลงไปปิดเดี๋ยวนี้น้า" พ่อแกล้งหลับค้า ทำเป็นไม่ได้ยิน ก็ตัวเองเพิ่งกระโดขึ้นเตียงมะกี๊ จะหลับได้เร็วอะไรขนาดนั้น สรุปเรานี่แหละลงไปปิดแทน จากนั้นพ่อก็จะมองๆที่หิ้งและหุ่นยนต์ทุกครั้งที่เดินผ่าน.

               เมื่อในครอบครัวมีการเปลี่ยนแปลง มีอีกตนหนึ่งมาอาศัยอยู่ด้วย เราก็ต้องปรับตัวและวิถีการใช้ชีวิต แม่ก็ธรรมะธรรมโม สวดมนต์ถือศีลไปกรรมฐานเป็นประจำอยู่แล้ว พ่อก็อยู่ของเขาไปน้องจะไม่ค่อยกล้ามายุ่งด้วย แต่จะคอยดูแลอยู่ห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ ส่วนเราต้องปรับเเยอะเลย ด้วยความที่ตอนนั้นเราเป็นวัยรุ่นก็มีความคึกคะนองโลดโผนพอตัว ชอบลองดี ลองของในบ้านตัวเองนี่แหละค่ะไม่ต้องไปไหนไกลเลย บางทีก็อยากพอสูจน์ว่ามีจริงหรือน้องชายเราเป็นโรคประสาทกันแน่
               มีอยู่ครั้งหนึ่งฝนตกหนักมากเราก็นั่งดูทีวีอยู่ในบ้านกับแม่ แล้วมีความรู้สึกว่ามีน้ำกระเด็นมาโดนตัวเอง เราก็สะดุ้งแล้วถามแม่ว่า น้ำมาจากไหนอะ แม่ก็บอกไม่มีน้ำ ฝนมันตกอยู่นอกบ้านไง เราก็บอกว่าไม่สิ เนี่ยมันกระเด็นมาโดนแขนหนู แม่มองที่แขนก็มีละอองน้ำอยู่ที่แขนเรา เราก็เลยพูดว่า ถ้ามีจริงทำให้แขนพี่เปียกมากกว่านี้สิ แล้วจะเชื่อว่าอยู่ด้วยกัน ไม่ทันขาดคำเราต้องสะดุ้งสุดตัว เพราะรู้สึกเหมือนมีคนมาสะบัดน้ำใส่เราทั้งตัว นึกภาพเวลามีพระพรมน้ำมนต์ก็ได้ค่ะแบบนั้นเลย เราก็ลุกขึ้นยืนเอามือปัด แม่ก็นั่งหัวเราะบอกว่ารู้อยู่แล้วว่าน้องอยู่ด้วยที่นี่ก็ยังจะท้า คราวหน้าท้าให้เขาออกมาหาตัวเป็น ๆ เลยสิ เราก็เหวอไปเลย
               เวลาอยู่บ้าน น้องก็มักจะทำให้รู้ว่าอยู่ด้วย บางครั้งก็มาเป็นเสียงเปิดปิดประตู เคาะประตู วิ่งขึ้นลงบันได หรือมาแว่บ ๆ ผ่านหน้าบ้าง แต่ไม่ได้กลัวนะคะ อาจจะตกใจนิดหน่อยบางทีเราเผลอ ๆ น่ะค่ะ แต่น้องมาอยู่ด้วยเขาก็ให้คุณกับที่บ้าน อะไรที่ไม่ดีเขาจะมาเตือน บางทีเราดื้อคบเพื่อนไม่ดี เขาก็จะมาบอกแม่ว่าเราโดดเรียน เราไปมีเรื่องกับคนอื่น พอกลับมาบ้านเท่านั้นแหละ พ่อถือก้านมะยมรอฟาดเลย ไม่ถามสุขภาพซักคำ เราเอะใจว่าพ่อรู้ได้ไงน้าว่าเราโดดเรียน ถึงบางอ้อ พอแม่รู้จากน้องว่าเราโดดเรียนปุ๊ป แม่โทรบอกพ่อปั๊บ พ่อกลับมาบ้านปุ๊ป หักก้านมะยมรอปั๊บแล้วกระหน่ำฟาดเราขาลายเลย เจ็บใจมากตอนนั้นรู้สึกว่าทำไมต้องมายุ่งเรื่องของเราด้วย อยู่กันคนละโลก ผีก็อยู่ส่วนผีคนก็อยู่ส่วนคนไม่ได้หรอไง เก็บความแค้นใจไว้เพราะไม่รู้จะเอาคืนยังไง วิ่งขึ้นไปบนห้องเห็นเสื้อผ้าน้องชายแขวนในตู้ เลยเอากรรไกรมาตัดขาดหมดเลย นึกในใจว่า มาแฝงน้องชั้นแล้วมาบอกแม่หรอ ทำไรแกไม่ได้งั้นชั้นทำน้องชายชั้นแทนก็ได้วะ (ตอนนั้นเลวมาก555) แต่เรื่องก็ผ่านมาด้วยดี เพราะพ่อมาเห็นเสื้อน้องขาดพ่อก็มาตีเราอีกรอบอยู่ดี สรุปวันนั้นเจอพ่อตีเบิ้ลเลย

              ตอนนี้ขอมาพูดถึงเรื่องสัมผัสที่6ของเราบ้าง แต่ไม่สามารถส่งจิตคุยกันเป็นเรื่องเป็นราวได้นะคะ แค่สัมผัสหรือเห็นได้ในบางครั้ง หรือจะมาเป็นลางสังหรณ์ หรือสัมพเวสีมาให้เห็นมาจ๊ะเอ๋แบบนี้ก็บ่อย ตกใจทุกครั้งที่เจอค่ะไม่เคยชินเลย แต่จะบอกเสมอว่าไม่อยากเจอไม่อยากเห็นไม่ต้องมาทำให้รู้ว่ามีอยู่จริงเพราะเชื่อว่ามี แต่ก็ไม่วายต้องเจออยู่ดี
              จะเล่าเรื่องตอนเป็นเด็กเพิ่งเกิดให้ฟังค่ะ นี่เป็นคำบอกเล่าจากแม่และมีผลพวงมาถึงตอนโต แต่ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้วสิ่งไม่ดีออกไปหมดแล้วค่ะ
               เราเป็นคนจ.น่านค่ะ ตอนที่เราเพิ่งเกิดได้ไม่กี่เดือน บ้านที่อยู่เป็นบ้านไม้ห้องแถวอยู่กับพ่อแม่และน้าที่เป็นเด็กวัยรุ่น ส่วนบ้านปู่ย่าและญาติก็อยู่ละแวกเดียวกัน แต่เมื่อหลายสิบปีที่แล้วไฟฟ้าตามถนนยังไม่มี ใช้ตะเกียงส่อง รถก็ไม่ค่อยวิ่ง ค่ำมาคนก็ไม่พลุกพล่านเข้าบ้านใครบ้านมัน ละแวกนั้นก็เป็นเขาเป็นดอย เงียบและวังเวงมาก ดึกคืนหนึ่งมีป้าคนหนึ่งเดินมาตะโกนเรียกชื่อแม่เราบอกว่าขอดูเด็กหน่อย เพิ่งเกิดหรอน่ารักหรือเปล่า ป้าอยากเห็นหน้าจัง แม่เราก็ชะโงกหน้าไปดูแล้วสะกิดพ่อ พ่อก็บอกว่าป้าคนนี้ชาวบ้านเขาลือว่าแกเป็นปอบ แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นปอบจริงไหม แม่เราก็ตะโกนออกไปว่าพรุ่งนี้เช้าค่อยมาดู เด็กหลับแล้ว ป้าก็บอกว่าขอดูนิดนึงไม่นานหรอก พ่อก็บอกว่ากลับไปเลยป้า ลูกหลับแล้วอย่ามากวน ป้าก็หยุดนิ่งแล้วชะเง้อมองแต่ไม่ตะโกนเรียกละสักพักก็เดินหันหลังกลับไป
               คล้อยหลังป้าไม่นานเราก็ร้องไห้ แม่กับพ่อก็วิ่งมาดูทั้งกอด โอ๋ ให้กินนม ทำยังไงก็ไม่หยุดร้อง แม่บอกว่าหน้าเราแดงมากร้องแหกปากตะโกนตะเบ็งเสียง สักพักไฟที่บ้านก็ดับแล้วก็ติด แล้วก็ดับ ๆ ติด ๆ น้าเราก็กลัวมากตอนนั้นน้ายังเด็ก น้าเราบอกว่าสงสัยปอบมันจะมากินเราแน่เลย พ่อเลยบอกว่าวิ่งไปตามปู่กับย่ามาหน่อย น้าเราก็ส่ายหัวบอกไม่ไปอะกลัววิ่งไปเจอปอบกลางทาง พ่อก็บอกว่าไปเถอะหลับตาวิ่งก็ได้ น้าเราก็เลยอ้อ หลับตาวิ่งก็ไม่เห็นปอบละ บ้านปู่ย่าก็ไม่ได้อยู่ห่างกันมาก แต่มันต้องวิ่งข้ามดอยบวกกับบรรยากาศและสถานการณ์แบบนี้ น้าเราเล่าว่าน้าหลับตาปี๋วิ่งออกจากบ้านแต่ก็เอะใจว่า อ้าวหลับตาแล้วจะเห็นทางได้ไง เลยปรือตาเแล้ววิ่งไปหาปู่ย่า
          พอปู่ย่ามา ย่าก็มาอุ้มเราแล้วเราบอกว่าไปเลยนะอย่ามายุ่งกับหลานตรู ออกไปจากบ้านตรู เราก็ไม่หยุดร้อง ไฟก็ติด ๆ ดับ ๆ ปู่เลยไปเอาถ่านหลังบ้านมาถูหน้าถูตัวเราแล้วบอกว่านี่ยังกินลงอยู่ไหม๊มันไม่น่ากินแล้วเนื้อตัวมอมแมมมีแต่ถ่าน ไปไปออกไปหากินที่อื่น ถ้าไม่ไปดี ๆ เดี๋ยวไล่ด้วยอาคมแล้วจะตามไปเผาบ้านคอยดู ออกไป๊ สิ้นเสียงปู่ไฟก็สว่างเราก็หยูดร้อง พอจบเหตุการณ์ครั้งนั้นแม่เราเลยบอกพ่อว่าย้ายกลับไปบ้านที่กรุงเทพฯเถอะ ถ้าอยู่แบบนี้มันไม่สบายใจมีจริงหรือไม่จริงก็ไม่รู้ แต่ไม่สบายใจเลย พ่อเราก็เลยรอให้เราโตอีกนิดนึงแล้วย้ายมาเข้าอนุบาลที่กรุงเทพฯ (แม่เราเป็นคนอิสาน พ่อเป็นคนเหนือ เจอกันที่กรุงเทพฯ พอแม่ท้องเราก็พากันไปอยู่เหนือ สุดท้ายแล้วก็มาโตอยู่กรุงเทพฯจนถึงปัจจุบัน)

               เมื่อมาอยู่กรุงเทพฯเหตุการณ์ก็ปกติดีจนกระทั่งเราอายุ 15 เราจะปวดท้องน้อยประจำ ปวดมาก ๆ ปวดจนนั่งไม่ได้เพระามันจุกต้องยืนตลอดเวลา เล่าให้แม่ฟังว่าเหมือนมีก้อนอะไรอยู่ในท้องมันกลิ้งไปมา เวลานอนตะแคงซ้ายก้อนก็กลิ้งไปซ้าย เวลานอนตะแคงขวาก้อนก็กลิ้งไปทางขวา เวลาจะนั่งต้องเอียงก้นข้างใดข้างหนึ่งลงก่อน ไม่สามารถนั่งลงไปทั้งก้นได้เพราะมันจุกมาก เป็น3วันก็หาย หาย10วันเดี๋ยวก็เป็นอีก แม่เลยพาไปตรวจร่างกาย ผลออกมาปกติดีหมอเลยให้ยาแก้ปวดมากิน กินแล้วก็ไม่หายอะค่ะ หลัง ๆ พอเป็นอีกก็เริ่มหงุดหงิดร้องไห้บ้างว่าเป็นอะไรนักหนาวะ
               แม่เลยพาเราไปทำบุญสังฆทานให้เจ้ากรรมนายเวร แล้วรอพบหลวงพ่อจะขอสายสิญจ์ผูกข้อมือให้เรา หลวงพ่อเห็นหน้าก็ทักว่าตอนนี้เรามีควันเทา ๆ ปกคลุมหน้า อาตมาเห็นหน้าโยมไม่ชัด เห็นแต่หน้าของคนอื่น แม่เลยถามว่าคนอื่นนี่คือใครเขาต้องการอะไร หลวงพ่อบอกว่าเขาเอาไม่ถึงตายหรอก แต่เขาแค้นใจเลยตามมาเอาคืน หลวงพ่อหลับตาแล้วบอกว่า ผู้หญิงตนนี้แค้นที่มาขอดูลูกโยมแล้วถูกไล่ไป เลยกลับมาอีกรอบมาแกล้งให้ลูกโยมตกใจ แล้วปู่กับย่าก็มาไล่แถมขู่อีกว่าจะเผาบ้านของเขา เขาเลยกลัวแล้วหนีไป โยมก็พาครอบครัวกลับมากรุงเทพฯ เขาก็ตามมา รอจนช่วงที่ลูกสาวดวงตกเลยเข้ามาเอาคืน (อันนี้เราเรียบเรียงให้จะได้อ่านง่าย ๆ นะคะ เพระาท่านไม่ได้พูดยาวทีเดียว มีการถามตอบระหว่างแม่กับหลวงพ่ออยู่ค่ะ) แต่ทำอะไรเรามากไม่ได้ เพราะบ้านของโยมมีของดีป้องกันอยุ่ แต่นี่เป็นวิบากกรรมเ เจ้ากรรมนายเวรของลูกโยม ลูกโยมก็หนีไม่พ้น เด็กที่บ้านโยมก็ช่วยอะไรไม่ได้ ที่ช่วยได้คือไม่ให้เอาถึงตายนั่นล่ะ
               หลวงพ่อจึงแนะนำให้แผ่เมตตาอุทิศให้เขาพ้นทุกข์และอโหสิกรรมให้เขาซะ เมื่อใดที่เขาพอใจเขาก็จะไป แต่เราก็อย่าไปผูกจิตคิดแค้นกับเขาอีก ไม่งั้นก็จะดึงกันไว้ไม่จากกันเสียที เราก็ทำตามคำแนะนำหลวงพ่อ แผ่เมตตาบ่อยขึ้น นึกถึงขึ้นมาก็แผ่ ปวดท้องก็แผ่ จนตอนนี้ไม่เป็นแล้วค่ะ
               แถมอีกนิด เราเคยถามน้องเราว่ารู้ไหมว่าเขาทำอะไรพี่ถึงปวดท้อง น้องก็บอกรู้สิแล้วก็ทำท่าให้ดูคือเอามือทำท่าค่อย ๆ ล้วงเข้าก้นเรา บอกว่าเวลาพี่ปวดท้องนะ เขาเอามือล้วงเข้าไปก้นพี่แบบนี้ หวาย!! มิน่าล่ะ ทำไมเราถึงนั่งไม่ได้ต้องยืนตลอด ถ้าสเก็ตภาพออกมาได้ภาพคงไม่สวยอะค่ะ
               จบตอน6 เพียงเท่านี้ ตอนหน้าจะเล่าประสบการณ์ที่เจอวิญญาณตัวเป็น ๆ ประชันหน้ากัน

               ครั้งแรกที่เจอจัง ๆ ตอนนั้นเราอยู่ม.1 นอนรวมกันในห้องพ่อแม่และน้องชาย แต่คืนนั้นพ่อกับแม่มีเพื่อนมาหาเลยดื่มกันนิดหน่อยอยู่ข้างล่าง น้องชายก็นั่งเล่นอยู่กับลุกของเพื่อนพ่อแม่ที่พามา ส่วนเราขึ้นมานอนในห้อง ภายในห้องจะมีเตียงใหญ่ 1 เตียง นั่นคือพ่อแม่น้องนอนด้วยกัน เราจะนอนที่นอนฟูกปูอยู่ข้างล่างข้างเตียง จริง ๆ มี 2 ห้องนอนนะคะ แต่เราติดนิสัยโตขนาดไหนก็ชอบนอนรวมกับพ่อแม่ตลอด จนถึงตอนนี้ก็ไม่เคยนอนแยกห้อง ห้องอีกห้องเลยไว้ให้แขกมา หรือจริง ๆ แล้วเพราะเหตุการณ์นี้ด้วยแหละค่ะที่ทำให้เราไม่กล้านอนคนเดียว
               เกริ่นมานานต่อเลยละกัน เราก็นอนตะแคงหันหน้าเข้าเตียง หลังเราก็จะลอยไม่ชนกับผนัง พอเราพลิกตัวจะหันหน้าตะแคงมาอีกฝั่ง ลังเราจะชนกับเตียง ธรรมชาติเวลาคนนอนพลิกตัวแขนก็จะอ้าแล้ววาดมาอีกฝั่งตามตัวเราใช่ไหมคะ จังหวะนั้นแหละค่ะ แขนเราวาดไปโดนกับแขนเล็ก ๆ เราก็คิดว่าฝัน แต่ความรู้สึกมันชัดเจนมาก เราหลับตาแต่มือเราเริ่มจับแขนนั้น จับลูบดูว่านี่คืออะไร พอสติกลับมานึกได้ว่าเรานอนคนเดียวนี่แล้วนี่แขนใคร? เลยค่อยลืมตา ภาพตรงหน้าคือเด็กผู้ชายนอนตะแคงหันหน้ามอง ราก็มองหน้าเขาเพ่งดูในความมืดให้สายตาค่อย ๆ ปรับแสง พอยิ่งมองก็ยิ่งเห็นชัด เด็กคนนั้นก็ส่งยิ้มให้เรา 1 ที เราก็แหกปากทันทีเลยจ้า กรี๊ดร้องเรียกพ่ออออออออออออออออออออออ!!!!!! แล้วพ่อกับแม่กับน้องชายก็วิ่งขึ้นมาบนห้อง พ่อมากอดเราเราก็ก้มหน้าหลับตาปี๋ขดตัวแล้วเอามือชี้ไปข้าง ๆ บอกว่ากลัว ๆ หนูกลัว ๆ พ่อก็บอกว่าไม่มีใคร ให้เราลืมตามาดูสิไม่มีใครเลย เราเลยลืมตาก็ไม่เจอใครเลยนอกจากพ่อแม่และน้องเรา แม่เลยบอกว่าน้องคงอยากมานอนด้วย แต่แม่ว่าอย่าดีกว่า แล้วแม่ก็พูดขึ้นว่า ถ้าจะมานอนกับพี่ก็อย่าทำให้พี่ตกใจสิ มาแบบนี้เขาก็กลัวแย่เลย นี่คือเรื่องแรกที่เจอแล้วทำให้ทุกวันนี้เราไม่นอนคนเดียวอีกเลย

               อีกครั้งหนึ่งตอนนั้นเราขี่มอไซไปนอกบ้าน ขากลับฝนตกหนักมาก เวลาก็เย็นแล้วด้วย จอดรถข้างทางให้ฝนซาก็ไม่ซาสักที เลยตัดสินใจขี่รถกลับเลย เราก็ขี่รถมอไซตากฝนหนาวสั่นตลอดทาง พอมาถึงบ้านก็จะรีบวิ่งเข้าห้องนอนเพื่อเปลี่ยนชุดอาบน้ำ เปิดประตูห้องปุ๊บตกใจกับสิ่งที่กองอยู่บนเตียง คือผ้าห่มปกติตื่นนอนก็พับเรียบร้อย แต่นี่ผ้าห่มมันขมวดขึ้นมาเหมือนห่ออะไรไว้ เราเปิดเข้าไปเลยตกใจเพราะเหมือนมีคนนั่งแล้วเอาผ้าห่มห่อตัวไว้ เราก็มองแต่ก็ใจดีสู้เสือเอาวะอาบน้ำดีกว่า เปลี่ยนชุดนุ่งผ้าเช็ดตัวกำลังจะเดินเข้าห้องน้ำ แต่มีเด็กแก้ผ้าวิ่งตัดหน้าเราเข้าห้องเข้าพรึ่บ เราก็ชะงักหยุดเดิน คิดแล้วว่าต้องเป็นน้อง(ที่มาแฝง)แน่เลย เพราะแม่เคยบอกไว้ว่าให้ช่วยดูแลพี่หรือพ่อเวลาไปราชการต่างจังหวัดด้วยนะ ส่วนแม่ไม่ต้องดูและอะไรหรอก แม่เป็นแม่บ้านให้คอยดูแลคนที่ต้องเดินทางละกัน เราเลยคิดไว้ว่าน้องคงนั่งซ้อนมอไซตากฝนมากับเรา คงกลัวเรารถล้มหรือได้รับอันตราย พอมาถึงบ้านเลยรีบมาห่มผ้าแล้วเข้าอาบน้ำกับเรา แต่มาให้เห็นทำไมค้าาาาาาา ตอบ? ตอนเป็นผ้าห่มบนเตียงยังเห็นแต่ลักษณะของผ้าห่มที่กอง ๆ ขึ้นมา แต่ตอนจะเข้าห้องน้ำนี่มาเป็นตัวเลย เห็นแต่ข้างหลังตูดขาว ๆ วิ่งเข้าห้องน้ำหายวับไปกับตา เราเลยย่องเข้าห้องน้ำแอบดูทีละนิด เสียวสันหลังนิดนึงว่าถ้าเปิดประตูเข้าไปแล้วนางยืนยิ้มอยู่จะทำยังไง แต่นางก็ไม่อยู่เราเลยบอกว่าอาบน้ำด้วยกันได้นะแต่ต้องหันหลังชนกันห้ามแอบดูนมพี่นะ (แอบอาย)
               อีกครั้งหนึ่งเราเดินผ่านเขาขายตุ๊กตาตัวเล็ก ๆ มีหมีแพนด้าใส่ถ่านแล้วมันจะเดินมีเสียงได้ เราซื้อมาแต่ยังไม่ได้ซื้อถ่านมาใส่ วางไว้ข้างหัวเตียงแล้วบอกว่าซื้อมาให้เล่นนะ แต่ถ่านยังไม่ได้ซื้อ เดี๋ยวพี่ไปหาถ่านมาใส่แล้วจะเอาขึ้นหิ้งให้นะ พอพูดจบเราก็กำลังจะเดินออกจากห้อง พอจับลูกบิดประตูกำลังจะออก นังหมีแพนด้ามันเดินเองจ้า แล้วมีเสียงดนตรีบรรเลงด้วย เราก็สะดุ้งรีบหันหลังกลับไปมอง ตุ๊กตาก็หยุดแต่ว่ามันไม่ได้อยู่ที่เดิม เราเลยบอกว่ารู้แล้ว ๆ ว่าอยากเล่น แต่อย่ามาโชว์พาวแบบนี้หัวใจจะวาย

               ตั้งแต่น้องที่มาแฝงได้รับการเบิกเนตรจากหลวงพ่อ ทำให้ตัวน้องเองมีพลังมากขึ้น พลังในทางที่ดีนะคะ พลังในการแจ้งเตือนหรือมาสื่อต่าง ๆ รวมถึงเราและแม่ที่ปฏิบัติธรรมมากขึ้น เราเองก็พอมีสัมผัสที่6 ได้ยิน มองเห็นบ้างเป็นครั้งคราว แต่สื่อสารกับวิญญานทั่วไปไม่ได้ สื่อสารได้แต่กับน้องที่มาแฝงในร่างน้องชายเราเท่านั้น
               ครั้งหนึ่งเมื่อเราไปเที่ยวบ้านย่าที่ จ.น่าน บ้านย่าเป็นบ้าน 2 ชั้น ข้างล่างเป็นปูนที่ต่อเติมใหม่ ข้างบนเป็นบ้านไม้ บ้านหลังนี้อยุ่มาตั้งแต่ทวด ที่บ้านจะมีกรอบรูปไล่มาตั้งแต่บรรบุรุษ ทวด ปู่ เป็นรูปขาวดำ พื้นที่ไม่ได้กว้างมากนัก ห้องน้ำแบบคนสมัยก่อนคือปลูกไว้นอกตัวบ้าน มีโอ่งตั้งอยู่หน้าประตูห้องน้ำสังกะสี มีต้นมะม่วงต้นใหญ่ลูกดกมากกกกกกก อยู่ข้างโอ่งอีกที เวลาจะเข้าห้องน้ำก็ต้องออกทางหลังบ้าน เดินสัก 5 ก้าว ก็ถึงห้องน้ำ ส่วนญาติบ้านลุงป้าน้าอา อยู่ละแวกเดียวกันแต่ต้องขี่มอไซสัก 5 กิโล คนละหมู่บ้านแต่อ.เดียวกัน
              คืนนั้นบ้านของลุงมีงานเลี้ยงทุกคนจึงไปกินข้าวบ้านลุงตอนเย็น บ้านย่าก็ปิดไฟมืด ระหว่างเตรียมจานนั้น จานไม่พอ ย่าเลยบอกให้ขี่มอไซไปเอาจานที่บ้านมาเพิ่มหน่อย อ้อลืมบอกไปว่าตอนนี้เรายังขี่มอไซไม่เป็น ขี่เป็นหลังจากเหตุการณ์นี้แหละค่ะบอกเลย!!!!
                   น้องสาวที่เป็นลูกของลุงกับป้าเป็นคนขับ เราเป็นคนซ้อน พ่อมาถึงหน้าบ้านย่าปุ๊ป มืดมากกกกกกก เพราะไฟถนนไม่มี ไฟในบ้านไม่เปิด ปิดประตูบ้านและประตูรั้วมิดชิด จอดรถมอไซแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าทำไมไม่ขอกุญแจบ้านกับรั้วที่ย่ามาด้วย แล้วจะทำไงดี สรุปว่าถกกางเกงแล้วปีนข้ามรั้วเข้าไปละกัน รั้วก็ไม่สูงมากประมาณ 160  ซม. เราวัดจากความสูงเราเองเพราะมันเท่าหัวพอดี เราปีนนำคนแรกน้องสาวเราปีนตาม แล้วเดินอ้อมไปทางด้านหลังบ้านเพราะหน้าบ้านประตูล็อคเขย่าแล้วเข้าไม่ได้ แต่ย่าเคยบอกว่าให้เข้าประตูทางหลังบ้านตรงห้องน้ำนั่นแหละไม่ได้ล็อคแค่ปิดแง้มไว้เฉย ๆ เราเคยถามย่าว่าไม่กลัวขโมยหรอเปิดแง้มประตูไว้แบบนี้ ย่าบอกว่าไม่กลัวหรอกไม่มีอะไรให้ขโมย ถ้าเอามือผลักประตูเบา ๆ ประตูก็เปิดออกง่ายมาก ยังนึกเป็นห่วงย่าเลยว่าประตูไม่แน่นหนาเนี่ย ถ้ามีขโมยจริง ๆ จะทำยังไง
               ตัดกลับมาที่เรากับน้องเดินอ้อมไปหลังบ้าน ประตูหลังบ้านตรงกับโอ่งและต้นมะม่วงขยับมาทางขวาของโอ่งเป็นห้องน้ำ ฉะนั้นถ้าเราเปิดประตูหลังบ้านออกมาปุ๊บก็จะเจอโอ่งปั๊บ เปิดประตูเข้าไปมันพอมีแสงจันทร์ลอดเข้ามา เราเลยไม่เปิดไฟกะว่าหยิบจานก็จะรีบออก พอหยิบจานเสร็จแล้วเราก็กำลังจะเดินออกจากประตู ธรรมชาติของคนถ้ามันสลัว ๆ มืด ๆ เราก็ต้องเพ่งสายตาเพือให้มองชัด ทีนี้พอเราเดินมาตรงประตูหลังบ้านสายตาก็จับจ้องไปที่โอ่งใต้ต้นมะม่วง มีผู้หญิงนั่งยอง ๆ บนปากโอ่ง มองมาทางเรากับน้องสาว เราหยุดกึกน้องเดินชนหลังเราแล้วถามว่าหยุดทำไม เรานิ่งค่ะพูดไม่ออก ก้าวขาไม่ออกด้วย เพราะผู้หญิงคนนั้นจ้องหน้าเราอยู่ ลักษณะที่เห็นคือผู้หญิงผอมนุ่งผ้าถุงแล้วนั่งยอง ๆ เหมือนคนจะฉี่ แต่นี่นั่งบนปากโอ่ง ผมยาวมาถึงข้อเท้า ถึงไม่ได้เปิดไฟแต่เราก็มองเห็นหน้าและรูปร่างชัดเจน น้องสาวก็เขย่าแขนเราบอกว่าหยุดทำไม เจออะไรหรอ เราบอกว่าเปล่า...... ทันใดนั้นผู้หญิงคนนั้นก็ยิ้มทักทายเรา 1 ที แค่นั้นแหละจานร่วงหลุดจากมือแตกกระจาย แล้วเราก็วิ่งหางจุกตูดไปหน้าบ้านกระโดดปีนป่ายรั้วอย่างง่ายดาย ขึ้นคร่อมมอไซบิดกุญแจสตาร์ทรถตบเกียร์ 1 บิดอย่างแรง รถยกหน้าแล้วพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว เสียงรถลากเกียร์ 1 ยาว ๆ ถ้าใครขี่มอไซที่มี 4 เกียร์ จะรู้ดีว่าออกตัวมาสักนิดต้องตบเกียร์ 2 แล้ว 3 4 ตาม แต่เราขี่รถไม่เป็นไงคะ มันทำด้วยความตกใจ เห็นมอไซก็คิดอยากจะหนีจากตรงนี้ ทีนี้รถมันลากเกียร์ดังครืดดดดดดดดดดด แล้วเหมือนจะบิดต่อไม่ได้ ทำให้สติเรากลับมา เราผ่อนคันเร่งมองกระจกหลังเห็นผู้หญิงวิ่งตามรถเรามาค่ะ แว่บแรกใจหายไปอยู่ตาตุ่ม เฮ้ยยังจะตามมาอีกหรอวะ พอมองดี ๆ อ้าว น้องสาวเรานี่วิ่งตามมาตะโกนว่า รอด้วยยยยยยยยยยยย พอมาถึงมันก็บ่นเราใหญ่เลย ไหนว่าไม่มีอะไรแล้ววิ่งหนีมาทำไม เนี่ยตะโกนเรียกก็ไม่จอดเลย ขี่เป็นแล้วหรอ เราก็เลยว่า เอ้อ ลืมไปอะว่าขี่รถไม่เป็น แกขี่กลับไปบ้านลุงเลยละกัน แต่ชั้นขอนั่งหน้านะไม่กล้าซ้อนหลังอะ น้องก็บอกว่าจะบ้าหรอ นั่งข้างหลังเลยหนูก็เสียวสันหลังเหมือนกันนะ สรุปเราก็นั่งซ้อนหลังแบบเสียว ๆ จนถึงบ้านลุง
               พอถึงบ้านลุงเราก็เล่าให้ทุกคนฟัง ย่าเลยบอกว่า ย่าลืมบอกไปว่าเวลาไปถึงให้บอกกล่าวด้วยว่าจะมาเอาของไม่ใช่ขโมย คงเป็นเจ้าที่เจ้าทางมาแอบดูล่ะมั้ง เห็นมืด ๆ อยู่ในบ้านกัน ไฟก็มีไม่รู้จักเปิด เราเลยบอกย่าว่า เจ้าที่บ้านย่าเนี่ยเขาไม่ได้มาแอบดูนะ เขามานั่งดูจะจะเลย
               เช้าต่อมาเราก็ไปบ้านย่าแล้วจุดธูปกลางแจ้ง ขอขมาเจ้าที่และบอกกล่าวว่าถ้าหนูมาหาจานตอนดึก ๆ อีก ท่านอย่ามาแอบดูหนูนะคะ หนูมาดี ไม่ใช่ขโมยค่ะ.

               แม่ลูกอ่อนตามสัญญาค่ะ ครั้งหนึ่งเราขี่มอไซไป7-11 ระหว่างรอขี่ข้ามไปอีกฝั่ง เราได้ยินเสียงเด็กร้อง เราเลยอุทานว่า "เอ๊ะ เสียงเด็กที่ไหนมาร้องริมถนน" เรามองไปรอบๆ ก็มีแต่รถวิ่งผ่านและไม่มีใครอุ้มเด็กอยู่แถวนั้นเลย ทีนี้พอเสร็จธุระซื้อของก็ขี่รถกลับเข้าบ้าน หมาที่บ้านชื่อ "น้ำเพชร" ก็ตะกุยขาเรา แล้ววิ่งไปรั้วบ้านเห่าใส่รั้ว เราก็เลยบอกให้มันไปนอนอย่ามาเห่าเสียงดัง มันก็มองหน้าเอียงหัวใส่เรา แล้วหันไปมองรั้วแล้วก็ไปนอน
                ตกกลางคืนเรานอนนอนหลับไปแล้ว แต่แม่เรานอนไม่หลับส่วนน้องชายเรานอนบนเตียงกับแม่ พ่อไปราชการเหมือนเดิม เราก็ยังคงนอนรวมกับพ่อแม่ไม่เคยแยกห้องจนตอนนี้อายุจะ 30 แล้วก็ยังไม่นอนแยกเลย แหะๆ ต่อค่ะ แม่เราลุกขึ้นมานั่งแล้วเรียกเราให้ตื่น เราก็งัวเงียถามแม่ว่ามีไรหรอ แม่บอกนอนไท่หลับอะ เห็นผู้หญิงอุ้มลูกยืนอยู่หน้าบ้าน ฝันรึเปล่าก็ไม่แน่ใจ พอหลับตาก็เห็นจะหลับก็หลับไม่ได้ เลนแผ่เมตตาให้ก็ยังไม่ไป เราเลยเล่าให้แม่ฟังเรื่องได้ยินเสียงเด็กร้องตอนเย็น แม่เลยถามว่าแล้วเราทำยังไงพอได้ยินเสียงล่ะ เราบอกว่า หนูทักไปว่าเสียงเด็กที่ไหน แม่เลยบอกว่าสงสัยเราทักแน่เลยเขาถึงตามมา เราซึ่งนอนอยู่ริมหน้าต่างก็เริ่มกลัวว่าเขาจะมาโผล่ริมหน้าต่างไหมน้า ทีนี้แม่เลยบอกให้เราแผ่เมตตาให้เขาซะ ตอนนั้นเราไม่เราเพราะเรารู้สึกว่าไม่เกี่ยวไรกับชั้นนี่ ไม่ได้ทำไรให้สักหน่อยมาตามทำไมบ้าหรือเปล่า
                ตอนนั้นคิดแบบนั้นจริงๆนะคะ เพราะมันหงุดหงิดน่ะค่ะ ดึกๆดื่นๆไม่ไปไหนมากวนคนจะนอนบ้าเปล่า คิดแบบนี้เลยค่ะแล้วก็นอนต่อจนถึงเช้าเลย เช้านั้นเป็นวันหยุดน้องชายไม่ได้ไปเรียน จึงทำให้น้องที่จะมาแฝงมาแฝงร่างน้องได้นานกว่าทุกครั้ง ระหว่างทานข้าวเช้ากัน น้องที่มาแฝงบอกว่า
น้อง : เขามาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว จะเข้ามาหาพี่หนูยืนชี้หน้าไว้ไม่ให้เข้ามา เขาบอกพี่ทำลูกเขาเจ็บพี่ชนลูกเขาเขาจะเอาคืนพี่ต้องชดใช้ เราก็ถามกลับไปเสียงสั่นว่า
เรา : พี่ไปทำลูกเขาตอนไหน พี่ไม่รู้เรื่องนะ อย่าปล่อยให้เขาเข้ามาในบ้านนะ
               น้องบอกว่าไม่รู้เหมือนกันหนูไม่ได้ถาม แต่เขาอุ้มลูกแล้วร้องไห้ด้วย น่าสงสารนะ เดี๋ยวหนูจะไปถามให้ แล้วน้องก็ออกไป หมายถึงออกจากที่แฝงในน้องชายเรานะคะ เราจะรู้ได้ว่าออกไปแล้วเพราะท่าทางก็จะเหมือนเด็กปกติ
               คืนนั้นก่อนนอนเราเลยสวดมนต์แผ่เมตตา ก่อนจะนอนน้องบอกว่าเขามาแล้ว เขามาแล้ว เราก็กรี๊ดกระโดดขึ้นเตียงไปเบียดกับแม่กับน้อง ถามว่าเขาอยู่ไหนอะอยู่ในบ้านนี้หรอ ไม่เอานะกลัวๆ น้องบอกว่าเขาชะโงกมาดูพี่ที่หน้าต่าง ห๊ะ!! หน้าต่างชั้น2เนี่ยนะ นางลอยได้? ตอนนั้นน่ากลัวกว่าที่เล่านะคะ เล่าตอนนี้มันเลยดูละครไปนิส ^^ น้องบอกว่า พี่ขี่รถไปชนลูกเขาแขนหัก ลูกเขาคลานที่พื้นพอพี่ชนเสร็จลูกก็ร้อง พี่ก็ทักว่าเสียงใคร เขาเลยตามพี่กลับมาได้ แม่เลยถามจะให้ทำไง ทำบุญไปให้พรุ่งนี้ได้ไหมเลิกจองเวรกันได้ไหม น้องบอกต้องให้พี่ทำเพราะเขาโกรธพี่ เราเลยบอกว่าพรุ่งนี้จะทำบุญไปให้นะ ขอโทษเรื่องลูกจริงๆ เราไม่เห็นนี่ว่าคลานอยู่ตรงไหน ถ้าเห็นจะไปชนหรอ แน่ะมียอกย้อน พอเช้ามาก็ทำบุญกรวดน้ำให้แล้วคิดว่าจะจบ พอตกดึกเรานอนไม่หลับพลิกไปพลิกมา เลยลุกขึ้นนั่ง ก็เห็นน้องชายดานอนลืมตาอยู่ ตอนนั้นไม่รู้ว่าเป็นน้องชายจริงๆหรือมีน้องมาแฝงแล้ว ห็ทักไปปกติว่าไม่นอนหรอตื่นมาทำไมอะ น้องชายบอกว่านอนไม่หลับอะ ในเห็นผู้หญิงอุ้มลูกยืนร้องไห้อยู่หน้าบ้าน น้ำตาตอนแรกใสๆสักพักเปลี่ยนเป็นเลือด หนูเลยตกใจตื่นอะ เราเลยแปลกใจว่าเอ๊ะ!!ยังไม่ไปอีกหรอ จะโกรธไรนักหนา คนอื่นขับผ่านตั้งเยอะไม่ชนเลยรึไง งี้รถขยะขับผ่านเผลอไปชน ไม่เกาะรถขยะตามไปถึงเทศบาลเลยหรอ นี่คือประชดแกมหงุดหงิดไม่จบสักทีวะ   แต่เราก็ล้มตัวลงนอนต่อนะคะ บอกน้องชายนอนเถอะแค่ฝันร้ายน่ะ
               เช้าวันอาทิตย์นั้น เรานั่งอยู่ข้างล่างแล้วโทรศัพท์ดัง เลยรีบวิ่งไปรับโทรศัพท์อีกห้อง ปรากฏว่าแขนเราไปเกี่ยวกับเดือยประตู (ที่มันยื่นออกมาเป็นสแตนเลสน่ะค่ะ เดี๋ยวจะถ่ายรูปมาให้ดูนะคะ) แขนเกี่ยวเดือยประตู เดือยประตูเจาะไปที่แขนข้างซ้ายเนื้อหลุดเลือดไหลเป็นหลุม2รูใหญ่ (นี่ก็เดี๋ยวจะถ่ายรูปแผลที่แขนมาให้ดูนะ) เลือดไหลยาวเป็นทาง ร้องไห้เพราะมันเจ็บแสบ เนื้อที่จะหลุดไม่หลุดแหล่ ดึงเนื้อที่มันห้อยรุ่งริ่งออกเองก็ไม่ได้ เลยขับรถยนต์จะขับไปคลินิก คือขี่มอไซคงไม่ได้การละ ขับรถไปเองดีกว่าไม่อยากให้แผลโดนลมด้วย ตอนนั้นแม่ไปตลาดเช้าหน้าปากซอย น้องชายขอตังแม่ไปเล่นเกมส์วินนิ่งหน้าปากซอย เราก็เรียนจบมหาลัยทำงานแล้ว เลยขับรถเก๋งละ ลืมมอไซไปเลย อิอิ ระหว่างที่กำลังมุ่งมั่นขับรถไปคลิกนิคที่ใกล้ที่สุด ทันใดนั้น รถเก๋งป้ายแดงข้างหน้านางตกใจอะไรไม่ทราบ เบรครถกะทันหัน เรารีบเหยียบเบรคแต่ไม่ทันซะแล้ว กดเบรคมิดด้ามมาพร้อมเสียงล้อลากถนน เอี๊ยดดดดดดดดดดด ปัง!!!!! นั่นคือรถหยุดนิ่งเพราะชนคันหน้ากันชนหลังเขาห้อยต่องแต่ง กระโปรงหน้ารถเราพังยับ ดีที่เราคาดเข็มขัดมันจะกระชากเรากลับมาเวลาที่รถมีแรงกระแทกแรงๆ แต่เราเจ็บหน้าอกมากเพราะเข็มขัดมันดึงตัวเรากลับมา แต่ก็ดีกว่าที่เราจะพุ่งไปกระแทกพวงมาลัยคงจะเจ็บหนักกว่านี้
               พอเราลงรถเดินตัวห่อๆเพราะเจ็บหน้าอก ลืมไปเลยว่าเจ็บแขนซ้ายด้วย คู่กรณีเห็นแขนเราเลือดไหลก็ตกใจรีบวิ่งมาดูคิดว่าเป็นแผลตอนรถชนเมื่อกี๊ เราเลยบอกไม่ใช่ๆ นี่แผลหนูจะไปหาหมอ ระหว่างรอประกันก็เจ็บแขนด้วยเจ็บหน้าอกด้วย เลยโทรไปเล่าให้แม่ฟังแม่ก็ตกใจรีบไปตามน้องที่ร้านเกมส์ แต่จังหวะจะไปตามน้องก็กำลังปั่รจักรยานมาบ้านพอดี พอมาถึงก็มาแฝงแล้วบอกว่าพี่รถชน หนูไปช่วยไม่ทันเพราะน้องเล่นเกมส์กำลังจะชนะ หนูเลยบอกผู้หญิงว่า ชดใช้กันให้พอใจให้หายแค้นนะ อย่าเอาถึงตายไม่งั้นเธอจะเป็นบาปไม่ได้ผุดได้เกิดนะ แม่มาเล่าให้ฟังทีหลังเราไม่โกรธละผู้หญิงคนนั้น เราจะโกรธน้องเราแทนละ คืองี้ก็ได้หรอลูกกกก(เสียงสูง) มาถึงตอนนี้เราเข้าใจทุกอย่างมากขึ้นนะคะ ทุกอย่างล้วนแต่เกิดจากกฏแห่งกรรม ต่อให้เรามีของดีมาคุ้มครองแค่ไหน แต่กรรมใครก็คือกรรมมัน บุญใครก็คือบุญมัน ช่วงจังหวะชีวิตเราที่ต้องมาผูกกรรมร่วมกับแม่ลูกตนนั้น ก็คงมีบ่วงกรรมที่ต้องให้มาพบเจอและชดใช้กันไป
               แต่ตอนนั้นมันไม่ได้คิดแบบนั้นนี่คะ มันแค้นใจทวีคูนเจ็บใจมาก กร่นด่าอยู่ในใจว่สชั้นจะไม่ทำอะไรให้เธออีกแล้ว ร้องไห้ให้ตายอยู่ตรงนั้นไปซะ ดูซิจะทำอะไรชั้นได้อีก!!

            พอเราไปทำแผลอะไรเสร็จแล้วกลับมาบ้าน เย็นนั้นก็อาบน้ำกินยานอน นอนได้สักพักนึงฝันว่าผู้หญิงอุ้มลูกอยู่หน้าบ้านยืนอยู่ชั้น1ตรงรั้วนอกบ้าน แต่ตาเหลือกขึ้นมาข้างบน มีน้ำตาไหลแต่เป็นเลือดที่ไหลออกมาแทน แล้วเด็กตัวเล็กๆก็ร้องไห้ที่แขนซ้ายมีแผลเหมือนได้รับบาดเจ็บ ในฝันเราถามไปว่ายังไม่พอใจอีกหรอนี่เราก็เจ็บแล้วนะจะเอาอะไรอีก ทำบุญให้แล้วไม่รับหรอหรือไม่อยากไปที่สบาย ผู้หญิงคนนั้นบอกเราว่า เราไม่ได้ตั้งใจทำให้เขา กรวดน้ำก็ไม่เอ่ยถึงเขากับลูก แผ่เมตตาตักบาตรก็อุทิศส่งเดช เขาอยากไปแล้วเขาไม่อยากจองเวรกับเราแล้วเพราะเราได้รับผลเหมือนอย่างที่ลูกเขาได้แล้ว เราเลยบอกจะรู้ได้ไงว่าจะชนลูกเธอมองก็ไม่เห็น ผู้หญิงคนนั้นก็บอกว่าก่อนเขาตายเขาอุ้มลูกมาตามหาสามี แล้วเขากับลูกก็ถูกรถชนตรงนี้ไม่มีญาติมาทำบุญให้ เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงเป็นเรา แต่ตอนนี้ลูกเขาเจ็บ ช่วยทำบุญให้หน่อยได้ไหม๊ เราก็ตอบเออๆไปในฝัน สะดุ้งตื่นยังงงเองว่านี่ฝันเป็นเรื่องเป็นราว แต่รอบนี้ไม่โกรธแล้ว กลับสงสารมากกว่า เช้ามาจึงได้ทำบุญและตั้งใจกรวดน้ำ ครั้งนี้ตั้งจิตให้มั่นและระลึกถึงแม่ลูกตนนั้นมากกว่าเดิม ขออโหสิกรรมและพ้นทุกข์จากกัน ณ บัดนี้เทอญ

                             เรื่องนี้เกิดกับพ่อเรา พ่อเราไปราชการต่างจังหวัดบ่อย แต่ครั้งนี้ที่รร.แห่งหนึ่งในจ.จันทบุรี พ่อได้ห้องอยู่ติดริมทางเดินบันไดหนีไฟ เป็นมุมสุดทางเดินของชั้น คืนนั้นก่อนนอนได้ถอดสร้อยพระวางไว้หัวเตียงแล้วก็นอนหลับไป ห้องนั้นนอนกัน 2 คนกับอาอีกคน                         พ่อเล่าว่าหลังจากถอดสร้อยพระกำลังเคลิ้ม ๆ ได้ยินเสียงราวบันไดที่เป็นสแตนเลสมีเสียงกังวานดังวิ๊ง วิ๊ง พ่อทำท่าให้ดูเหมือนคนเอาแหวนลูบราวบันไดสแตนเลสน่ะค่ะ จะมีเสียงกังวานออกมา พ่อก็เอ่ยปากว่าดึกป่านนี้แล้วใครมาเคาะราวบันไดเล่นเนี่ย แล้วพ่อก็หลับไป
                              ทีนี้เป็นเหตุการณ์ที่อาเล่าให้ฟังบ้าง อาเล่าว่ากลางดึกเห็นพ่อลุกขึ้นมาจากเตียงแล้วเดินไปเขย่าประตูระเบียงหลังห้อง อาก็ตะโกนถามว่าพี่จะเปิดประตูไปทำอะไร พ่อก็ไม่ตอบเขย่า ๆ ประตูอย่างเดียว พอเปิดประตูได้พ่อเดินไปตรงระเบียงจับราวได้ก้าวขาพาดไปข้างหนึ่ง อาตกใจรีบลุกจากเตียงกระโดดไปจับพ่อ แล้วพ่อก็สะดุ้ง พ่อกับอาค้างอยู่ท่านั้นด้วยความตกใจ อาถามพ่อว่าจะทำอะไร จะโดดระเบียงหรอพี่ พ่อบอกว่าไม่รู้ว่ามาอยู่ตรงนี้ยังไง พี่จำได้ว่าพี่นอนไปแล้ว แต่รู้สึกว่ามีผู้หญิงมาเรียกพ่อ เลยลุกไปดูเห็นระเบียงปิดอยู่แต่ผู้หญิงคนนั้นยืนอยู่ข้างนอก ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจะออกไป มารู้สึกตัวอีกทีตอนอาวิ่งมาจับนี่ล่ะ อาบอกว่าตะโกนเรียกตั้งนานพ่อไปขานตอบเลย ผมว่าพี่ใส่สร้อยพระนอนเถอะ พ่อก็เอาสร้อยพระมาสวม แล้วโทรศัพท์มือถือพ่อก็ดังขึ้น
                              ตัดเหตุการณ์มาที่บ้านเรา คืนนั้นแม่นอนไม่หลับเลยลุกขึ้นมานั่งสวดมนต์ แล้วน้องก็มาแฝงบอกว่า แม่ แม่ มีคนจะมาพาพ่อไป แม่ก็บอกว่าใครจะพาพ่อไปไหน น้องบอกว่าผู้หญิงจะพาพ่อไปอยู่ด้วยบอกว่าถูกชะตา หนูเลยรีบไปกันท่าไว้แล้วปลุกอาที่นอนกับพ่อให้ตื่น หนูยืนชี้หน้าด่าว่าอย่ามายุ่งกับพ่อหนูนะ ไม่งั้นเจอดีแน่ ผู้หญิงคนนั้นก็หัวเราะเยาะหนูบอกว่านี่เป็นถิ่นเขาหนูจะไปทำอะไรเขาได้แล้วก็หัวเราะดัง ๆ หนูหมั่นไส้เลยกระโดดเตะไปเลย 1 ที พอผู้หญิงตกใจที่หนูกระโดดเตะ ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่อาตื่นมาเจอพ่อแล้วจับพ่อไว้ แม่ได้ฟังดังนั้น แม่ก็โทรศัพท์มาหาพ่อคืนนั้นทันที
                              นี่คือเหตุการณ์ที่มันเกิดขึ้นซ้อนกันคนละสถานที่ คนละเวลาแต่เหตุการณ์ต่อเนื่องกัน แม่โทรหาพ่อถามว่าเป็นไรมากไหม๊ พ่อก็บอกว่ารู้ได้ยังไงว่าเกิดเรื่อง แม่ก็แซวบอกไปว่า เธอทำอะไรชั้นรู้หมดแหละ แหมจะเดินตามผู้หญิงออกไปเกือบได้เรื่องแล้วไหม๊ล่ะ (ฮาาาาาา)

                เรื่องนี้เกิดขึ้นตอนไปเที่ยวที่จ.น่าน ชีวิตเราวนเวียนไม่กี่จังหวัดหรอกค่ะ จ.น่านก็บ้านเกิด ลุงป้าน้าอาก็อยู่น่าน กรุงเทพฯก็สถานที่ทำงานและบ้านปัจจุบันกับพ่อแม่น้อง จ.ร้อยเอ็ดก็ทางบ้านแม่ วนเวียนอยู่แค่นี้
                เมื่อตอนไปน่าน พ่อเราก็นัดพบปะกับเพื่อนเก่า พอจะแยกย้ายกันพ่อก็รำลึกความหลังกับเพื่อนสนิทโดยเดินทางจากร้านอาหารกลับมาบ้านเหมือนเมื่อตอนสมัยเป็นเด็กวัยรุ่น ที่ใช้วิธีเดินทางโดยการเดินแทนการใช้รถยนต์ พ่อเดินคุยกับเพื่อนมา 2 คน ระยะจากร้านอาหารมาบ้านประมาณ 5 กิโล ไกลไหมก็ไกลแต่ก็ไม่ไกลมาก เดินไปคุยไปเพลิน ๆ สัก 2 ทุ่ม มีผู้หญิงมานั่งอยู่ศาลาริมทาง ไฟในศาลาสลัวมาก พ่อก็ก้มหน้าจะเดินผ่าน แต่เพื่อนพ่อสะกิดแล้วถามพ่อว่า "ดึกขนาดนี้เขามายืนรอใครวะ" พ่อเราก็ไม่ตอบ (พ่อเล่าว่าตอนที่เห็นผญ.คนนี้พ่อก็ขนลุกแปลก ๆ เลยตั้งจิตนึกถึงน้องให้เดินมาเป็นเพื่อน เราเลยแซวพ่อว่า "ไหนว่าไม่เชื่อว่าน้องมีจริงแล้วเรียกน้องมาอยู่เป็นเพื่อนทำไม")  พ่อเราไม่ตอบที่เพื่อนถาม เพื่อนก็สะกิดพ่ออีกว่า "เขามารอใครวะ มืดก็มืด เข้าไปถามไหม๊เผื่อเป็นคนรู้จัก" พ่อก็บอกว่าไม่อยากยุ่งอะรีบเดินเหอะ เพื่อนพ่อก็ไม่หยุด ไม่รู้จะมาสงสัยอะไรตอนนี้ พอเดินมาถึงจะถึงศาลาผญ.ก็ลุกขึ้นยืนแล้วค่อย ๆ ก้าวมาริมถนน พ่อกับเพื่อนเลยหยุดชะงัก ผญ.เงยหน้าแล้วยิ้มพูดว่า
ผญ.: "จะ ไป ตี่ ไหน กั๋น จ้าว " (จะไปที่ไหนกันจ้าว)
เพื่อนพ่อ : จะ ปิ๊ก บ้าน จ้าว อี่ น้อง เป๋น คน ตี้ไหน มา ยืน รอ ไผ จ๊ะ (จะกลับบ้านจ้ะ น้องเป็นคนหมู่บ้านอะไรมายืนรอใครหรอจ๊ะ)
แหน่ะ!!! เพื่อนพ่อก็กะล่อนเขาถามมาก็ตอบไปซะงั้น สงสัยจะกรึ่ม ๆ แต่พ่อเราน่ะหรอ เงียบ!!!! ผญ.ก็ยังคุยกับเพื่อนพ่อต่อว่า
ผญ.: บ้าน ปี้ อยู่ ไกล๋ ก่อ จ้าว น่อง ไป่ ส่ง ได้ ก่อ (บ้านพี่อยู่ไกลไหมจ๊ะ น้องไปส่งได้ไหม)
พ่อเรารีบสวนว่า "บ่ต้อง!!! จะปิ๊กเอง ปะคิงปิ๊กบ้าน บ่ดีไปอู้เมิน" (ไม่ต้อง!!! จะกลับเอง ปะเพื่อนกลับบ้านอย่าไปคุยนาน)
พูดจบก็คว้าแขนเพื่อนเดินออกจากริมทางใกล้ศาลา พ่อบอกว่าทั้งลากทั้งจูงแขนเพื่อน แต่ทำไมรู้สึกว่าเพื่อนก็เหมือนดึงแขนพ่อไว้เหมือนกัน พ่อก็ลาก ๆ กระชาก ๆ บอกกลับ ๆ ได้แล้ว แต่มันเหมือนหนัก ๆ หน่วง ๆ ลากยากยังไงไม่รู้เลยหันไปดู ปรากฏว่าเพื่อนพ่อลากจูงแขนผญ.คนนั้นมาด้วย
                นึกภาพออกไหมคะ มีพ่ออยู่หน้าสุดจูงแขนเพื่อนพ่อ แล้วเพื่อนพ่อก็ใช้อีกมือที่จูงแขนผญ.คนนั้น กลายเป็นเดินจูงมือกัน 3 คน เรียงกันพ่อหัวแถวเพื่อนพ่อคนกลางและผญ.คนสุดท้าย พ่อเราหันไปเจอผญ.คนนั้นเดินตามมา พ่อเราก็ผงะมือออกจากเพื่อนแล้วถามเพื่อนว่าจูงมือมาด้วยทำไมวะ เพื่อนพ่อบอกว่าก็อ้าว เห็นน้องเหงายืนคนเดียวเลยจะพาไปด้วย (หึ เพื่อนพ่อใช่ย่อยนะ) พ่อเลยบอกว่าเออ ถ้างั้นตรูกลับบ้าน เอ็งจะไปไหนก็ไปแล้วพ่อก็เดินแยกออกมา ไม่ถึง 3 ก้าว เพื่อนพ่อตะโกนเรียกบอกว่า "เฮ้ย คิง รอ ฮา ก่อน" (เฮ้ยยิ้มรอตรูด้วย) พูดจบก็ทำท่าสะบัดมือเหยง ๆ รอด้วยโว๊ยอย่าเพิ่งไป พ่อเราก็ยืนหัวเราะ เพื่อนพ่อก็บอกว่า "บ่า ดี มา ไข หัว มา จ้วย ฮา แงะ มือ อีนี่ ออก ก่อน โว๊ย" (อย่ามาหัวเราะตรู มาช่วยตรูแงะมืออีนี่ออกก่อนโว๊ย) ภาพที่เห็นคือเพื่อนพ่อสะบัดแขนสะบัดมือ ผญ.คนนั้นก็ยืนยิ้มแต่จับมือเพื่อนอยู่ พ่อก็วิ่งไปเข้ามาแล้วบอกว่าปล่อยมือเพื่อนพี่เถอะน้อง พวกพี่จะกลับบ้านแล้ว ผญ.ก็บอกว่าน้องจะไปส่งจ่ะ เพื่อนพ่อบอกว่าไม่ต้องไปจะกลับกันเอง เพื่อนพ่อก็สะบัด ๆ บอกปล่อยตรู ไม่ปล่อยตรูถีบ พูดไม่ขาดคำให้ผญ.ตั้งตัวเพื่อนพ่อก็ยกขาขึ้นมาถีบโครม!!! ผญ.หลุดมือพอหลุดมือปุ๊บ เพื่อนพ่อก็จูงมือพ่อเราวิ่งออกมาทันที
              ระหว่างที่วิ่งพ่อเราก็ถามว่าทำไมเปลี่ยนใจไม่ไปกับน้องเขาล่ะ เพื่อนพ่อบอกว่าใรจะกล้าวะ พอเดินจูงมามือ มือแม่มเย็นเฉียบ เลยหันไปมองหน้าผญ.แก้มนี่แดงระเรื่อ ปากนี่แดงเชียว แต่ตาโตมากมีแต่ตาดำ เดินตามมาแสยะยิ้ม ตรูว่ามันไม่ใช่ละ เลยเรียกยิ้มให้มาช่วยแงะมือมันออก ผญ.อะไรแรงเยอะมาก ยิ่งสะบัดยิ่งจับแน่น โอ๊ยพูดแล้วขนลุก ไม่ทันขาดคำก็ได้ยินเสียงผญ.คนนั้นตะโกนตามหลัง รอน้องด้วยจ้าวปี้จ๋าาาาาา พ่อกับเพื่อนหันหลังกลับไป ปรากฏว่าไม่เจอผญ. แต่เจอนกตัวสีดำวิ่งพุ่งเข้าใส่พ่อกับเพื่อน พ่อกับเพื่อนก็พากันวิ่งหนีนกก็บินตาม จังหวะนั้นทั้งวิ่งทั้งตะโกนให้คนช่วย แต่คงไม่มีใครกล้าออกมาเพระาต่างจังหวัดเวลาค่ำมันมืดและเงียบมาก ทีนี้พอถึงทางแยกพ่อกับเพื่อนเลยตัดสินใจวิ่งแยกกัน พ่อไปซ้าย เพื่อนไปขวา แล้วดูซิว่ามันจะตามใคร สรุปว่ามันเลี้ยวขวาค่ะ บินตามเพื่อนพ่อไป พ่อเล่าว่าพอวิ่งแยกกันแล้วมาถึงบ้านก็รีบเข้าห้องนอนไม่อาบน้ำ ส่วนเพื่อนจะเป็นอย่างไรนั้นไม่รู้ชะตา 55
               เช้าต่อมาพ่อรีบโทรไปหาเพื่อนได้ความว่า พอแยกทางกัน เพื่อนก็วิ่งหน้าตั้งจะเข้าบ้านแต่วิ่งยังไงก็ไม่ถึงบ้านสักที ทั้งที่บ้านกับร้านอาหารก็ไม่ไกลกัน เหมือนแกวิ่งไปแล้ววนกลับมาศาลาที่เดิม ทีนี้แกก็เหนื่อยเลยหยุดวิ่ง หอบแฮ่ก ๆ แล้วก็ได้ยินเสียงคนหัวเราะคิคิ แกเลยตะโกนไปว่า "ถ้ายิ้มไม่หยุดตามตรูนะ ตรูจะถีบอีกสักทีดีก่อ แต่ถ้ายิ้มเป็นนกมานะ ตรูจะจับหักปีกแล้วต้มยำคอยดู" พูดจบก็วิ่งหนีต่อ ทีนี้ข้างหน้าก็เป็นทางแยกซ้ายขวาเดิมที่วิ่งแยกกันมา เพื่อนพ่อบอกว่าเห็นเด็กผู้ชายยืนอยู่หัวมุมถนนทางซ้ายที่พ่อวิ่งไป เด็กคนนั้นกวักมือเรียกเพื่อนพ่อ เพื่อนพ่อก็ลังเลว่าใครอีกวะเนี่ย น้องก็กวักมือเรียกอีก เพื่อนก็เลยตัดสินใจวิ่งเข้าไปหา คิดในใจว่าเอาวะ คงไม่มีอะไรแย่ไปกว่าอีนกผีนี่ล่ะ พอวิ่งเข้าไปหาน้อง น้องก็กลับหลังหันวิ่งนำ เพื่อนก็วิ่งตาม แต่แอบหันหลังไปดูนิดนึงเห็นผญ.คนนั้นยืนอยู่มุมถนนมองมาทางเพื่อนพ่อ แต่ไม่วิ่งตามมาละ พอเพื่อนพ่อหันหลังกลับมาอีกทีน้องก็ไม่อยู่แล้ว เพื่อนพ่อก็มองหาตามบ้านเผื่อว่าจะวิ่งเข้าบ้านไปแล้ว แต่ว่าบ้านแต่ละหลังก็ปิดไฟมืด เพื่อนพ่อเลยเดินไปข้างหน้าเรื่อย ๆ เจอวัด เลยวิ่งเข้าไปวัด แต่พระเณรก็จำวัดหมดแล้วเลยนอนอยู่หน้าโบสถ์จนเช้าแล้วเช้ามืดพระก็มาปลุก เลยเล่าให้พระฟัง พระเลยบอกว่าก็เราไปชวนเขากลับมาด้วยเขาก็เลยมา ดีนะที่ไอ้หนูมาช่วยไม่งั้นก็ได้ไปเป็นผัวมันแล้ว ระวังนะ กลางคืนมันสวยเชียว อาตมาก็เคยเจอ แต่อาตมาไม่คุยไม่งั้นก็คงพาอาตมาไปด้วย
               เขาว่ากันว่า ผีกะหรือผีปอบแถวภาคเหนือ กลางวันก็ผอมโทรมซีดเซียว ไม่ชอบออกจากบ้าน กลางคืนหน้าจะสวยแก้มแดงปากแดงตาโตดำวาว ยิ่งดึกยิ่งสวยยิ่งเจอแสงจันทร์ยิ่งงาม ใครเจอแล้วไปทักทายเข้านางก็จะตามกลับไปด้วยทุกราย เชื่อหรือไม่เชื่อก็สุดแล้วแต่ แต่มันเกิดขึ้นกับคนใกล้ตัว และใช้ชีวิตอยู่บนความไม่ประมาทดีกว่านะคะ เผื่อไม่ใช่ผีกะแต่เป็นคนจริง ๆ คนที่น่าเป็นห่วงก็คือเพื่อนพ่ออยู่ดี กิกิ ^^

ตอนต่อไป

,อยู่ด้วยรักและผูกพันตอน2
,อยู่ด้วยรักและผูกพันตอน3
,อยู่ด้วยรักและผูกพันตอน4
,อยู่ด้วยรักและผูกพันตอน5

เรื่องจากพันทิป อยู่ด้วยรักและผูกพัน
เรื่องโดย  TharaJF

ไม่มีความคิดเห็น